ทัศนะวิจารณ์
กาแฟดำ
21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 05:00:00
ไทยถกเขมรวันนี้...ประเด็นอยู่ที่สองคนที่ไม่ได้เข้าประชุม...
การประชุมนัดพิเศษของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ General Border Committee (GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่โรงแรมอินโดจีน จังหวัดสระแก้ว วันนี้
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : น่าจะทำให้ความตึงเครียดตรงจุดเขาพระวิหารคลายไปได้...เพราะการปล่อยให้สถานการณ์เสื่อมทรุดลงตรงบริเวณนั้นไม่ได้เกิดผลประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย
แม้กัมพูชา จะเล่นเกมการทูตระดับสากลด้วยการฟ้องสหประชาชาติว่าไทยรุกล้ำดินแดนของเขา นั่นก็เพียงแค่เป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมืองของเขาเท่านั้น
เท่ากับท้าทายให้ไทยต้องแก้เกมที่สหประชาชาติ ให้ทันท่วงทีด้วย เพราะที่แล้วมา ผู้นำไทยไม่ทันเกม และกระทรวงต่างประเทศโดนการเมืองในประเทศล้อมกรอบ จนลืมความเป็น "มืออาชีพ" ของตัวเอง
แต่ที่จะเป็นเรื่องหลักที่ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมอย่างเป็นทางการนั้น คือ ความสัมพันธ์ทางการเมืองของสองประเทศที่อยู่นอกเส้นเขตแดน
นั่นคือ 1. การเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชา วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคมนี้ และ 2.การไปลงทุนใหญ่ที่เกาะกงและการขุดเจาะน้ำมันในเขตของสองประเทศของกลุ่มนักธุรกิจไทยใหญ่ๆ ที่มีชื่อของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏโดดเด่นมาหลายเดือนแล้ว
พูดให้กระชับสั้นง่าย ก็คือ ว่าความสัมพันธ์ทางความมั่นคงของสองประเทศที่ย่ำแย่ลงในระยะนี้ ก็เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างนายกฯ ฮุนเซน ของเขมรและอดีตนายกฯ ทักษิณ ของไทยเกิดแน่นแฟ้นขึ้นมานั่นเอง
ความจริง ที่นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ไม่นำทีมฝ่ายไทยไปร่วมประชุมกับคณะของกัมพูชาที่นำโดยรัฐมนตรีกลาโหม เตีย บัน นั้น ก็ดีไปอย่าง...เพราะผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ที่ได้รับมอบหมายนำคณะของไทยไปประชุมแทน จะได้ "คุยนอกรอบ" กับคุณเตีย บัน อย่างตรงไปตรงมาได้ว่า ปัญหาจริงๆ ของสองประเทศขณะนี้อยู่ตรงไหน
จะว่าไปแล้ว ผมไม่ได้ห่วงประเด็นการเจรจาว่าด้วยการแบ่งเขตชายแดนและการตกลงว่าจะทำอย่างไรกับ "เขตทับซ้อน" ตรงเขาพระวิหารเท่าไรนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ ต่างฝ่ายต่างก็รู้จุดยืนของอีกฝ่ายหนึ่งดีอยู่แล้ว เพราะได้ทำงานร่วมกัน ถกเรื่องแผนที่ เรื่องสันปันน้ำ เรื่องคำพิพากษาศาลโลก และเรื่องชาวบ้านที่ข้ามไปมาทั้งสองฝั่งมานมนานแล้ว...ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร
เช่นกรณีที่นายกฯ ฮุนเซน อ้างในจดหมายว่าทหารไทยข้ามเข้าไปในดินแดนของกัมพูชา ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น นายกฯ สมัคร ก็ตอบกลับไปว่าความจริงทหารไทยยังอยู่ในเขตไทย...ทหารเขมรต่างหากที่ข้ามเข้าไปในเขตไทย
เหตุที่เห็นแย้งกันในเรื่องนี้ก็เพราะเป็นประเด็นถกแถลงกันมาตลอด...พื้นที่บริเวณ วัดแก้วสิขเรศวร ที่ฮุนเซน กล่าวอ้างถึงในจดหมายนั้นฝ่ายเรายืนยันมาตลอดว่า เป็นดินแดนของไทย
ไทยเราอ้างมาตลอดว่าการที่ได้มีชาวกัมพูชา ขึ้นไปสร้างวัด สิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมทั้งที่อยู่อาศัยกับทั้งมีทหารอยู่ในพื้นที่นั้น ถือว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและดินแดนของไทย
และตามคำแถลงของกระทรวงต่างประเทศนั้น รัฐบาลไทยได้ประท้วงเรื่องนี้เป็นลายลักษณ์อักษรมาแล้ว 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2547, 2548 2550 และ 2551
ดังนั้น คณะกรรมการชายแดนทั่วไปของทั้งสองประเทศจึงรู้ว่าไทยกับกัมพูชา มีข้อที่เห็นขัดแย้งกันอยู่ตรงชายแดนอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด และไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
แต่ประเด็นใหม่ที่ทำให้เกิดความตึงเครียดถึงกับมีการตรึงทหารกันอยู่ตรงชายแดนในบริเวณนั้น ก็เพราะความสงสัยคลางแคลงของคนไทยจำนวนไม่น้อยว่านายกฯ ฮุนเซน กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ไปแอบพูดจาอะไรกันไว้ในลักษณะ "เกี๊ยะเซี๊ยะ" ที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยผลักดันเรื่องกัมพูชา ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกจนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยขึ้นมา
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยควรจะได้บอกกล่าวกับรัฐมนตรีกลาโหม กัมพูชา ว่า คนไทยมีความคลางแคลงเรื่องความสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจระหว่างผู้นำของเขมรกับอดีตผู้นำของเราอย่างไร
และเพราะความเชื่อของคนไทยไม่น้อยว่าผลประโยชน์เรื่องดินแดนของประเทศกำลังถูกนำไปแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวของกลุ่มการเมืองของไทยนั่นแหละ ที่ทำให้เกิดกระแส "ชาตินิยม" ขึ้นมา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ
คณะกรรมการฝ่ายไทยจะต้องบอกกล่าวให้ชัดเจนกับฝ่ายกัมพูชาในการเจรจารอบนี้ว่าคนไทยไม่ได้มีปัญหากับคนเขมร และมีความสำนึกอย่างลึกซึ้งว่าความเป็นเพื่อนบ้านและความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชนระหว่างสองประเทศนั้นยังดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ที่เป็นที่มาของความขัดแย้งนั้น คือ ผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองไทยบางกลุ่มบางก้อนที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ากำลังจะ "ขายชาติ" ด้วยการไม่ปกป้องผลประโยชน์ด้านดินแดนและอธิปไตยอย่างแข็งขันเพียงพอ
คนเขมรส่วนใหญ่กับคนไทยส่วนมากย่อมจะเข้าใจตรงกันว่า ถ้าหากนักการเมืองของทั้งสองฝ่ายแอบไปกระทำการตุกติก เพื่อสร้างความร่ำรวยส่วนตนจากการใช้อำนาจทางการเมืองที่กระทบผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ ประชาชนของทั้งสองประเทศก็ย่อมจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้
ดังนั้น ประเด็นของการประชุมที่สระแก้ว วันนี้เกี่ยวกับ "ชายแดน" นั้น ไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อนหรือยุ่งยากที่กระทบความสัมพันธ์ของสองประเทศแต่ประการใด
ที่ละเอียดกว่า สำคัญกว่าคือหัวหน้าคณะฝ่ายไทยจะบอกรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา เตีย บัน ให้ไปบอกนายกฯ ฮุน เซน ของเขาว่า ต้นสายปลายเหตุจริงๆ ของกระแสชาตินิยมคนไทยครั้งล่าสุดนี้เกิดจากใคร
และหากนายกฯ กัมพูชา จะประกาศให้จะแจ้งว่าอดีตนายกฯ ที่ชื่อทักษิณ จะเข้าไปทำอะไรที่กัมพูชาและมีความเข้าใจระหว่างกันว่าจะมีการ "แลกเปลี่ยน" อะไรกันทางการเมืองกับรัฐบาลนอมินี ของไทย นั่นจะเป็นการ "เคลียร์ใจ" กับคนไทยได้มากกว่าแถลงการณ์ทางการเป็นร้อยๆ ฉบับ
มองการเมืองเรื่องไทยเขมรวันนี้ อย่าหลงประเด็นเป็นอันขาด
(เข้ามาฟังบทวิเคราะห์เรื่องไทยกัมพูชาร้อนๆ ของผมได้ที่
www.oknation.net/blog/black ตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/07/21/news_277703.phpต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดก็คือ ระบอบแม้ว เข้าครอบงำประเทศและทำให้ประเทศเสียหาย
พธม และปชช ได้ทำให้เห็นว่า ใครคือคนในระบอบแม้ว
ทนายเนรคุณ กับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ร่วมมือกันหลอกลวงคนทั้งประเทศในเรื่องเขาพระวิหาร
เมื่อรู้ชื่อเสียงเรียงนามก็ควรเปิดเผยและดำเนินการลงโทษทั้งทาง กม และสังคมวรรุมประนามถึงโคตรเหง้าของพวกมันด้วย
นายปองพล ก็มีส่วนเรื่องนี้ ควรรับผิดชอบ ลาออกไป ให้คนที่มีสติปัญญา มีบารมี มีองค์ความรู้ มีศักยาภาพ
เข้ามาจัดการเรื่องนี้ หากยัง "หน้าไม่อาย" สังคมก็ต้องรุมประนามถึงโคตรเหง้าเช่นกัน
นายคน "ไม่มียางอาย สัตว์นรก" ที่ต้องรอให้กระบวนการทาง กม จัดการ แต่สังคมก็ควรประนามโคตรเหง้ามันเช่นกัน
ผู้ว่าราชการที่เป็น "คนในระบอบแม้ว" ที่แสดงตนให้เห็นชัดเจนในสนับสนุน ให้คนในระบอบแม้ว นปก มาป่วน พธม
บุรีรัมย์ เชียงราย เชียงใหม่ ศรีษะเกศ ฯลฯ ที่เห็นว่าเป็น คนในระบอบแม้ว
สังคมต้องจัดการกับคนใน ระบอบแม้ว