ผ่า "วาระประชาชน" ปชป. พิสูจน์นโยบายของแท้หรือของเทียมนับตั้งแต่ต้นปีสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย ถือว่าอยู่ในภาวะที่ล่อแหลม ยุ่งเหยิงจนเป็นที่หวั่นวิตกของประชาชนมาตลอดว่าทางเดิน ในอนาคตของประเทศจะไปทางไหน?
แม้รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะยุบสภาลงตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.2549 แต่จนถึงบัดนี้การบริหารประเทศยังไม่ถูกผลัดมือ ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจถูกรุมเร้าจากปัจจัยลบทั้งภายใน และภายนอกประเทศ การทำงานของรัฐบาลรักษาการก็มีข้อจำกัด ทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เต็มที่
เป็นผลให้การบริหารประเทศแทบหยุดนิ่ง!
พร้อมกันนี้ ประชาชนส่วนหนึ่งยังมีความคลางแคลงใจในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกอบกับการบริหารประเทศที่ยาวนานถึง 5 ปี ทำให้ประชาชนบางส่วนเริ่มเบื่อหน่าย อยากมีทางเลือกใหม่ๆ
บัดนี้เสียงเชิดปี่กลองหาเสียงเลือกตั้งได้ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง
ถ้าถามใจประชาชนก็คาดหวังที่จะเห็นทางเลือกใหม่ๆให้กับประเทศ และถ้ามองหาพรรคการเมืองที่จะเป็นทางเลือกใหม่แล้ว ก็คงไม่อยากได้คำตอบว่า ประเทศไทยหมดทางเลือกแล้ว
ขณะเดียวกันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศกำหนด การพัฒนาประเทศที่เป็นทิศทางใหม่ ภายใต้ วาระประชาชน โดยมีสโลแกนว่า ประชาชนต้องมาก่อน
จะว่าไปแล้วพรรคประชาธิปัตย์นับเป็นพรรคที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนาน ในช่วงระหว่างการบริหารประเทศของรัฐบาลทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์มีเวลาถึง 5 ปี ที่จะคิดวิธีการบริหารจัดการประเทศที่เป็นทางเลือกใหม่ ให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน
แต่ภายหลังจากที่เปิดนโยบายออกมา อย่าว่าแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ของนักวิชาการที่ออกมาแสดงความกังขาในหลายแง่ หลายประเด็นเลย
ความรู้สึกของประชาชนเองก็ยังงุนงง และไม่เห็นความชัดเจนกับสิ่งที่เป็นทางเลือก!!!
ทีมเศรษฐกิจ จึงได้รวบรวมแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ ภายใต้ วาระประชาชน ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
นายอภิสิทธิ์ประกาศว่า ตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ขบวนการบริหารประเทศ นำพาประเทศ และประชาชนถลำลึกเข้าสู่วิกฤติมากขึ้น
ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า ประชาชนยากจนที่สุดของไทยมีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่าในปี 2547 เมื่อเทียบกับ 8 เท่าจากปี 2543 ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ
เป็นจุดบ่งชี้ว่า ประชาชนไม่ได้เข้มแข็งขึ้น ไม่ได้มีฐานะดีขึ้น ขณะที่หนี้สินต่อครัวเรือนในปี 2547 คือ 104,571 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นมาจากประมาณ 68,279 บาทต่อครัวเรือนในปี 2544 เท่ากับว่าประสิทธิภาพเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้น ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อเงินเหลือจ่ายแต่ละเดือนของครัวเรือนสูงถึง 39 เท่า
ขณะนี้ประเทศกำลังเกิดวิกฤติค่าครองชีพ และความยากจน พี่น้องประชาชนเป็นหนี้ ไม่มีเงินออม รายจ่ายสูง รายได้น้อย มาจากภาระหนี้ จากการผูกขาดทางธุรกิจ จากนโยบายที่เอาประโยชน์ของกลุ่มอื่นมาก่อน และวันนี้คนไทยเสียภาษีคอรัปชันสูงมาก
เกิดขึ้นเพราะทิศทางการพัฒนาของรัฐบาลไทยรักไทยที่ตั้งโจทย์ผิด อยากจะพัฒนาเศรษฐกิจก็คิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้เงินมันหมุน เวียน แล้วใช้ตัวเลข
จีดีพีเหมือนกับคำตอบทุกเรื่อง แต่ เป้าหมายของวาระประชาชน ทุกคนในประเทศไทยต้องมีที่ยืนที่ภูมิใจและอยู่ได้ อย่างมีศักดิ์ศรี
พรรคประชาธิปัตย์จึงมีแนวคิดเศรษฐกิจคุณภาพ ไม่วัดการเติบโตปีใด ปีหนึ่ง แต่เป็นการโตที่สมดุล ไม่ใช่การเติบโตที่มีความเสี่ยง โดยเริ่มต้นด้วยการเอา คน เป็นตัวตั้ง
เรื่องแรกที่ต้องดูแลคือ หลักประกันสุขภาพทั่วหน้า ซึ่งเริ่มมีตั้งแต่สมัยพรรคประชาธิปัตย์ รักษาเด็ก คนแก่ คนจนฟรี รัฐบาลไทยรักไทยเอามาทำเป็น 30 บาท ซึ่งตอนนี้มีปัญหา 3 ด้าน คือ เรื่อง คุณภาพ แพทย์และพยาบาล รับภาระหนักจากการบริการที่สูงขึ้น และงบประมาณต่อหัวที่ไม่เพียงพอ
พรรคประชาธิปัตย์จึงมองการปรับระบบการบริหารจัดการใหม่ ให้ประชาชนจะได้รับบริการรักษาฟรี ไม่ต้องจ่ายแม้เพียง 30 บาท เพราะทุกปีการเก็บ 30 บาท จะได้เงินเพียง 1,000 ล้านบาท เทียบกับ 100,000 ล้าน ที่ต้องลงทุนไม่ได้เลย
นักวิชาการบอกว่าถ้าจะปรับให้มีมาตรฐาน ต้องให้เงิน 2,000 บาทต่อหัว เราจึงหาวิธีการให้เงินต่อหัวเพียงพอ โดยเข้าไปจัดระบบกองทุนประกันสังคม ในส่วนการรักษาพยาบาลที่มีเงินเหลือมาก ให้คนเอาประกันตนในระบบนี้สามารถขยายสิทธิ์ อาจไปสู่ครอบครัวหรือคนที่เขาระบุ เพื่อให้คนที่อยู่ในโครงการ 30 บาท มาใช้สิทธิประกันสังคม เป็นการเอาคนส่วนหนึ่งประมาณ 6 ล้านคน ออกมาจากระบบหลักประกันสุขภาพ
ทำให้เงินเฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ จาก 1,659 บาทในขณะนี้ เป็น 1,800-1,900 บาทต่อหัว และรัฐเติมเงินเพียงเล็กน้อยก็ครบ 2,000 บาทต่อหัว
สำหรับวิกฤติเฉพาะหน้าเรื่องค่าครองชีพ และหนี้สินจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 13 บาท
พี่น้องผู้ใช้แรงงานยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงต้องปรับเพื่อความเป็นธรรม จากค่าแรงขั้นต่ำ 184 บาท หากต้องการวิ่งให้ทันค่าครองชีพและมีประสิทธิภาพแรงงานเพิ่มต้องขึ้นให้อีก 13 บาท ซึ่งคำนวณแล้วว่าจะกระทบเงินเฟ้อเพียง 0.2% ของจีดีพี
พร้อมๆกับการลดราคาน้ำมันลง 2 บาทต่อลิตร บางคนถามว่า ทำได้จริงหรือเปล่า
เป็นการฝืนธรรมชาติ ฝืนกลไกตลาด พูดชัดๆว่า ราคาน้ำมันที่ปรับลงได้ไม่เกี่ยวกับกลไกตลาด แต่เพราะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งมีหนี้จากการอุดหนุนราคาน้ำมัน ไม่ควรเป็นภาระประชาชน
ถ้าถอดภาระหนี้ออกไป จะทำให้ลดเบนซิน ลิตรละ 2.50 บาท และดีเซล ลิตรละ 90 สตางค์เท่ากับที่นำส่ง แล้วหาเงินที่อื่นมาเพื่อบริหารหนี้กองทุนน้ำมัน เรามี ปตท.รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานที่มีกำไรแสนล้านบาท ทุกวันนี้ปันผลให้รัฐ 30% คำนวณแล้วถ้าให้ปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 50% เพียง 2-3 ปี ก็บริหารล้างหนี้กองทุนน้ำมันได้
สำหรับการลดค่าไฟฟ้าลง กฟผ.มีสูตรคำนวณค่าไฟ และเอฟทีอยู่หลายสูตร แต่ ตอนที่จะขาย กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปกำหนดผลตอบแทนในการลงทุนมาก ทำให้ ต้องผลักภาระค่าไฟให้ประชาชน เพียงแค่ปรับไปอยู่ในเกณฑ์วัดเดิมก่อนมีนโยบายขาย ก็ปรับค่าไฟฐานลงมาได้
ส่วนการลดค่าก๊าซหุงต้ม สามารถอุดหนุนได้ในระยะเวลาที่จำเป็น และไม่เห็นว่าการอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้มไปบิดเบือนพฤติกรรมของผู้ใช้ และจะหาทางจัดสรรกำไรของผู้ส่งออกก๊าซที่ได้กำไรสูงถึงกิโลละ 8 บาท มาช่วยเหลือผู้บริโภค
นโยบายสำคัญมากๆ คือ กองทุนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินให้เปล่าในกรณีลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่วนรวมในชุมชน หรือโครงการที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียง และอีกส่วนเป็นเงินทุนกู้ยืมระยะยาว ซึ่งจะทำให้มีเวลาสร้างธุรกิจได้อย่างแท้จริง
ที่ผ่านมาคนชอบขู่ว่า ถ้าเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแล้วจะไม่มีเงินไปรากหญ้า ผมอยากให้ทบทวนว่า เงินที่ทุ่มไปรากหญ้าอยู่ที่รากหญ้าหรือหมุนกลับมาที่กลุ่มทุนใหญ่ แต่เราจะทำให้เงินอยู่รากหญ้า...ยั่งยืน
วาระประชาชน ภายใต้แคมเปญหลากรูปแบบข้างต้นนี้ นอกจากจะไม่สามารถเรียกเสียงขานรับจากประชาชนในกลุ่มต่างๆได้แล้ว แต่ละบรรทัดที่พูดถึงภารกิจอันสำคัญยิ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ยังผสมผสานไว้ด้วยความเกลียดชัง และความต้องการจะลงโทษพรรคไทยรักไทยเป็นหลักอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้ว่า วันนี้ สังคม และสื่อมวลชนจะลงโทษหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในความผิดมากมายภายใต้ข้อกล่าวหาต่างๆ นานาไปแล้วระดับหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอ หรือสาแก่ใจใครบางคนที่ยังคงดำรงตนเป็นคู่แข่งทางการเมืองในทุกกาลเทศะ
นี่เองที่ทำให้การนำเสนอเนื้อหาและแนวนโยบาย ในเชิงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ คงออกมาในลักษณะที่เอาแต่การพร่ำพรรณนา และใช้สำนวนโวหารเข้าว่า แล้วจับเอาตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวเข้ามาประกอบอย่างขาดหลักวิชาการ ทั้งมิได้ศึกษาไตร่ตรองอย่างรอบคอบเพียงพอที่จะบอกให้ประชาชนรู้ได้ว่า
ที่สุด ถ้าต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ประชาชนจะอยู่ดีกินดีตามอัตภาพอย่างไร ภายใต้ปัญหาและปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่กำลังเผชิญหน้าอยู่
ที่แย่กว่านั้น ก็คือ ทำไมหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่พูดเสมอว่า จะต้องล้มระบอบทักษิณซึ่งเป็นตัวแทนของระบบทุนนิยม และการคอรัปชันเชิงนโยบาย จะถ่มน้ำลายรดฟ้า กลับมาประกาศกับสังคมอย่างไม่อายว่า จะต่อยอดนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยด้วยวิธีการต่างๆ มากมายภายใต้คำพรรณนาที่ว่า
ประชาธิปัตย์จะพยายามล้างบางความผิดพลาดของรัฐบาลทักษิณ ในเรื่องของการใช้เงินกองทุนน้ำมันเพื่อไม่ให้ความผิดนั้นกลับมาเป็นภาระของประชาชน หรือผู้ใช้น้ำมัน
มาดูประเด็นนี้ให้ชัดอีกที โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อเสนอลดราคาน้ำมัน และให้ ปตท.จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปใช้หนี้กองทุนน้ำมัน ประเด็นนี้ ดูเหมือนนายอภิสิทธิ์จะหันกลับไปทำผิดซ้ำเสียเอง ในขณะที่นโยบายนี้กลายเป็นอดีตไปแล้วสำหรับรัฐบาลทักษิณ
เอสแอนด์พีก็เพิ่งจะประกาศไม่นานนี้ว่า มีแนวโน้มที่อาจเป็นไปได้สูงว่า ระดับราคาน้ำดิบจะพุ่งขึ้นไปติดยอดดอยถึง 200 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในอนาคต ดังนั้น การลดราคาน้ำมันเพียงจิ๊บจ๊อย หรือครั้งเดียว คงไม่ช่วยอะไร ส่วนกำไรสุทธิของ ปตท.ก่อนจ่ายเงินปันผล ก็คงเป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงว่ามีมากถึง 100,000 ล้านบาท อีกเช่นกัน
ถ้าลองเปิดเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ดู จะพบว่า จริงๆกำไรของ ปตท.มีเพียง 30,000-40,000 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นของธุรกิจในเครือที่ ปตท.กอบกู้กิจการไว้ได้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และเพิ่งฟื้นไข้ได้เพียงไม่กี่ปีมานี้ ฉะนั้น ถ้าจะเอาเงินกำไรจาก ปตท.มาตัดหนี้กองทุนน้ำมันเกือบ 60,000 ล้านบาท จึงอาจต้องเอาทุกปี เป็นเวลานานถึง 10 ปี ไม่ใช่แค่ 2-3 ปีอย่างที่พูด
มาถึงแนวคิดการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำรวดเดียว 13 บาท แล้วบอกว่า จะกระทบกับเงินเฟ้อเพียง 0.2% ของจีดีพี ตรงนี้ ทีมเศรษฐกิจขอเถียง เพราะแค่พูดว่า จะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ หรือค่าจ้างขั้นต่ำ ราคาสินค้าก็ปรับขึ้นไปรออยู่แล้วทุกครั้ง นี่ยังไม่นับผลกระทบที่เป็นลูกโซ่ตามมา ซึ่งจะมีผลต่ออัตราการเร่งตัวของเงินเฟ้อโดยอัตโนมัติ ในขณะที่การจะปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานจะต้องผ่านการพิจารณาร่วมกันของที่ประชุมไตรภาคี แน่นอนว่า มันไม่ใช่แค่การลองคำนวณดูคร่าวๆ แค่เอาค่าจ้างขั้นต่ำตั้ง แล้วเอาประชากรผู้ใช้แรงงานหารเท่านั้น ที่สำคัญ คำพูดสะเพร่าบางคำ อาจทำให้ต่างชาติที่ได้ยิน ถอยทัพการลงทุนไปได้ง่ายๆ
ทีนี้หันไปดูแนวคิดเรื่องหลักประกันสุขภาพที่ว่า ประชาชนทุกคนจะได้รับการรักษาฟรี โดยไม่ต้องจ่าย 30 บาท ขณะเดียวกันจะฝากคนจำนวนหนึ่งไปใช้สิทธิประโยชน์ในกองทุนประกันสังคม เพื่อให้โครงการหลักประกันสุขภาพมีเงินเหลือมาเพิ่มงบรักษาพยาบาลครบหัวละ 2,000 บาท
กรณีนี้ก็เช่นกัน หากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะศึกษาผลการดำเนินงาน และความสำเร็จ ของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ชัดเจนกว่านี้ ก็จะทราบว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีแผนจะเพิ่มเงินเหมาจ่ายรายหัวของปี 2550 เป็น 2,089 บาท ขณะที่ประชาชนกว่า 47 ล้านคนวันนี้ สามารถเข้าถึงการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ และมีค่าใช้จ่ายสูงได้แล้ว ภายใต้การบริหารจัดการร่วมกันของโรงพยาบาลรัฐที่มีบุคลากรพร้อม และโรงพยาบาลเอกชนที่มีเครื่องไม้เครื่องมือดีกว่า
ที่จะเป็นปัญหาก็คือ ถ้ายกเลิก 30 บาท จะต้องกลับไปสู่ระบบเดิมที่คนไม่มีเงินจ่ายจริงๆเท่านั้น จะได้รับการรักษาฟรีหรือไม่
เราพูดเสมอว่า การเมืองสมัยใหม่วัดกันด้วยนโยบายที่ต้องมาจากกลุ่มคนซึ่งรู้จริง รู้ลึก และรู้ซึ้งถึงปัญหาบ้านเมือง ไม่ใช่การเมืองแบบฉาบฉวยที่ปรุงแต่งนโยบายขึ้นเพื่อมุ่งหวังจะช่วงชิงคะแนนเสียงจากประชาชน โดยเฉพาะจากคนในระดับรากหญ้าที่มักถูกว่ากล่าวบ่อยครั้งว่า หลอกง่าย และมีเงินก็ซื้อได้
ขณะที่นโยบายจากพรรคการเมืองที่ผู้คนต้องการรู้ และรับฟัง ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนมากไปกว่า 3-4 เรื่องเหล่านี้ เช่น เศรษฐกิจจะเดินไปทางไหน สังคมไทยจะสงบสุขเพียงไร จะดูแลการกินอยู่ จนถึงสุขภาพของผู้คนอย่างไร และสุดท้าย จะปกครองประเทศด้วยระบบการเมืองใด เป็นต้น
จริงๆคนส่วนใหญ่อาจขอแค่ให้อยู่ดีมีสุขตามอัตภาพ ไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ต้องไม่ยากจน เท่านี้ ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าตีฆ้องร้องป่าวมาตลอดว่า ตัวเลขจีดีพีไม่มีความหมาย เพราะการแบ่งผลประโยชน์จากการเติบโตของจีดีพีไม่เป็นธรรม คนจำนวนน้อยมีรายได้มากกว่าคนครึ่งค่อนประเทศซึ่งเข้าลักษณะใครมือยาว สาวได้สาวเอา
สิ่งที่ควรนำเสนอก็น่าจะเป็นนโยบายของการสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเน้นการสร้างงาน การกระจายรายได้ และทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดในระดับการผลิต และการทำงานภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
ไม่ใช่การเอากองทุนเศรษฐกิจอีกกองทุนเข้าไปแทนที่กองทุน หมู่บ้าน แทนที่กองทุนมิยาซาว่า หรือเงินผันในอดีต ที่สำคัญ ไม่ใช่การกลับมาลอกเลียนแบบ หรือต่อยอดนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า จะนำประเทศไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจ
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงยืนกรานในวาระประชาชนฉบับนี้ ที่สุดผู้คนก็อาจต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ระหว่างของแท้กับของเทียม
และเลือกใคร ระหว่างเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาแท้ๆ กับนักลอกเลียนแบบ.
ทีมเศรษฐกิจ
จาก
http://www.thairath.co.th/news.php?section=economic02&content=16027อย่างที่เคยบอกไว้ ของลอกเลียนแบบ
จะแถก้อได้นะว่า นี่คือประชานิยม แบบระบอบแมลงสาบ
หึหึ
(มันต่างกะที่ ทรท. ทำไว้ยังไงเนี่ยยย แค่ ต่อยอด นโยบายเดิมของ ทรท.)