ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
03-12-2024, 05:38
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  อีกนาน กว่าเทียนไขจะเป็นหลอดไฟ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
อีกนาน กว่าเทียนไขจะเป็นหลอดไฟ  (อ่าน 2373 ครั้ง)
นายชด
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 09-04-2006, 11:56 »

เทียนไข มันให้แสงสว่างก็จริงเมื่อเราจุดมัน  แต่มันก็จะไหม้ตัวเองไปเรื่อยๆจนดับ

หลอดไฟเป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาเพื่อทดแทนการมอดไหม้ของเทียนไข ด้วยการใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานไปหาแก็ส ไปหาธาตุโลหะที่เป็นไส้  มันคงทนกว่า และไม่มอดไหม้ตนเอง มีแต่เสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งาน  

สองอย่างมีความเหมือนกัน คือ ต้องมีคนกำหนดให้เกิดแสงขึ้น

เทียนไข ต้องมีคนจุด คนจุดต้องมีเชื้อไฟ
หลอดไฟ ต้องมีคนต่อวงตรเข้าหา ต้องมีกำลังไฟฟ้าส่ง  และกำลังไฟฟ้าที่ส่งต้องเข้ากันได้กับคุณสมบัติของหลอดไฟ  มากไป  ก็ไม่ติด  น้อยไปก็ไม่ติด  ไม่ว่าจะเป็นโวลท์ แอมป์ หรือ เฮิร์ทซ์

เมืองไทยเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่ 2475 นับจนถึงวันนี้ก็ล่วงไปเกือบ 74 ปี  หย่อนไปไม่กี่เดือน

..........แต่เรามีเทียนไข มากกว่า หลอดไฟ ครับ ทั้งที่เวลาผ่านมาเจ็บสิบกว่าปี  ประเทศไทยเราก็ยังมีเทียนไขมากกว่าหลอดไฟ ในประชาธิปไตยของเรา
ที่ผมกล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า แม้นเราจะมีประชาธิปไตยเต็มใบบ้างไม่เต็มใบบ้าง แต่ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวสำหรับประชาชนโดยรวมแล้ว ยังมีน้อย ครับ

เมื่อเปรียบกันกับ แสงสว่างแห่งประชาธิปไตย เรามีแสงสว่างที่เป็นเทียนไขมากกว่า หลอดไฟ

ประชาชนเมืองไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจการเมือง เข้าใจประชาธิปไตย เข้าใจเรื่องสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่  ได้เพียง ก.ไก่

และนี่คือที่มาของ ความประสบความสำเร็จในทฤษฎีประชานิยม ของนักการเมืองทุกยุค

จากเหตุการณ์สดๆที่เพิ่งผ่านกันมา
เราจะมองเห็นกลุ่มประชาชนแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆคือ  กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มสมัชชาคนจน

กลุ่มพันธมิตรนั้น เปรียบเสมือนหลอดไฟ ครับ คือ พัฒนาแสงสว่างมาหลายขั้นแล้ว มีความเข้าใจและอ่านออกในสิ่งที่นักการเมืองทำอยู่  ทำให้มองออกว่า นโยบายของระบบอบทักษิณ นั้นแท้จริงแล้ว มันเสมือนการกินเนื้อคำโตโดยแบ่งเศษเนื้อชิ้นเล็กๆกระจายให้แก่คนหิวโหย  ไม่ใช่เป็นการแบ่งเนื้อให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมแก่คนทั่วไปตามที่ถูกหลอกและเข้าใจกัน

กลุ่มสมัชชาคนจนนั้น ความจริงมีทั้งกลุ่มที่มาโดยการจัดตั้ง(จ้าง) และกลุ่มที่มาเพราะความไม่เข้าใจดีพอ  แต่ก็เข้าใจในระดับหนึ่งตามวุฒิภาวะแห่งตนที่จะทำความเข้าใจได้  กลุ่มนี้แหละครับที่เสมือนเทียนไข  คือ มีแสงสว่างครับ  แต่ก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาความสว่าง ดังนั้น เมื่อเป็นแบบนั้น ก็จะสว่างไปพร้อมๆกับมอดไหม้ตนเองไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ไม่คิดพัฒนานำแสงสว่างมาจากแหล่งอื่นนอกจากการเผาตนเอง

กลุ่มชนกลุ่มนี้จะมีความเข้าใจการเมืองและประชาธิปไตยในระดับฐานๆที่ยังไม่แน่น พอมองออกว่า อำนาจและพลังที่มาจากประชาชนนั้นมันเสมือนคลื่นที่หากรวมกันมากๆ ก็อันตรายและมีผลต่อทุกสรรพสิ่งที่มาขวาง  มองออกว่า ต้องใช้เสียงของแต่ละคน แบบวันแมนวันโหวตในการหาข้อสรุปใดๆ........แต่ยังไม่พัฒนาก้าวไกลไปถึง การเรียนรู้ที่จะยอมรับและทำความเข้าใจเสียงส่วนน้อย  การเรียนรู้ที่จะเข้าใจในกลไกเศรษฐกิจแลการถ่วงดุลย?อำนาจทางด้านการเมือง  ยังไม่เข้าใจว่า รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์มันไม่ใช่จะมาใช้แยกกัน แต่มันอยู่ด้วยกันจนแยกกันไม่ออก ขึ้นอยู่กับยสถานการณ์ว่าจะนำมาใช้ส่วนไหนให้มากน้อยกว่ากัน..........และยังไม่เข้าใจกลโกง เล่ห์เหลี่ยมกลศึกของนักการเมืองอีกมากมาย......คนพวกนี้จึงง่ายต่อการที่จะถูกโน้มน้าวและชักจูงจากนักการเมืองที่มีจิตสำนึกเลวๆ หลอกใช้เป็นพลังขับเคลื่อนต่างๆทางการเมืองโดยไม่รู้ตัวและสำคัญไปอีกว่าถูกต้องแล้ว.............

การศึกษาในระบบตรงๆอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับชนกลุ่มนี้  แต่ปรัชญาต่างๆ ต่างหากที่มีส่วนช่วยให้พวกเขาทำความเข้าใจได้มากขึ้น   หากสังเกตุให้ดี มีผู้จบการศึกษาสูงๆหลายคนก็ยังทำตนเป็นเทียนไขอยู่  ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะคนเหล่านี้ ใช้ความคิดของตนวนเวียนอยู่และติดอยู่กับความเข้าใจเดิมๆ โดยไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาคิด   เขาขาดปรัชญาต่างๆที่เสมือนวิตามินมาเสริมให้ความคิดของเขากว้างออกนั่นเอง

ความน่ากลัวของประชานิยม เทียวอะรี่  ก็คือ การป้อนสิ่งผิดๆเข้าไปในสิ่งที่เป็นการบริโภคของเขานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น ดีมานด์หลอกเชิงธุรกิจ  ปัจจัยการดำเนินชีวิตที่เกินสถานภาพที่ควรจะเป็น  สิ่งเหล่านี้จะซึมไปในกลุ่มชนพวกนี้จนเขาแยกไม่ออก เลิกไม่ได้

............เกษตรกร ใช้มือถือเพื่อติดต่อธุรกิจหลักของตนเอง หรือ มีไว้เพราะมันเป็นกระแส เป็นความต้องการปลอมๆที่สร้างขึ้นจากนักธุรกิตสื่อสารกันแน่?????   คำตอบนี้ผู้ใช้ต่างๆคงเข้าใจดี

.........
.........
..................หมดยุคของการต่อสู้กับความยากลำบากอีกต่อไป เพราะสังคมเมืองเจริญจนทำให้คนชนบทเกิดความอิจฉาและมีความอยากจะเป็น อยากจะใช้ และอยากจะเหมือน!!!!!!!!! โดยไม่มองการสร้างพื้นฐานเพื่อก้าวและพัฒนาตนเองให้เท่าทัน(ด้วยการศึกษาและแสวงหาความรู้อย่างชาญฉลาดและไม่ปิดกั้น และยึดติด)  แต่ดันหันไปมองปัจจัยสำเร็จที่ก้าวกระโดดให้ก้าวทัน(ในความคิดของตนเอง) ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่ก้าวทัน แต่มันกลายเป็นก้าวถอยหลังด้วยซ้ำไป


********************
ในภวังค์ของความคิดที่สั่งสมมาค่อนชีวิต   ผมมานั่งตรองๆดูแล้ว  การเมือง การปกครองของไทย ยังอีกนานทีเดียว สำหรับการสร้างให้ประชาชนโดยรวมของประเทศเป็นหลอดไฟ แทนการเป็นเทียนไขเช่นปัจจุบัน เนื่องเพราะ ไม่ใช่จากระบบการศึกษาและแบบเรียนอย่างเดียว  แต่เป็นระบบโดยรวมในการเอื้อให้ประชาชนสามารถหาความรู้และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ในคำว่าประชาธิปไตยและการเมือง

...และในระหว่างการรอคอยนี้เอง ท้ายสุด เหล่าเทียนไข ก็จะเลือกเอานักการเมืองสกปรกเข้ามาบริหารประเทศวันแล้ววันเล่า  ตักตวงไปคนแล้วคนเล่า โดยไม่มีนิยามคำว่า "เข็ด" อยู่ในสาแหรกของความคิดของเขาเหล่านั้น  

การปฏิรูปการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนในองค์รวมในประชาธิปไตยและศาสตร์ต่างๆ  จึงเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องบรรจุและเขียนไว้เป็นแผนหลักแห่งการพัฒนาแบบยั่งยืนในรัฐธรรมนูญ และในทุกบริบทของแผนทุกแผนของชาติจนกว่าจะมีการพัฒนาจากเทียนไข สู่หลอดไฟ โดยองค์รวมสำเร็จ ......เมื่อนั้น  ประเทศไทยจะมีแสงสว่างที่แท้จริงของคำว่า "ประชาธิปไตย"
บันทึกการเข้า
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 09-04-2006, 12:49 »

ทำให้คิดถึงภาพคาราวานคนจน ไปโกนหัวประท้วงทั้งใน มธ กับ จุฬา
ค่อนข้างชัด บ่งชี้ให้เห็นสภาวะหลายประการ

...การศึกษา ความเข้าใจเรียนรู้ทางการเมือง
...ฐานะทางเศรษฐกิจ การรับรู้การเข้าถึงข่าวสารข้อมูล การขยายอิทธิพลแนวคิดค่านิยมด้วยระบบการตลาด
...การเมือง การใช้คนด้อยโอกาสเหล่านั้นเป็นเครื่องมือทางการเมือง

การให้การศึกษาการเรียนรู้ทางการเมือง สู่ประชาชนในวงกว้าง
ยังอีกไกล มีอีกหลาย ทฤษฏี หลายแนวคิด ที่จะนำมาประยุกต์ใช้
เศรษฐกิจนำ การศึกษานำ พัฒนาการทางการเมืองนำ หรือทำคู่กันไป ในหลายแนวทาง ...

พัฒนาการทางการเมือง คงต้องช่วยกันดูช่วยกันท้วงติง
การเมืองภาคประชาชน จึงมีบทบาทสำคัญต่อสภาวการณ์เช่นนี้
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
สะพานหิน
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 170


« ตอบ #2 เมื่อ: 09-04-2006, 13:47 »

หวัดดีครับนายชด..

กลุ่มสมัชชาคนจนใช้เทียนไขนี่เองเลยมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของทักษิณ

ส่วนกลุ่มพันธมิตรใช้สปอร์ตไลท์ส่องเลยเห็นทุกรูขุมขนของทักษิณ

คนจนหลอกง่ายเพราะข่าวสารมันมืดมัวใช้แค่เทียนไขส่องหายังไงก็ไม่เห็นเท่าหลอดไฟ...จริงแฮะนายชด
บันทึกการเข้า
จูล่ง_j
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,901



« ตอบ #3 เมื่อ: 09-04-2006, 14:41 »

เห็นด้วยครับ โดยเฉพาะคำนี้
"คนพวกนี้จึงง่ายต่อการที่จะถูกโน้มน้าวและชักจูงจากนักการเมืองที่มีจิตสำนึกเลวๆ หลอกใช้เป็นพลังขับเคลื่อนต่างๆทางการเมืองโดยไม่รู้ตัวและสำคัญไปอีกว่าถูกต้องแล้ว"
ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ยังไม่มีความรู้พอ ที่จะรู้เท่าทันนักการเมือง
หากไม่ทำอะไร ประเทศก็จะถูกควบคุม โดยนักการเมืองที่มีจิตสำนึกเลวๆ ที่มีความเจ้าเล่ห์หลอกเอาเสียงคนจน เป็นฐานเสียง
ผมจึงเห็นด้วยกับ การเมืองภาคประชาชนของกลุ่มพันธมิตร
แต่ก็ต้องกำหนด กรอบดูแลกันเองให้ดี อย่าให้แกนผู้นำคนใด มีอำนาจมากเกินไป
จนละทิ้งอุดมการณ์เพื่อประเทศ แต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
บันทึกการเข้า

K I L L E R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 09-04-2006, 20:09 »

ก่อนจะไปเป็นแสงไฟนีออน หลอดผอม อะไรก็ช่างเถอะ
ว่าแต่จะไปอธิบาย ไพร่รากหญ้า ตาสียายสา เค้าได้ยังไง
ที่หลอกให้พวกเค้ามาเลือกตั้ง ช่วยอธิบายให้เค้าฟังด้วยว่า
ไอ้เปรตทีี่มันฉีกบัตรเลือกตั้ง มันมีนัยยะระดับอภิปรัชญาด้านรัฐศาสตร์ว่าอย่างไร
บันทึกการเข้า
ลูกไทย หลานไทย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,196


วันนี้วันดี วันที่เป็นไท


« ตอบ #5 เมื่อ: 10-04-2006, 10:01 »

อาจต้องพัฒนาให้เขาได้รับความต้องการพื้นฐานให้เพียงพอหรือเปล่าครับ  ผมมองว่าเขายอมเป็นเทียนไขเพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่น ขณะที่เราสามารถเล่นบทหลอดไฟเพราะเราเลือกได้ว่าจะเล่นเป็นเทียนไข หรือจะเล่นเป็นหลอดไฟ
บันทึกการเข้า

Ŋēmŏ mē ĩmρưŋē ĺдċęşšįҐ
ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 592


เตือนให้นึกถึง Icarus ผู้ไม่ประมาณตน


« ตอบ #6 เมื่อ: 13-04-2006, 12:17 »

พี่ชด สวัสดีครับ  ดีใจที่เห็นทั่นพี่มาเปิดเวทีในเว็บนี้ครับ เพราะผมจะประเทืองมากขึ้น (ปัญญาน่ะ)

--- ความน่ากลัวของประชานิยม เทียวอะรี่ ก็คือ การป้อนสิ่งผิดๆเข้าไปในสิ่งที่เป็นการบริโภคของเขานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น ดีมานด์หลอกเชิงธุรกิจ ปัจจัยการดำเนินชีวิตที่เกินสถานภาพที่ควรจะเป็น สิ่งเหล่านี้จะซึมไปในกลุ่มชนพวกนี้จนเขาแยกไม่ออก เลิกไม่ได้ ---

ไม่ใช่แค่เมืองไทยนะครับ ขณะนี้ "โลก" ของเรากำลังเป็นแบบนี้อยู่

ใครล่ะครับ ที่จะค้าขาย โดยวิ่งตาม demand ของคน  เค้าต้องสร้าง demand ในใจคนขึ้นมาให้ได้ครับ สร้างการดำเนินชีวิตใหม่ๆให้มนุษย์ไปเรื่อยๆ

ในอดีต ผมเชื่อว่าเทคโนโลยี เกิดขึ้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจริงๆ
แต่ปัจจุบันนี้ ผมว่าเทคโนโลยี มีไว้สนอง โลภะกิเลส มากกว่า

----หมดยุคของการต่อสู้กับความยากลำบากอีกต่อไป เพราะสังคมเมืองเจริญจนทำให้คนชนบทเกิดความอิจฉาและมีความอยากจะเป็น อยากจะใช้ และอยากจะเหมือน!!!!!!!!! โดยไม่มองการสร้างพื้นฐานเพื่อก้าวและพัฒนาตนเองให้เท่าทัน(ด้วยการศึกษาและแสวงหาความรู้อย่างชาญฉลาดและไม่ปิดกั้น และยึดติด) แต่ดันหันไปมองปัจจัยสำเร็จที่ก้าวกระโดดให้ก้าวทัน(ในความคิดของตนเอง) ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่ก้าวทัน แต่มันกลายเป็นก้าวถอยหลังด้วยซ้ำไป----

อ้าว พี่ชดครับ  ถ้าไม่ทำให้ชาวชนบทรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง แล้วจะเอาอะไรไปหาเสียงล่ะพี่

จริงอยู่ ชาวชนบทมีความขัดสนระดับหนึ่งในการดำรงชีพพื้นฐาน
เรื่องลวงโลกคือ  คำว่า จน ไม่ใช่แค่ขัดสนพื้นฐานการดำรงชีวิต แต่ จน เพราะว่า ไม่มีอะไรๆเหมือนคนเมือง

อย่างนี้  มันจนทรัพย์ หรือ จนใจ หรือ จนปัญญา กันแน่ฟะ

ไอ้รัฐบาลหน้าเหลี่ยม ผมไม่เคยเห็นมันแก้ปัญหา จนใจ จนปัญญา ซักนิด  มันเน้นๆๆเรื่อง จนทรัพย์ อย่างเดียว
หนำซ้ำ  มันยังเพิ่มความ จนใจ ให้ชาวชนบทอีก  ด้วยการตอกย้ำ "เราจะแก้ปัญหาความยากจนๆๆๆ มรึงมันจนๆๆ กรูนี่แหละ เทวดามาโปรดมรึง" แผ่นเสียงตกร่อง


ไม่ต่างอะไรเลย กับการที่ประเทศไฮเทคกำลังทำกับพวกล้าหลังอย่างเรา  พวกไฮเทคมันสร้างรูปแบบการดำเนินชีวิต demand ใหม่ๆมา เพราะอยากจะขายของ
พอเราไม่มีเหมือนมัน  เราก็คิดว่าเรา จนๆๆๆ โง่ๆๆๆ ต้องทำตัวทัดเทียมมันให้ได้

แล้วเราก็ทุ่มเทกำลังสมอง ทรัพยากร เพื่อเดินไปหาจุดหมายที่ว่า ให้ทัดเทียมอารยะประเทศ

ตุ๋ยยยยส์  จิตใจคนไทย ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐเท่าไหร่เล้ยยย  
ทุกวันนี้ของคนไทย  การต่อคิวยังเป็นเรื่องน่าปวดหัว ต้องให้บอกให้ว่าตลอดเวลา
ทุกวันนี้ของคนไทย  การทิ้งของเสียตามท้องถนน ยังเป็นเรื่องปรกติ
ทุกวันนี้ของคนไทย  คนไทยยังชื่นชมคนรวย คนใหญ่คนโต มากกว่า คนดี แต่จน

ถ้าขืนภาครัฐ ยังคงเน้นเฉพาะ จนทรัพย์ แต่ละเลย จนใจ จนปัญญา แบบนี้  อย่าว่าแต่นานเลยครับพี่ชด ผมว่าโลกแตกไปแล้ว เมืองไทยจะพัฒนาหรือยังก็ไม่รู้  แล้วมันจะเอาอะไรไปทัดเทียมกะเค้าด๊ายย!

เช่นนั้นแล
บันทึกการเข้า
Think Earth
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 196


« ตอบ #7 เมื่อ: 19-04-2006, 08:08 »

It is easy for bad politicians. is not it?
บันทึกการเข้า
kanata_nutzu
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 37


« ตอบ #8 เมื่อ: 19-04-2006, 11:26 »

เบื่อพวกชอบเบี่ยงประเด็น บาง คห.

ตั้งคำถามมาอยู่เรื่อย ไม่รู้จักค้นหาเอง
บันทึกการเข้า

หนึ่งในสมาชิก..
S C C
เสลา
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 514



« ตอบ #9 เมื่อ: 19-04-2006, 11:41 »

การจะต่อยอด ทาบกิ่ง ของต้นไม้ให้งอกงาม
ก็ต้องทำนุบำรุงฐานรากของต้น ให้แข็งแรงดีไปด้วย

ฐานรากของต้น ได้แก่ ประชาชน ซึ่งต้องบำรุงด้วยการศึกษา
มี ขนบธรรมเนียม ประเพณียึดเหนี่ยว ที่จะทำให้ต้นไม้แข็งแรง
พร้อมที่จะต่อกิ่งยอดให้เจริญออกไป
ไม่เช่นนั้นต้นไม้ก็จะแคระแกร็น

ในยุคนี้ประเทศเราเหมือนต้นไม้ที่มีการเร่งรีบต่อยอด ทาบกิ่ง
แต่เป็นการกระทำ แบบฉาบฉวย
ไม่ได้ทำนุบำรุง ฐานรากให้มั่นคง
บางกิ่งต่อได้ไม่นานก็แห้งเฉาไป
ประเทศเราจึงเหมือนต้นไม้ที่ลักษณะแปลกๆจะว่าใหญ่ โต ก็ไม่ใช่
เพราะมันดูแกร็นๆมากกว่า

คงเป็นเพราะมีเทียนไขมากเกินไปอย่างที่คุณชดว่า
รัฐบาลท่านใจร้อน จุดเทียนไขแยะๆก็สว่างทันใจ
อย่างนั้นกระมัง....
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: