เหรอ เรื่องปรส ส่งไปปปช เหรอ .......ตั้งปี เหรอ ...ตั้งปี ขนาดDSI ของแก ตั้ง 2 ปี เพิ่งแจ้งข้อหา แล้วแกหอนหาอะไร มารควายนปก ขนาดเรื่องเมียพ่อสมชายของแก ที่ส่งไป ยังเกือบ 2 ปีกว่าที่ร่ำรวยผิดปกติ ป่านนี้ ยังไม่เสร็จเลยวะ เนอะ แหมมันช้าเนอะ หรือเรื่องที่นายสมชายทุจริตสมัยเป็นอธิบดี นั้น เกือบ 4 ปี ยังไม่เสร็จเลยวะ แหมเรื่องที่พวกแกกินตั้งหลายเรื่องไม่เห็นเสร็จสักเรื่องมาก่อน แต่เรื่องแกมาทีหลังหน้าด้านจะแซงคนอืนโถ มารควา-ยหน้าโง่ วันๆๆเอาแต่แปะ แต่ไม่เคยรุ้ข่าวความจริง ว่ามันเป็นอย่างไรวะ
ทุกครั้งที่มณฑาอ้าปากร้องหาความรู้...พี่จ๊ะจึงมีหน้าที่หย่อนปัญญาสีเหลือเป็นก้อนๆใส่ปากมณฑาอย่างทะนุถนอม(กลัวเปื้อนอ่ะ)
"ย้อนรอย ปรส."ปล้นรอบสอง" 6 แสนล้าน!! ย้อนรอยอัปยศโจรเสื้อนอก ปรส.
อภิมหายุทธการปล้นชาติ 6 แสนล้าน!
(ตอนที่ 1)
เป็นที่ยอมรับกันว่าวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย หรืออุบัติการณ์ ?ฟองสบู่แตก? ที่เกิดขึ้นในปี 2540 ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ของชาติที่เปรียบเสมือนการ ?เสียกรุงครั้งที่ 3? โดยคนไทยทั้งแผ่นดินต้องเผชิญกับสภาพการสูญเสียเอกราชอธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วยความขมขื่น สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินสาธารณะหลาย ?ล้านล้านบาท?
รากเหง้าของวิกฤตชาติดังกล่าวเกิดจากการความความอ่อนด้อยบวกกับความละโมบของ ?รัฐบาลนายแบงก์? ที่ติดบ่วงมายาโลกาภิวัตน์ จนตัดสินใจผิดอย่างใหญ่หลวงในการผลักดันนโยบายเสรีทางการเงินสุดขั้ว โดยการเปิดกิจการวิเทศน์ธนกิจ หรือ ?บีไอบีเอฟ? (Bangkok International Banking Facilities : BIBF) ในปี 2537 โดยไม่มีมาตรการรองรับ เช่น จงใจปล่อยให้เกิดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยภายใน (12%) และภายนอกประเทศ (7%) และยังคงปล่อยให้เงินบาทผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือระบบ ?ตระกร้าเงิน? (Basket of Currencies) แทนที่จะ ?ลอยตัวค่าเงินบาท? (Managed Float) เพื่อให้วิถีค่าเงินเป็นไปตามกลไกตลาดเสรีอย่างแท้จริง
นโยบายที่แฝงด้วย ?วาระซ่อนเร้น? ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดสภาพ ?เงินนอกไหลท่วม? เนื่องจากทุกฝ่ายต่างมุ่งตักตวงโอกาสในการแสวงหาประโยชน์หรือกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย จนเมื่อสถานการณ์สุกงอม ?ค่าเงินบาท? ก็เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่องเมื่อถูกโจมตีจากกองทุนค้าเงินข้ามชาติ (Hedge Fund) โดยเฉพาะ ?ปีศาจการเงิน? อย่าง ?จอร์ส โซรอส? ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ?แบงก์ชาติ? ต้องทุ่มทุนปกป้องค่าเงินบาทอย่างถมไม่เต็ม แต่ก็ต้องยอมยกธงขาวก่อนที่เงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจะหมดเกลี้ยง และจำต้องประกาศ ?ลอยตัวค่าเงินบาท? เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 พร้อมทั้งขอรับความช่วยเหลือจาก ?ไอเอ็มเอฟ? หลังจากที่เกิดความเสียหายจากความ ?บกพร่องและบ้าบิ่น? ในการปกป้องค่าเงินบาทเป็นจำนวนมหาศาล
เฉพาะเพียงแค่วันที่ 15 พฤษภาคม 2540 วันเดียว ที่ประชุมผู้บริหารแบงก์ชาติได้มีมติให้ผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการปกป้องค่าเงินบาทได้โดยไม่จำกัดวงเงิน ส่งผลให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินทุนสำรองฯ ในการปกป้องค่าเงินบาทไปอีกกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ ?2 แสน 5 หมื่นล้านบาท? ซึ่งถือได้ว่า ?เป็นการป้องกันค่าเงินที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย และอาจจะแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกก็ว่าได้?
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายดังกล่าวยังไม่เทียบเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังวิกฤติชาติ จากน้ำมือขององค์กรที่มีชื่อว่า ปรส. หรือ ?องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน? ที่สร้างความเสียหายแก่สินทรัพย์ของชาติรวมมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท จนมีผู้ประณามวีรกรรมของ ปรส.ว่าเปรียบเสมือนการ ?ปล้นรอบสอง?
มูลเหตุกำเนิดของ ปรส.สืบเนื่องมาจากภายหลังจากที่มีการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งอย่างถาวรในปี 2540 รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนดจัดตั้ง ปรส. เพื่อให้ทำหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่ถูกปิด ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ของชาติ รวมมูลค่าราว 823,000 ล้านบาท (อาจสูงถึง 1 ล้านล้านบาท)
แต่ปรากฏว่า ปรส.กลับนำสินทรัพย์ทั้งหมดมากองรวมกันโดยไม่ได้แยกหนี้ดีและหนี้เสียออกจากกัน และทำการประมูลแบบ ?ยกเข่ง? สร้างความสูญเสียแก่ประเทศอย่างใหญ่หลวง ถือเป็นความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เนื่องจากสินทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 8 แสนล้านบาท ปรส.เปิดประมูลได้กว่า 2 แสนล้านบาทเท่านั้น มูลค่าสินทรัพย์ของประเทศสูญหายไปถึง 6 แสนล้านบาท
จนถึงวันนี้ประชาชนยังไม่ได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าการดำเนินการของ ปรส.ผิดพลาดอย่างไร และยังไม่ทราบว่าความเสียหายทั้งหมดนี้ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่ามูลเหตุที่อาจทำให้ ปรส.ตัดสินใจรวม ?หนี้ดี-หนี้เสีย? กองไว้ด้วยกันและเปิดประมูลแบบยกเข่งนั้น อาจเป็นเพราะการที่ ?แบงก์ชาติ? ไม่ต้องการเปิดเผยถึงความผิดพลาดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน จึงไม่ต้องการให้มีการแบ่งเป็นกองหนี้ดีและกองหนี้เสีย
ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง ปรส.ตามพระราชกำหนดการปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ไม่ได้มุ่งให้ ปรส.ดำเนินการขายสินทรัพย์แบบ ?ขายทอดตลาด? แต่ต้องการให้ ปรส. ?ปฏิรูป? หรือ ?ฟื้นฟูหนี้เสีย? ให้กลายเป็นหนี้ดีขึ้นหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นให้มากที่สุด เพราะสินทรัพย์ดังกล่าวมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อหนี้สาธารณะ ซึ่งประชาชนทุกคนต้องเป็นผู้แบกรับความเสียหายทั้งหมดในที่สุด
อาจกล่าวได้ว่ามูลเหตุสำคัญในความผิดพลาดของ ปรส.เกิดจากการที่มี ?ผลประโยชน์ทับซ้อน? (Conflict of Interest) เนื่องจากหลายสาเหตุ แม้ข้อเท็จจริงตามกฎหมายอาจดูไม่เข้าข่ายมูลฐานความผิด แต่ในแง่ของจรรยาบรรณถือเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างชัดเจน ดังนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สามารถเอาผิดคนบางกลุ่มไม่ได้ แต่สังคมควรได้รับรู้ว่าใครบ้างที่มีความผิดด้านจรรยาบรรณ และจะต้องลงโทษคนที่ร่วมกันสร้างความเสียหายแก่ประเทศ
พฤติการณ์ที่น่าสงสัยของผู้บริหาร ปรส.เริ่มตั้งแต่การว่าจ้าง บริษัท เลห์แมนบราเดอร์ส (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นที่ปรึกษาวาณิชธนกิจ โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาในการจัดการสินทรัพย์ของ ปรส.ทั้งหมด โดยบริษัทดังกล่าวได้ทำเกินหน้าที่ด้วยการให้ข้อเสนอในการตั้งเงื่อนไขต่างๆ ให้ข้อมูลในด้านตัวเลขและราคาแก่ผู้เข้าร่วมประมูล และเมื่อ ปรส.เปิดการประมูลสินทรัพย์ก็ปรากฏว่าเงื่อนไขต่างๆ เป็นที่น่าเคลือบแคลงอย่างยิ่ง เช่น
1. การไม่ยอมให้ลูกหนี้ร่วมประมูลหนี้ของตนเอง อันเป็นการตัดสิทธิผู้รู้ข้อมูลของสินทรัพย์ที่แท้จริง
2. ตั้งสินทรัพย์เป็นกองใหญ่ๆ ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาที่รู้ว่าหากตั้งเป็นกองใหญ่ๆ ในขณะนั้นคนไทยย่อมขาดเงินทุนหรือไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะเข้าร่วมแข่งขันในการประมูล
ดังนั้นจึงเปิดช่องให้กลุ่มบริษัทต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการประมูลครั้งนี้ โดยข้อน่าสังเกตุก็คือผลการประมูลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกันอย่างชัดเจน (เรียกกันว่ามีครีมอยู่ข้างบน) วงเงินจำนวนมากแต่ผลการประมูลได้กว่า 19,000 ล้านบาท โดยผู้ที่ชนะการประมูลก็คือ บริษัท เลห์แมนบราเดร์สโฮลอิ้ง อิงค์ ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ปรึกษาของ ปรส.(เลห์แมนบราเดอร์สฯ) 99.99%
จึงกล่าวได้ว่าผู้ชนะการประมูล ?รู้ไส้ ปรส.? ก่อนคู่แข่ง แต่ผู้บริหาร ปรส.กลับอ้างว่า ทั้ง 2 บริษัทไม่มีการเปิดเผยข้อมูลถึงกัน เพราะมี Chinese Wall หรือ ?กำแพงเมืองจีน?
หากแต่ในความเป็นจริงไม่มีประเทศใดในโลกที่จะยอมให้บริษัทปรึกษาวาณิชธนกิจซึ่งเป็น ?บริษัทลูก? เป็นผู้วางกรอบและกำหนดเกณฑ์ในการประมูล จนกระทั่ง ?บริษัทแม่? เป็นผู้ชนะการประมูลในที่สุด
นี่เป็นเพียงปฐมบทของ ?อภิมหายุทธการปล้นชาติ 6 แสนล้าน? ที่ควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบ"