........... ปรากฏการณ์ที่จำเป็นจะต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของไทยอีกหน้าหนึ่ง ก็คือ "
การปฏิวัติเงียบ" ซึ่งนำโดย นายสมัคร สุนทรเวช ได้สำเร็จเสร็จสิ้นตามเป้าประสงค์ทุกประการ โดยปราศจากการต่อต้านจากกองกำลังทุกหน่วยกำลังรบที่ตั้งอยู่ในทุกภาคจังหวัดของไทย และสามารถประกาศใช้กฏหมายเฉพาะของคณะผู้ก่อการได้อย่างสะดวกง่ายดาย ท่ามกลางความไม่คาดคิดของทุกกลุ่มชน และท่ามกลางกระแสการต่อต้านรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวชเอง รวมไปถึงต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศ แต่ปฏิบัติการยึดอำนาจก็ทำได้สำเร็จตามเป้าประสงค์ทุกประการ จึงจัดเป็นปรากฏการมหัศจรรย์ในการปฏิวัติของโลกอีกด้วย
..... ปรากฏการณ์นี้นับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นเรื่องที่เราท่านควรที่จะต้องศึกษาถึงที่มาที่ไป และรายละเอียด ขั้นตอน และการวางแผนงาน อย่างเฉียบคม แยบผล ทั้งยังได้ผลเกิน100%
... แน่ละ.. ต้องมีผู้คัดค้านเมื่ออ่านข้อความว่า นี่คือ "
การปฏิวัติเงียบ " ของ นายสมัคร สุนทรเวช เพราะผู้ที่มีความคิดคัดค้านนั้นอ้างว่า "
เป็นเพียงการประกาศ พรก.ฉุกเฉินฯ " เท่านั้น จึงขออธิบายความดังนี้ว่า
...ความจริงแล้ว การรัฐประหาร ก็คือ
การยึดอำนาจ หรือ
รวบอำนาจการบริหารการปกครอง มาไว้ที่หัวหน้าผู้ก่อการ โดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงผู้เดียว ไม่มีคณะรัฐมนตรี ไม่มีรัฐมนตรีกระทรวง ทั้งหมดจะเป็นอำนาจของหัวหน้าคณะรัฐประหารที่จะสั่งการ บัญชาการ อนุมัติแทนอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการทุกกระทรวง ....จากการประกาศฉบับที่ 2 ในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.2551 ได้ "
กำหนดอำนาจหน้าที่ของ ครม.ตามกฎหมาย มาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ภายหลังมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขต กทม.ตามกฎหมายฉบับนี้ ให้รัฐนตรี และ ครม.ให้มอบอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวง โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตอนุมัติสั่งการ ตามบังคับบัญชา " นั่นก็ไม่ผิดอะไรกับคำว่า "
ยึดอำนาจ" ตามประกาศคณะปฏิวัติ-รัฐประหารที่ผ่านมาทุกครั้ง เพียงแต่เปลี่ยนคำให้เป็น "
กำหนดอำนาจหน้าที่ " เพื่อให้ไม่ระคายเคืองโสตประสาทอันจะก่อให้เกิดการต่อต้านจากผู้รับฟัง แต่ในทางปฏิบัติก็คือ "
อำนาจทั้งหมดขึ้นตรงต่อนายกฯ คนเดียวเท่านั้นที่จะสั่ง บัญชา หรืออนุมัติได้ " เรียกง่าย ๆ ว่า "
ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ "
.... สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการปฏิวัติ รัฐประหาร ก็คือ การป้องกันการต่อต้านจากฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะหน่วยกำลังรบของกองทัพ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง "
ห้ามกองทัพการเคลื่อนย้ายกำลัง" และ "
ยึดอำนาจทางสั่งการเคลื่อนย้ายกำลังพลทั้งหมดมาเป็นของหัวหน้าคณะปฏิวัติ-รัฐประหาร" ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำก่อนอื่นใดในการปฏิวัติ-รัฐประหาร ซึ่งแน่นอนที่สุดงานนี้ นายสมัครย่อมไม่มีพลาด ปรากฏตามคำสั่งยึดอำนาจการเคลื่อนย้ายกำลังพลจาก ผบ.เหล่าทัพทั้งหมด มาไว้ในมือของนายกเพียงผู้เดียว
....จากปฏิบัติการครั้งนี้ปรากฏว่า "
สมัคร ได้ยึดอำนาจสั่งการ-เคลื่อนย้ายกำลังพลไปจาก ผบ.เหล่าทัพ ได้สำเร็จโดยสิ้นเชิง " ปรากฏตามหลักฐานประกาศฉบับที่สอง ซึ่งเป็นการกำหนดโอนอำนาจหน้าที่ของรัฐนตรี และ ครม. โอนให้มาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตอนุมัติสั่งการ ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการใช้กำลังทหาร การเคลื่อนกำลังทหารและการเตรียมพร้อม พ.ศ.2545
::::
สิ่งที่สังเกตุได้ชัด เช่น :-
1.
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องแทบจะทันทีภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ ในคำสั่งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2551 และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ นายสมัคร ออกอาการลุกลี้ลุกลน บินไปรับคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนั้นด้วยตนเองและกลับมาหลบซ่อนตัวไม่ยอมพบใครหลายวัน นี่คือพฤติกรรมพิรุธที่เห็นประจักษ์
2. การเลือกเข้าไปใช้กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นที่ทำการคณะรัฐมนตรี โดยอ้างสถานการณ์ว่า "
ไม่อาจใช้สถานที่เดิมในการปฏิบัติราชการได้ เพราะมีกลุ่มผู้ชุมนุมยึดทำเนียบ " !!??
3. เพราะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนมาปะทะกันทำให้มีคนตายเกิดขึ้น 1 คน เป็นสาเหตุให้ต้องประกาศ " พรก.ฉุกเฉิน " (แต่ประกาศแล้วกลับไม่ได้ทำอะไรเลย...คำว่า ฉุกเฉิน หมายถึงสถานการณ์เฉพาะหน้า ทันทีทันใด ที่ต้องแก้ไข หรือสถานการณ์อันใกล้ถึง)
....ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเกริ่นนำ และไขข้อสงสัยในชั้นต้น จากหัวข้อกระทู้ "
ผ่าแผน ปฏิวัติเงียบ ของ สมัคร สุทรเวช " ว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ? เชื่อถือได้แค่ไหนเพียงไร ? และในตอนต่อไป เราจะกล่าวถึงการวางแผนงาน ขั้นตอนการดำเนินการ และบุคลากร รวมทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ "
ปฏิวัติเงียบ " ครั้งนี้
หมายเหตุ :::
มีชาวไทยผู้รักชาติ ได้นำเอา ประกาศฉบับ 2 มาลงไว้โดยละเอียดแล้ว โปรดศึกษาได้ที่Link นี้
http://forum.serithai.net/index.php?topic=33896.0