ไปเจอบทความในคอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส" ของ นสพ.แนวหน้า
เสนอแนะถึงสิ่งที่รัฐบาลใหม่จะต้องทำ
เขียนอะไรหลายอย่างได้ตรงใจดี ก็เลยเอามาฝากกันนะครับ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องทำ ถ้าไม่ทำชาติหายนะ (กวนน้ำให้ใส)http://www.naewna.com/news.asp?ID=123548 ไม่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะเป็นใคร หรือจะมาจากไหน ...
1. รัฐมนตรีจะต้องมีคุณสมบัติเหมาะสม มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับของสังคมส่วนรวม ไม่ใช่แค่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย หรือเป็นที่ยอมรับของกลุ่มก๊วนต่างๆ ในพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น
จะต้องไม่ใช่คนที่มีข้อครหา มีสีเทา มีชนักติดหลัง หรือมีภาพลักษณ์ว่าเป็นบริวารลิ่วล้อที่จะเข้ามา
รับใช้ระบอบทักษิณ มากกว่าจะมาทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม
ต้องไม่ใช่รัฐมนตรีหน้าเดิมๆ แบบเดิมๆ กับรัฐบาลสมัคร
อย่าลืมว่า บรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลสมัครได้สูญสิ้นความชอบธรรมไปหมดแล้ว เพราะรัฐบาลได้ใช้อำนาจบริหาร
ราชการแผ่นดิน จนก่อให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรง เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็น การมีมติ ครม.
เห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ทั้งๆ ที่ ไม่มีความจำเป็น จนเป็นเหตุให้เศรษฐกิจเสียหายรุนแรง รวมถึง
การใช้อำนาจโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ กรณีมีมติเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมกัมพูชากรณีปราสาทพระวิหาร ฯลฯ
ประเทศชาติกำลังวิกฤติ จวนเจียนจะล่มจม สู่หายนะ การเรียกร้องให้ประเทศชาติ ได้มีรัฐมนตรีที่ดีๆ เข้ามาบริหาร
ราชการแผ่นดิน ไม่ใช่เอาเก้าอี้รัฐมนตรีไปแบ่งเค้กกันเองในหมู่นักการเมืองสามานย์ผู้หิวโหย... ขอแค่นี้ มันมากไปหรือ !
2. จะต้องให้มีการตรวจสอบ "มติ ครม.ทิ้งทวน" ของรัฐบาลนายสมัคร หลายกรณี ส่อไปในทางที่ไม่โปร่งใส ทำให้ราชการสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล เช่น
2.1 กรณีอนุมัติให้จัดหารถโดยสารปรับอากาศเอ็นจีวี จำนวน 4,000 คัน มูลค่า 62,598 ล้านบาท
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดถึงความลุกรี้ลุกรน และข่าวอื้อฉาวว่ามีการแสวงหาผลประโยชน์โดยชอบ
จากโครงการดังกล่าว
2.2 กรณีอนุมัติให้การทางพิเศษฯ (กทพ.) ชดเชยให้บริษัทบีอีซีแอล 70% ของผลต่างรายได้ (ตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. 2541
-29 ก.พ. 2563) คิดเป็นมูลค่า ณ ปีปัจจุบัน 2551 เป็นเงินมูลค่า 18,086 ล้านบาท
โดยที่บริษัทเอกชนดังกล่าว มีนายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาของนายสมัคร (ในขณะนั้น) เป็นประธานกรรมการ
2.3 กรณีอนุมัติเงินงบประมาณงวดแรก เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ที่เกียกกาย 119 ไร่ ท่ามกลางกระแสต่อต้านของ
ประชาชนในพื้นที่และนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ เพื่อจ่ายชดเชยเป็นค่าขนย้ายของหน่วยราชการต่างๆ และออกแบบ
วงเงินกว่า 300 ล้านบาท จาก 770 ล้าน และจะต้องใช้งบผูกพันข้ามปีต่อๆ ไป รวมมูลค่า 19,000 ล้านบาท
2.4 กรณีอนุมัติโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/52 ปริมาณ 8 ล้านตัน ข้าวเปลือกจ้าวตันละ 14,000 บาท
ข้าวเปลือกเหนียวคละตันละ 9,000 บาท ซึ่งหากชาวนานำข้าวมาจำนำครบตามจำนวน 8 ล้านตัน ประเมินว่า รัฐจะต้องใช้
งบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท
ทั้งๆ ที่ ไม่มีความจำเป็นต้องรับจำนำข้าวในราคาสูงขนาดนี้ (อันที่จริง แบบนี้คือการรับซื้อ) เป็นการทำลายระบบตลาด
ที่กำลังทำงานในภาวะที่ราคาข้าวที่ราคาดีอยู่แล้ว อีกทั้ง ที่ผ่านมา การรับจำนำข้าวแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์กับชาวนา
มากเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงการทุจริตอย่างมโหฬาร
ส่อว่า จะเป็นการใช้เงินหลวงไปสร้างภาพ ซื้อเสียงจากชาวนา
3. จะต้องให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจของนายสมัคร ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2551
รวมถึงการให้ความเห็นชอบของ ครม. โดยไม่สมควรแก่เหตุ เกินกว่าเหตุ ไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ 2550
ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ
และต้องสงสัยด้วยว่า การสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เมื่อคืนวันที่ 1 ก.ย. 2551 เพื่อเป็นเหตุให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
โดยกลุ่ม นปก. ยกพวกมุ่งเข้าไปทำร้ายผู้ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวาน จนเกิดเหตุปะทะ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บมากกว่า
40 รายนั้น มีลักษณะเป็นขบวนการ หรือมีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวพัน ชักจูง จ้างวาน หรือชี้นำ โดยรัฐมนตรีพรรคพลังประชาชน
ส.ส.พรรคพลังประชาชน หรือแม้แต่หัวหน้าพรรคพลังประชาชน หรือไม่ ?
4. จะต้องไม่ดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมาย อันมีผลให้เชื่อได้ว่า เป็นการพยายามช่วยเหลือพรรคการเมือง
ที่กำลังถูกดำเนินคดียุบพรรค กับ พ.ต.ท.ทักษิณและพวก อย่างเด็ดขาด ! 5. จะต้องสนับสนุน ปกป้อง คุ้มครอง และไม่ก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของตุลาการ ศาลยุติธรรม องค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง
กับการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ปัญหาข้อขัดแย้งที่มีอยู่เดินไปตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง
6. สนับสนุน ปกป้อง และคุ้มครองการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาของสื่อมวลชน และจะต้องใช้สื่อของรัฐ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์
และวิทยุ (ช่อง 11 วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ฯลฯ) นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ประเด็นปัญหาบ้านเมืองอย่างรอบด้าน มีคุณภาพ เพื่อขจัดปัญหาความแตกแยกอันเกิดจากการที่ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพเพียงพอ จะต้องไม่ให้เกิดการใช้สื่อของรัฐ
เพื่อโจมตี ใส่ร้าย บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ยุยงปลุกปั่นประชาชน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองอย่างเด็ดขาด
7. จะต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยยึดมั่นในสันติวิธีอย่างเข้มงวด ไม่ดำเนินการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิต
และเลือดเนื้อของประชาชนอย่างสิ้นเชิง
สรุป ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในสิ่งเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม
ก็ควรจะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชน
หรือ ถ้าตั้งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว หากรัฐบาลชุดใหม่ไม่สามารถทำในสิ่งเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม ก็ต้องออกไปโดยเร็วที่สุด
สารส้มวันที่ 17/9/2008