พันธมิตรฯ ย้ายเวทีชุมนุมวันที่ 7 เม.ย. มาที่สนามหลวง

พันธมิตรฯ เดินหน้าถอดรื้อ "ระบอบทักษิณ"
วันที่ 05 เม.ย 2549

พันธมิตรฯ ย้ายเวทีชุมนุมวันที่ 7 เม.ย. มาที่สนามหลวง ตั้งแต่เช้าถึงตีสอง ประกาศยืนหยัดเดินหน้าถอดรื้อ "ระบอบทักษิณ" ชี้ "แม้ว" ยังมีอำนาจกำหนดนโยบายสาธารณะแต่เพียงผู้เดียวอยู่ ประกาศขอสงวนสิทธิจัดชุมนุมอีก หากพบกำลังแทรกแซง "นายกนอมินี" หรือจะหวนคืนตำแหน่งนายกฯ อีก หวั่นมีรายการเช็คบิลแกนนำ

ช่วงเย็นวันนี้ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดแถลงถึงผลการประชุมของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า แกนนำพันธมิตรฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ย้ายสถานที่จัดการชุนนุมใหญ่ ในวันที่ 7 เมษายน จากเดิมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เป็นที่ท้องสนามหลวง เพื่อไม่ให้สังคมเข้าใจผิดว่า พันธมิตรฯ ขาดเหตุผลดื้อรั้น หลังการประกาศไม่รับตำแหน่งนายกฯของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา รวมถึงเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนที่มาร่วมชุมนุม ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการชุมนุม ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดระเบียบสถานที่บริเวณถนนราชดำเนินนอกหลังการจัดงานกาชาด

นายสุริยะใส กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ การชุมนุมใหญ่ในวันที่ 7 เมษายน นี้ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00 – 02.00 น. โดยในช่วงเช้าและกลางวัน จะเป็นการจัดมหกรรมดนตรีกู้ชาติ ส่วนในช่วงเย็นถึงกลางคืน จะเป็นการเปิดเวทีให้แกนนำอธิบายและชี้แจงกับผู้ชุมนุมและองค์กรแนวร่วมพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ รับทราบว่า ยังมีพันธกิจประชาธิปไตยอะไรบ้างที่จะต้องผลักดันกันต่อไป โดยเฉพาะการปฎิรูปการเมืองครั้งที่ 2 และภารกิจกู้ชาติ การทวงคืนทรัพยากรของแผ่นดินที่ยังค้างอยู่

"หลังจากการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 7 เมษายน ไปแล้ว พันธมิตรฯ จะมีการเปิดแถลงถึงจุดยืนของพันธมิตรที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฎิรูปการเมืองครั้งใหม่ ว่าควรจะมีแนวทางเป็นอย่างไรบ้าง และประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้อย่างไร แต่สิ่งสำคัญที่พันธมิตรฯ จะสานต่อไปคือ การล้มล้างระบบทักษิณ ที่เกาะกินประเทศให้หมดไป เพราะภารกิจการถอดรื้อระบอบทักษิณ ถือเป็นภารกิจขั้นที่ 2 ของพันธมิตรฯ"

นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงข้อสังเกตต่อการประกาศเว้นวรรคตำแหน่งนายกฯ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า พันธมิตรฯ มองว่าการประกาศเว้นวรรคครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่การเว้นวรรคทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นผู้มีอำนาจในการคิด ผลิตนโยบายและกำหนดนโยบายสาธารณะแต่เพียงผู้เดียวอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยังเป็นผู้มีอิทธิพลหมายเลขหนึ่งทางการเมืองต่อไป

นายสุริยะใส กล่าวว่า แม้พ.ต.ท.ทักษิณ จะประกาศไม่รับตำแหน่ง แต่ยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทยต่อไป และยังประกาศจะผลักดันนโยบายที่สร้างปัญหาของพรรคไทยรักไทยต่อไปอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นประชานิยม โครงการเมกะโปรเจ็คต์ การเดินหน้าเศรษฐกิจในแนวทุนนิยมเสรีสุดขั้วต่อไป ดังนั้น หมายความว่านโยบายของรัฐบาลใหม่ภายใต้การกุมบังเหียนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังจะต้องเดินหน้าขายรัฐวิสาหกิจเปิดเสรีทางการค้าและลงนามเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) บริหารประเทศตามกรอบซีอีโอผูกขาดการตัดสินใจและปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือการทำลายกลไกการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญและแทรกแซงครอบงำสื่อสารมวลชนปรากฏการณ์เหล่านี้จะยังดำรงอยู่ และครอบงำระบบประชาธิปไตยต่อไป

"ภารกิจพันธมิตรฯ จึงยังไม่อาจยุติหรือสิ้นสุดลงได้ และจำเป็นต้องเดินหน้าต่อต้านและหยุดระบบทักษิณ จึงอยากฝากไปถึงพี่น้องประชาชนและองค์กรแนวร่วมพันธมิตรฯ ช่วยกันอธิบายและชี้แจงให้ประชาชนในวงกว้างได้เข้าใจอันตรายของระบบการเมืองไทยที่ยังดำรงอยู่ ดังนั้น การเว้นวรรคที่เกิดขึ้น เป็นเพียงระเบิดเวลาที่ไขลานขยายเวลาระเบิดออกไปเท่านั้น ยังไม่ใช่การปลดชนวนระเบิดเวลาออกแต่อย่างใด ฉะนั้นวิกฤติการณ์ที่คลี่คลายลงบ้างในขณะนี้จะยังไม่เพียงพอที่จะเปิดพื้นที่ให้กับปรองดองและความสนามฉันท์ของคนในสังคมอย่างแท้จริง ความหวาดระแวงหรือบรรยากาศของการเผชิญหน้ายังซ่อนลูกอยู่ต่อไป และพร้อมปรากฏตัวตลอดเวลา หาก พ.ต.ท.ทักษิณ แทรกแซงครอบงำนายกนอมินีหรือกลับมาเป็นนายกอีกครั้ง" นายสุริยะใสกล่าวและ พันธมิตรฯ จึงขอที่จะสงวนสิทธิการชุมนุมเอาไว้ ซึ่งหากวันใด ที่เริ่มมีการจับสัญญาณได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังแทรกแซงนายกนอมินี หรือ จะกลับคืนตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พร้อมที่จะกลับมาร่วมตัวชุมนุมกันต่อต้านอีกครั้ง ส่วนการปฎิรูปการเมืองก็อยากให้ช่วยกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจนด้วยว่าเมื่อไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวดังกล่าว นายสุริยะใส ได้นำนายกมลรัตน์ พลัดทองศรี ตัวแทนกลุ่มพันธมิตรฯ ที่อ.หลังสวน จ.ชุมพร และนายสัญญา ฉิ่มมณี อายุ 32 ปี ซึ่งสภาพร่างกายมีความบอบช้ำ คล้ายคนที่ถูกทำร้าย มาเปิดแถลงข่าวขอเรียกร้องความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน โดยนายกมลรัตน์ กล่าวอ้างว่า นายสัญญา หรือหลานชายของตนเอง ได้ ถูกทีมงานจัดเวทีการแสดงดนตรีของนายเอกชัย ศรีวิชัย นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ทำร้ายร่างกาย จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หลังจากที่โพกผ้าสีเหลือง เขียนตัวอักษรแดงว่า กู้ชาติ ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ไปถามเหตุผลที่นายเอกชัย ไปขึ้นร้องเพลงให้กับกลุ่มคาราวานคนจน ในระหว่างที่นายเอกชัย มีแสดงจัดแสดงดนตรีที่ อ.หลังสวน เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งเบื้องต้นตนได้นำหลานชายของตนเองไปแจ้งความไว้ที่สถานที่ตำรวจ สภอ.หลังสวน เอาผิดแก่นายเอกชัย และพรรคพวกในข้อหาทำร้ายร่างกาย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน เรียบร้อยแล้ว

นายสุริยะใส กล่าวเพิ่มเติม ว่า ปัจจุบันการข่มขู่คุกคามมี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ 1. การใช้อำนาจรัฐทางโดยตรง โดยการขู่ว่าจะออกหมายจับ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากแกนนำพันธมิตรฯ ว่าถูกข่มขู่ในรูปแบบนี้มากมาย 2.การข่มขู่โดยใช้อำนาจมืด ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะล่าสุดกับกรณีที่ผู้สื่อข่าวนสพ.มติชน ที่ถูกทำร้ายร่างกาย

"จะอยากฝากไปบอกพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า ถ้าต้องการที่จะให้เกิดการปรองดองในสังคมจริง ขอให้ใช้อำนาจของตนเองกำชับให้ผู้รับผิดชอบ ดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด อย่าให้ในช่วงที่สถานการณ์กำลังสงบเงียบเกิดกรณีเช็คบิลแกนนำ แก้แค้นแทนนาย จะอยากฝากให้สื่อมวลชนช่วยเป็นหูเป็นตาให้ด้วย" นายสุริยะใสกล่าว

มติชน