มะกันจี้คดีฟ้องอาญาทักษิณ

มะกันจี้คดีฟ้องอาญาทักษิณ

โดย ผู้จัดการรายวัน 4 พฤษภาคม 2549 06:26 น.

   นักธุรกิจมะกันตามจี้คดีฟ้องอาญา “ทักษิณ” ฐานแจ้งความเท็จขณะร่วมทำธุรกิจเคเบิลทีวีไอบีซี ระบุหากผิดจริงต้องติดคุก 7 ปี กางคำพิพากษาศาลยุติธรรมให้ชนะคดีแพ่งขึ้นเทียบเคียง เผย ศาลนัดไต่สวน 19 มิ.ย.นี้ ด้าน “ไกรศักดิ์” ร่วมแฉ “แม้ว” เคยสัญญาจะเจรจานอกศาลแต่ตระบัดสัตย์ภายหลัง “ประมุท” ร่วมวงยื่นหนังสือถึง กลต.ตรวจสอบอสมท เสนอขายหุ้นให้นักลงทุน-ประชาชนโดยปกปิดข้อพิพาททางกฎหมายจากคดีข้างต้น

   ที่รัฐสภา วานนี้ (3พ.ค.) นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รักษาการ ส.ว.นครราชสีมา อดีตประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศ พร้อมด้วยน.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ รักษาการ ส.ว.อุลราชธานี ได้นำนายวิลเลี่ยม ไลล์ มอนซัน ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริษัท CLEARVIEW WIRELESS บริษัทสัญชาติอเมริกัน ที่เคยร่วมทำธุรกิจเคเบิลทีวี กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แถลงข่าวถึงกรณีที่ศาลอาญาประทับรับฟ้องพร้อมนัดไต่สวนกรณีที่นายวิลเลียม ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในข้อหาแจ้งความเท็จ โดยมีนายประมุท สูตะบุตร อดีต ผู้อำนวยการ อสมท ร่วมแถลงข่าวด้วย

   ทั้งนี้ นายประมุท ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลข้อความที่นายวิลเลี่ยม บรรยายว่า สรุปความได้ว่า นายวิเลี่ยมในการทำธุรกิจได้ร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ตั้งบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอปอเรชั่น จำกัด (ไอบีซี) โดยข้อตกลงเดิมตนเองจะอยู่ในฐานะผู้ร่วมลงทุน และที่ผ่านมาได้เป็นคนสั่งซื้อและนำเข้าอุปกรณ์ต่างๆ ขณะที่ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ทำหน้าที่ประสานและขอสัมปทานตามกฎหมายไทย แต่เมื่อธุรกิจสะดุดเพราะรัฐบาลขณะนั้นยังไม่ต้องการให้เอกชนทำธุรกิจเคเบิลทีวี

   หลังจากนั้น มีการเปลี่ยนเป็นรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ ทั้งสองคนจึงประสงค์ที่จะเสนอเรื่องดังกล่าวไปให้กับรัฐบาลใหม่ โดยในระหว่างนั้นได้มีการย้ายเครื่องส่งจากตึกอโศกทาวเวอร์มาที่ตึกชินวัตร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตกลงที่จะให้บริษัทไอบีซีร่วมทำกับอสมท.ในปี พ.ศ. 2532 โดยมีข้อตกลงว่าบริษทไอบีซี จะต้องส่งมอบเครื่องส่งที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาให้กับอสมท. ทางบริษัทไอบีซี จึงต้องการครอบครองอุปกรณ์ดังกล่าว แต่นายวิลเลี่ยมไม่ยินยอมเพราะเป็นผู้ซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวตามสัญญาซื้อขาย

   ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทไอบีซี จึงได้แจ้งความที่ส.น.ทองหล่อ ให้มายึดเครื่องอุปกรณ์ส่งไปที่อสมท.พร้อมแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์กับนายวิลเลี่ยม จนเรื่องไปถึงอัยการสั่งฟ้อง โดยทางบริษัทไออีซีมาเป็นโจทก์ร่วมฟ้องด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นตัดสินในช่วงปีพ.ศ. 2537 ให้นายวิลเลี่ยมชนะคดี ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกทรัพย์ และมีการยื่นอุทธรณ์และฎีกา ศาลศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น

   นอกจากคดีอาญาแล้ว ทางบริษิทไอบีซี ได้เป็นโจทย์ฟ้องนายวิลเลี่ยมในคดีความแพ่งด้วย แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยชี้ว่า นายวิลเลี่ยม มิได้เบียดบังยักยอกทรัพย์สินดังกล่าวแต่อย่างใด และมูลค่าทรัพย์สินที่โจทก์กล่าวอ้างว่ามีมูลค่า 5.9 ล้านบาทนั้นสูงเกินจริง ศาลฯ ชี้ว่าทรัพย์สินมีมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท ต่อมาฝ่ายโจทก์ยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลอุธรณ์ พิพากษาเมื่อเดือนมี.ค. 2547 ยืนตามศาลชั้นต้น ตามคดีหมายเลขดำที่ 163/2545 คดีหมายเลขแดงที่ 2049/2547

   นายวิลเลี่ยม กล่าวว่า ในส่วนตนเองได้เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, นางพจมาน ชินวัตร, บริษัทไอบีซี, นางดวงฤทัย เศรษฐบุตร, นายประทีป อาจิณพัฒน์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ข้อหาแจ้งความเท็จ, ฟ้องเท็จ, เบิกความเท็จ ต่อศาลอาญาใต้ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2538 ภายหลังจากถูกฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งความที่สน.ทองหล่อและฟ้องร้องตนเองว่ายักยอกทรัพย์ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ซึ่งในคดีที่ตนเองฟ้องร้องนั้น ทางบริษัทไอบีซี ได้ร้องไปที่ศาลอาญาใต้ว่าให้รอคำตัดสินของศาลแพ่งก่อน ทางศาลอาญาใต้จึงระงับคดีไว้ชั่วคราว

   นายประมุท กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา นายวิลเลี่ยม ได้ร้องไปที่ศาลอาญาใต้เพราะเห็นว่าคดีแพ่งมีการตัดสินถึงชั้นศาลอุทธรณ์ไปแล้ว จึงเห็นว่าควรถึงเวลาที่ศาลอาญาจะนำคดีที่ตนเป็นฝ่ายฟ้องกลับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งความเท็จขึ้นมาพิจารณา ล่าสุด ศาลอาญาได้รับที่จะไต่สวนคดีในวันที่ 19 มิ.ย. 2549 โดยโทษสูงสุดของคดีมีโทษจำคุกถึง 7 ปี

   ด้าน นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า การที่นายวิลเลี่ยม มาขอความเป็นธรรมกับรักษาการ ส.ว. เพื่อต้องการให้เรื่องดังกล่าวรับรู้ในทางสาธารณชน เพราะที่ผ่านมาถูกกลั่นแกล้งว่าเป็นฝ่ายยักยอกทรัพย์ ทั้งที่ขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงนักธุรกิจ แต่ปัจจุบันอยู่ในสถานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย จึงต้องการให้สังคมร่วมตรวจสอบ

   นายไกรศักดิ์ ยืนยันว่า การนำนายวิลเลียมมาแถลงข่าวครั้งนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ตนเห็นว่าในฐานะเคยรักผิดชอบด้านกรรมาธิการต่างประเทศอยากมีส่วนร่วมเพื่อเป็นการยืนยันให้ชาวต่างชาติเห็นว่าสังคมไทยยังให้ความเป็นธรรมกับชาวต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทย

   “คุณทักษิณไม่เคยรู้เรื่องเทคโนโลยีอะไรเลยแต่กลับใช้กลไกอำนาจมากลั่นแกล้ง และยังมาฟ้องเขาอีก รวมทั้งยังมีการตกลงกันแล้วเรื่องนี้จะไม่ให้เป็นแบบบัวช้ำน้ำขุ่นกันนอกศาลแต่ก็ไม่ทำ เขาเกรงคุณทักษิณในสถานะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อ5-6 ปีก่อนนายวิลเลี่ยมยังไปเจอกับคุณทักษิณที่ฮ่องกง โดยได้การพูดกันแบบส่วนตัวแล้วว่าจะทำการตกลงกันนอกศาล แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประกอบคุณทักษิณก็ได้พูดชั้นศาลเช่นกันว่าจะตกลงนอกศาลแต่ก็ไม่ทำ ฉะนั้นจะให้ไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลก็คงไม่ได้ เขาจึงมาขอกับรักษาการ ส.ว. และสำหรับคุณทักษิณถือว่าหมดความชอบธรรมในการเป็นนายกฯไปแล้วและถึงไม่จะไม่มีเรื่องนี้คุณทักษิณ ก็หมดความชอบธรรมเช่นกัน ”นายไกรศักดิ์ กล่าว

   **ร้อง กลต. สอบการขายห้น “อสมท”

   เกี่ยวเนื่องกับคดีข้างต้น นายประมุท สูตะบุตร อดีตผู้บริหารอ.ส.ม.ท.ในฐานะผู้ถือหุ้นในบริษัทอสมท. จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 49 ที่ผ่านมา ขอให้ กลต.เข้ามาตรวจสอบการเสนอขายหุ้นของบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน)

   ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือชี้ชวนโดยได้ระบุถึงปัจจัยความเสี่ยงและข้อพิพาททางกฎหมาย แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบว่าหนังสือชี้ชวนดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงคดีความที่บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (หรือ ไอ.บี.ซี. ซึ่งขณะนั้นมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และนางพจมาน ชินวัตร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ) ได้ถูกนายวิลเลี่ยม ฟ้องเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาตั้งแต่ปี 2538 และคดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด

   นอกจากนั้น ยังมีคดีที่บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลฯ เป็นโจทก์ฟ้องนายวิลเลียม ไลล์ มอนซัน เป็นจำเลยที่ 2 ในดคีแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ข้อหายักยอกทรัพย์ ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาฝ่ายโจทก์ยื่นอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวข้างต้น

   “ศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ว่า อุปกรณ์เครื่องส่งที่บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด ต้องส่งมอบให้แก่ อ.ส.ม.ท. ตรมสัญญาการร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิก เป็นของจำเลยที่ 2 คื อนายวิลเลี่ยม ไลล์ มอนซัน อันย่อมมีผลกระทบต่อสัญญาร่วมดำเนินกิจการดังกล่าว” นายประมุท ระบุในหนังสือที่ร้องต่อ กลต.

   ทั้งนี้ บริษัทไอ.บี.ซี ปัจจุบันคือบริษัทยูไนเต็ด บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือยูบีซี

   นายประมุท ชี้ว่า คดีทั้งสองข้างต้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เพราะบริษัท อสมท เป็นผู้รับโอนบรรดากิจการ สิทธิ หนี้ ความรับผิดชอบ และสินทรัพย์ของอ.ส.ม.ท. ตามที่คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 47 และตามพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งคดีความทั้งสองดำรงอยู่ก่อนที่อ.ส.ม.ท.จะแปรสภาพมาเป็นบริษัทอสมท จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2547 และก่อนที่บริษัทอสมท จะนำหุ้นเสนอขายต่อประชาชนและผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และออกหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนและผู้ลงทุนเมื่อเดือนก.ย. 2547

   อดีตผู้บริหารอ.ส.ม.ท. จึงขอให้กลต.ตรวจสอบว่าบริษัทอสมท ปฏิบัติให้ชอบตามกฎหมายและข้อกำหนดของกลต.ในการนำหุ้นออกเสนอขายต่อประชาชนและนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนต่างประเทศหรือไม่ และบุคคลใดบ้างที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบหากมีการปฏิบัติโดยมิชอบดังกล่าว