เปลวสีเงิน
คนปลายซอย
4 สิงหาคม 2551 กองบรรณาธิการไทยโพสต์
ถึง..ดร.โกร่งด้วยรักและห่วงใย ปรับ ครม.ครั้งนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่า "สินค้าต่างตอบแทน" ของพรรคการเมือง และยังเป็นเครื่องยืนยันว่า ผู้มีอำนาจตัวจริงในรัฐบาลชื่อ "ทักษิณ" ที่มีแปลกใหม่ขึ้นมาบ้าง เห็นจะเป็นทีมเศรษฐกิจที่มี "นายวีรพงษ์ รามางกูร" เข้ามาเป็น "ประธานที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ"
นายวีรพงษ์นี้ถือเป็น "ยาชุดสามัญประจำบ้าน" กินกะได-ทากะได แต่ก็ใช่ว่าจะเหลวเป๋วเสียทีเดียว เพราะนอกจากเป็น ดร.ผู้ชำนาญด้านเศรษฐกิจมหภาคแล้ว
อดีต-ที่เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" เมื่อร่วม ๓๐ ปีที่แล้ว ถือเป็นประกาศนียบัตรใช้อ้างอิง และยกขึ้นเอ่ยอ้างควบคู่กับการเอ่ยถึงความสำเร็จได้เสมอ
การที่นายสมัครเอามาเป็น "หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ" เห็นจะถูกคอตลาดมากทีเดียว เพราะขานรับกันตรึม และเท่าที่ผมติดตาม นายวีรพงษ์ หรือ ดร.โกร่ง ก็สมควรแล้วที่จะเข้ามามีบทบาทในรัฐบาลนี้
นอกจากถูกขา-ถูกคอกับ "นายพันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์" ผู้เป็นองค์ประทับในร่างทรง "ลูกกรอกเลี้ยบ" แล้ว นายวีรพงษ์ถือว่ามีประสบการณ์ทั้งราชการภาคการเมือง และทั้งธุรกิจการค้าภาคเอกชนครบเครื่อง
คือเคยอยู่ในภาคการเมืองถึงระดับรองนายกฯ ระดับรัฐมนตรีคลัง ระดับที่ปรึกษาป๋าเปรมมาแล้ว ทุกวันนี้ในภาคเอกชน ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทธุรกิจการค้า ระดับ "คู่ค้ารัฐ" หลายแห่ง
ที่โดดเด่น และเห็นจะละเลยในการยกมาชื่นชมเสียมิได้ก็คือ ดร.โกร่งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย!
ตรงนี้ใครก็อย่าไปถือสา เพราะคนเก่งๆ ใครก็อยากได้ตัว ถ้าพิจารณากันให้รอบด้าน จะเห็นว่า ดร.โกร่ง "เป็นอันที่รัก" เข้าได้กับทุกฝ่าย-ทุกขั้ว แม้กระทั่งวงการสื่อ
และการเป็นที่ปรึกษานั้น ก็รับเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกฝ่าย ฝ่ายป๋าก็รับ ฝ่ายทักษิณก็รับ..ว่างั้นเถอะ!
ตอนนี้ เท่าที่เห็น มีอยู่ฝ่ายเดียวมั้งที่เข้ากับ ดร.โกร่งไม่ได้ และดูเหมือน ดร.โกร่งจะเกลียดขี้หน้าเอามากๆ ถึงขั้น "ด่าประจาน" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในทุกครั้งที่มีโอกาส
นั่นคือ "แบงก์ชาติ" หรือพูดให้เป็นรูปธรรมคือ "คุณธาริษา วัฒนเกส" คนเป็นผู้ว่าฯแบงก์ชาติปัจจุบัน
ไม่ใช่ด่าเฉยๆ ผมเห็นความจงใจในการแสดงทัศนคติเป็นปฏิปักษ์กับแบงก์ชาติอย่างน่ากลัว ถึงขั้นประณามว่า "แบงก์ชาติ เป็นตัวสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมาหลายครั้ง-หลายหน"!
เอาหละ..ตอนนี้นายวีรพงษ์ขึ้นเวทีฝ่ายรัฐบาลแล้ว จะให้คำปรึกษารัฐบาลจากตำรา หรือจากทัศนคติลบ เพื่อ "จัดการ" อย่างหนึ่ง-อย่างใด กับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติอย่างใดหรือไม่ ก็คอยดูกัน
แต่ก็มีแง่คิดที่อยากฝากให้สังเกต ในสมัยป๋าเปรมนั้น รัฐมนตรีคลังไม่ได้หาคนมาเป็นด้วยแนวคิด "คอหยักๆ สักแต่ว่าคน" ถ้าเหลือบไปดูรัฐมนตรีคลังสมัยป๋า เห็นชื่อแล้วไม่ต้องจาระไนคุณภาพ
"นายสมหมาย ฮุนตระกูล" งี้ "สุธี สิงห์เสน่ห์" งี้!
ฉะนั้น ดร.หนุ่มนักเรียนทุน "ร็อกกี้เฟลเลอร์" ชื่อวีรพงษ์ในสมัยป๋า ก็เป็นแค่กุมารทองฝาแฝดที่ป๋าเลี้ยงไว้คู่กับ "นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี" ซึ่งถือเป็นศิลปะในการบริหารงานอย่างหนึ่งของป๋า
คือเอาทั้งคน "รุ่นเก่า-รุ่นใหม่" มาใช้งาน เวลามีปัญหาทางเศรษฐกิจ ปรึกษาหารือกับรุ่นใหญ่แล้ว ป๋าก็จะมาเคาะถามกับบรรดากุมารทองเป็นรายตัว สมมุติเจอหน้า ดร.โกร่งก็จะถามว่า
"เรื่องนี้ลูกโกร่งเห็นว่าเป็นงัย?"
เจอหน้านายไตรรงค์ ป๋าก็จะถาม "เรื่องนี้ลูกสามสีว่าไง?"
บรรดากุมารทองเศรษฐกิจก็จะสาธยายให้ป๋าฟัง ป๋าก็จะนั่งทำปากจู๋ฟังไปเงียบๆ โดยไม่พูดจาออกความเห็นใดๆ นอกจากป้อนประเด็นถามไปเรื่อยๆ
ก็เท่านั้น พูดง่ายๆ คือ สไตล์การทำงานของพลเอกเปรม ท่านจะรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ต่อจากนั้น ท่านก็จะเอาความคิดเห็นที่รับฟังนั้นไปคลุกเคล้าด้วยคอมพิวเตอร์สมองของท่าน
แล้วก็จะออกมาเป็น "คำสั่งปฏิบัติ" ของนายกฯ ผ่านครม.!
เท่าที่ผมฟังจาก "คนใกล้ตัว" หลายๆ ท่าน เขาบอกตรงกันว่า ป๋าไม่เคยเอาแนวคิดของใครคนเดียวไปใช้เลย แต่ท่านเอาจากคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง แล้วไปผสมเป็น "สูตรเฉพาะ" ออกมา
ย้อนมาดูรัฐบาลสมัคร "รัฐมนตรีเศรษฐกิจ" วันนี้ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ แถมนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รมว.อุตสาหกรรมอีกคน
อื้อฮือ..แบบนี้ มันก็ต้องถือพานคลานเข่าเข้าไปขอวิชาจาก "ขุนพลเศรษฐกิจ" ที่นายสมัครไปสรรหามา อันมีนายวีรพงษ์เป็นแม่ทัพใหญ่โดยประการเดียวแล้ว และไม่เพียงเท่านั้น
ทุกประการ..รัฐบาลต้องรับฟัง-รับปฏิบัติ "ข้อราชการด้านเศรษฐกิจ" จากทีมงานพ่อค้า "ภาคเอกชน" ที่เข้ามาเป็น "ข้าราชการเทียม" สถานเดียว
พูดถึงกระทรวงคลัง ก็เพิ่งเห็นยุคนี้แหละ ตะบี้ตะบันตั้ง "รัฐมนตรีช่วย" เข้าไปตั้ง ๓ คน แถมรัฐมนตรีว่าการอีกคน รวมเป็น ๔ คือ เดิม-นอกจากนายสุรพงษ์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ แล้ว
ยังตั้งเข้ามาอีก ๒ คือ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช คนในทีมที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ผู้มีคุณสมบัติเป็น "นายทุนพรรคเพื่อแผ่นดิน"!!
ทีนี้มาดูทีมงานเศรษฐกิจชุดนี้บ้าง นายวีรพงษ์ในฐานะประธานที่ปรึกษาบอกว่า จะคัดมือฉมังอีก ๔-๕ คนมาร่วม เท่าที่ฟังตามข่าว-ยังไม่สรุปชัดเจนนะครับ ทีมเศรษฐกิจนี้จะเข้าร่วมประชุม ครม.ด้วยทุกครั้ง มติชนเขาลงข่าว อ้างคำพูดนายวีรพงษ์ว่า
"ใช้อำนาจตามกฎหมายเดียวกับเมื่อครั้งรัฐบาลพลเอกเปรม"
อ้าว..ป๋าเปรมกลายเป็นมาตรฐานทางกฎหมายของรัฐบาลนอมินีทักษิณไปแล้วหรือนี่ เอา..ว่าไงก็ว่าตามกัน..เนอะ!
บางท่านอาจสงสัย ทำไม..ไม่ตั้งนายวีรพงษ์ให้เป็นรัฐมนตรีคลัง หรือรองนายกฯ ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียเลย คำตอบเรื่องนี้คือ ไม่อยากทิ้งงานด้านเอกชน และ "กลัวติดคุก" จากจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้
พูดตรงๆ คือ นายวีรพงษ์มีอาชีพสุจริต รับจ้างเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างๆ มากมาย หรืออาจจะมีหุ้นอะไรอยู่ด้วยก็ได้ ถ้าเป็นรัฐมนตรีต้องลาออกทั้งหมด ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ก็ไม่ต้องการที่จะทำอย่างนั้น
เลี่ยงมาทำหน้าที่ "ที่ปรึกษารัฐบาล" ดีกว่า ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และไม่ต้องลาออกจากบริษัททั้งหลาย แต่ก็สามารถ "ใกล้ชิดข้อมูล" มีอำนาจชี้นำรัฐบาลผ่านนโยบาย ผ่านโครงการต่างๆ ได้
โดยไม่ต้อง "รับผิดชอบ" โดยตรง และที่สำคัญ สถานภาพทางรายได้-ทางธุรกิจภาคเอกชน ยังคงเดิม!
เห็นพูดกันว่า "จะไม่รับเงินเดือน" อาสามาช่วยชาติฟรีๆ ว่างั้นเถอะ แต่ตำแหน่งนี้ถือเป็น "ข้าราชการการเมือง" กรายๆ เหมือนตำแหน่ง "นายขวัญชัย ไพรพนา" นายกฯ แต่งตั้ง มีเงินเดือนหลวงตามกฎระเบียบราชการ
นั่นคือ นายวีรพงษ์ "ไม่รับเงินเดือน-ได้ แต่จะไม่ให้หลวงตั้งเบิกจ่าย-เห็นจะไม่ได้"
นั่นคือ จ่ายมาแล้ว นายวีรพงษ์ต้องเซ็นรับ ส่วนรับแล้วจะเอามาให้ผม หรือให้ใคร นั่นเป็นสิทธิ์ของท่าน!
ก็น่าเห็นใจ ไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้อีกกี่วัน ขืนไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี ยิ่งเป็น "รัฐมนตรีคลัง" ด้วยแล้ว พอหลุดออกมา ต้องเว้นวรรคการไปทำมาหากินกับสถาบันการเงินตั้ง ๒-๓ ปี คนมีวิชาความรู้เก่งๆ เขาจึงไม่อยากเป็น
ดูอย่าง "นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์" เป็นต้น ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ช่วยชาติด้วยการมาทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นงานที่เกี่ยวข้องกับงานเงิน-การคลัง
เราจึงเห็นท่านเป็นทั้งรองนายกฯ ทั้งรัฐมนตรีอุตสาหกรรม แต่จะไม่ยอมข้องแวะงานด้านการเงิน-การคลัง ขนาด ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ลาออกจาก รมว.คลัง ใครๆ ดันก้นท่าน ท่านไม่รับลูกเดียว
"เดี๋ยวกลับไปทำงานแบงก์กรุงเทพไม่ได้!?"
ย้อนกลับมากรณี ดร.โกร่ง การมาเป็นที่ปรึกษารัฐบาลนอมินีทักษิณ ไม่มีใครติดใจ เพราะท่านก็ถือว่า "คนกันเอง" ในแวดวงทักษิณอยู่แล้ว แต่การขออยู่ใน "สถานะเอกชน" ของนายวีรพงษ์ แล้วฝังตัวเองลึกเข้าไปกลางไข่แดง "สถานภาพรัฐบาล" ด้วยการเข้าประชุม ครม.นั้น
ผมเชื่อในความ "ซื่อสัตย์-สุจริต" นายวีรพงษ์ แต่อย่าลืมว่า ในวงประชุม ครม.คือ "ศูนย์กลางข้อมูลลับ" ของประเทศทั้งมวล!
ฉะนั้น ในความเป็น "คนทำมาหากิน" รับจ้างอยู่กับภาคเอกชนทั่วไป วัตถุดิบที่จะใช้สร้างราคาตัวเองก็คือ "ข่าว-ข้อมูล" ที่เหนือกว่า แม่นยำกว่า เพื่อใช้เป็นฐานการให้คำปรึกษาที่ไม่พลาด
นั่งอยู่ใน ครม.อยู่กับข้อมูลลึกของรัฐบาล แถมตัวเองมีอำนาจชี้นำ-สั่งการ ในขณะเดียวกัน "สวมหมวก ๒ ใบ" ด้วยความเป็นสามัญมนุษย์ บนข้อมูลที่ซึมซับอยู่ในร่างเดียวกัน
ใครจะปฏิเสธได้ล่ะว่า ตอนนั่งใน ครม.จะไม่มีข้อมูลทางภาคเอกชนเข้ามาประกอบดุลยพินิจ เพื่อขบปัญหา? และตอนนั่งอยู่ในที่ปรึกษา "บริษัทธุรกิจหมื่นล้าน-แสนล้าน" จะไม่มีข้อมูลที่รับฟังจาก ครม.มาเป็นส่วนผสมของประเด็นที่ให้คำปรึกษาหารือกับบริษัทที่รับจ้าง?
จำการ "ลดค่าเงินบาท" เมื่อ ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ที่เป็นบาดแผลลึกในใจคนไทย และประเทศไทยมาจนถึงวันนี้ได้มั้ย?
ในขณะที่คนไทยล่มจมทั้งประเทศ แต่กลับมี "คนหนึ่ง" ใช้ข้อมูลลับที่ได้ยินจาก รมว.คลังกับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติเข้าไปแจ้งมติ "ลดค่าเงินบาท" ให้พลเอกชวลิตทราบ และคาบไปบอกกับ "คนหน้าไม่กลม"!
การใช้ข้อมูลไปฉวยโอกาส "ปล้นประเทศตัวเอง" ครั้งนั้น ยังแช่งด่ากันอยู่จนถึงวินาทีนี้ ผมจึงฝากข้อห่วงใยถึง ดร.โกร่งกับคณะมาด้วยความหวังดี คือไม่จำเป็น..ให้คำปรึกษาอยู่นอก ครม.ดีกว่า!
ก็ขอให้ "ครม.สมัคร" ของทักษิณ อยู่กินกันเป็นสุข..เป็นสุข..เถิด!
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=4/Aug/2551&news_id=161990&cat_id=200