ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
27-11-2024, 19:34
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  สามพี่น้อง "วงศ์สวัสดิ์" เทคโอเวอร์ บ.ทุนระดับหมื่นล้าน ในราคาหุ้นละ "หนึ่งสลึง" 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
สามพี่น้อง "วงศ์สวัสดิ์" เทคโอเวอร์ บ.ทุนระดับหมื่นล้าน ในราคาหุ้นละ "หนึ่งสลึง"  (อ่าน 9720 ครั้ง)
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« เมื่อ: 20-09-2007, 22:37 »

บริษัทมีทุนจดทะเบียนหนึ่งหมื่นล้านบาทเศษ ราคาพาร์สิบบาท

ไม่แปลกที่จะถูกเทนเดอร์ออฟเฟอร์ด้วยราคาหุ้นละ ๒๖ สตางค์ เนื่องจากการขาดทุนสะสม

แต่มีเรื่องที่น่าติดตามชมยิ่งกว่าหนังเรื่อง The Sting .. ไม่รู้ว่า "คุณแถ" จะสนใจชมไหม



http://en.wikipedia.org/wiki/The_Sting




 



บันทึกการเข้า
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #1 เมื่อ: 20-09-2007, 22:43 »

เรื่องแปลกๆเหลือเชื่อมักจะเกิดขึ้นกับคนในตระกูลนี้ตลอด

คงไม่ใช่บริษัทฯนี้ที่เดียว ยังมีอีกหลายบริษัทฯค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
soco
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,842



« ตอบ #2 เมื่อ: 20-09-2007, 22:47 »

น่าติดตามครับ

น่าสนใจมิใช่น้อย

ชื่อเสียงเรียงนามขึ้นครบ

แต่น้องแถ มันคงไม่รู้อีกล่ะ

มันก็แอบ ๆ ซุ่ม ๆ ไปเรื่อยของมัน
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #3 เมื่อ: 20-09-2007, 22:56 »

"คุณแถ" อยู่ไหน .. ช่วยเข้ามาจับผิดหน่อยว่า "ตรงส่วนไหนที่ตัดต่อ"

(แล้วไม่ต้องไปแจ้ง กลต. ให้มาตามจับ จขกท. เพราะเป็นข้อมูลสาธารณะ)



...
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #4 เมื่อ: 20-09-2007, 23:16 »




(เป็นข้อมูลเมื่อปี ๒๕๔๗)

...
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #5 เมื่อ: 20-09-2007, 23:47 »









...
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #6 เมื่อ: 21-09-2007, 00:00 »

อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ .. ตอนหน้า ผู้ถือหุ้น และผู้บริหารกำลังจะโผล่มาอีกหลายคน



...
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #7 เมื่อ: 21-09-2007, 00:41 »

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกสองคน ถือรวมกันเกือบร้อยละยี่สิบ

ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งเป็นผู้บริหาร (ซึ่งจะกล่าวต่อไปภายหลัง)

ผู้ถือหุ้นอีกราย เป็นผู้ผลิตจักรยาน .. ซึ่งจะไปเกี่ยวกับ "จักรยานคนจน" จากเงิน
หวยบนดิน ด้วยหรือไม่ ต้องให้สายสืบไปตามตรวจสอบ






 

...


บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #8 เมื่อ: 21-09-2007, 01:14 »

ต่อมา ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น "วินโคสท์" ซึ่งจะเกี่ยวกับ "วินมาร์ค" หรือเปล่า

จขกท. ไม่กล้าที่จะเดา คงต้องปล่อยให้สายสืบติดตามต่อไป

แต่ที่น่าฉงน คือ บริษัทนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม แต่ทำอย่างไรจึงได้

รับสิทธิ์เป็นเขตปลอดอากร จากกรมศุลกากร   



...
บันทึกการเข้า
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #9 เมื่อ: 21-09-2007, 01:30 »

หุ้น CAPE ตัวย่อดั้งเดิมในตลาดหลักทรัพย์นักลงทุนทั่วไปเค้าเรียกว่า ขาเป๋

รู้กันไปทั่ว จนแปลงร่างกลายเป็น WIN ตัวย่ออีกนั่นแหละ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องยังนิ่งเฉยกับธุรกรรมแบบนี้

ใครเล่าจะเข้าไปแก้อะไรได้ ในเมื่อมีคนหลิ่วตาให้แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวในยุคนั้น

เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่ต้องแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ จะทำได้มากน้อยแค่ไหน

คงต้องตอบโจทย์ ตรงนี้ให้ได้
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #10 เมื่อ: 21-09-2007, 01:42 »

ย้อนกลับไปที่ผู้ถือหุ้นที่ชื่อ นายวิสาล นีรนาทโกมล

พบว่า มีหุ้ยใหญ่ในบริษัทที่เข้าประมูลงานกับ บริษัททีโอที

.............................................................................................................


โซเฟรคอมร้องประมูลบิลลิ่งไม่โปร่งใส ชงเรื่องส่งบ.แม่คุย “ทักษิณ” ที่ฝรั่งเศส

http://www.thaitelecom.com/pub2004/news.php?ID=00009912&Keyword=

“โซเฟรคอม” ส่งข้อมูลความไม่โปร่งใสการประมูลโครงการบิลลิ่งทศท.ให้ผู้บริหารระดับสูง ฟรานซ์เทเลคอม บริษัทแม่ เพื่อใช้หารือนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะเดินทางไปพบนักลงทุนฝรั่งเศส ย้ำบริษัทข้ามชาติพร้อมลงทุนในไทย ขอเพียงให้กระบวนการประมูลมีความโปร่งใส ชี้ปัญหาการคอรัปชันคือทำลายภาพพจน์และบรรยากาศการลงทุน

นายอแล็ง โรลัง ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โซเฟรคอม (ประเทศไทย) กล่าวถึงการประมูลโครงการบิลลิ่งของบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่นว่าโซเฟรคอมได้รายงานถึงความไม่โปร่งใสในการประมูลกรณีที่มี การถือหุ้นโยงใยกันระหว่างบริษัท U.C.E.C.ที่เป็นที่ปรึกษาทศท.ในการประมูลโครงการบิลลิ่งกับบริษัท เทเลเมติคส์ ที่ชนะการประมูล ให้กับบริษัท ฟรานซ์เทเลคอมที่เป็นบริษัทแม่โซเฟรคอมในประเทศฝรั่งเศส

เนื่องจากในช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 9-14 พฤษภาคม 2546 เพื่อพบกับนักธุรกิจ นักลงทุน ในการชักจูงให้มาลงทุนในประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูงของฟรานซ์เทเลคอมจะได้พูดคุยในประเด็นความไม่โปร่งในงาน ประมูลดังกล่าว เพราะฟรานซ์เทเลคอมและโซเฟรคอมเองมีความต้องการลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว

ทั้งนี้โซเฟรคอมเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประมูลโครงการบิลลิ่งและ คอลเซ็นเตอร์ของทศท.โดยร่วมกับบริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น ได้อันดับ 2 ในการประมูลบิลลิ่ง โดยได้คะแนนสูงสุดคือ 277.02 คะแนน สูงกว่าเทเลเมติคส์ที่ได้คะแนน 269.29 คะแนน แต่เทเลเมติคส์เสนอราคาต่ำสุดคือ 1,190 ล้านบาท ในขณะที่เอ็มลิ้งค์เสนอราคา 1,240 ล้านบาท เมื่อตัดสินด้วยวิธี Price/Performance แล้ว เทเลเมติคส์ต่ำสุด

นายโรลังกล่าวว่า โซเฟรคอมมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าสนใจและน่าลงทุน จึงตัดสินใจเข้าร่วมประมูลโครงการบิลลิ่งด้วย แต่เมื่อผลที่ออกมากลับเกิดความไม่โปร่งใสขึ้น มีการใช้ระบบพรรคพวก ทำให้ตอนนี้โซเฟรคอมเกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนในประเทศไทย เพราะเกรงว่าอาจเกิดการใช้ระบบพรรคพวกเช่นนี้อีก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายทั้งๆที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ แต่มักเกิดปัญหาในเรื่องของการคอรัปชัน จนบางครั้งเสียโอกาสที่ดีไป รวมทั้งยังเป็นการทำลายภาพพจน์และบรรยากาศการลงทุนด้วย

“อยากฝากไปถึงกระทรวงไอซีที ให้ช่วยดูแล ควบคุมและตรวจสอบถึงกระบวนการต่างๆให้มีความถูกต้องและยุติธรรมกับทุกฝ่าย มากที่สุด หากกรณีเช่นนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ในอนาคตก็คงจะยากที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทข้ามชาติ และคงไม่กล้าเข้ามาลงทุน ซึ่งคิดว่าบอร์ดทศท. โดยเฉพาะคุณหญิงประธานบอร์คงทำทุกอย่างให้เกิดความใสสะอาด”

นายโรลังกล่าวว่าในขั้นตอนการทดสอบระบบ ด้านเทคนิคต่างๆ โซเฟรคอมได้ระดมทีมงานทำงานอย่างเต็มที่ซึ่งพิสูจน์ได้ถึงคะแนนที่นำมาเป็น ที่ 1 แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียหาย เมื่อเกิดความไม่โปร่งใสในการประมูลจนทำให้โซเฟรคอมหมดโอกาส

“ถือว่าน่าผิดหวังเพราะโซเฟรคอมเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้ทศท.ถ้าเทเลเมติ คส์ได้โครงการบิลลิ่งไป ก็เป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่ดีกว่าด้านเทคนิค โซเฟรคอมคงต้องปรับกลยุทธ์การประมูลใหม่ ต้องดีทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคนิค ด้านการเงิน ด้านสายสัมพันธ์ต่างๆ”

เขาย้ำว่าโซเฟรคอมยังมองหาโอกาสในธุรกิจด้านต่างๆต่อไป ไม่ใช่เฉพาะโครงการบิลลิ่งอย่างเดียว ส่วนโลคัลพาร์ตเนอร์อย่างเอ็ม ลิ้งค์ ถือเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีมีความเข้มแข็ง

ที่ผ่านมาบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น เปิดโครงการบิลลิ่งและคอลเซ็นเตอร์มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท หลังเปิดซองราคาได้บริษัท เทเลเมติคส์ชนะโครงการบิลลิ่ง ด้วยราคา 1,190 ล้านบาท และบริษัท โลคัส ชนะในส่วนคอลเซ็นเตอร์ด้วยราคา 1,307 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของโลคัสได้มีการเจรจาต่อรองราคากับทศท.แล้วโดยยอมลดราคาลงไปอีก 34 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามได้เกิดความไม่โปร่งใสในการประมูลบิลลิ่ง สืบเนื่องจากกรณีที่มีการถือหุ้นโยงใยกันระหว่างบริษัท U.C.E.C.ที่เป็นที่ปรึกษาทศท.ในการประมูลโครงการบิลลิ่งกับบริษัท เทเลเมติคส์ ที่ชนะการประมูล โดยในยู.ซี.อี.ซี. มีนายไพศาล สินธนา ถือหุ้น 48,995 หุ้น นายองค์การ อินทรัมพรรย์ถือหุ้น 10,000 หุ้น ในขณะที่เทเลเมติคส์ทีนายวิสาล นีรนาทโกมล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 1,089,950 หุ้น นางพัชรี นีรนาทโกมล ถือหุ้น 50,000 หุ้น

แต่สิ่งที่เชื่อมโยงเข้าหากันคือบริษัทซิสเต็ม แอ๊ดไวเซอร์ กรุ๊ปหรือ SAG ซึ่งมีนายองค์การ อินทรัมพรรย์ ถือหุ้น 50,000 หุ้น นายวิสาล นีรนาทโกมลถือ 5,070,000 หุ้นและนางพัชรี นีรนาทโกมล 4,829,970 หุ้น


ในเรื่องดังกล่าวคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในฐานะประธานบอร์ดทศท. ได้กล่าวว่า ทศท ได้รายงานว่ากำลังพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดของการประกวดราคาโครงการบิล ลิ่งอยู่ ในประเด็นดังกล่าว อย่างรอบคอบว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ และมีใครมีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่

“หากมีปัญหาในส่วนใดถึงขนาดต้องคัดเลือกใหม่ ก็คงต้องทำใจถึงความล่าช้าออกไปอีก เพราะทศท.ก็ยังมีระบบราชการอยู่”

โครงการบิลลิ่งและคอลเซ็นเตอร์ถือว่าล่าช้ามากกว่าที่ควรจะเป็นร่วม 2 ปีแล้ว ซึ่งหากดำเนินการอย่างเหมาะสมและทันเวลาระบบคอลเซ็นเตอร์สามารถรองรับงาน จากหน่วยราชการอื่นๆ ได้อีกมาก

ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีกล่าวในประเด็นเดียวกันว่า ยังไม่ได้ลงในรายละเอียดโครงการนี้ แต่มั่นใจว่าเมื่อเกิดกรณีข้อสงสัยในความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึ้น บอร์ดทศท ในยุคใหม่นี้จะไม่ยอมปล่อยผ่านไปหากไม่เคลียร์จนเกิดความชัดเจน ซึ่งทั้งโครงการบิลลิ่งและคอลเซ็นเตอร์ เป็นโครงการพื้นฐานที่สำคัญต่ออนาคตของทศท

Company Related Links :


Sofrecom

ทศท
คอร์ปอเรชั่น


กระทรวงไอซีที


9 พ.ค. 2546
วันที่ 9/05/2546 08.33 น.
ที่มา : ผู้จัดการ
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #11 เมื่อ: 21-09-2007, 01:52 »

ทีโอทีพบปกปิดบิลลิ่งฉาว 2ปีใช้ไม่ได้ต้องหาคนผิด

http://www.dol.go.th/lo/it_test/news1.htm

โดย ผู้จัดการออนไลน์   26 มีนาคม 2550 09:02 น.

       บอร์ดเล็ก ทีโอที เตรียมสาวปมสอบโครงการบิลลิ่ง มูลค่า 1.17 พันล้านบาท หลังเจอข้อร้องเรียนจากหลายฝ่าย แถมผู้บริหารเกี่ยวข้องหลบหลีกรายงานข้อมูลเชิงกั๊ก เห็นงานไม่คืบ 2 ปี ระบบยังใช้งานไม่ได้ตามที่คาดหวัง ล่าสุดเทเลเมติกส์ เล่นหัวหมอ เอา เอสเอจี บริษัทหุ้นไขว้ ส่งหมายศาลขอยึดทรัพย์ ตั้งธงสอบสวนคนผิด รื้อระบบใหม่ ยกเหตุองค์กรจะสั่นคลอนได้ ถ้าระบบจัดเก็บเงินยังมีปัญหา ส่งผลยังลูกค้าขาดความน่าเชื่อถือ
       
       นายชิต เหล่าวัฒนา คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้ กำลังเร่งตรวจสอบ 2 โครงการ คือ โครงการขยายเลขหมายโทรศัพท์ 5.6 แสนเลขหมาย มูลค่า 5.79 พันล้านบาท และโครงการระบบบริหารและจัดเก็บเงิน (บิลลิ่ง) 1.17 พันล้านบาท หลังจากพบว่า ทั้งสองโครงการทำให้ ทีโอที ต้องสูญเสียเงินเพิ่มอีกปีละหลายร้อยล้านบาท และเป็นโครงการหลักสำคัญในการสร้างรายได้ และ การเงิน ให้กับองค์กร โดยเฉพาะเรื่องบิลลิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร
       ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่ฝ่ายบริหารไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไข รวมถึงความจงรักภักดีต่อองค์กรและประเทศชาติ
       
       สำหรับโครงการ 5.6 แสนเลขหมาย ปัญหาที่พบ คือ การวางโครงข่ายสายไม่เป็นไปตามระยะทางที่กำหนดตามระยะทางจะต้องวางสาย เช่น ระยะทาง 11 กม. แต่มีการวางสายเกิดขึ้นเพียง 6 กม. เท่านั้น ส่งผลให้ ทีโอที ต้องเสียเงินเข้าขยายส่วนต่อไปถึงปลายทาง หรือผู้รับ ซึ่งจำนวนเงินที่เสียเพิ่มไม่ได้รวมอยู่ในมูลค่าที่ต้องจ่ายให้กับผู้ชนะจากการประมูลอี-ออกชัน และยังแสดงให้เห็นว่า กระบวนการอี-ออกชัน ไม่ได้ ของราคาถูก จริงตามที่เข้าใจ จากการที่ ทีโอที ได้ต่ำกว่าราคากลาง 699 ล้านบาท โดย เฉพาะกิจการร่วมค้าอีริคสันที่ร่วมมือกับบริษัท หัวเหว่ย เทคโนโลยี ผู้รับผิดชอบพื้นที่ส่วนใหญ่รวมมูลค่า 3.6 พันล้านบาท ที่เสนอราคาถูก แต่ไม่ได้ ดำเนินการติดตั้งให้ถึงตัวผู้ใช้งานโดยตรง
       
       ส่วนโครงการระบบบิลลิง ซึ่งได้เริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนเมษายน 2548 แต่พบว่า จนถึงขณะนี้ระบบไม่สามารถเรียกเก็บเงิน จากลูกค้าได้ เนื่องมาจากการที่ระบบใบแจ้งหนี้ (ไอเอ็มเอส) และระบบ ซีอาร์เอ็ม ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วย กันได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะทางการเงินขององค์กร
       
       นายชิตกล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นจากผู้ที่เกี่ยวข้องและเอกสารบางส่วน สาเหตุที่ไม่สามารถหาที่อยู่เพื่อเรียกเก็บค่าโทรศัพท์ได้เกิดจาก เลขหมายนั้นไม่มีการลงทะเบียน แต่เมื่อมีส่วนงานทำการลงทะเบียนเรียบร้อยก็สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายย้อนหลังได้ ซึ่งเป็นปัญหาในด้านเทคนิค แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ผลดีกับองค์กร
       
       “บอร์ดกลั่นกรองจะนำเรื่องดังกล่าวจะมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน อีกหนึ่งโครงการเหมือน 5.6แสนเลขหมายเพราะระบบบิลลิ่ง คือ หัวใจสำคัญขององค์กร ในการจัดเก็บรายได้ หากระบบใช้งานไม่ได้ เหมือนกับ ทีโอที มีกระเป๋าเงินที่รั่ว ซึ่งในวันที่ 26 มีนาคมนี้ ผมจะให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้ามาชี้แจงนำเอกสารตั้งแต่เริ่มต้นมาถึงปัจจุบันมาให้ดู”
       
       สิ่งที่เกิดขึ้นได้ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการบริหารภายในของ ทีโอที ที่ทำงานอย่างขาดประสิทธิภาพ ซึ่ง ทาง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ด เป็นห่วงและจะเข้ามาจัดระบบให้เกิดความเข้มแข็ง อีกทั้งกระบวนการตรวจสอบภายใน ยังมีช่องโหว่ อย่างบิลลิ่ง ที่กระบวนการสอบสวนได้หยุดชะงักไป ซึ่งเรื่องนี้บอร์ดยังไม่ได้รับการรายงานทางเอกสาร โดยได้รับแต่ข้อมูลชี้แจงเบื้องต้นจากที่เกี่ยวข้อง
       
       แหล่งข่าวจากบริษัท ทีโอที กล่าวว่า ขณะนี้ระบบบิลลิ่งยังไม่สามารถใช้งานได้ทั้งที่มีการใช้งานมาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปีทีโอทีนำระบบบิลลิ่งใหม่มาใช้ตั้งแต่เดือนเม.ย.2548 แต่กลับไม่มีการแก้ไขหรือบอกเลิกสัญญา ซึ่งมีการจัดซื้อจัดจ้างจาก บริษัท เทเลมาติกส์ โดยทีโอทีทำสัญญา 5 ปีกับเทเลเมติกส์ มูลค่า 1,175 ล้านบาทหรือค่าเช่า 19 ล้านบาทต่อเดือน
       
       ปัญหาของระบบบิลลิ่งเกิดจากระบบไม่สามารถเรียกเก็บเงิน จากลูกค้าได้ เนื่องจากการที่ระบบใบแจ้งหนี้ (IMS : Invoice Management System) และระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM:Customer Relation Management ไม่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันได้ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสถานะทางการเงินขององค์กร เพราะขณะนี้มีเลขหมายที่ไม่สามารถระบุที่อยู่เพื่อเรียกเก็บเงินถึง 70,000 เลขหมาย ยังไม่สามารถแก้ไขหรือหาที่อยู่เพื่อเพียงเก็บเงินได้ ทั้งที่เลขหมายดังกล่าวมีการใช้งานทุกเดือน
       
       นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2550 บริษัท ซิสเต็ม แอ็ดไวเซอร์ กรุ๊ป (เอสเอจี) ได้มีหนังสือมายัง ทีโอที เพื่อขอเข้ายึดทรัพย์ในกรรมสิทธิ์ ระบบบิลลิ่ง ที่เทเลมาติกส์ ให้ทีโอทีเช่า ตามหมายบังคับคดีของศาลแพ่ง ที่ทำสัญญาให้ ทีโอที เช่าใช้ระบบใบแจ้งหนี้และอุปกรณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบ โดยอ้างถึงการเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท เทเลมาติกส์
       
       ทั้งนี้ ฝ่ายกฎหมาย ทีโอที ได้มีตรวจสอบและทำรายงายต่อนายสมควร บรูมินเหนทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที และผู้ที่เกี่ยวข้อง พบว่ากรรมการและผู้ถือหุ้นเอสเอจี ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เคยเป็นกรรมการชุดเดิม ของเทเลมาติคส์ มาก่อนและปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว มีเจตนาสร้างหนี้สินอันเป็นเท็จ เพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ เพื่อให้หลุดพ้นต่อหนี้สินและความรับผิดชอบตามสัญญา โดยฝ่ายกฎหมายได้เสนอให้คัดค้านกระบวนการยึดทรัพย์ในครั้งนี้
       
       แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า อยากรู้ว่าทาง พล.อ.สพรั่งและบอร์ด จะคิดเห็นอย่างไร กับความไม่ชอบมาพากลใน ทีโอที ที่ยืดเยื้อมา 2 ปี ระบบบิลลิ่งยังใช้งานไม่ได้ ถึงขนาดฝ่ายเทคนิค ทีโอที ต้องซ่อมแซมเองให้ใช้งานได้
       
       ขณะที่เทเลมาติคส์ ยังหัวหมอ บอกว่าระบบเสียเพราะทีโอที ไปดำเนินการซ่อมเองไม่พอให้บริษัทกลุ่มเดียวกัน ผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน มายึดทรัพย์ไป เพื่อเลี่ยงความเสียหาย
       
       “ถ้างานนี้บอร์ดไม่ทำอะไร ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่ทุกคนคาดหวังก็เป็นเพียงแค่ความฝันไม่ต่างอะไรกับบอร์ดที่ผ่านมา เพราะผู้ที่ทำเรื่องเอาไว้กลับเดินไปเดินมาหน้าตาเฉย และคนที่เข้ามาดูแลระบบใหม่ ก็ไม่รู้เรื่องจริง”
       
       เปิดดูสัดส่วนหุ้นไขว้เทเลเมติคส์-เอสเอจี
       
       จากข้อมูลตรวจสอบประวัติทางข้อมูลเรื่องการเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทและการถือหุ้นนั้น พบว่า บริษัท ยู.ซี.อี.ซี. ในทะเบียนผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 27 เม.ย.45 มีนายไพศาล สินธนา ถือหุ้น 48,995 หุ้น นายองค์การ อินทรัมพรรย์ ถือหุ้น 10,000 หุ้น ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งสิ่งที่โยงใยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องจากบริษัท ยู.ซี.อี.ซี. กับเทเลเมติคส์ คือเอสเอจี ซึ่งมีนายองค์การ อินทรัมพรรย์ มีรายชื่อเป็นถือ หุ้นอีก 50,000 หุ้นในบริษัท เอสเอจี ตามทะเบียนผู้ถือหุ้นเมื่อ วันที่ 30 เม.ย.45 ร่วมกับผู้ถือหุ้นคนอื่นที่น่าสนใจคือ นายวิสาล นีรนาทโกมล ถือ 5,070,000 หุ้น นางพัชรี นีรนาทโกมล 4,829,970 หุ้น ที่เหลือเป็นตัวประกอบอย่าง นางสาวสุกัญญา หมู่พุทธรักษ์ 10 หุ้น นางเพชรน้อย ฉัตรแก้ว 10 หุ้น
       
       แต่เมื่อค้นไปยังทะเบียนผู้ถือหุ้น บริษัท เทเลเมติคส์ เมื่อวันที่ 6 ก.พ.46 พบว่า นายวิสาล นีรนาทโกมล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 1,089,950 หุ้น นางพัชรี นีรนาทโกมล ถือหุ้น 50,000 หุ้น และมีตัวประกอบอย่างนางสาวสุกัญญา หมู่พุทธรักษ์ 10 หุ้นและนางเพชรน้อย ฉัตรแก้ว 10 หุ้น
       
       “ดูจากรายชื่อผู้ถือหุ้น แสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นในเอสเอจีกับเทเลเมติคส์ เป็นกลุ่มเดียวกัน และมีความสัมพันธ์กับบริษัท ยู.ซี.อี.ซี. ในลักษณะการเป็นหุ้นส่วนกัน”
       
       แหล่งข่าวในวงการไอที ซึ่งคร่ำวอดในงานประมูลให้ความเห็นว่า จากความสัมพันธ์ใน การถือหุ้นพิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า การประมูลระบบบิลลิ่งไม่โปร่งใส เพราะคนในวงการ กล่าวกันถึงขนาดว่า เอสเอจีเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นเทเลเมติคส์
       
       โครงการนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ยุคนายสุธรรม มลิลา ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที และนายชัยเชวง กฤตยาคม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นประธานโครงการ ซึ่งกำหนดยื่นประกวดราคาตั้งแต่ 25 ก.ย. 2545 แต่การประมูลชะงักไป เพราะสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ทีโอที (สรท.) ยื่นเรื่องขอความชัดเจนโครงการจากคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งเป็นประธานบอร์ด ทีโอที ในขณะนั้น นำไปสู่การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถือหุ้นบริษัทที่ปรึกษาโครงการ หรือยูซีอี ที่เขียนเงื่อนไขทีโออาร์ กับบริษัท เทเลเมติกส์ ซึ่งชนะโครงการในราคา 1,190 ล้านบาท พร้อมๆ กับบริษัท โลคัส ชนะประมูลระบบคอลล์ เซ็นเตอร์ มูลค่า 1,307 ล้านบาท กระทั่ง โครงการได้รับการอนุมัติในยุคที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธานบอร์ด
       
       ในช่วงการประมูลระบบบิลลิ่งของเทเลเมติกส์ มีข้อร้องเรียนอย่างมากถึงความโปร่งใสในการประมูล โดยเฉพาะมีการโยงใยถือหุ้นไขว้กันไปมาระหว่างเทเลเมติกส์กับบริษัทที่ปรึกษาทีโอทีในการประมูล รวมไปถึงขั้นตอนการทดสอบการใช้งานหรือ benchmark พร้อมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตถึงความสามารถของซอฟต์แวร์ Kenan แต่บอร์ดยุคนั้นที่มีคุณหญิงทิพาวดี เป็นประธานพร้อมทั้งนายเข็มชัย ชุติวงศ์ กรรมการบอร์ด และนายชัยเชวง ซึ่งรับผิดชอบในการประมูลโดยตรง ต่างยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส แต่ความจริงก็ได้ปรากฏให้เห็นในช่วง 2ป ีที่ผ่านมาว่า ระบบบิลลิ่งไม่สามารถใช้งานได้จริงตามที่ทุกฝ่ายได้กล่าวอ้าง จนส่งผลให้มีความเสียหาย ต่อ ทีโอที อีกทั้งกระบวนการสอบสวนนายชัยเชวง ถึงข้อเท็จจริง ที่ดำเนินการในสมัยนายธีรวิทย์ จารุวัฒน์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้เงียบหายไป ถึงแม้จะการแขวนตำแหน่งหน้าที่นายชัยเชวงอยู่ในปัจจุบันก็ตาม
       
       ทั้งนี้ ในช่วงการประมูลระบบบิลลิ่งของเทเลเมติกส์ มีข้อร้องเรียนอย่างมากถึงความโปร่งใสในการประมูล โดยเฉพาะการโยงใยถือหุ้นไขว้กันไปมาระหว่างเทเลเมติกส์กับบริษัทที่ปรึกษาการประมูลของทีโอทีรวมไปถึงขั้นตอนการทดสอบการใช้งาน (เบนช์มาร์ก) พร้อมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตถึงความสามารถของซอฟต์แวร์ คีนัน (Kenan) แต่บอร์ดยุคนั้นที่มีคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ เป็นประธาน นายชัยเชวง กฤตยาคม รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทีโอที ซึ่งรับผิดชอบในการประมูลโดยตรง ต่างยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใส
       
บันทึกการเข้า
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #12 เมื่อ: 21-09-2007, 01:54 »

การปล้นกลางแดดแบบเย้ยฟ้าท้าดิน คงยังต้องมีต่อไป

ถ้าหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่มีจิตสำนึก ให้ตลาดทุนที่เป็นน่าเชื่อถือในความโปร่งใส

ไปถลกกระโปรงชวนเชิญ แมวที่ไหนมาลงทุน บอกเพียงคำเดียวว่า เอาเวลาไปปลูกต้นบอนไซ ส่งออกแทนดีกว่า

เผื่อจะได้เงินเข้าประเทศเพิ่มมูลค่า GDP ไปอวดชาวโลกได้มากกว่านี้
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #13 เมื่อ: 21-09-2007, 02:22 »

ย้อนกลับมาที่หุ้น "วินโคสท์" .. หลังจากที่เปลี่ยนชื่อแต่งบัญชี เอ๊ย แต่งหน้าทาปาก
ใหม่แล้ว และลดทุนจาก สิบบาท(ซื้อมาหนึ่งสลึง) มาเหลือ หุ้นละหนึ่งบาท
พอเข้าเทรดวันแรก ราคาไปที่หุ้นละเกือบห้าบาท

.......................................................................................................

http://gotomanager.com/news/details.aspx?id=43919

 "วงศ์สวัสดิ์" ผู้ถือหุ้นใหญ่ วินโคสท์ฯ ทิ้งหุ้นตั้งแต่วันแรกที่เข้าเทรด 21.26 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.07% ช่วงราคาหุ้นพุ่ง 4.80 บาท ทั้งที่ก่อนเทรดผู้บริหารย้ำไม่ขายหุ้นติดไซเลนต์พีเรียด 100% ทำราคาหุ้นทรุดต่อเนื่อง วานนี้ปิดที่ 2.96 บาท

รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า กลุ่มวงศ์สวัสดิ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วินโคสท์อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ WIN ซึ่งประกอบ ด้วย น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ได้มีการขายหุ้นซึ่งเป็นวันแรกที่หุ้นกลับเข้ามาซื้อขายในหมวดปกติ (16 ธ.ค.) จำนวน 19.20 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 5.48% โดยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งภายหลังการขายหุ้นดังกล่าวจะถือหุ้น 58.80 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 16.79%

รวมถึงนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นพี่ชายของ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ มีการโอนหุ้นจำนวน 2.05 ล้านหุ้นหรือ 2.59% ให้นางสาว นฤมล นววัฒนทรัพย์ ซึ่งภายหลังการโอนจะถือหุ้น 67.61 ล้านหุ้น หรือ 19.31%

ทั้งนี้กลุ่มวงศ์สวัสดิ์ ประกอบด้วยนางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ประกอบด้วย นางสาวชยภา วงสวัสดิ์ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ และนางสุนิสาปฐม พฤกษ์ ภายหลังการขายหุ้นและการโอน ดังกล่าว จะถือหุ้นรวม 197.42 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 56.37%

นอกจากนี้นายสุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์ ได้มีการขายหุ้นจำนวน 9.57 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 2.73% ซึ่งภายหลังการขายหุ้นครั้งนี้จะถือหุ้น 28.72 ล้านหุ้น หรือ 8.20% โดยเป็นการขายผ่าน ตลาดหลักทรัพย์ฯ

สำหรับบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียลฯ เดิมชื่อ บริษัท เคพโทรนิค อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยเข้าไปอยู่ในหมวดบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างแก้ไขการดำเนินงาน (REHABCO) ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2546

หลังจากนั้นบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กรรมการ และผู้บริหารชุดใหม่ ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2547 โดยมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 62.44 และกลุ่มนายสุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์และนายวิศาล นีรนาทโกมล ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 19.87

ทั้งนี้ ได้มีการเปลี่ยนประเภทธุรกิจจากเดิมที่ผลิตและส่งออกจอภาพคอมพิวเตอร์ จอ ภาพ LCD TVภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูก ค้า (OEM Original Equipment Manufacturing) มาเป็นธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจรับจ้างประกอบรถโกคาร์ทและจักรยาน และธุรกิจขายหรือให้เช่าพื้นที่ในเขตปลอดอากร

ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 367,208,910 บาท มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท และมีทุนชำระแล้วเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 350,234,340 บาท

อย่างไรก็ตาม วินโคสท์อินดัสเทรียล เป็นบริษัทใน REHABCO ที่ได้ย้ายกลับหมวดปกติเป็นลำดับที่ 5 ของปี 2548

ส่วนความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของ บริษัท วินโคสท์อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ WIN เมื่อกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ในหมวด อสังหาริมทรัพย์และก่อ สร้าง/พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยราคาเปิดที่ 3.80 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น สูงสุด 4.80 บาท และต่ำสุดที่ 2.80 บาท และกลับมาปิดที่ 3.48 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.42 บาท หรือเพิ่มขึ้น 68.93 % ปริมาณซื้อขาย 186.80 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 722.26 ล้านบาท

วานนี้ (20 ธ.ค.)ราคาหุ้นปิดที่ 2.98 บาท ลดลง 0.22 บาท หรือลดลง 6.88% โดยปรับตัวสูงสุดระหว่างวันที่ 3.42 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.96 บาท มูลค่าการซื้อขาย 81.21 ล้านบาท   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2007, 02:24 โดย สมชายสายชม » บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #14 เมื่อ: 21-09-2007, 02:34 »

เลขาฯ"ชินณิชา"ซื้อหุ้นวินโคสท์5% อ้างลงทุน"ส่วนตัว"-ไม่แอบแฝง

http://www.bangkokbiznews.com/2006/02/04/news_19836000.php?news_id=19836000

"ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์" หลานสาว "ทักษิณ" ยอมรับ "อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม" ผู้ลงทุนซื้อหุ้นวินโคสท์ 5.83% หรือ 18.87 ล้านหุ้น เป็นพนักงานตำแหน่งเลขาฯ ใน "อินนิค คอร์ปอเรชั่น" ซึ่งเป็นบริษัทที่ "ชินณิชา" เป็นเจ้าของ ขณะเดียวกัน หลานนายกฯ ยอมรับรู้จักกัน พร้อมยันแค่ต้องการลงทุนส่วนตัวไม่มีอะไรซ่อนเร้น

รายงานข่าวจากสำนัก ก.ล.ต.จากแบบรายงานการได้มา และจำหน่ายไป (246-2) ของบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค (WIN) ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นางสาวอัญชุลี ทรัพย์นุ่ม ได้รายงานการได้มาหุ้นวินโคสท์จำนวน 18.87 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.38% และหลังจากทำรายการ ทำให้นางสาวอัญชุลี ถือหุ้นเท่ากับจำนวนดังกล่าว

............................................................................................................

เป็นเลขา แต่ก็มีหุ้นไม่น้อยหน้าไปกว่าคนรับใช้   

...
บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #15 เมื่อ: 21-09-2007, 06:55 »

ตกลง วินโคสท์ หรือ ซิมีโก้ อันไหนหมื่นล้านที่จะพูด วินโคสท์เหรอเห็นยาวเชียว
ตั้งกระทู้เอง ปั่นกระทู้ออกทะเลเอง ก็เป็นแฮะ ไหนๆ ตัวเลขหมื่นล้าน อยากดูมากกกกกก
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #16 เมื่อ: 21-09-2007, 09:56 »

ตกลง วินโคสท์ หรือ ซิมีโก้ อันไหนหมื่นล้านที่จะพูด วินโคสท์เหรอเห็นยาวเชียว
ตั้งกระทู้เอง ปั่นกระทู้ออกทะเลเอง ก็เป็นแฮะ ไหนๆ ตัวเลขหมื่นล้าน อยากดูมากกกกกก



ซิมีโก้ เป็นโบรคเกอร์ตัวแทนในการทำการซื้อ

เรื่องนี้ยังมีต่อ แต่ตอนนี้ยังไม่ว่างโพสต์ต่อ   




...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2007, 10:12 โดย สมชายสายชม » บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #17 เมื่อ: 21-09-2007, 10:03 »

ซิมีโก้ เป็นโบรคเกอร์ตัวแทนในการทำการซื้อ

เรื่องนี้ยังมีต่อ แต่ตอนนี้ยังไม่ว่างโพสต์ต่อ   

ขึ้นต้นมาหมื่นล้าน พ่นไปพ่นมาเหลือ ห้าร้อยล้าน เหอ เหอ

ไม่ว่างก็อย่ามาตั้งกระทู้ส่งเดชสิจ๊ะ ขอโทษนะแบบนี้เค้าเรียกว่า มั่ว 
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #18 เมื่อ: 21-09-2007, 10:18 »

ตกลง วินโคสท์ หรือ ซิมีโก้ อันไหนหมื่นล้านที่จะพูด วินโคสท์เหรอเห็นยาวเชียว
ตั้งกระทู้เอง ปั่นกระทู้ออกทะเลเอง ก็เป็นแฮะ ไหนๆ ตัวเลขหมื่นล้าน อยากดูมากกกกกก

อ้าว .. อยากเห็นตัวเลขหมื่นล้าน เอามาแปะให้ดู(หนึ่งหมื่นสี่พันล้านบาท)

แล้วยังจะแถว่าห้าร้อยล้าน .. ว่างเมื่อไหร่ จะมาโพสต์ต่อ   

...............................................

เอาชื่อคณะกรรมการไปดูเล่นก่อน

เห็นมี ดร.ประสิทธิ์ ด้วย น่าจะเคยเป็นพยานให้ทักษิณเรื่อซุกหุ้น

และประธานกรรมการตรวจสอบ คิดว่า ชื่อเหมือน "ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม"

http://www.moj.go.th/mojnews/MojNewsDetail.php?pr_id=395&Type=1




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2007, 10:30 โดย สมชายสายชม » บันทึกการเข้า
เอกราช
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 826


กับคนที่ไร้ซึ่งจริยธรรม ยังจะสามารถสมาคมด้วยหรือ


« ตอบ #19 เมื่อ: 23-09-2007, 14:28 »

ตามไปดู ข้อมูลจากตลาดลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


http://www.set.or.th/set/companyinfo.do?type=profile&symbol=win&language=th&country=TH
บันทึกการเข้า

สภาพดินฟ้าอากาศที่ได้เปรียบมิสู้มีชัยภูมิที่มั่นคง
ชัยภูมิที่เป็นเลิศมิอาจเทียบได้กับความมีน้ำหนึ่งใจเดียวของผู้คน
天时不如地利,地利不如人和
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #20 เมื่อ: 23-09-2007, 15:47 »

ว่าแต่เขาทำยังไงกับเงินทุนชำระแล้ว 14000 ล้าน (จากทุนจดทะเบียน 2 หมื่นล้าน)
ที่มีก่อนลดทุนเหลือแค่ 2 ร้อยกว่าล้านให้ตระกูลวงศ์สวัสดิ์ เทคโอเวอร์ราคาสลึงเดียว
จะว่าเป็นหนี้สะสมต้องล้างหนี้ก็ไม่น่าจะมากมายขนาดนั้น

คิดว่าคงกระจายคืนผู้ถือหุ้นเดิมไปหมด ก็เป็นงบการเงินที่แปลกดี ไม่รู้เขาทำอะไรกัน
ยิ่งไปอ่านทบทวนเรื่องการเล่นหุ้นของกลุ่ม วปรอ. 4414 ในช่วงรัฐบาลทักษิณที่มี
พายัพ ชินวัตร เป็นตัวละครเด่น ยิ่งรู้สึกพิศดารพันลึกเข้าไปใหญ่  รู้สึกว่าตอนนั้นบริษัทนี้
ยังใช้ชื่อเดิมผลิตจอ LCD ขายอยู่เลยครับ
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
phutorn connection
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 263



« ตอบ #21 เมื่อ: 26-09-2007, 17:21 »

อึ้งกับแถครั้งแรกในกระทู้นี้ของคุณอยากประหยัดฯ ถ้าแยกวินโคสต์ กับเซมิโก้ไม่ออก ก็ไม่น่าจะเข้าใจประโยคยากๆอื่นๆได้อีกเน้อ

 

คุณจีระศักดิ์ยกประเด็นขึ้นมาถามน่าจะตรงจุดว่าทำยังไงถึงมาโปะหมื่นล้านได้สนิทแนบแน่นดีแท้
บันทึกการเข้า

หลังจาก วาทะ"บกพร่องโดยสุจริต"ของอาชญากรหนีคดี ประชาชนได้ให้โอกาส แต่ไม่เคยได้ให้อภัยคนคนนี้

หลายคนบอกว่าสิ่งที่ทักษิณทำก็เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆนั่นแหละ ไม่ว่าหนีภาษี ซุกหุ้น ซื้อนักการเมืองเป็นพวก แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นลืมมองคือ ทักษิณมีอำนาจ นอกเหนือจากเงินทองในขณะที่นักธุรกิจคนอื่นไม่มี อำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายข้าราชการ อำนาจในการใช้กฏหมาย อำนาจในการตรากฏหมาย แต่สิ่งที่ทักษิณมีเหมือนนักธุรกิจคนอื่น คือ ความโลภ เมื่อความโลภรวมกับอำนาจ และสิ่งที่ทำร้ายทักษิณในปัจจุบันคือ ความโลภนี่เอง
ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #22 เมื่อ: 26-09-2007, 17:24 »

คุณต้นหอม ทำไมเรทติ้งกระทู้ ถึงแค่ "สอง" ค่ะ 

ทำอะไรผิดใจเวบมาสเตอร์เราป่าวค่ะ
 
บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
phutorn connection
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 263



« ตอบ #23 เมื่อ: 26-09-2007, 19:20 »

มีเวลาว่างแค่นี้เองเน้อ ส่วนใหญ่จะอ่านมากกว่า ต่อไปจะไฟท์ตะ ไฟท์ตะ

 
บันทึกการเข้า

หลังจาก วาทะ"บกพร่องโดยสุจริต"ของอาชญากรหนีคดี ประชาชนได้ให้โอกาส แต่ไม่เคยได้ให้อภัยคนคนนี้

หลายคนบอกว่าสิ่งที่ทักษิณทำก็เหมือนนักธุรกิจคนอื่นๆนั่นแหละ ไม่ว่าหนีภาษี ซุกหุ้น ซื้อนักการเมืองเป็นพวก แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นลืมมองคือ ทักษิณมีอำนาจ นอกเหนือจากเงินทองในขณะที่นักธุรกิจคนอื่นไม่มี อำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายข้าราชการ อำนาจในการใช้กฏหมาย อำนาจในการตรากฏหมาย แต่สิ่งที่ทักษิณมีเหมือนนักธุรกิจคนอื่น คือ ความโลภ เมื่อความโลภรวมกับอำนาจ และสิ่งที่ทำร้ายทักษิณในปัจจุบันคือ ความโลภนี่เอง
ภูดิน
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 232


Where the mind is freedom


« ตอบ #24 เมื่อ: 26-09-2007, 19:45 »

ตาหลก  จัง เน้อ
บันทึกการเข้า

The silkworm  weaves  its  cocoon  and  stays  inside, therefore  it is  imprisoned;
the  spider  weaves  its  web  and  stays  outsides, therefore  it  is  free. (chinese proverb)

ตัวไหมชักใยไหม  แล้วอยู่ในรังไข่  จึงถูกจองจำ
แมงมุมชักใยแล้วอยู่ภายนอก  จึงเป็นอิสระ
(กรุณา กุศลาสัย ..."คำคมบ่มชีวิต")
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #25 เมื่อ: 28-09-2007, 23:41 »

เครือข่าย"เยาวภา" ส่งสัญญาณ "ถือเงินสด" บิ๊กบจ. แห่ "ทิ้งหุ้น" ก่อนถึง..วันอันตราย
http://www.bangkokbizweek.com/20060204/cover/index.php?news=column_19978712.html


บิ๊กบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หนีการเมืองร้อน แห่ "ทิ้งหุ้น" ก่อนวันรวมพลใหญ่ที่ท้องสนามหลวง (26 ก.พ.2549) เพื่อขับไล่นายกฯทักษิณ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" เปิดรายชื่อ บิ๊กบจ. เสือปืนไวทิ้งหุ้นล่วงหน้าตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสัญญาณ เครือข่าย "น้องสาวนายกฯ" เร่งขายหุ้น-ถือเงินสด

ยิ่งใกล้วัน "อันตราย" ตลาดหุ้นยิ่งเผชิญแรงกดดัน จากภาวะความอ่อนไหวทางการเมือง นักวิเคราะห์ มองว่า หากสถานการณ์การชุมนุมไม่ยืดเยื้อ ดัชนีมีโอกาสดีดกลับในช่วงสั้นๆ แต่หากการชุมนุมยืดเยื้อ หรือมีสัญญาณความรุนแรงเกิดขึ้น ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงได้อีก โดยมีแนวรับสำคัญที่ 725 จุด 710 จุด และ 685 จุด ตามลำดับ

แต่ถ้าการชุมนุมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง "ยุบสภา" หรือ นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ "ลาออก" สถานการณ์ความอึมครึมในตลาดหุ้นจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน แต่ทางเลือกนี้ก็มีความเป็นไปได้ไม่สูงมากนัก ถ้าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้น "สุกงอม" ถึงที่สุด

เพราะฉะนั้นสถานการณ์ตลาดหุ้นในระยะตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นมา จึงมีทิศทางเป็น "ขาลง" มาตลอด และยังมองไม่เห็น "จุดเปลี่ยน" ในขณะนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อตรงกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่ยอมลงจากอำนาจง่ายๆ เพราะเชื่อมั่นในความชอบธรรม 19 ล้านเสียงที่สนับสนุน

และนั่นก็หมายความว่า "ภาวะตลาดหุ้น" จะอึมครึมต่อไปเรื่อย...แม้ว่า "ต่างชาติ" ยังคงซื้อสุทธิ แต่แรงซื้อก็เริ่ม "แผ่วลง" มาระยะหนึ่งแล้ว และพร้อมที่จะกลับมา "กระหน่ำขาย" ได้ทุกเมื่อ

ขณะที่ "นักลงทุนสถาบัน" ชัดเจนมาตลอดว่า "ทยอยขายหุ้น" ออกมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือเหตุผลว่า แม้ต่างชาติยัง "ซื้อสุทธิ" แต่ "ดัชนี" ก็ขึ้นต่อไปไม่ไหว

ทีมข่าว กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ตรวจพบว่า กลุ่มที่เป็น "เสือปืนไว" เร่งขายหุ้นออกมาก่อน ก็คือ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มตั้งแต่กลุ่มผู้บริหาร บล.กิมเอ็ง (KEST) เร่งขายหุ้นออกมามากในช่วงเดือนนี้ นำโดย "มนตรี ศรไพศาล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง ขายหุ้นออกมา "กุมภาพันธ์" เดือนเดียว 1.46 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 37.85 ล้านบาท สอดคล้องกับผลประกอบการงวด 1 ปี 2548 ของ บล.กิมเอ็ง ที่ปรับลดลงมากถึง 31.42%

"นิวัตต์ จิตตาลาน" กรรมการผู้จัดการ บ.บัตรกรุงไทย (KTC) เป็นอีกคนหนึ่งที่ขายหุ้น KTC ออกมาตลอด โดยเริ่มขายมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548 ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2549 รวม 801,640 หุ้น ได้เงินสดออกไปแล้ว 16.85 ล้านบาท

"พล.ต.อ.ชวลิต ยอดมณี" ประธานกรรมการ บ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เป็นอีกรายที่ขายหุ้น AMATA ออกมาจำนวนมาก ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยขายร่วมกับกรรมการบริษัทอีก 2 คน คือ "ชัย โสภณพนิช" และ "ชีระ ภาณุพงศ์" ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า "กำไรสุทธิ" ของบริษัทงวดปี 2548 แม้ว่าจะสูงกว่าปีก่อน แต่อาจจะ "พลาดเป้า" จากที่ตั้งเอาไว้ เนื่องจากมีลูกค้ารายหนึ่งเลื่อนการเซ็นสัญญาซื้อที่ดินกับบริษัท

จากการตรวจสอบพบว่า "พล.ต.อ.ชวลิต ยอดมณี" ขายหุ้นออกมาตลอดตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบันรวมแล้ว 42.75 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าขาย 496.32 ล้านบาท ด้าน "ชัย โสภณพนิช" ก็ขายหุ้น AMATA ออกมาแล้วกว่า 4.19 ล้านหุ้น มูลค่า 50.92 ล้านบาท "ชีระ ภาณุพงศ์" ประธานกรรมการบริหาร ขายหุ้นออกมาแล้ว 1.52 ล้านหุ้น มูลค่า 24.19 ล้านบาท

ขณะที่คู่สมรสของ "วิบูลย์ กรมดิษฐ์" ผู้บริหารของบริษัท ก็ขายหุ้นออกมาตลอดในช่วง 2 ปี รวมกัน 1.91 ล้านหุ้น เป็นเงินกว่า 21 ล้านบาท การขายหุ้นออกมาจำนวนมากของผู้บริหาร บ.อมตะ คอร์ปอเรชัน อาจบ่งชี้ถึงสัญญาณราคาหุ้นที่ไม่ดีของบริษัทก็เป็นได้

ผู้บริหารที่ขายหุ้นออกมามาก ยังได้แก่ "วันชัย จิราธิวัฒน์" ประธานกรรมการ บ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) วันที่ 20 มกราคม และวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เพียง 2 วัน "วันชัย" ขายหุ้น CENTEL ออกมารวมกันกว่า 3.06 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินกว่า 101 ล้านบาท

สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ที่สอดคล้องกับการขายหุ้นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในช่วงนี้ ยังไปเกี่ยวโยงกับความเคลื่อนไหวของ "กลุ่มก๊วน..ทางการเมือง" ที่ใกล้ชิดพรรครัฐบาล น่าจะมีการระบายหุ้นออกจากพอร์ตจำนวนมากด้วย

ที่น่าสังเกต ก็คือ กลุ่มที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจในรัฐบาลต่างก็เริ่มหวั่นไหว ภายหลัง "ครอบครัวชินวัตร" ขายหุ้นทั้งหมดใน "ชินคอร์ป" (SHIN) มูลค่า 7.33 หมื่นล้านบาท ให้กับหน่วยงานของรัฐบาลกลางประเทศสิงคโปร์ เพื่อถือครอง "เงินสด" ไว้ในมือจำนวนมาก

ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมามีรายงานข่าวจากวงการโบรกเกอร์ระบุว่า "พายัพ ชินวัตร" เซียนหุ้นชื่อดังรวมทั้ง บุคคลใกล้ชิด และ พันธมิตรในเครือข่าย ก็ "ขายหุ้น" (ร้อน) ออกจากพอร์ตแล้วเช่นกัน ทำให้หุ้น ASL, BNT, IEC รวมถึง SC (ของครอบครัวชินวัตร) ลดความน่าสนใจลงไปทันที แม้เป้าใหม่จะพุ่งไปที่หุ้น MME (บ.ไมด้า เมดดาลิสท์) และหุ้น THECO (บ.ไทยฮีท เอ็กซ์เช้นจ์) แต่เป็นการนำขึ้นมาเล่นสลับในช่วงสั้นๆ เท่านั้น

โดยหุ้น THECO มีร่างเงาของ "ชนะชัย ลีนะบรรจง" ซึ่งรับรู้กันดีว่ามีความใกล้ชิดกับ "พายัพ ชินวัตร" เข้าไปเกี่ยวข้อง

แต่สัญญาณการ "ขายหุ้น" ถูกส่งออกมาชัดเจน กลับมาจาก "ครอบครัววงศ์สวัสดิ์" ของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาว พายัพ ชินวัตร ผู้นำกลุ่มวังบัวบาน ในพรรคไทยรักไทย

สัญญาณบางอย่างถูกส่งออกมาจากหุ้น WIN (บ.วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค) ซึ่งเป็นของครอบครัววงศ์สวัสดิ์

อ้างถึง
บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค เดิมชื่อ บริษัท เคพโทรนิค อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ภายหลังตระกูลวงศ์สวัสดิ์ เข้าไปฟื้นฟูกิจการ ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กรรมการ และผู้บริหารชุดใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2547 โดยมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 กลุ่ม ได้แก่
(1) กลุ่มตระกูลวงศ์สวัสดิ์ ถือหุ้นอยู่ 62.44% (218.68 ล้านหุ้น)
(2) กลุ่มนายสุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์ (ผู้ก่อตั้งและผลิตจักยาน LA)
(3) และนายวิสาล นีรนาทโกมล   (ผู้บริหาร บ.วินโคสต์)
{(2) + (3) ถือหุ้นรวมกัน 19.87%}

จากเดิมที่ผลิต และส่งออกจอภาพคอมพิวเตอร์ และ จอภาพ LCD (จอทีวี) ก็เปลี่ยนมาเป็นธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจรับจ้างประกอบรถโกคาร์ท-รถจักรยาน และธุรกิจขายหรือให้เช่าพื้นที่ในเขตปลอดอากร

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2548 "ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์" ลูกสาวเยาวภา ได้ขายหุ้น WIN ล็อตใหญ่ 19.20 ล้านหุ้นที่ราคา 4.15 บาท ได้เงินสดออกไปทันที 79.70 ล้านบาท ในวันเดียวกัน "ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์" พี่ชาย ก็โอนหุ้นจำนวน 2.05 ล้านหุ้น ไปให้กับ "นฤมล นววัฒนทรัพย์" ถือแทน

ในวันเดียวกัน "สุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์" ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของบริษัทที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ เลย ได้ขายหุ้นล็อตใหญ่ออกไปพร้อมๆกับ "ชินณิชา-ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์" ด้วย จากนั้น "วิสาล นีรนาทโกมล" ก็ขายหุ้นออกมาอีกถึง 3 ล็อต คิดเป็นมูลค่าเกือบ 30 ล้านบาท

จากนั้นก็มีชื่อ "อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม"[/color] เข้าไปทำรายการ "บิ๊กล็อต" หุ้น WIN ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งสอดคล้องกับช่วงวันที่ 7-14 กุมภาพันธ์ วอลุ่มเทรดของหุ้น WIN ก็พุ่งกระฉูดระหว่าง 27-46 ล้านหุ้นต่อวัน ดันราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่หุ้นตัวนี้เคยมีวอลุ่มเทรดเฉลี่ยไม่เกิน 10 ล้านหุ้นต่อวัน

ตัวละครหลายตัวที่เข้ามาซื้อ-ขายหุ้น WIN แม้จะไม่มีข้อมูลระบุชัดว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่ก็น่าสงสัยไม่น้อยว่า ถ้าสถานการณ์ทางการเมือง "อึมครึม" เป็นไปในทิศทางลบต่อครอบครัวชินวัตร แท้จริงแล้วต้องการพยุงราคาหุ้น เพื่อหาจังหวะ "ปล่อยของ" ล็อตใหญ่ออกจากพอร์ตหรือไม่

ประเด็นที่นักลงทุนจะละสายตาไปไม่ได้ ก็คือ ตระกูลวงศ์สวัสดิ์ มีต้นทุนในการถือครองหุ้น WIN ในราคาที่ต่ำมากเพียงหุ้นละ 0.26 บาทเท่านั้น..ไม่ว่าจะขายออกราคาไหนก็มีกำไรทุกประตู

นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" ปลัดกระทรวงยุติธรรม สามีเยาวภา ในฐานะกรรมการ บ.ไทยออยล์ (TOP) ในเดือนกุมภาพันธ์ เพียงเดือนเดียว เขาขายหุ้น TOP ออกมาจำนวน 118,500 หุ้น ได้เงินออกไปเกือบ 8 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าเครือข่าย กลุ่มวงศ์สวัสดิ์ เริ่มส่งสัญญาณ "ถือเงินสด" โดยการทยอยขายหุ้นในพอร์ตออกมาแล้ว

___________________________________________________________


ตอนต่อไป จะให้ดูการโยงใยของ "อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม"[/color] ในบริษัทอื่น

...
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #26 เมื่อ: 29-09-2007, 00:08 »

"อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม" มาจากไหนไม่รู้ โผล่มาก็ซื้อขายหุ้นบิ๊กล๊อต 5%

แล้วก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 6



 

...
บันทึกการเข้า
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 29-09-2007, 00:14 »

โห... ข้อมูล

 
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #28 เมื่อ: 29-09-2007, 00:21 »

แล้วก็ไปเจอชื่อ "น.ส.อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม"

เป็นกรรมการของบริษัท TRAFFIC CORNER


อ้างถึง
Symbol TRAF
   

 การลดทุนและเพิ่มทุน , กำหนดวันประชุมวิสามัญผุ้ถือหุ้น 2/49
   

Date/Time
   
30 Oct 2006 09:29:00
   

 

ที่ TRAF 054/2549

27 ตุลาคม 2549

เรื่อง การลดทุนและการเพิ่มทุนจดทะเบียน, กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2549

เรียน กรรมการและผู้จัดการ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ด้วยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) [บริษัท] ครั้งที่

11/2549 ในวันที่ 27 ตุลาคม 2549 มีมติสำคัญสรุปได้ดังนี้

1. รับทราบการเปลี่ยนแปลงกรรมการในบริษัทย่อย 3 บริษัท ดังนี้

1.1 บริษัท ทีวี ฟอรัม จำกัด

กรรมการเดิม : นายทวีรัชฎ์ รัชไชยบุญ , นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ,

น.ส.ศรวณีย์ ศิริจรรยากุล

อำนาจกรรมการเดิม : กรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกัน

และประทับตราสำคัญของบริษัท

กรรมการใหม่ : พล.ต.อ. ยงยุทธ เทพจำนงค์ , พ.ต.อ. รวมนคร ทับทิมธงไชย

อำนาจกรรมการใหม่ : กรรมการ 2 คนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท

1.2 บริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ เรดิโอ จำกัด

กรรมการเดิม : นายทวีรัชฎ์ รัชไชยบุญ , นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย , น.ส.ศรวณีย์

ศิริจรรยากุล , นายธนา ไชยประสิทธิ์ , น.ส.อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม

อำนาจกรรมการเดิม : กรรมการ 2 ใน 5 คนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกัน

และประทับตราสำคัญของบริษัท

กรรมการใหม่ : พล.ต.อ. ยงยุทธ เทพจำนงค์ , พ.ต.อ. รวมนคร ทับทิมธงไชย

อำนาจกรรมการใหม่ : กรรมการ 2 คนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท

1.3 บริษัท ดรีม มีเดีย จำกัด

กรรมการเดิม : นายทวีรัชฎ์ รัชไชยบุญ , นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย , น.ส.ศรวณีย์

ศิริจรรยากุล

อำนาจกรรมการเดิม : กรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกัน

และประทับตราสำคัญของบริษัท

กรรมการใหม่ : พล.ต.อ. ยงยุทธ เทพจำนงค์ , พ.ต.อ. รวมนคร ทับทิมธงไชย

อำนาจกรรมการใหม่ : กรรมการ 2 คนนี้ ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท

http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=53328

 

...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2007, 01:07 โดย สมชายสายชม » บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #29 เมื่อ: 29-09-2007, 00:54 »

เปิดปาก.."สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย" ค้นทางรอด "ทราฟฟิกคอร์นเนอร์"

http://www.bangkokbizweek.com/20060502/road/index.php?news=column_20591420.html


ค้นคำตอบจากปาก "สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย" กับมาตรการฟื้น "ทราฟฟิกคอร์นเนอร์" หวังโหนกระแสบอลโลก ดันหุ้น(ขึ้น)ก่อนขายเพิ่มทุนเฉพาะเจาะจง (PP)... ก๊วนหุ้นเจ้าเก่า "ชนะชัย-ทวีฉัตร-เรขา" มารอ (ปั้น) แล้วครับท่าน

แม้ บริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ (TRAF) ของ "สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย" จะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ย่ำแย่ ขาดทุนติดต่อกัน 3 ปีซ้อน (2546-2548) จนส่วนผู้ถือหุ้นลดลงมาเหลือ 49 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทก็มีหนี้สินสูงมากถึง 340 ล้านบาท ที่สำคัญต้องเร่งชำระเกือบทั้งก้อน

สถานการณ์เช่นนี้ถือว่า "วิกฤติ" เหลือเพียงทางออกเดียว ก็คือ ยังไงๆ ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ ก็ต้อง "เพิ่มทุน" (สถานเดียว) และต้องเข้าโรงพยาบาล "ผ่าตัดใหญ่" ธุรกิจที่ไม่ทำกำไร ออกไปให้หมดโดยเร็ว

ภายใต้รูปการณ์ที่น่าเป็นห่วงของ ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ แต่เหตุใด "เซียนหุ้นระดับชาติ" หลายคนต่างทยอยกันเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนี้ ตั้งแต่ก่อนวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2549

ขาใหญ่ระดับ "พันล้าน" ที่เข้ามาป้วนเปี้ยนกับหุ้นของ "สุรพงษ์" ได้แก่
"ชนะชัย ลีนะบรรจง" เข้ามาถือหุ้นอันดับ 2 จำนวน 20.16 ล้านหุ้น
"ทวีฉัตร-ณัฐพล จุฬางกูร" อันดับ 3-4 ถือหุ้นรวมกัน 25.26 ล้านหุ้น
"เจริญรัฐ-วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์" อันดับ 5-6 ถือหุ้นรวมกัน 20 ล้านหุ้น

ในกรณีของตระกูลวิไลลักษณ เข้ามารับหุ้นต่อจาก "ตระกูลวงศ์สวัสดิ์" เช่นเดียวกับ "อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม" ที่ถือหุ้นอยู่ 5.39 ล้านหุ้น ถือว่าเกี่ยวโยงกับ "เจ๊แดง" เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ โดยตรง

นอกจากนี้ก็ยังมี "เรขา เอี่ยมวุฒิปรีชา" ถือหุ้นจำนวน 5.35 ล้านหุ้น "สุรพันธ์ พัฒนพิฑูรย์" 2.55 ล้านหุ้น และ "สุรศักดิ์ เทวอักษร" จำนวน 2 ล้านหุ้น เหล่านี้ ก็คือ "รายใหญ่" ที่มีวงเงินเล่นหุ้นจำนวนมาก

แม้แต่ตัวของ "สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัททราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ ก็มีการโอนหุ้นของตัวเองออกจากพอร์ตหลายครั้ง ไปพักไว้กับบุคคลภายนอก เพื่อความสะดวกในการซื้อ-ขาย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2549 ก็โอนหุ้นออกไปอีก 4 ล้านหุ้น

คำตอบที่ "สุรพงษ์" บอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" เรื่องการโอนหุ้นจำนวนมากออกจากพอร์ตว่า ต้องการหาสตางค์ไปใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนท์กว่า 30 ล้านหุ้น ส่วนการโอนวอร์แรนท์ออกไป เพราะต้องการขายสิทธิแปลงสภาพให้กับบุคคลอื่น

"ตอนนั้นผมมีวอร์แรนท์ตั้ง 30 ล้านหน่วย จะเอาตังค์ที่ไหนไปแปลง ก็ต้องขายหุ้นออกไปบางส่วน ส่วนการโอนวอร์แรนท์ออกไป ผมจำไม่ได้ว่าโอนไปเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นการโอนเพื่อขายให้กับคนอื่นไปแปลงสิทธิ แต่ไม่ใช่เอาไปขายให้รายใหญ่"

สุรพงษ์ ยืนยันว่า เขา และกลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัทยังคงถือหุ้น ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ ครบทุกคนไม่ได้หนีออกไป แต่ก็มีผู้ถือหุ้นรายใหม่เพิ่มขึ้น หากสังเกตรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันปิดสมุดทะเบียนล่าสุด จะเห็นได้ว่ามีเฉพาะกลุ่มวงศ์สวัสดิ์เท่านั้นที่ถอนตัวออกไป โดยขายหุ้นยกล็อต 20 ล้านหุ้น ให้กับกลุ่มวิไลลักษณ์

"ขอยืนยันว่าการเข้ามาของกลุ่มวิไลลักษณ์ ไม่ได้ถูกบังคับขาย (จากเจ๊แดง) เราเข้ามาเป็นพันธมิตรธุรกิจระหว่างกัน" (คาดว่าผลิตรายการให้กับช่องเคเบิลของกลุ่มสามารถฯ)

ขณะเดียวกันผู้ถือหุ้นของบริษัทก็มีชื่อ "ธาริณี ใบมาก" ซึ่ง "ธาริณี" นี่เอง คือผู้ที่เข้ามาซื้อหุ้น "ฟิวเจอร์บิส" บริษัทย่อยของ ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ ในสัดส่วน 20%

ส่วน "ชนะชัย ลีนะบรรจง" ก็เข้ามาเทรดหุ้น TRAF เป็นประจำ ซึ่ง "สุรพงษ์" อ้างว่า ชนะชัยเป็นนักเก็งกำไร ลักษณะการเข้าออกถือเป็นเรื่องปกติ

สุรพงษ์ ยอมรับตรงๆ ว่า หุ้น TRAF มีโอกาสอย่างมากที่จะถูกเก็งกำไรจากนักลงทุน เพราะหุ้นมีราคาต่ำ ส่วนสาเหตุที่หุ้นรีบาวนด์จาก 0.86 บาท ขึ้นมาเหนือ 1 บาท ก็เนื่องจากขณะนี้อยู่ช่วงกระแสฟุตบอลโลก ที่ทราฟฟิกคอร์นเนอร์ก็ร่วมผลิตรายการ จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่นักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรอีก

"อย่างหุ้นสยามสปอร์ต (SPORT) บอลโลกทุกครั้ง มันก็ขึ้นทุกที...ทราฟฟิกเราก็เป็นหุ้นกีฬา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีนักลงทุนเข้ามาเล่นเก็งกำไรกัน"

แผน (ลับ) ที่ "สุรพงษ์" แย้มให้ฟัง ถ้ามีคนเข้ามาเก็งกำไรหุ้น TRAF กันมากๆ ทางบริษัทก็อาจใช้จังหวะนี้ขายหุ้นเพิ่มทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ที่เหลืออีก 90 ล้านหุ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทมีเงินเข้ามาขยายธุรกิจได้อีก..ขณะนี้กำลังคุยกับกลุ่มผู้ลงทุนอยู่

"ถ้าจะขยายธุรกิจเราก็ต้องขายหุ้น PP จะรอเอากำไรมาลงทุนเพิ่มไม่ทันหรอก แต่ก็ต้องดูราคาด้วย ตอนนี้ราคามันอยู่ตรงพาร์ (1 บาท) ขายไปก็ไม่มีประโยชน์ เราอยากรอราคา ไม่ได้เดือดร้อนต้องเร่งขายพรุ่งนี้ จังหวะดีที่สุดน่าจะเป็นไตรมาส 2 ช่วงบอลโลก"

ด้านผลประกอบการปี 2549 จะขาดทุน 4 ปีซ้อนหรือไม่นั้น "สุรพงษ์" พูดแบบให้ความหวังว่า ปีนี้ต้องดีกว่าปี 2548 เพราะบอลโลกทำให้ชั่วโมงการออกอากาศของบริษัท (ในไตรมาส 2) มีมากขึ้น โดยได้ร่วมมือกับ "บีบีทีวี โปรดักส์ชั่น" ผลิตรายการฟุตบอลโลก

"ธุรกิจโทรทัศน์เป็นตัวทำรายได้หลักของเรา 46% รายการส่วนใหญ่จะเป็นฟุตบอล ซึ่งปกติจะมียอดขายลดลงในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงปิดฤดูกาล แต่ปีนี้มีบอลโลกทำให้ชั่วโมงการออกอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ"

เขากล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจสิ่งพิมพ์ก็มีโอกาสฟื้นตัว อย่างเช่น "มายา แชนแนล" เริ่มคุ้มทุน และทำกำไรได้บ้างแล้ว ส่วนแมกกาซีนใหม่ก็ได้เลื่อนออกไปก่อน เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะนี้ก็มีแนวคิดต่อยอดเนื้อหาสิ่งพิมพ์ไปสู่ "สื่อ" อื่น เช่น สื่ออินเทอร์เน็ต ไวร์เลส โทรศัพท์มือถือ

สุรพงษ์ บอกว่า นสพ.รายวัน บางกอกทูเดย์ ยังขาดทุน 2-3 ล้านบาทต่อเดือน เป็นภาระหลักเพียงฉบับเดียว ทำให้ต้องใช้เงินจากสิ่งพิมพ์อื่นมาจุนเจือ ซึ่งตอนนี้บริษัทได้เร่งปรับรูปแบบและกลุ่มเป้าหมาย เพื่อทำให้ธุรกิจอยู่ได้ ขณะนี้ได้รับการติดต่อมาจากกลุ่มนักธุรกิจบางราย สนใจจะเข้ามาร่วมทุน หากเจรจาสำเร็จโอกาสจะมีรายได้จากค่าโฆษณาก็สูงขึ้น

ส่วนนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทจากนี้ไป สุรพงษ์ กล่าวว่า จะเน้นร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร เพื่อลดความเสี่ยง นอกจากความร่วมมือกับ บีบีทีวี โปรดักส์ชั่น แล้ว ยังจะร่วมมือกับ บริษัท เดนท์สุ บริษัทตัวแทนโฆษณาของญี่ปุ่น เตรียมนำฟุตบอลลีกของญี่ปุ่น หรือ "เจลีก" มาถ่ายทอดหลังจบฟุตบอลโลก โดยจะออกอากาศ ช่วงเวลา 16.00 น. ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และช่อง 11 คาดว่าจะได้รับเม็ดเงินค่าโฆษณาจากบริษัทรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นในประเทศไทย

__________________________________________________________

"กลุ่มวิไลลักษณ์ หรือกลุ่มสามารถ" ใช่ผู้ได้รับสัมปทานเก็บขยะที่สนามบินสุวรรณภูมิ
หรือไม่

...
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #30 เมื่อ: 29-09-2007, 02:15 »

มาเสริมข่าวเรื่อง "อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม" เห็นว่าเป็นพนักงานในบริษัทของ ลูกสาวเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นี่เองครับ

http://www.bangkokbiznews.com/2006/02/04/news_19836000.php?news_id=19836000
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เลขาฯ"ชินณิชา"ซื้อหุ้นวินโคสท์5% อ้างลงทุน"ส่วนตัว"-ไม่แอบแฝง
วันเสาร์ที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

"ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์" หลานสาว "ทักษิณ" ยอมรับ "อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม" ผู้ลงทุนซื้อหุ้นวินโคสท์ 5.83% หรือ 18.87 ล้านหุ้น เป็นพนักงานตำแหน่งเลขาฯ ใน "อินนิค คอร์ปอเรชั่น" ซึ่งเป็นบริษัทที่ "ชินณิชา" เป็นเจ้าของ ขณะเดียวกัน หลานนายกฯ ยอมรับรู้จักกัน พร้อมยันแค่ต้องการลงทุนส่วนตัวไม่มีอะไรซ่อนเร้น

รายงานข่าวจากสำนัก ก.ล.ต.จากแบบรายงานการได้มา และจำหน่ายไป (246-2) ของบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค (WIN) ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นางสาวอัญชุลี ทรัพย์นุ่ม ได้รายงานการได้มาหุ้นวินโคสท์จำนวน 18.87 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.38% และหลังจากทำรายการ ทำให้นางสาวอัญชุลี ถือหุ้นเท่ากับจำนวนดังกล่าว

เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวข้างต้น นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า โดยส่วนตัวรู้จักกับนางสาวอัญชุลี ทรัพย์นุ่ม และการที่เข้าไปลงทุนครั้งนี้ของนางสาวอัญชุลี เพื่อต้องการลงทุนส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีอะไรแอบแฝง

"ยอมรับว่ารู้จักกัน ซึ่งเป็นการลงทุนส่วนตัว และเขาก็เป็นนักลงทุนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ต้องการลงทุนซื้อหุ้น ซึ่งไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร หรือมีแผนอะไรปิดบัง" กรรมการผู้จัดการกล่าว

จากการสำรวจข้อมูลจากกรมทะเบียนการค้าภายใน พบว่า นางสาวอัญชุลี ทรัพย์นุ่ม เป็นพนักงานในบริษัทอินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตำแหน่งเลขาฯ ซึ่งบริษัทดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2537 มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจประเภทผลผลิตจากเพลง บริการผลิตเพลง สื่อโทรทัศน์ วิทยุ และโฆษณา โดยปี 2547 บริษัทดังกล่าวมีรายได้รวมเพียง 1 ล้านบาท และมีผลขาดทุนถึง 35 ล้านบาท

นอกจากนี้ ข้อมูลจากกรมทะเบียนการค้าภายใน ยังระบุด้วยว่า บริษัทอินนิค คอร์ปอเรชั่น มีนางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ และนายชาคริต เฉลิมวัฒน์ เป็นกรรมการที่ลงลายมือชื่อร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม สำหรับการซื้อขายหุ้นวินโคสท์ ตั้งแต่เปิดซื้อขายหุ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2548 จนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 4.80 บาท และต่ำสุดที่ 2.80 บาท ขณะที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.50 บาท และล่าสุดปิดตลาดวานนี้ (3 ก.พ.) ปิดที่ระดับ 3.10 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มีมูลค่าการซื้อขาย 21.92 ล้านบาท

นอกจากนี้ พบว่าบริษัทวินโคสท์มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน หรือมีกลุ่มผู้ถือหุ้นและกรรมการเกี่ยวข้องกัน 31 บริษัท ประกอบด้วย 1.บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย 2. บริษัท ซิสเต็ม แอ๊ดไวเซอร์ กรุ๊ป จำกัด 3.บริษัท โซล่าร์ พาวเวอร์ ซิสเต็ม จำกัด 4.บริษัท ไซด์วอล์ค ฟู้ด แอนด์ เบเวอเรจ 5.บริษัท เดอะ พาสต้า ช้อป 6.บริษัท เดอะ พาสต้า เฮ้าส์ 7.บริษัท ทิพยประกันภัย 8.บริษัทบางกอก ฟู้ด อินดัสทรี 9.บริษัท โพลีกอน 10.บริษัท วาย. ชินวัตร จำกัด 11.บริษัท วินโคสท์ เซอร์วิส 12.บริษัท สินมหัต จำกัด 13.บริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น 14.บริษัท อินนิค มีเดียคอร์ปอเรชั่น

15. บริษัท อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) 16.บริษัท เอกสมบัติ จำกัด 17.บริษัท แอล แอล เอส คอร์ปอเรชั่น 18.บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 19.บริษัท เทเลเมติคส์ 20.บริษัท เทเลแม็กซ์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น 21.บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 22. บริษัท เป๋าตุงเฮง 23.บริษัท โปรเฟชชั่นแนล ฟู้ด แอนด์ เบเวอเรจ 23. บริษัท พอร์ทัลเน็ท 24.บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) 25.บริษัท สยามคอมมอน กรุ๊ป 26.บริษัท อีดีซี สแควร์ 27.บริษัท เอ็ม ช็อป โมบาย 28.บริษัท เอ็ม โซลูชั่น 29.บริษัท แอดว้านซ์ บิซิเนส ดิเวลลอปเม้นท์ 30. ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.แก้ววิเศษ และ 31.ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภัทรลภา

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทวินโคสท์ ณ 29 ธันวาคม 2548 ประกอบด้วย 1.น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ จำนวน 312.04 ล้านหุ้น 22.27% 2.น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ จำนวน 283.63 ล้านหุ้น คิดเป็น 20.25% 3.นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ จำนวน 278.68 ล้านหุ้นคิดเป็น 19.89% 4.นายสุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์ จำนวน 153.19 ล้านหุ้น 10.93% 5.นายวิสาล นีรนาทโกมล จำนวน 125.23 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.94% 6. SCOTIA INVESTMENT PARTNERS INCจำนวน 30 ล้านหุ้น 2.14%
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #31 เมื่อ: 29-09-2007, 02:47 »

และจากฐานข้อมูลของผมเอง เว็บประชาชาติธุรกิจ http://www.matichon.co.th/prachachart
เคยลงข่าวตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2006 เรื่องการตรวจสอบบ้านของอัญชุลี ทรัพย์นุ่ม และผู้ถือหุ้น
อีกคนหนึ่งที่ถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบริษัทของตระกูลวงศ์สวัสดิ์

แต่จากการตรวจสอบเว็บประชาชาติธุรกิจ ได้เอาลิงค์ข้อมูลนี้ออกไปแล้วครับ.. เอาที่ผมเซฟไว้มาให้ดู
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปิดบ้าน "อัญชุลี-สุวรรณา"
Thursday, May 11, 2006  02:39

"อัญชุลี ทรัพย์นุ่ม" มีชื่อถือหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3 แห่ง มูลค่าเกือบ 40 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ปลายเดือนธันวาคม 2548 น.ส. อัญชุลีตกเป็นข่าวว่าเข้าไปทำรายการบิ๊กลอตหุ้น WIN (หุ้น บมจ.วินโคสท์ฯ)
ทำให้ปริมาณการซื้อขายพุ่งกระฉุดระหว่าง 27-46 ล้านหุ้นต่อวัน ดันราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ก.ล.ต.ได้รับรายงานการได้มาและจำหน่ายไป (246-2) ของบริษัทวินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค (WIN)
ระบุว่า น.ส.อัญชุลีได้รายงานการได้มาของหุ้นวินโคสท์ฯ จำนวน 18.87 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.38% และหลังจากทำรายการทำให้
น.ส.อัญชุลีถือหุ้นเท่ากับจำนวนดังกล่าว

"ประชาชาติธุรกิจ" ตรวจสอบพบว่า

"อัญชุลี" เกิดวันที่ 14 สิงหาคม 2505 ปัจจุบันอายุ 44 ปี พ่อชื่ออำพันธ์ แม่ชื่อลำภู ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 67/8 หมู่ 8 ต.บางพูด
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบบ้านที่ น.ส.อัญชุลีอาศัยอยู่พบว่าเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นค่อนข้างเก่า เนื้อที่ไม่เกิน 50 ตารางวา
ปัจจุบันทำงานเป็นเลขานุการของ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ในบริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด

ขณะที่ "สุวรรณา มณีสวัสดิ์" ถือหุ้นกว่า 20 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่า เกิดวันที่ 12 พฤศจิกายน 2519 ปัจจุบันอายุ 30 ปี
ในบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ยานัท จำกัด ระบุที่อยู่ว่าอยู่บ้านเลขที่ 220/181 หมู่ 4 ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์
จ.สมุทรปราการ

จากการเดินทางไปตรวจสอบของผู้สื่อข่าวพบว่าเป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น หน้ากว้างประมาณ 4 เมตรเท่านั้น

--ประชาชาติธุรกิจฉบับวันที่ 11 - 14 พ.ค. 2549--
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,591


"Angela Gheorghiu" My goddess


เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 29-09-2007, 12:39 »

ขอพูดในฐานะที่รู้เรื่องนี้พอสมควรนะคะ บริษัทเคปหน่ะ ไม่ใช่บริษัทที่ดีนะ ขาดทุนมานาน เพิ่มทุนไปหลายรอบก็ไม่ดีขึ้น ก่อนจะขายให้กลุ่มวงสวัสดิ์ มูลค่าหุ้นก็เหลือแค่ 14 สตางค์ เพราะฉะนั้นที่เทนเดอร์ไปราคา 26 สตางค์ถือว่าไม่ได้เอาเปรียบผู้ลงทุนรายย่อยค่ะ

ทั้งนี้เพราะเจ้าของเดิม เน่าสุดขีด เป็นที่ทราบกันมานานแล้ว เพราะเพิ่มทุนไปกี่ครั้งก็เงินหาย ใครๆ ก็รู้ว่าตัวนี้เป็นหุ้นเน่า หุ้นปั่น ที่ ตลท. ไม่ยักกะคิดกำจัดมันออกไป

ส่วนในกรณี วินโคสต์ หลังจากซื้อไปแล้ว เอามาเพิ่มทุนแต่งตัวเข้ามาใหม่ แล้วจะมีพฤติกรรม ปั่นหุ้น หลอกลวงผู้ถือหุ้นรายย่อยอีกหรือไม่เป็นกรณีที่ต้องพิจารณาแยกส่วนกันค่ะ

ที่พาดหัวว่า สามพี่น้อง "วงศ์สวัสดิ์" เทคโอเวอร์ บ.ทุนระดับหมื่นล้าน ในราคาหุ้นละ "หนึ่งสลึง" นั้น เป็นการให้ข้อมูลไม่หมด แต่ดูจากเนื้อหาที่ตามมาก็เสนอรายละเอียดไปแล้วว่าเหลือมูลค่าตามบัญชีแค่ 14 สตางค์ ดูรูป
 



ปล. ไม่ได้เข้าข้าง ชอบแถ เพราะไม่ได้อ่านความเห็นหมอนี่ แอนแทบจะไม่ได้อ่านเนื้อหาทั้งหมด แต่จะบอกเจ้าของกระทู้ว่าอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนเท่านั้นค่ะ
บันทึกการเข้า

       

"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
kman
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 102


« ตอบ #33 เมื่อ: 29-09-2007, 14:09 »

แนะนำให้ท่านผู้ตั้งกระทู้ ไปตั้งโต๊ะรับซื้อแข่งครับ
แล้วทำให้บริษัท มีกำไรพุ่งปรี๊ดๆ ไปเลยนะครับ
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #34 เมื่อ: 29-09-2007, 14:22 »

คิดว่า จขกท. เข้าใจประเด็นที่คุณแอนบอกมาดีนะครับ

เพียงแต่ประเด็นที่นำเสนอในกระทู้นี้ออกไปในเรื่องการซุกหุ้นผ่านตัวแทน
แถมด้วยเรื่องการปั่นหุ้น ซึ่งไม่ตรงกับชื่อกระทู้ทีเดียวนักน่ะครับ

ผมเองก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีงบการเงินรวม ก่อนลดทุนมาแสดงเอาไว้ด้วย
บริหารยังไงเงินหายเป็นหมื่นล้าน ทำอย่างกับรัฐวิสาหกิจเลยนะนั่น

แต่การซื้อที่สลึงเดียว และราคาไปเปิดที่ 5 บาทเพิ่มขึ้น 2,000% ก็ต้อง
ถือว่างานนี้กำไรกันมโหฬารจริงๆ ครับ

อย่างไรก็ตาม ... ประเด็นที่ควรสนใจในกระทู้นี้คือเรื่องการซุกหุ้นนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2007, 14:24 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
Voo
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 15



« ตอบ #35 เมื่อ: 28-09-2008, 01:47 »

ไม่กล้าออกความคิดเห็นมากนัก แต่อยากบอกว่าเค้าเก่งทั้งตระกูล ขอยอมแพ้
บันทึกการเข้า
...นึกว่าใคร ?
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 159


" ? "


เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 28-09-2008, 01:51 »

ไม่กล้าออกความคิดเห็นมากนัก แต่อยากบอกว่าเค้าเก่งทั้งตระกูล ขอยอมแพ้
บันทึกการเข้า

หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 28-09-2008, 02:18 »

ไม่เก่งได้ไงฮะ  ไม่รู้ซะแล้วว่าใครขาใหญ่  แต่พอ คนบางคนโดนอัปเปหิไป

พาวตัวเองก็หายไปซะดื้อๆ   ลองดูดิ  ว่ายอดที่ทำได้ ตอนมีใครบางคนอยู่ กับตอนนี้มันต่างกันขนาดไหน

     ตระกูล นี้เค้าเก่ง หุ้นสร้าง

กับถนัดเรื่อง ดิสเครดิต   ใครทะลึ่ง มาแย่งหุ้นที่กูเล็งไว้หละก็ โดนกระทืบเอาง่ายๆ  แค่นั้นแหละ  จากที่มีคนแข่งขัน เลยเล่นซะคนเดียว  อย่างงั้นแล 
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
หน้า: [1]
    กระโดดไป: