LEOidentity
|
|
« เมื่อ: 09-09-2008, 05:03 » |
|
เชื่อว่าพวกเราหลายๆ คน คงจะเจอปัญหาในลักษณะคล้ายๆ กัน กับการต้องพูดคุย "ปัญหาการเมือง" ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นญาติ เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด หรือแม้แต่คนรู้จัก ซึ่งหลายคนชอบ "ทึกทัก" ว่าพวกเขาคือ "พลังเงียบ" ทั้งที่ในความเป็นจริง "ความเงียบ" นั้นเกิดจากความไม่รู้จักเสียสละ หรืออาจจะเป็น "ความขี้ขลาด" ในการแสดงออกในที่สาธารณะเสียด้วยซ้ำ
ผมไม่อยากจะโทษระบบการศึกษาของประเทศของเรา ที่มักจะสอนให้ "จำ" มากกว่าการคิดและทำความเข้าใจ เราถูกปลูกฝังให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าที่จะมองส่วนรวม ดูจากการขับรถของคนส่วนใหญ่ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ
"ผมไม่เอารัฐบาล แต่ก็รำคาญพันธมิตร" เป็นประโยคยอดฮิตยิ่งกว่า "สมัครออกไป" ด้วยซ้ำ ผมมักจะถามพวกเขากลับไปว่า "แล้วคุณเสนอทางเลือกอะไรให้กับสังคมบ้าง" ซึ่งคำตอบก็มักจะออกมาว่า "ไม่เอา น่าเบื่อ ปวดหัว" ซึ่งผมก็มักจะตอบกลับไปว่า "ถ้าอย่างนั้น เราควรจะทำอย่างไร ในเมื่อคุณก็บอกเองว่า ไม่เอารัฐบาล นั่นแสดงว่า คุณเองก็รู้ และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่รัฐบาลทำ แต่พอมีคนลุกขึ้นมานำในการที่จะไม่ปล่อยให้มีการทำร้ายบ้านเมือง คุณก็เลือกที่จะไม่เสียสละอะไรเลย แม้แต่ปัญหาเพียงเล็กน้อย อย่างนั้น เราควรอยู่เฉยๆ หรืออย่างไร แล้วปล่อยให้รัฐบาลทำอะไรได้ตามอำเภอใจต่อไปอย่างนั้นหรือ คุณไม่ทำ แต่พอมีคนทำ คุณก็ยังกล้าที่จะพูดคำว่ารำคาญออกมา คุณรู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่ทำอะไร แล้วจะไม่ยิ่งไปกว่า คนที่เขาไม่รู้อีกหรือ คนที่รับเงินบางคน เขาอาจจะไม่ทันเกมก็ได้ด้วยซ้ำไป" ก็ได้ผลในระดับหนึ่ง ที่หลายคนก็นิ่งและหยุดคิด และหลายคนก็เริ่มหันมาศึกษาข้อมูลและเริ่มสนใจการเมือง ผมบอกพวกเขาอีกว่า "คุณจะสนับสนุนฝ่ายไหนเป็นเรื่องของคุณ แต่สิ่งที่เราต้องทำก็คือ มีส่วนร่วมในการเมืองภาคประชาชน"
ผมไม่อยากจะบอกเลยว่า คนที่เห็นด้วยกับคุณทักษิณและรัฐบาลอย่างจริงใจ มิใช่คนที่เลือกรัฐบาลเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง แล้วกล้าที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นในทางบวกกับรัฐบาล ก็ยังดีกว่า คนที่ไม่เอาอะไรสักอย่างเลยอย่างนี้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างมีเหตุมีผล และผมก็พร้อมที่จะเคารพในความคิดของเขา หากคุณเห็นด้วยกับรัฐบาล คุณก็ประท้วงพันธมิตรตามสิทธิ์ที่พึงมี หาใช่การเคลื่อนคนเข้ามาเพื่อปะทะดังที่ปรากฎเป็นข่าวไม่
มีบางคนถามผมว่า เอารัฐบาลออกไปแล้วอย่างไร มันก็เหมือนเดิม เดี๋ยวมันก็กลับมาอีก หรือไม่งั้น จะเอาใครมาเป็นนายก ผมเลยตอบไปว่า ทำไมคุณต้องคิดซับซ้อนไปไกลขนาดนั้น เรื่องอนาคตผมเองก็คงตอบคุณไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่ผมตอบได้คือ เรื่องปัจจุบัน เรื่องที่รัฐบาลอาจจะทำให้เราล่มจมกันทั้งชาติ ซึ่งผมมีความเห็นอย่างนั้นจากการติดตามข่าวสาร เมื่อพันธมิตรลุกขึ้นมานำในการทวงถามความชอบธรรม ผมจึงเลือกที่จะสนับสนุนพันธมิตร คิดง่ายๆ ก็พอว่า แกนนำพันธมิตรมิใช่ผู้กุมอำนาจ ไม่ได้บริหารงบประมาณแผ่นดินมหาศาล กลุ่มที่เราต้องตรวจสอบคือ รัฐบาล
หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนกลับไป ก็เหมือนกับข้าศึกยกมาประชิดเมือง แล้วก็จะมีพวกที่ไม่ชอบข้าศึก ไม่อยากเสียเมือง แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ยอมที่จะออกไปรบเพื่อปกป้องบ้านเมือง เชื่อหรือไม่ครับ มีคนบางพวกไม่สนใจด้วยซ้ำ ว่าต่างชาติจะมาปกครองเมือง...ขอเพียงให้ได้อยู่สุขสบาย ก็พร้อมจะเป็น "ขี้ข้า" รับใช้ต่างชาติ สิ่งที่บรรพบุรุษเราต่อสู้นั้น มันคือ "ศักดิ์ศรี" ครับ "ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นไทย ที่ไม่ยอมเป็นทาสใคร"
และหากใครเคยได้อ่านประวัติศาสตร์ในวันที่พม่าเสียเมืองให้แก่อังกฤษ ก็จะรู้ว่ามีชาวพม่าบางคน ยอมขึ้นเรือของกองทัพอังกฤษ ที่กำลังเคลื่อนมาตามลำน้ำอิรวดีสู่เมืองมัณฑะเลย์ เมืองหลวงของพม่าในขณะนั้น เพียงเพื่อแลกกับเศษเงินที่อังกฤษหยิบยื่นให้ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไร กับพวกที่รับเงินให้มากระทำความรุนแรง หรือป่วนตามสื่อต่างๆ แบบไร้เหตุผล
สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับคุณๆ ที่ชอบบอกว่าเป็นกลาง ก็คือว่า มันไม่มีหรอกครับ ความเป็นกลาง และอย่าคิดว่าคุณคือ "พลังเงียบ" ผมว่าคุณคือ "พลังที่ว่างเปล่า" มากกว่า เพราะทั้งหมดก็คือ ถ้าคุณชอบรัฐบาล คุณก็แสดงความเห็นด้วยออกมา และแสดงออกมาอย่างสร้างสรรค์ แต่ถ้าคุณคิดว่ารัฐบาลนี้กำลังทำให้ชาติบ้านเมืองล่มจม ไม่ใช่แค่โกงกินอย่างที่เคยเป็นมา แต่มันคือการเอาสมบัติของชาติออกขายทีละอย่างสองอย่าง คุณก็ควรจะลุกขึ้นมาต่อต้าน ทำเท่าที่กำลังคุณจะทำได้
เพราะไม่ว่าคุณจะเลือกที่จะสนับสนุนทางฝ่ายใด คุณกำลังทำหน้าที่ของ "คนไทย" คนหนึ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ และผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม พวกเราทั้งหมดก็ต้องรับผลของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะคิดผิดคิดถูก แต่อย่างน้อย เราทุกคนก็ได้แสดงออกในทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคน "ต้อง" ทำ
และสำหรับคนที่คิดว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของเรา คุณคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะชีวิตความเป็นไปของประชาชนทุกคนขึ้นอยู่กับการเมืองทั้งสิ้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2008, 05:15 โดย LEOidentity »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
May The Force Be With You
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 09-09-2008, 06:31 » |
|
เป็นกลางระหว่างไข่ 2 ลูก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"เจไดที่ฉลาดมากๆ คนหนึ่งเคยบอกข้าไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องชนะ แต่เราต้องสู้"
|
|
|
GN-001 Exia
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 09-09-2008, 07:47 » |
|
ใช่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
พวกที่เอาคำว่า "เสรีภาพ" มาบังหน้าเพื่อเบียดเบียนคนอื่นนี่มันเลวที่สุด
|
|
|
FireSatongNorth
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 09-09-2008, 09:09 » |
|
วิเคราะห์ได้ดีครับ ถูกใจ.. ถ้าได้ดู เดี่ยว 7 ของ โน๊ต อุดม แล้วจะเป็นว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนไกลเมือง
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 09-09-2008, 09:26 » |
|
ความเห็นส่วนตัวนะครับ.. อย่าคาดหวังกับสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ครับ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม มันจะมาเอง หากไม่มาเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะไม่ได้คาดหวังอะไร เอาแนวร่วมและอุดมการณ์ที่เรามีเป็นตัวตั้งดีกว่าครับ ผมเชื่อว่าคนที่มีอุดมการณ์และเป็นแนวร่วมเดียวกันกับเรายังมีอีกเยอะครับในสังคม
..เชื่อมั่นและศรัทธาครับ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นราชพลี
|
|
|
สวิส
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 09-09-2008, 09:36 » |
|
ในความเห็นผม ส่วนใหญ่ของพลังเงียบ คือ คนเห็นแก่ตัว (เห็นแก่ประโยชน์สุข ความสบายส่วนตัว และขี้เกียจ) และคนเห็นแก่ตัวไม่มีวันรวมตัวกันได้ (ยกเว้นถ้ามีทักษิณเป็นผู้นำ ฮ่า ๆ ๆ)เพราะฉะนั้นพลังเงียบ ก็เหมือนกับผี หลายคนเชื่อว่ามีอยู่จริง รวมทั้งผมด้วย แต่ไม่เคยเห็น และจะไม่มีวันพิสูจน์ได้ว่ามีจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
big j
สมาชิกสามัญขั้นที่ 1
ออฟไลน์
กระทู้: 40
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 09-09-2008, 10:06 » |
|
ใครต่อใครแม้แต่วีระ ธีรภัทรก็ยังอ้างเอาข้อมูลโพลล์ที่ว่า 60 เปอร์เซ็นต์เป็นพลังเงียบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะไม่เอาพันธมิตรฯ แต่เพราะคนในพลังเงียบถูกยัดเยียดรับรู้แต่ข่าวสารจากฟรีทีวี 5 ช่องครึ่ง ถ้าจะให้แฟร์เพลย์กันจริงๆ ลองเอาเอเอสทีวีให้พวกเขาดูสัก 3 วัน 7 วันดิ รับรองโพลล์พลิกแน่ นี่ขนาดถูกปิดกั้นกันทุกรูปแบบ คนชอบพันธมิตรฯยังมากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nutiu
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 09-09-2008, 10:17 » |
|
ทำตัวแบบ จขกท ว่ามา ไม่ควรเรียกว่าเป็น พลัง เพราำะำทำแบบนั้นไม่ได้มี พลัง อันใดเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
BrettAnderson
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 09-09-2008, 10:24 » |
|
น่าจะเปลี่ยนเป็นพลังโง่ หรือพลังหงี่ดีกว่านะ
วันๆไม่คิดทำไรไม่เคยคิดเรื่องเสียสละ คิดแต่ผลประโยชน์และความสุขส่วนตัว
แล้วมาบอกว่าเบื่อการเมือง
...ถุยส์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
อยู่บำรุ๊ง .. บำรุง
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 09-09-2008, 10:39 » |
|
เป็นกลางที่ไหน มันเป็นพวกที่เห็นแก่ตัวมากกว่า ..
เปลี่ยนชื่อเถอะ เรียกแล้วดูดีไป
พวกนี้คืออะไรก็ได้ขอให้กูและครอบครัวมีอันจะกินพอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 09-09-2008, 11:29 » |
|
วิเคราะห์ได้ถูกใจครับ มีคนประเภทนี้เยอะเสียด้วยในสังคมไทยตอนนี้
นั่นก็เพราะเขารู้ว่ารัฐบาลโกงกินจริงแต่ก็เป็นเรื่องไกลตัว รับได้
มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้กระทบกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างจังหรือรุนแรง
ด้วยความเห็นแก่ตัว พวกเขาก็จะมองข้ามปัญหาเหล่านี้ไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
|
thana-2006
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 09-09-2008, 13:45 » |
|
เห็นด้วยกับข้อเขียนครีบ คนที่บอกว่าเป็นกลางเป็นพลังเงียบอะไรนี้น มันก็คือพวกไม่มีวิจารณาญาณไม่รู้อะไรคือความถูกต้องเป็นพวกลัทธิจำยอม ทุกวันนี้ผมขอคารวะแด่ผู้ที่ลุกขึ้นสู้ผู้ที่ยอมเปลืองตัวออกมาเรียกร้องความถูกต้องดีงามให้แก่สังคมไทย ผมขอคารวะจากหัวใจครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กบในเกาะกง
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 09-09-2008, 14:23 » |
|
พวกเป็นกลาง คือพวกไม่รู้อะไรเลย หรือรู้แต่ไม่อยากแสดงออก ฝ่ายไหนชนะ(สนับสนุนเยอะ) เข้าทางนั้น
เออ ออ ห่อ หมก ได้กับคนทุกกลุ่ม โดยไม่ต้องสนใจบ้านเมือง และจะชอบพูดว่า ''ถอยหลังคนละก้าว''
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
wiwat
น้องใหม่
ออฟไลน์
กระทู้: 2
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 09-09-2008, 14:29 » |
|
ยุติความรุนแรง ปฏิบัติการรักษ์ชาติไทย
ความรุนแรง หมายถึง การคิด การพูด และการกระทำ ที่นำไปสู่ การการทะเลาะเบาะแว้ง การผูกพยาบาทอาฆาตจองเวร แตกสามัคคี การก้าวร้าวมุ่งร้าย การด่าทอหยาบคายขึ้นเสียงมึงๆกูๆ การเบียดเบียน การทำร้ายทุบตี มีความอยุติธรรม การละเมิดสิทธิมนุษยชน การกดขี่ข่มเหง การจับถืออาวุธเพื่อเข้าห้ำหั่นประหัตประหารกัน การทารุณกรรม การเข่นฆ่า การบ่อนทำลาย การก่ออาชญากรรม การจราจลนองเลือด การก่อการร้าย การก่อสงคราม เป็นต้น ยุติความรุนแรง หมายถึง การคิด การพูด และการกระทำ ที่นำไปสู่ความเข้าใจกัน การไม่ผูกพยาบาทอาฆาต การระงับเวร การให้อภัย การใช้วาจาสุภาพ การไม่เบียดเบียนข่มเหง มีความยุติธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน การรู้รักสมัครสมานสามัคคี การไม่จับถืออาวุธเข้าทำร้ายกัน การเอื้ออาทรห่วงใยปราถนาดี การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ เป็นต้น รักษ์ชาติไทย หมายถึงสำนึกของคนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ในทุกภาคส่วนของกลุ่มชน ชุมชน ประชาคม องค์กร หรือภาคีใดๆ ไม่ว่ากำลังอาศัยอยู่ในหรือนอกประเทศไทย เป็นต้น ปฏิบัติการ หมายถึงการระดม การคิด การพูด และการกระทำ เพื่อยุติความรุนแรง โดยอาศัยจิตสำนึกในความรักษ์ชาติไทย มีอิสระ ไม่มีการบังคับ แต่ร่วมกันเรียกร้องให้มาร่วมปฏิบัติการโดยสมัครใจ อย่างต่อเนื่องโดยพร้อมเพรียงกัน
ยุติความรุนแรง ปฏิบัติการรักษ์ชาติไทย มี ๘ ประการ มีดังนี้
๑. เห็นพ้องต้องกัน ว่า ความรุนแรงย่อมนำมาแต่ความรุนแรง ยิ่งยืดเยื้อเรื้อรัง ก็ยิ่งจะเพิ่มระดับความเข้มข้นของความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ผลของมันจะเพิ่มพูนความทุกข์ ได้แก่ ความหวาดระแวง ความเคียดแค้นชิงชัง ความเจ็บปวดทรมาน ความพรัดพราก ความสิ้นหวัง ความหายนะ ความเดือดร้อนสูญเสียทั้งน้ำตา เลือดเนื้อ ชีวิตและทรัพย์สิน อาจพัฒนาแปรสภาพสังคมสู่วิกฤตการที่ป่าเถื่อนรุนแรงอย่างถาวรของชนชาติไทย ๒. มุ่งหมายร่วมกัน ในการแสดงออกให้ความรุนแรงที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น และความรุนแรงที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ยุติลง แสวงหาหนทางแห่งความเข้าใจ เห็นใจ ความร่วมมือกัน นำไปสู่ความรู้รักสมัครสมานสามัคคี อาจพัฒนาสร้างสรรแปรสภาพสังคมสู่สันติภาพที่สงบสุขถาวรของชนชาติไทย ๓. พูดจาอย่างถูกต้อง คือเรียกร้องให้กล่าวแต่คำสัตย์จริง ละเว้นคำโกหกมดเท็จ ใช้คำสุภาพ ละเว้นคำหยาบคาย คำส่อเสียด คำยุยง คำท้าทาย ให้พูดจาส่งเสริมมิให้เกิดความรุนแรง ให้เจรจายุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นแล้วกลับมาสู่จุดที่ยอมรับได้และสามัคคีปรองดองกัน ส่งเสริมสื่อให้สร้างความสามัคคีปรองดองกันที่ดำรงอยู่แล้ว ให้มีเพิ่มมากขึ้น ๔. ใช้สิทธิอย่างถูกต้อง ด้วยความสุจริต ซื่อตรง เที่ยงธรรม ไม่บกพร่อง ละเว้นการใช้สิทธิที่ทุจริต ฉ้อฉล บิดพริ้ว บ่ายเบี่ยง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ๕. ประกอบอาชีพการงานอย่างถูกต้อง คือ ประกอบอาชีพสุจริต ซื่อตรง เที่ยงธรรม ไม่บกพร่อง ละเว้นการประกอบอาชีพการงานที่ทุจริต ฉ้อฉล บิดพริ้ว บ่ายเบี่ยง ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ๖. พากเพียรพยายามร่วมกัน อย่างต่อเนื่อง ในการฟันฝ่าอุปสรรค ความยากลำบาก ความท้อถอย ความกลัว เพื่อข้ามพ้นความรุนแรง จนยุติความรุนแรง พากเพียรพัฒนาเป็นวัฒนธรรมที่รักสันติ ๗. ตั้งสติระลึกร่วมกัน ใช้ทุกช่องทางแสวงหาหนทางแห่งการยุติความรุนแรง มีสติระวังอย่าให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนความรุนแรงเสียเอง แม้กำลังอยู่ในท่ามกลางของความรุนแรง ๘. ตั้งจิตมั่นคงร่วมกัน ด้วยใจหนักแน่น ไม่หวั่นไหว ไม่ลังเลสงสัย แน่วแน่อยู่กับวิถีทางยุติความรุนแรง สร้างพลังจิตมั่นคงบนฐานของการปฏิญญา การอธิษฐาน และการภาวนา ปฏิบัติการรักษ์ชาติไทย ยุติความรุนแรง ควรถือเป็นภาระหน้าที่ของคนไทยทุกคน ตอบแทนคุณที่เราได้อาศัยบนแผ่นดินอันงดงามนี้ ชนชาติไทยก่อนหน้าเรา ได้ฟูมฟักวัฒนธรรมอันดีงาม จนมีลักษณะรักสงบ อ่อนโยน โอบอ้อมอารี แต่ กล้าหาญต่อสู้ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานับประการผ่านพ้นมาร่วมพันปี จนถึง บัดนี้ ณ. นาทีนี้ มาอยู่ในอุ้งมือของชนชาติไทยรุ่นของเราแล้ว สิ่งดีงามมากมายในความเป็นอารยธรรมไทยที่สั่งสมมายาวนาน เป็นมรดกอันล้ำค่าที่พวกเราพึงบำรุงรักษาสืบทอดต่อไปชั่วลูกชั่วหลานไทยตลอดกาลนาน สิ่งแปลกปลอมที่เป็นพิษภัยก็มี เป็นคุณประโยชน์ก็มี ที่แทรกซ้อนเข้ามามากมายในสังคมนี้ อันพวกเราพึงฉลาดในการแยกแยะว่าอันไหนควรกีดกันออกไปหรืออันไหนควรรับเข้ามา หากเกิดความขัดแย้งขึ้นในระหว่างชนชาติไทย ก็อย่าให้พัฒนาไปเป็นความรุนแรง แต่ร่วมกันยุติความรุนแรงด้วยปฏิบัติการรักษ์ชาติไทย ๘ ประการข้างต้น
- โปรดร่วมมือกันโดยบอกต่อปฏิบัติการรักษ์ชาติไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Love Aey
น้องใหม่
ออฟไลน์
กระทู้: 6
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 09-09-2008, 14:54 » |
|
คนเราคิดเหมือนกันไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบเดียวกัน และคนที่เป็นกลางก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลือกข้างเดียวกับผู้ชนะ เค้าแค่นั่งภูดูเสือกัดกัน เสือตัวไหนที่รอดก็คงเจ็บหนัก สุดท้ายก็ฆ่าเสือสองตัวโดยไม่เปลืองแรงนัก
อีกอย่างที่ฝากไว้ "ทัพผยองต้องพ่าย"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sweet Chin Music
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 09-09-2008, 15:00 » |
|
เห็นด้วยเลยครับ ผมว่า คนที่อ้างตัวเองว่าเป็นกลางนะ มันคือคนที่ไม่สนใจการเมือง อะไรเลยมากกว่า
โดยอาจจะสนใจแต่งานที่ตัวเองทำ หรือไม่ก็พวกสิ่งบันเทิงต่างๆ เช่น เอาแต่บ้าดารา นักร้อง หรืออะไรก็ตามแต่
แล้วก็มาบอกว่าตัวเองเป็นกลาง ไม่สนใจ ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ...
โดยกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะมองว่า การเมืองเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ เลยไม่ให้ึความสนใจอะไร รับรู้ก็แค่ใหนลักษณะอ่านแต่พาดหัวข่าวเท่านั้น
แต่กลับให้น้ำหนักไปที่สิ่งบันเทิง ข่าวซุบซิบดาราเสียมากกว่า อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธ์แท้เสียเลยก็ได้
กลุ่มคนเหล่านี้ ผมว่าเรียกว่า "พลังเงียบ" หรือ "เป็นกลาง" ไม่ได้หรอกครับ ผมว่า พวกเขาเหล่านี้คือกลุ่มที่ไม่สนใจเรื่องการเมืองเลย
เมื่อไม่เคยคิดที่จะหาอ่านบทวิเคราะห์ทางการเมือง หรือข่าวการเมืองใดๆ อย่างนี้แล้ว จะมาเข้าใจการเมือง ได้อย่างไร
ยิ่งคำว่าการเมืองภาคประชาชนที่เจ้าของกระทุ้ กล่าวถึงด้วยแล้ว พวกเขาเหล่านี้ ไม่มีความคิดใดๆเลยที่จะมาสนใจว่าคืออะไร
เวลาถึงเลือกตั้ง ก็ไม่รุ้ตัวเองว่า จะเลือกอะไีีรดี ที่เลือกไปก็อาจจะเลือกตามแฟน เพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้อง เสียมากกว่าที่จะหาข้อมูล + บทวิเคราะห์แล้วตัดสินใจเลือกเอง ...
ผมว่ากลุ่มคนพวกนี้ คือกลุ่มคนที่บ้างาน บ้าดารา หรืออะไรก็แล้วแต่ มากกว่าที่จะเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มพลังเงียบครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-09-2008, 15:13 โดย Sweet Chin Music »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Sweet Chin Music
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 09-09-2008, 17:36 » |
|
มาดันกระทู้ เดี๋ยวตก....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
LEOidentity
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 09-09-2008, 19:40 » |
|
ว่าอย่างไรดีครับ คุณๆ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นพลังเงียบทั้งหลาย ศาลัดสินไปแล้ว พปช. ก็ยังจะตบหน้าประชาชน ด้วยการจะเอาสมัครกลับมาเป็นนายกอีก คำสั่งศาลไม่มีความหมายกับพวกนี้เลย
ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องออกมาแสดงพลังประชาชนจริงๆ ไม่ใช่พลังประชาชนแค่ชื่อแบบพวกมัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sweet Chin Music
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 10-09-2008, 00:01 » |
|
สนธิอัดพวกนี้ไปแล้ว เต็มๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Thaksinocide
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 10-09-2008, 06:58 » |
|
ฤา บ้านเมืองจะวิกฤติ เมื่อกลุ่มผู้ที่น่าจะมีความคิดกลับหลงมัวเมาในตรรกวิบัติของผู้ที่อ้างตัวว่าทําเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ฟ้าประทานII
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 10-09-2008, 13:48 » |
|
พวกที่อ้างตัวว่าเป็นกลาง มันไม่มีค่าสำหรับฝ่ายใดทั้งสิ้น ไร้ประโยชน์
ว่าแต่ว่าจะเป็นกลางร่องหน้าหรือร่องหลังล่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
. . . ผู้ที่เป็นเยาวชนที่จะต้องทำหน้าที่สำหรับรักษาบ้านเมืองต่อไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ เมื่ออายุถึงขั้นที่จะเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ ได้เล่าเรียนมาแล้วเพื่อให้ปฏิบัติงานของชาติได้ต่อไป ก็ต้องเตรียมตัวเพื่อปฏิบัติงานนั้น ในเวลานี้ก็จะต้องหาความรู้ใส่ตัว ฝึกฝนจิตใจ ฝึกฝนความคิดที่ดี เพื่อให้เข้าใจ ให้มีความคิดพิจารณา ให้มีเหตุผลที่แน่นแฟ้น มีเหตุผลที่จะใช้การได้ เพื่อแยกสิ่งที่ดีที่ควรทำจากสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ควรทำ ฉะนั้น หน้าที่ของเยาวชนก็คือเรียนรู้ แล้วก็นอกจากเรียนรู้คือเมื่อเรียนแล้ว ก็เริ่มช่วยกันสร้างความมั่นคงแก่บ้านเมือง โดยใช้ความรู้ที่ได้มาให้เป็นประโยชน์พัฒนาบ้านเมืองให้มั่นคง . . . พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะเยาวชนจาก ๒๐ จังหวัด วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๑๒
|
|
|
|