ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
08-07-2025, 13:00
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เสียวสุดๆ ต้นสิงหาคม 2551 การเมืองไทย... (อัพเดตคดี ญ.อ้อ) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เสียวสุดๆ ต้นสิงหาคม 2551 การเมืองไทย... (อัพเดตคดี ญ.อ้อ)  (อ่าน 2904 ครั้ง)
bangkaa
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 407



« เมื่อ: 30-07-2008, 00:44 »

31 ก.ค. คดีหญิงอ้อ เลี่ยงภาษี...

1 ส.ค. รัฐบาลอาจแก้รัฐธรรมนูญ

1 ส.ค. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป่านกหวีด นัดชุมนุมใหญ่....

สุวิทย์ถอนตัว... ........... ..........

พปช. อาจขนคนมาลุย.... นึกถึงภาพที่อุดรแล้วสยอง.......................................ง

พันธมิตร โม้แหลก... ใกล้จบแล้วววว

เสียวจริงๆคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ





 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2008, 19:10 โดย bangkaa » บันทึกการเข้า

มาทำหน้าที่... ใช้หนี้แผ่นดิน...และมาทำบุญ...
bangkaa
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 407



« ตอบ #1 เมื่อ: 30-07-2008, 19:06 »

การใช้กลอุบายหลอกลวงและแจ้งเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากการโอนหุ้นให้กัน ระหว่าง คุณหญิงพจมาน ชินวัตร กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของตนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2540 เริ่มฟ้องความจริงต่อสังคม เมื่อที่ประชุม คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2549 ว่าจะสั่งการให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากนายบรรณพจน์ ที่อ้างว่าซื้อ หุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 จาก น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ตระกูลชินวัตร (ที่ถือหุ้นแทนคุณหญิงพจมาน) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น หุ้นละ 164 บาท มูลค่า 738 ล้านบาท โดยอ้างว่าซื้อ-ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ คตส.ตรวจสอบพบว่า นายบรรณพจน์ ไม่ได้เป็นผู้จ่ายเงินซื้อหุ้นดังกล่าวเอง แต่คนจ่ายเงินคือคุณหญิงพจมาน โดยคุณหญิงพจมานเป็นคนเสียค่าธรรมเนียมให้แก่นายหน้า (โบรกเกอร์) ทั้งค่าธรรมเนียมของฝ่ายตนและฝ่ายนายบรรณพจน์ รวมเป็นเงิน 7.38 ล้านบาท!

คตส.จึงมองว่า การซื้อหุ้นดังกล่าวเป็นการทำ “นิติกรรมอำพราง” โดย นายบรรณพจน์ ควรจะต้องเสียภาษีจากการได้รับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมาน แต่ที่ผ่านมากรมสรรพากรเห็นว่า นายบรรณพจน์ได้รับการยกเว้นภาษี เนื่องจากคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์แจ้งว่า เป็นการโอนหุ้นให้ในลักษณะอุปการะโดยเสน่หาโดยธรรมจรรยา ตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ในโอกาสที่นายบรรณพจน์แต่งงานและมีบุตร!?!
เมื่อ คตส.เห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงภาษีธรรมดา แต่ผู้เกี่ยวข้องน่าจะเข้าข่ายหลอกลวงด้วย ที่ประชุม คตส.จึงมีมติเมื่อวันที่ 20 พ.ย.2549 ให้กรมสรรพากรเก็บภาษีและเบี้ยปรับจากนายบรรณพจน์เป็นเงิน 546 ล้านบาท (2 เท่าของยอดเงินต้นภาษีที่ควรจะเสีย คือ 273 ล้าน) โดยให้เรียกเก็บภาษีจากนายบรรณพจน์ภายใน 30 วัน เนื่องจากเห็นว่ามีการดำเนินการที่อาจจงใจหลีกเลี่ยงภาษี

ส่วนข้ออ้างที่ว่า คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้ นายบรรณพจน์ เป็นลักษณะการอุปการะตามธรรมเนียมประเพณีที่ นายบรรณพจน์ แต่งงานและมีบุตรนั้น คตส.พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะที่ผ่านมานอกจากคุณหญิงพจมานจะไม่เคยอุปการะพี่น้องคนอื่นๆ แล้ว ยังประจักษ์ชัดว่า ช่วงเวลาที่นายบรรณพจน์แต่งงานและมีบุตรก็ไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้ เพราะระยะเวลาห่างกันเป็นปี โดยนายบรรณพจน์แต่งงานต้นปี ’39 (12 ม.ค.2539) มีบุตรปลายปี ’39 (4 ธ.ค.2539) แต่โอนหุ้นให้ในวันที่ 7 พ.ย.2540

ไม่เพียงช่วงเวลาในการโอนหุ้นจะไม่สอดคล้องกับเหตุผลที่อ้าง แต่การที่คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์อ้างว่า เป็นการโอนหุ้นให้ในลักษณะอุปการะนั้น ยังอาจไม่เข้าข่ายด้วย เพราะ คตส.พบว่า เคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาว่า “การอุปการะ” นั้น เป็นเรื่องของ “พ่อแม่” ที่จะให้แก่ “ลูก” เท่านั้น ไม่ใช่การให้ระหว่าง “พี่-น้อง” ที่ประชุมใหญ่ คตส.จึงเห็นควรให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องนี้ เพื่อเอาผิดทางอาญาคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ฐานให้ถ้อยคำเท็จ ฉ้อโกงและหลีกเลี่ยงการเสียภาษี!

หลังจากไต่สวนนานประมาณ 1 เดือน อนุกรรมการของ คตส.ได้มีมติให้ทำหนังสือเชิญผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ 6 คนมารับทราบข้อกล่าวหาฐานจงใจให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จในวันที่ 4 ม.ค.2550 ประกอบด้วย คุณหญิงพจมาน, นายบรรณพจน์, น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ตระกูลชินวัตร (ที่ถือหุ้นแทนคุณหญิงพจมาน), นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน, นายวันชัย หงส์เหิน สามีนางกาญจนาภา ในฐานะโบรกเกอร์ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ และ นางปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ไม่ได้เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาต่ออนุกรรมการไต่สวนของ คตส.ด้วยตัวเอง โดยส่ง นายวีรภัทร ศรีไชยา ทนายความเข้ายื่นหนังสือชี้แจงแทนโดยยืนยันว่า ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย คือ ให้หุ้นโดยเสน่หาตามขนบธรรมเนียมประเพณี!?!

หลังอนุกรรมการไต่สวนฯ สรุปผลสอบเสนอ คตส.ชุดใหญ่แล้ว ที่ประชุม คตส.ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2550 ให้เสนอเรื่องนี้ต่ออัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งฟ้อง คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ และนางกาญจนาภา ต่อศาลอาญา ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่เหลืออีก 3 คน คือ น.ส.ดวงตา-นายวันชัย และนางปราณี นั้น คตส.สรุปว่า ไม่มีหลักฐานว่ากระทำผิด จึงไม่ส่งฟ้อง สำหรับข้อกล่าวหาที่ คตส.สรุปส่งฟ้องคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ต่ออัยการสูงสุดนั้นมี 2 กระทง คือ เข้าข่ายกระทำความผิดตาม มาตรา 37(2) แห่งประมวลรัษฎากร (มีลักษณะใช้อุบายหรือฉ้อโกง) และ มาตรา 37 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบมาตรา 83 และ 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (มีลักษณะแจ้งเท็จหรือให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จ) ส่วนนางกาญจนาภา คตส.เห็นควรให้ส่งฟ้องข้อหาเดียว คือ ร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรือโดยอุบาย ตาม มาตรา 37(2) แห่งประมวลรัษฎากร

1 เดือนต่อมา 14 มี.ค. 2550 อัยการสูงสุดก็ได้มีความเห็นสั่งฟ้องคุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์ และนางกาญจนาภา ต่อศาลอาญาตามที่ คตส.เสนอ โดยนายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า ความผิดดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน-7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท ดังนั้น หากศาลพิพากษาว่าผิดจริงและลงโทษเต็มอัตรา คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์จะต้องได้รับโทษ 2 เท่า คือจำคุกสูงสุด 14 ปี และปรับสูงสุด 4 แสนบาท ส่วนนางกาญจนาภา อัยการสูงสุดก็มีความเห็นเช่นเดียวกับ คตส.คือสั่งฟ้องข้อหาเดียว ฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง และโดยอุบาย ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37(2)

ส่วนกรณีที่ คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์ และนางกาญจนาภา ได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดให้สอบพยานเพิ่มเติมอีก 5 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรนั้น นายอรรถพล ชี้แจงว่า คณะทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุด เห็นว่า พยานดังกล่าว คตส.ได้สอบสวนแล้ว และได้ส่งเอกสารเพิ่มเติมให้อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดจึงไม่จำเป็นต้องสอบพยานดังกล่าวเพิ่มเติมอีก อัยการสูงสุดจึงได้นัดให้คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์ และนางกาญจนาภา เข้ารายงานตัวเพื่อส่งฟ้องต่อศาลอาญาในวันที่ 26 มี.ค.2550

ซึ่งเมื่อถึงวันนัด (26 มี.ค.) คุณหญิงพจมานกับพวกก็ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการเข้ารายงานตัวต่อกระบวนการยุติธรรม คือแทนที่จะไปรายงานตัวต่ออัยการก่อน แล้วอัยการค่อยนำตัวส่งฟ้องต่อศาลอาญา คุณหญิงพจมานกลับขออัยการสูงสุดว่าจะไปรายงานตัวที่ศาลฯ เลย โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ซึ่งฝ่ายอัยการเห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการขัดขวางหรือก่อให้เกิดความยุ่งยากในการฟ้องคดี จึงอนุญาตให้ผู้ต้องหาทั้งสามไปรอที่ศาลอาญาได้เลย!?!

หลังกระบวนการส่งฟ้องแล้วเสร็จ ศาลได้ประทับรับฟ้อง และนัดคู่ความตรวจสอบพยานหลักฐานในวันที่ 14 พ.ค. 2550 โดยอนุญาตให้จำเลยทั้งสาม (คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์ และนางกาญจนาภา) ใช้หลักทรัพย์ประกันตัวในวงเงินคนละ 5 ล้านบาท แต่ห้ามจำเลยทั้งสามหรือผู้แทนหรือผู้เกี่ยวข้องกับจำเลยกระทำการใดใดหรือให้ข่าวที่อาจกระทบหรือเป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาคดีนี้ มิฉะนั้นศาลอาจเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว!

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์ และ นางกาญจนาภา ต่างยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหาที่อัยการส่งฟ้องต่อศาล ซึ่งหากพิจารณาสำนวนในคำฟ้องของอัยการที่มีความยาว 12 หน้าแล้ว จะเห็นว่า มีการลำดับข้อมูลเรื่องราวที่ประจักษ์ชัดถึงความพยายามใช้กลอุบายหลอกลวงปิดบังอำพรางและให้ข้อมูลเท็จของคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์กับพวก เพื่อจงใจหลีกเลี่ยงภาษีที่นายบรรณพจน์ควรจะต้องเสียจากการได้รับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมาน

โดยเริ่มตั้งแต่การใช้กลอุบายอำพรางการโอนหุ้น (เมื่อวันที่ 7 พ.ย.40) ให้เป็นการซื้อ-ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อที่นายบรรณพจน์ ในฐานะผู้ได้รับหุ้นจากคุณหญิงพจมานจะได้ไม่ต้องเสียภาษี โดยมีการสร้างหลักฐานการจ่ายเช็คค่าธรรมเนียมให้โบรกเกอร์/นายหน้า เพื่อยืนยันว่ามีการซื้อขายหุ้นดังกล่าวจริง และมีการจ่ายเช็คค่าหุ้นประมาณ 740 ล้านให้ น.ส.ดวงตา แต่ภายหลังมีการตรวจสอบพบว่า การซื้อ-ขายหุ้นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริง และผู้ที่จ่ายเช็คค่าหุ้นก็ไม่ใช่นายบรรณพจน์ แต่เป็นคุณหญิงพจมาน ซึ่งที่สุดแล้ว คุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ก็ร่วมกันนำเช็คที่ตนเองจ่ายให้ น.ส.ดวงตา ไปเข้าบัญชีของคุณหญิงพจมาน สรุปก็คือ นำเงินที่ตนเองทำทีจ่ายออกไป กลับมาเป็นของตนเองอีกครั้งนั่นเอง!

ถือได้ว่า จำเลยได้ร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย หรือโดยวิธีอื่นใด เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ทำให้รัฐเสียหายขาดรายได้จากภาษีที่จำเลยที่ 1 คือนายบรรณพจน์ จะต้องเสียภาษีในปี 2540 เป็นเงินกว่า 273 ล้านบาท!

เมื่อเรื่องนี้ถูก ป.ป.ช.และกรมสรรพากรตรวจสอบพบในปี ’44 คุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ก็ได้ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีต่อเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอีก โดยนายบรรณพจน์ อ้างว่า ตนเป็นพี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน และช่วยเหลือกิจการของคุณหญิงพจมานจนมีความเจริญก้าวหน้า กระทั่งปี 38 คุณหญิงพจมาน สนับสนุนให้ตนมีครอบครัว และดำริจะมอบของขวัญให้แก่บุตรของตนซึ่งมีอายุครบ 1 ปีในปลายปี’40 ด้วยการมอบหุ้นให้ 4.5 ล้านหุ้น ตนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หาตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย!?!

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า คำอ้างของ นายบรรณพจน์ ที่ว่า คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้ในโอกาสที่บุตรของตนอายุครบ 1 ปีนั้น ถือว่าเป็นเหตุผลที่เบี่ยงเบนไปจากเดิมอีกครั้ง เพราะตอนแรกอ้างว่า เป็นการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต้องเสียภาษี แต่พอถูกจับได้ว่าไม่ได้มีการซื้อขายจริง เป็นเพียงการทำนิติกรรมอำพราง นายบรรณพจน์ก็อ้างใหม่ว่า คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้ตนโดยเสน่หาโดยธรรมจรรยาในโอกาสที่ตนแต่งงานและมีบุตร แต่พอถูกจับได้ว่า ช่วงเวลาที่โอนหุ้นไม่สอดคล้องกับที่นายบรรณพจน์อ้าง เพราะโอนให้หลังจากนายบรรณพจน์แต่งงานแล้วถึง 2 ปีและหลังนายบรรณพจน์มีบุตรแล้ว 1 ปี นายบรรณพจน์จึงมาอ้างใหม่อีกว่า คุณหญิงพจมานโอนหุ้นให้ในโอกาสบุตรของตนอายุครบ 1 ปี!?!

ขณะที่คุณหญิงพจมาน ก็อ้างว่า นายบรรณพจน์ เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาตน ได้เข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัวตนจนมีความมั่นคงและมีทรัพย์สินจำนวนมาก เมื่อตนเห็นว่า นายบรรณพจน์ควรมีครอบครัว จึงสนับสนุนให้แต่งงานกับ น.ส.บุษบา วันสุนิล เมื่อต้นปี ’39 และให้ปลูกสร้างเรือนหอในที่ดินของครอบครัวตน (ดามาพงศ์) นอกจากนี้ ยังตั้งใจจะมอบหุ้นให้ในวันแต่งงาน เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงพจมานอ้างว่า ตอนนั้นให้หุ้นไม่ทัน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานการเมือง จึงต้องจัดการเรื่องบริหารงานให้เสร็จก่อน กระทั่งบุตรชายนายบรรณพจน์ ซึ่งเกิดวันที่ 4 ธ.ค.2539 จะมีอายุครบ 1 ปี และการจัดการด้านบริหารงานของตนเสร็จสิ้นพอดี จึงยกหุ้นให้นายบรรณพจน์ 4.5 ล้านหุ้นในวันที่ 7 พ.ย.2540 เพื่อเป็นของขวัญ

อย่างไรก็ตาม อัยการได้ระบุในคำฟ้องว่า การกระทำของคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์ ที่ให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นเพียง “ข้ออ้าง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือการให้โดยเสน่หา เนื่องในโอกาสตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษี การกระทำของจำเลยที่ 1-2 คือนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน จึงเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีโดยให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จและโดยการฉ้อโกง เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้เงินภาษีอากรและเงินเพิ่มกว่า 546 ล้านบาท!

คดีนี้ต้องจับตากันต่อไปว่า ที่สุดแล้วศาลอาญาจะพิพากษาว่าอย่างไร? จะจบแบบผู้เลี่ยงภาษี “ให้ถ้อยคำเท็จ” ก็ให้ถ้อยคำใหม่ได้เรื่อยๆ เหมือนกับ “ติ๊กผิด” ก็ติ๊กใหม่ได้ดังกรณีวุ่นๆ เรื่องหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมานและลูกๆ หรือไม่? หรือควรจะจบแบบ “ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง” อีกต่อไป โดยล่าสุด คดีอยู่ระหว่างศาลอาญานัดสืบพยานจำเลยในเดือน เม.ย.นี้

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในส่วนของการเรียกเก็บภาษีและเบี้ยปรับจากนายบรรณพจน์ 546 ล้านบาทนั้น ชัดเจนแล้วว่า รัฐหรือกรมสรรพากรต้องสูญภาษีและเบี้ยปรับดังกล่าว เพราะหลังจากกรมสรรพากรทำเรื่องเรียกเก็บจากนายบรรณพจน์ก่อนหน้านี้ ทางนายบรรณพจน์ได้อุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี (ประกอบด้วยตัวแทนจาก 3 ฝ่าย คือ อัยการ-กระทรวงมหาดไทย-กรมสรรพากร) ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการดังกล่าวได้มีมติ 2 : 1 ให้นายบรรณพจน์ไม่ต้องเสียภาษีจากการได้รับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมาน โดยให้เหตุผลว่า เพราะคดีดังกล่าวขาดอายุความแล้ว เพราะเกิดขึ้นมานานเกิน 5 ปีแล้ว

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า คณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีมองข้อกฎหมายต่างจาก คตส. เพราะ คตส.มองว่าการที่นายบรรณพจน์ต้องเสียภาษีจากการได้รับโอนหุ้นจากคุณหญิงพจมานนั้น เข้าข่าย ประมวลรัษฎากรมาตรา 40(Cool ซึ่งมีอายุความนานถึง 10 ปี แต่คณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีกลับมองว่าการต้องเสียภาษีของนายบรรณพจน์เข้าข่าย ประมวลรัษฎากรมาตรา 40(2) ซึ่งมีอายุความแค่ 5 ปี!

หลังคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีมีมติเข้าทาง นายบรรณพจน์ ปรากฏว่า นายวีรภัทร ศรีไชยา ทนายความนายบรรณพจน์ ได้รีบออกมาชี้นำศาลอาญาเมื่อวานนี้ (3 มี.ค. 2551) ว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีดังกล่าวจะส่งผลดีต่อคดีอาญาที่มีการฟ้องนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมานว่าหลีกเลี่ยงชำระภาษีแน่นอน!?!

แต่ทางอัยการไม่มองเช่นนั้น โดย นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เจ้าของสำนวนคดีเลี่ยงชำระภาษีหุ้นบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ฯ ชี้ว่า การที่คณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีมีมติว่าไม่สามารถเรียกเก็บภาษีจากนายบรรณพจน์ได้ เพราะขาดอายุความนั้น ถือเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นความผิดทางแพ่ง ซึ่งการวินิจฉัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อคดีที่กระทำผิดอาญาฐานหลีกเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด โดยนายบรรณพจน์ต้องพิสูจน์ว่ามีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการเสียภาษีตามที่อัยการยื่นฟ้องหรือไม่?

อีกไม่นานเกินรอ คงได้ทราบกันว่า คุณหญิงพจมาน-นายบรรณพจน์จะรอดพ้นคดีอาญาฐานใช้กลอุบายหลอกลวงและแจ้งเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากการโอนหุ้นให้กันหรือไม่? หวังว่า...ในยุคที่ “รัฐบาลนอมินีเฟื่องฟู” จะยังพอมีความถูกต้อง-ชอบธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง!!


Updated : 4/3/2551


เรียบเรียงจาก :
ผู้จัดการออนไลน์


********************************************************************************


เอาไปอ่านปูพื้นกันก่อนนะครับ....

เพื่อพรุ่งนี้... จะได้ไม่งงงงงงง.....




 
บันทึกการเข้า

มาทำหน้าที่... ใช้หนี้แผ่นดิน...และมาทำบุญ...
อิรวันชาห์ IrWanSyah
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 870



« ตอบ #2 เมื่อ: 30-07-2008, 19:28 »

31 ก.ค. คดีหญิงอ้อ เลี่ยงภาษี...

1 ส.ค. รัฐบาลอาจแก้รัฐธรรมนูญ

1 ส.ค. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป่านกหวีด นัดชุมนุมใหญ่....

สุวิทย์ถอนตัว... ........... ..........

พปช. อาจขนคนมาลุย.... นึกถึงภาพที่อุดรแล้วสยอง.......................................ง

พันธมิตร โม้แหลก... ใกล้จบแล้วววว

เสียวจริงๆคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ





 

เสียวๆอย่างนี้ ถ้าทหารออกมาก็คงฝันเปียกแฉะละซิ
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 30-07-2008, 22:17 »

พรุ่งนี้ ศาลขอกำลังตำรวจมาคุ้มครองมากเป็นพิเศษ

คงไม่ต้องเดามั๊งว่า ผลทางคดีจะออกมายังไง


คนระดับคุณหญิงต้องติดคุก คงเป็นที่น่าระทึกของลิ่วล้อ

 
บันทึกการเข้า

momogame99
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11


« ตอบ #4 เมื่อ: 30-07-2008, 22:42 »

คนนี้ไปก่อนเเล้ว NBT ช่วยจัดให้   ลิ่งล้อทักษิณไปช่วยด้วย
         
                             ศาลอนุญาต บ.ไทรอัมพ์ เลิกจ้าง จิตรา คชเดช ปธ.สหภาพฯ เหตุใส่เสื้อ “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” ออกอากาศทาง NBT เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ทำบริษัทเสียชื่อเสียง เจ้าตัวโวยข้ออ้างบริษัทหวังล้มล้างสหภาพฯ
       
       วันนี้ (29 ก.ค.) เว็บไซต์ประชาไท เผยแพร่รายงานข่าว กรณี น.ส.จิตรา คชเดช ประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย ซึ่งสวมเสื้อสีดำรณรงค์สกรีนข้อความ “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” ออกรายการ “กรองสถานการณ์” ช่องเอ็นบีที ในหัวข้อ “ทำท้อง...ทำแท้ง” เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุด ถูกนายจ้างเลิกจ้างโดยให้เหตุผลว่า ทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง
       
       น.ส.จิตรา ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า หลังจากออกรายการดังกล่าว และมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามหน้าสื่อ เธอได้ถูกนายจ้างเรียกไปพบให้ชี้แจง ซึ่งเธอได้ชี้แจงว่า ขณะที่ใส่เสื้อนั้น เป็นตอนกลางคืนที่ไม่ใช่เวลางาน และไม่ได้บอกชื่อบริษัท บอกเพียงว่า เป็นประธานสหภาพฯ เนื่องจากประธานสหภาพฯ มีสถานะเป็นนิติบุคคลอยู่แล้ว
       
       ส่วนเหตุผลที่ใส่นั้น น.ส.จิตรา ได้ชี้แจงต่อนายจ้างว่า เสื้อสกรีนคำว่า “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” เป็นเสื้อช่วยสนับสนุน นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ เพื่อหาเงินมาต่อสู้คดี และการใส่เสื้อเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ รวมทั้งเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทเลย โดยต่อมานายจ้างก็เงียบไป ประกอบกับช่วงนั้น เป็นช่วงที่สหภาพแรงงานเตรียมยื่นข้อเรียกร้องพอดีค่อนข้างรุนแรง จนอาจถึงขั้นขอมตินัดหยุดงาน อย่างไรก็ตาม ก็ผ่านไปด้วยดี โดยนายจ้างยอมรับเรียกร้องระดับหนึ่ง
       
       น.ส.จิตรา กล่าวต่อว่า ต่อมานายจ้างได้นำเรื่องฟ้องศาลแรงงาน เพื่อขออำนาจศาลเลิกจ้างตนเอง ในความผิดฐานจงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหายจากการใส่เสื้อดังกล่าว โดยบริษัทอ้างว่า เธอสนับสนุน นายโชติศักดิ์ ในการกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ทำให้คนมองว่านายจ้างสนับสนุนไปด้วย ทั้งนี้ การฟ้องศาลเพื่อแสดงตัวว่าบริษัทไม่ได้สนับสนุน
       
       ประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ กล่าวต่อว่า ในวันนี้นายจ้างได้เรียกไปพบ และแจ้งเรื่องการเลิกจ้าง ซึ่งศาลได้อนุญาตให้เลิกจ้าง โดยมีผลตั้งแต่ 8 ก.ค.แต่นายจ้างเลือกแจ้งในวันนี้และให้มีผลพรุ่งนี้ (30 ก.ค.) โดยนายจ้าง บอกอีกว่า มีการออกหมายเรียกถึงสองครั้ง แต่ น.ส.จิตรา ปฏิเสธว่า เธอไม่เคยได้รับหมายเรียกเลย และจะไปวิจารณ์อำนาจศาลก็คงไม่ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ได้รับ อย่างไรก็ตาม น.ส.จิตรา ตั้งข้อสังเกตกับประชาไท ว่า การเลิกจ้างครั้งนี้น่าจะเป็นความพยายามล้มล้างสหภาพแรงงานของทางบริษัท โดยเอาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาเป็นเครื่องมือ
       
       สำหรับเสื้อสกรีนวลีและวลี “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” และ “Not Standing is no crime. Different thinking is no crime.” ถูกพบเห็นโดยสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ 22 เมษายน 2551 ที่ นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ จากการไม่ยืนตรงแสดงความเคารพในโรงภาพยนตร์ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2550
       
       ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาผู้ดำเนินการเว็บไซต์ประชาไท ได้สนับสนุน นายโชติศักดิ์ และพวกใช้กระแส “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” เพื่อต่อสู้และประชาสัมพันธ์ไปยังสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้มีการล้มเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: