VOLVO ไหนไม่รู้...
ทักษิณได้หน้าที่สุดจากพระราชพิธี หากทำออกมาแล้วประสบความสำเร็จเรียบร้อย
ได้รับคำชมเชยจากทุกฝ่าย จะกล้าวางระเบิดเพื่อป่วนพระราชพิธีทำไมหรือ ?
แค่นี้ ตรรกะ มันก็ไม่ได้แล้ว...ยังมีหน้าดันทุรัง แถกเหงือกกันอยู่อีก...ขำจริง
ฮิ ฮิ ได้หน้าม๊กมาก ทั่งๆที่ถูกลดชั้นไม่ได้เป็นประธานพิธีจัดงาน( กรณีนี้ฟ้อง นสพกรุงเทพธุระกิจอยู่ จะชนะไหมนี้) ถูกฉุดให้ออกขวางทางเดิน ทั้งสะกิด ทั้งลากยังขอเอาหน้าไว้ก่อน ยืนตัวเกร็งพูดติดๆขัดๆ สรุปหน้าบานป็นโตะสนุกเลย นี้เอามาให้อ่านเล่นๆ ลดราคาหน้าที่ได้หน่อย
จาก ไทยโพสต์ โดย เปลว สีเงิน 16/6/49 เมื่อวาน "ท่านผู้อ่าน" แหวใส่ผมทางโทรศัพท์ จะแก้ตัวอย่างไรท่านก็ไม่ยอม ผมก็เลยต้องยอม เพราะท่าน "อยู่ในที่เกิดเหตุ" ส่วนผมนั่งเฝ้าอยู่ทางหน้าจอโทรทัศน์
คือเมื่อวานผมเขียนแทนคุยไปว่า ท่านนายกฯ ทักษิณของผมเป็น "ต้นเสียง" เปล่งคำถวายพระพร ทรงพระเจริญ...ทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ..เฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะเสด็จฯ ออกสีหบัญชร เมื่อวันประวัติศาสตร์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙
ท่านต่อว่า "เขียนไปได้อย่างไร ใช่ทักษิณซะที่ไหนล่ะ"
ผมก็บอกว่า อ้าว..ผมดูทางจอโทรทัศน์ ไม่เห็นตอนตะโกนคำว่า ทรงพระเจริญ..หรอก เพราะเขาไม่ได้ถ่ายให้เห็นตรงนี้ แต่จำได้ว่าเสียงนั้นน่าจะใช่เสียงท่านนายกฯ ทักษิณ
เมื่อผมใช้ความ "แม่นหู" เป็นหลักฐานอ้างอิง สุภาพสตรีท่านนั้นก็ดุผมว่า "คุณเปลวดูทางทีวี แล้วจะมาเถียงดิชั้นที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นและยังได้ร่วมเปล่งเสียง..ทรงพระเจริญ..ด้วยได้อย่างไร?"
ผมก็จนแต้ม หน้าแหงไปน่ะซีครับ พูดอะไรอู้อี้แก้ตัวก็จำไม่ได้แล้ว จนสุภาพสตรีท่านนั้นขยายความว่า
"ต้นเสียง" คือผู้ที่เปล่งคำถวายพระพรว่า..ทรงพระเจริญ...ครั้งแรกใน "มหาประชาสมาคม" หน้าลานพระที่นั่งอนันตสมาคมแออัดยัดเยียดไปจนเต็มลานพระบรมรูปทรงม้า และยาวยืดทะลุไปออกถนนราชดำเนินแลสุดลูกหู-ลูกตา นั้น
ท่านบอก เป็นผู้ชายท่านหนึ่งในหมู่มหาประชาสมาคมนั้น เป็นปฐมแห่งคำเปล่งถวายพระพรชัยว่า..ทรงพระจริญ..
และตรงนั้น เสียงประสาน..ทรงพระเจริญ..ทรงพระเจริญ..ก็กระหึ่มรับกึกก้องกังวาน ๓ ครา นับเป็นคลื่นเสียงที่สามารถเห็นการเดินทางได้ด้วยตาเป็นครั้งแรก
กว่าเสียง "ทรงพระเจริญ" จากต้นทางคือที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม จะเดินไป "ครบปาก-ครบใจ" มหาประชาชน ณ สุดปลายทางขอบเขตขัณฑสีมาแห่งสยาม
กระทั่งเสียงผ่านหู ถ่ายทอดเป็นภาพทางจอใจ เห็นได้จะจะกระจ่าง ทั้งที่ม่านตาข้าในพระองค์ล้วนเปียกชื้นปนสะอื้นด้วยปีติสุข นั้น
แต่ก็ไม่สามารถนับได้ว่าใช้เวลาเป็นกี่นาที กี่ชั่วโมง เพราะจากวันนั้น กระทั่งวินาทีของวันนี้ สุภาพสตรีท่านนั้นยืนยันว่า
เสียงและภาพ ยังคงติดตา-ตรึงใจ และก้องอยู่ในหัวใจ และจะก้องอยู่อย่างนั้นไปจนวันตายมาพราก!
ผมถือหูโทรศัทพ์ทำนิ่งเงียบ "การนิ่ง" นี่..เชื่อผมเถอะ ช่วยอะไรๆ ได้มากทีเดียว ในเมื่อรู้ว่าตัวเอง..พลาด
ท่านก็บอกต่อว่า ชายที่เป็นต้นเสียงนั้น เขาเตรียมเครื่องขยายเสียงมาจากบ้านเลยทีเดียว และท่านก็บังเอิญอยู่ใกล้ๆ ได้เห็น ได้ร่วมเปล่งคำถวายพระพรนั้น
"ถ้าทักษิณเป็นต้นเสียง ชั้นไม่ร่วมด้วยหรอก"
อืมมมม...ผมว่า ความรัก ความเทิดทูน ความจงรักภักดี "อย่าผูกขาด" กันเลยครับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในอีกมิติหนึ่งพระองค์ท่านคือ "สมบัติล้ำค่า" ทางจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
คนไทยทุกคนประดุจ "บุตรในอุทร" ของพระองค์ ชั่ว-ดี-ถี่-ห่าง อย่างไร พระองค์ก็ทรงมี เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา ให้กับลูกทุกคนเสมอเหมือนกัน
โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
รักแล้วต้องเปิดใจกว้าง ฉะนั้น จะไปตั้งแง่รังเกียจ-รังงอนว่าท่านนายกฯ จะเป็นต้นเสียง-ปลายเสียงไปไย ใครก็ได้ ขอเพียงมีความรัก ความภักดีต่อ "พ่อของเรา"
เขาคนนั้น เราก็ควรรัก-นับถือเขาในฐานะ ใจเขา-ใจเรา..ใจเฝ้าภักดีด้วยกัน
และโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ มิใช่แค่ท่านเป็นนายกฯ รักษาการอยู่เท่านั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ท่านกับเราล้วนเป็นคนไทย มีพ่อเป็นที่กราบไหว้ "องค์เดียวกัน"
ฉะนั้น ประเด็น "ด้วยใจภักดิ์ที่มอบถวายอยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาท" นั้น หาควรนำมาใช้เป็นเครื่องยกใคร "ให้สูง" กว่าใคร และเหยียบย่ำใคร "ให้ต่ำ" ลงไปกว่าใคร
เพราะถ้าทำเช่นนั้น "พระองค์ท่าน" ไม่ทรงปลื้มแน่นอน!
ถึงขณะนี้ ใครจะเปล่งวาจาก่อน-หลังก็ช่างเถอะ ณ วินาทีนั้น ผมก็ยังเชื่อ ๑,๐๐๐,๐๐๐% ว่า หัวใจนายกฯ ทักษิณย่อมบานประหนึ่ง "บัวเบิกอรุณ" เหมือนกับบัวทุกดอกที่บานกระฉอกออกจากอกพสกนิกรชนซึ่งล้นชนขอบประเทศอยู่ ณ วันนั้น
ขอกัน..แบ่งกันและกัน "ด้วยรัก" ในเรื่องนี้ไว้สักเรื่อง โปรดอย่านำมาถกเถียงให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจซึ่งกันและกันเลย