ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
01-01-2025, 14:47
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  อสังหาริมทรัพย์ท่ามกลางวิกฤติสี่ประการ 0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
อสังหาริมทรัพย์ท่ามกลางวิกฤติสี่ประการ  (อ่าน 2562 ครั้ง)
pornchokchai
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 53


« เมื่อ: 02-07-2008, 22:02 »

อสังหาริมทรัพย์ท่ามกลางวิกฤติสี่ประการ
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA*

.
ปัญหาที่อ่อนไหวสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นเรื่องวิกฤติทั้งในระดับโลกและระดับประเทศซึ่งอาจส่งผลต่อการตกต่ำของตลาดในอนาคตได้
.
วิกฤติสำคัญในขณะนี้มี 4 กรณีสำคัญ แบ่งเป็นวิกฤติระดับโลก ซึ่งยังแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ วิกฤติน้ำมัน ซึ่งราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และวิกฤติอาหารซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนของสังคมในหลายประเทศ และวิกฤติภายในประเทศ ซึ่งยังแบ่งเป็น 2 กรณีคือ วิกฤติทางการเมือง และวิกฤติภาคใต้ เราลองมาพิจารณาวิกฤติเหล่านี้ดูว่าจะมีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างไรบ้าง
.
วิกฤติน้ำมันนั้นอาจเป็นปัญหาที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว สูงกว่าสินค้าอื่น ๆ อย่างเด่นชัด ส่งผลให้เกิดการประหยัดอย่างสุดกำลัง ทำให้สินค้าอสังหาริมทรัพย์ราคาแพงหดหายไปอย่างมากมาตั้งแต่ปี 2548 ราคาเฉลี่ยของสินค้าอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวใหม่จึงแข่งกันลดราคาลงทุกปี
.
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พึงเข้าใจก็คือ ที่ลดราคาลงนั้น ไม่ใช่ว่าค่าก่อสร้างถูกลง แต่หมายถึงการที่ผู้ประกอบการต้องลดขนาด ลดคุณภาพ หรือตั้งในทำเลที่ราคาที่ดินถูกลง เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
.
วิกฤตินี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายไป มีความเห็นจากผู้สันทัดกรณีว่า ราคาน้ำมันยังจะขึ้นต่อไป แม้ประเทศผู้ผลิตจะลดราคาหรือเพิ่มกำลังผลิตแล้วก็ตาม และมีโอกาสเป็นไปได้ที่วิกฤตินี้จะก่อให้เกิดการพังทลายของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมทั่วโลกในอนาคต
.
วิกฤติอาหารเป็นวิกฤติที่ส่งผลสะเทือนในระดับสากล ทำให้เกิดการจลาจลในประเทศหลายแห่งทั่วโลก สำหรับในกรณีประเทศไทยที่เป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” ยังอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติอาหารน้อยกว่าประเทศอื่น แต่วิกฤติอาหารก็ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของภาวะเงินเฟ้ออย่างมากมายในรอบหลายปีที่ผ่านมาในประเทศไทย
.
สำหรับในระดับประเทศ วิกฤติการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงยากที่จะหาทางออกที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนส่วนใหญ่กำลังถูกท้าทาย ดูเหมือนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองพยายามดึงให้รัฐบาลชุดนี้ขาดความเป็นไปได้ในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งย่อมทำให้เกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองตามมาอย่างไม่สิ้นสุดและอาจลุกลามเป็นปัญหาระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชา
.
บางท่านคิดไปไกลถึงขนาดว่า รัฐประหารครั้งใหม่อาจเป็นทางออก เข้าทำนองใช้ไฟดับไฟ หรือเกิดการโค่นล้มกลุ่มอำนาจด้วยการนองเลือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต กรณีเช่นนี้หากเกิดขึ้นจริง จะส่งผลกระทบต่ออสังหาริมทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทยเป็นเวลาสัก 10 ปี ราคาอสังหาริมทรัพย์ตามมูลค่าปัจจุบันสุทธิคงลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่งในทันที หรือหากเป็นมูลค่าในอนาคต ก็คงลดลงไปเหลือเพียงหนึ่งในสาม (ณ อัตราคิดลดที่ 10% ต่อปี)
.
สำหรับวิกฤติภาคใต้ นับเป็นปัญหา “หนามยอกอก” สำหรับประเทศไทย เพื่อนผมซึ่งเป็นศาสตราจารย์ชาวศรีลังกา บอกผมว่า ปัญหาภาคใต้ตอนนี้ก็คล้ายกับในศรีลังกาเมื่อ 20 ปีก่อน ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้แก้ปัญหาจริงจัง นัยว่ามีผลประโยชน์ซ่อนเร้นกับการรักษาภาวะไม่สงบเอาไว้ มีการ “เลี้ยงไข้” ไปเรื่อยจนปัญหาเหล่านี้ลุกลามออกไป
.
กรุงโคลัมโบที่ผมไปเห็นมาในปัจจุบัน ตามสี่แยกมีตำรวจถือปืนกลคอยตรวจตราตลอด เพราะอาจถูกโจมตีโดยฝ่ายกบฏได้ตลอดเวลา สนามบินที่นั่นก็ไม่เปิดให้บริการในช่วงกลางคืน ด้วยฝ่ายกบฏซึ่งบัดนี้มีสนามบินของตนเองแล้ว อาจใช้ความมืดลอบบินมาถล่มได้

.
ความยืดเยื้อของปัญหาภาคใต้ในปัจจุบัน จะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ หากวันหนึ่งวันใด มีระเบิดเกิดขึ้นในภูเก็ต สมุย หรือพัทยา ประเทศไทย ก็คงยิ่งด้อยลงไปอย่างถนัดตา ทุกวันนี้ศรีลังกาที่เคยเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยว มีคนไปเที่ยงเพียงปีละ 5 แสนคน ไทยมีนักท่องเที่ยว 14 ล้านคน แต่มาเลเซียซึ่งมีขนาดเพียงสองในสามของไทย กลับมีคนต่างชาติไปเที่ยวถึง 16 ล้านคน
.
การที่ต่างชาติไปท่องเที่ยวน้อย หรือทำธุรกิจน้อย เช่น กรุงจาการ์ตามีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเพียงปีละ 7 แสนคน (น้อยกว่าบาหลีหนึ่งเท่าตัว) ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ทั้งหลายตกต่ำหรือหยุดชะงัก สิ่งที่ลงทุนไป กลับได้ไม่คุ้มเสีย เป็นต้น
.
อาจกล่าวได้ว่า ในภาวะขณะนี้ สินค้าต่าง ๆ พากันขึ้นราคา ทำให้การครองชีพของประชาชนลำบากยิ่งขึ้น และในภาวะที่ยากลำบากนี้ การซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงจะเกิดน้อยลง (ยกเว้นสามารถช้อนซื้อได้ในราคาต่ำกว่าท้องตลาด) ส่งผลให้การลงทุนก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ จะมีจำนวนลดน้อยลงไปด้วย (ยกเว้นระดับราคาปานกลางถึงปานกลางค่อนข้างถูก) ในทางตรงกันข้าม อาจมีความพยายามขายทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อนำเงินสดมาใช้ (หนี้) ทำให้ราคาทรัพย์สินตกต่ำลงได้ หากวิกฤติมีความยืดเยื้อออกไปจนทำให้ประเทศเกิดการถดถอยอย่างรุนแรง
.
การตกต่ำลงของอสังหาริมทรัพย์ส่งผลรุนแรงต่อประชาชนทุกกลุ่ม เพราะประชาชนทุกระดับล้วนถือครองอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ชาวนา แม้แต่ชาวนาเช่าที่ หรือสาวฉันทนาที่เช่าหอพักอยู่ ตลอดจนผู้ซื้อบ้านทั่วไปหรือผู้ถือครองทรัพย์สินขนาดใหญ่ ล้วนจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติทั้งสี่กรณีข้างต้นได้

.
สำหรับแนวทางการแก้ไขวิกฤติข้างต้น ผมคงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ แต่เชื่อว่าหากมี “ผู้มีบารมี” สามารถดับวิกฤติการเมืองได้ หรือหากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนได้รับโอกาสเป็นผู้ตัดสินอนาคตของชาติจริง โดยไม่ถูกคณะบุคคลใดแทรกแซง ประเทศก็จะเดินหน้าไปโดยไม่ต้องพะวงกับปัญหาทางการเมือง ส่วนวิกฤติภาคใต้ ก็คงต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานที่ไม่โกงกินและดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยแผนการชัดเจนและดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งเชื่อว่าคงจะสำเร็จได้เพราะกรณีการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีตซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าก็ยังยุติมาแล้ว
.
วิกฤติน้ำมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และอาจถือว่าแก้ไขไม่ได้ด้วยประเทศไทยเอง แต่วิกฤติอาหารอาจทำให้ไทยพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของโลกอยู่แล้ว น่าจะทำให้ไทยมีการเติบโต “สวนกระแส” กับประเทศอื่นด้วยซ้ำไป
.
ในท่ามกลางวิกฤติที่อาจทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำได้ คงทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องปรับตัวพอสมควร เช่น ผู้ซื้อบ้านก็คงต้องคาดการณ์รายได้และความสามารถในการซื้อให้ชัดเจนก่อนการลงทุน นักพัฒนาที่ดินก็คงต้องวางแผนให้รอบคอบก่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ในภาวะที่ราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นมาก เป็นต้น
.
การไม่ลงทุนเกินตัว และการติดตามวิเคราะห์ภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด คงเป็นคาถาสำคัญในยุควิกฤตินี้
.
* ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นประธานกรรมการศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA (www.area.co.th) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่มีฐานข้อมูลที่กว้างขวางที่สุดในไทยและเริ่มสำรวจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2537 ขณะนี้ยังเป็นประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย กรรมการหอการค้าสาขาจรรยาบรรณ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ และกรรมการสภาที่ปรึกษาของ Appraisal Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรส Email: sopon@area.co.th
บันทึกการเข้า
นักปฏิวัติ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330



« ตอบ #1 เมื่อ: 03-07-2008, 02:11 »

ผมก็อยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ และขอshareเหตุผลส่วนตัว ที่ผมต้องร่วมต่อต้านระบอบทักษิณ

   ถามว่า เราอยากเห็นประเทศไทยของเรา เดินไปในทิศทางใด ? ทุนนิยมสามานย์สุดโต่ง ในระบอบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี ภายใต้ระบอบทักษิณ ซึ่งเน้นเป้าหมายกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงวิธีการเพื่อให้ได้มา หรือผลกระทบใดๆทางสังคมในระยะยาว ?

   หรือ ต้องการเดินไปในทิศทางทุนนิยมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ยึดมั่นระบบคุณธรรม จริยธรรม ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงทศพิธราชธรรมเป็นที่ประจักษ์ตลอดระยะเวลาครองราชย์ ?

        จากข้อมูลที่ทุกท่านรับทราบข้อมูล ความเคลื่อนไหวของระบอบทักษิณ ซึ่งสะท้อนให้เห็น เป้าหมายใหญ่ที่แท้จริง ตามที่ผ่านมา ผมจึงใคร่ขอเสนอแนวคิดรวบยอดส่วนตัว คือ ถ้าสมมติ นายจักรภพซึ่งเป็นตัวแทนผู้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันมาตลอด ในการเชิดชูและสนับสนุนทักษิณอย่างมากมาย สุดลิ่มทิ่มประตู และ กระทำการหลายๆอย่าง ส่อว่าต้องการล้มล้าง หรือ เปลี่ยนระบอบการปกครอง โดยเชื่อได้ว่าต้องการให้ทักษิณ ปกครองประเทศตามระบอบใหม่  อาจเป็นประชาธิปไตย หรือสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดี เป็นประมุข และมีอำนาจเผด็จการทางรัฐสภาที่ได้มาโดยการทุจริตเลือกตั้ง (คล้าย กรณีฮิตเลอร์และพรรคนาซี ในเยอรมันยุคสงครามโลกครั้งที่ 2) เพราะอาศัยความไม่รู้เท่าทัน ด้อยทั้งการศึกษาและการเข้าถึงข้อมูล ของประชาชนบางส่วน รวมกับการถูกโฆษณาชวนเชื่อ และมอมเมาด้วยสื่อ ให้ประชาชนบางภาคส่วนแต่เป็นสัดส่วนสูงในประเทศ ติดในระบบประชานิยมภายใต้ทักษิณอุปถัมภ์)

         โดยส่วนตัวเชื่อได้ว่า ในระยะยาว ( ทักษิณ เคยกล่าวไว้เองว่ามีเป้าหมายจะครองอำนาจไปอีก 20 ปีเมื่อ 5 ปีที่แล้ว) ประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสุดโต่งหรือทุนนิยมสามานย์ และต้องเป็นทาส การชี้นำโดยกลุ่มทุนผูกขาดของทักษิณและพวกพ้อง รวมทั้งประเทศทางตะวันตก (โดยเฉพาะที่ทักษิณมีสายสัมพันธ์ทางผลประโยชน์) ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี วิทยาการและฐานความรู้ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสูงกว่าประเทศไทยในทุกด้าน เช่น สหรัฐอเมริกา บรรษัทข้ามชาติต่างๆ โดยผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับทักษิณและกลุ่มทุนใกล้ชิด โดยสร้างนโยบาย ระบบกฏหมาย ระบบตักตวงผลประโยชน์และใช้ทรัพยากรของประเทศอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อผลประโยชน์ตนเอง ( Country Capitalization – แปลงประเทศเป็นทุน )

           ซึ่งตรงข้ามกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยสิ้นเชิง และอาจเป็นการใช้ทรัพยากรของชาติทั้งหมดไปล่วงหน้าให้มากที่สุด ทำให้ประเทศถูกสูบทรัพยากรอย่างมากมายและ สร้างปัญหาระยะยาว เช่น ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การกระจายรายได้จะกระจุกตัว (คนจนจนลง คนรวยรวยขึ้นเฉพาะที่ใกล้ชิดกลุ่มอำนาจ เฉกเช่น กรณีกลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดรัฐบาลพม่า) ส่งผลต่อปัญหาสังคม อาชญากรรมทั้งในประเทศและอาชญากรรมข้ามชาติ ค่านิยมสังคมเน้นทุนเป็นหลัก เป็นวัตถุนิยมสุดโต่ง ล้มล้างระบบคุณธรรม จริยธรรม คนจะไม่ยึดมั่นหลักการทางศีลธรรมและศาสนา มุ่งแต่หาเงินโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ คนโกงแล้วรวย ได้ดีเป็นที่นับถือ ยกย่องในสังคม
   
ในที่สุดแล้ว สังคมย่อมจะเสื่อมทรามและอาจถึงขั้นล่มสลาย เพราะเมื่อทรัพยากรไม่เพียงพอ กับความต้องการซึ่งอยู่บนพื้นฐานความโลภ จะเกิดการแก่งแย่งถึงขั้นใช้ความรุนแรง และพัฒนาเป็นสงคราม ทั้งภายในและต่างประเทศ คนบางส่วนจะยึดอาชีพเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม (ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม) เช่น ค้าประเวณี ค้ายาเสพติด ค้าความบันเทิง ธุรกิจการพนัน ธุรกิจอบายมุขและการมอมเมาต่างๆ การค้าธุรกิจผิดกฏหมาย ( ทักษิณเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เช่นข่าวที่รัฐมนตรี กัมพูชา เป็นผู้พูดเองว่าทักษิณกำลังไปลงทุนที่เกาะกง ทำธุรกิจบ่อนกาสิโน และ เอนเตอร์เทนเม้นท์ (แหล่งรวมอบายมุข) ครบวงจร หรือนโยบายหวยบนดิน แทนที่จะปราบปรามหวยใต้ดิน การกระทำดังกล่าวเป็นการชี้นำสังคม ที่ปัจจุบันนี้มีค่านิยมผิดๆหลายอย่าง แม้แต่การวิจัยสังคมไทยที่บางสถาบันเผยแพร่ทางสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ยังพบว่า คนรุ่นใหม่ยอมรับว่าการโกงเป็นสิ่งที่ยอมรับและทำตามได้ หรือ เกมสมัยใหม่ที่เด็กนิยม จะเกี่ยวข้องกับความรุนแรง เรื่องเพศ เหล่านี้ทำให้เด็กมีค่านิยมผิดๆเช่น อยากเป็นผู้ร้ายข่มขืน นิยมการใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา ฯลฯ ) เพราะเป็นแนวทางให้ได้เงินปริมาณมากโดยไม่ต้องพึ่งพาวิชาความรู้มาก  ตลอดจนค่านิยมการพยายามหลบและเลี่ยงภาษีของธุรกิจถูกกฏหมาย  ( กรณีตัวอย่างที่ทักษิณขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อไม่ต้องเสียภาษี )   

        หากเราสังเกตจะพบว่า ประเทศสหรัฐ ต้นแบบการพัฒนา ดังกล่าว กำลังประสบปัญหาสังคมสูงทั้งปริมาณ ความซับซ้อน และความรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นอัตราการท้องของเด็กหญิง ( ขณะนี้ประเทศไทยสูงกว่าแล้ว นับจากยุคที่ทักษิณเป็นรัฐบาล ) ข่าวอาชญากรรมที่เด็กและเยาวชนเป็นผู้ก่อ หรือภาพระดับมหภาค เช่น การก่อสงครามแย่งชิงแหล่งพลังงานโดยอ้างเหตุผล อื่นๆอำพราง การสนับสนุนการรัฐประหารในประเทศที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่ออเมริกา ( กรณีของทักษิณ จากคำกล่าวอ้างของดร.ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ กล่าวว่า ทักษิณเอง เคยถูกบุคคลระดับนำในประเทศกัมพูชาระบุว่า สนับสนุนการรัฐประหาร การเมืองภายในประเทศกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง ) หรือแม้แต่ปัญหาความขัดแย้งกับต่างชาติ และการก่อการร้ายที่มุ่งประเทศสหรัฐเป็นเป้าหมาย (กรณีนโยบายของทักษิณ เช่น การพยายามสร้างกลไกการปกครองในลักษณะรัฐตำรวจ นโยบายสงครามยาเสพติด หรือ แนวทางการแก้ปัญหาทางภาคใต้โดยใช้ความรุนแรง  ซึ่งนอกจากแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังเป็นผลให้ปัญหาขยายตัว ซับซ้อน และ รุนแรงขึ้นอีกด้วย )

   สถานการณ์ในขณะนี้ อ้างอิงจาก ความเห็นของ พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ เมื่อ 14 พ.ค. 51
 “...ได้ทราบว่า...มีกลุ่มบุคคล ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิต์ ดื้อรั้น บางกลุ่ม หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่ โดยพยายามใช้วิธีการต่างๆ  เช่น  ชุบตัวในสถาบันวิชาการ  เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐ ยุยง ให้ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายทุนทำผิดให้มากๆ จึงมีการกล่าวกันว่า ปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศ โดยใช้ ระบอบ เผด็จการรัฐสภา เป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วม เพื่อก่อสงครามกลางเมือง เพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็น อาวุธหลัก...”
( http://www.bangkok-today.com/bkk.content.php?bkk=1,1,1,20481 )


   และ ความเห็นของกลุ่มพันธมิตร โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล มีใจความสำคัญว่า “ มีความเป็นไปได้ว่า ถ้าการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่นำโดยพรรคพลังประชาชน ครั้งนี้ สามารถประสบความสำเร็จ ซึ่งหมายถึงบรรลุเป้าหมายขั้นแรก คือ สามารถล้มมาตรา 237 เพื่อช่วยให้ไม่ถูกยุบพรรคจากการทุจริตเลือกตั้ง และล้มมาตรา 309 ทำให้ทักษิณไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
   ก็จะเป็นผลให้พรรคพลังประชาชน ดำเนินการขั้นที่สอง สอดคล้องกับเป้าหมายของนายจักรภพ นั่นคือการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน หมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 เพื่อปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ตามการชี้นำของทักษิณ อย่างสมบูรณ์แบบและถูกต้องตามกฏหมาย โดยอ้างได้เต็มที่ว่าเป็นกระบวนการประชาธิปไตยโดยอาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภา นั่นเอง “


   ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าทำไมพรรคพลังประชาชนจึงรีบเร่งดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ในขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง เป็นความสำคัญเร่งด่วน กลับไม่ได้รับความสำคัญ เช่น จนกระทั่งบัดนี้ ( รัฐบาลตั้งมานานกว่า 3 เดือน และ สภาก็ปิดสมัยการประชุมสามัญไปแล้ว ) ก็ยังไม่มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการในด้านต่างๆของ สส. เพื่อทำงาน พิจารณาปัญหาต่างๆที่เร่งด่วนของประเทศชาติแต่อย่างใด
   ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพรรคพลังประชาชน ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวม หากแต่มุ่งมั่น ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ปัญหาให้ทักษิณ และรักษาอำนาจการปกครองของตนเอง(ล้มมาตรา 309 และ มาตรา 237) เป็นภาระกิจเร่งด่วน
[/color]

ดังนั้น การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตร จึงเป็นแนวทางสำคัญ ในการปรับทิศทางของประเทศ ให้อยู่ในความถูกต้อง(ผลงานหลายอย่าง ก็พิสูจน์ความจริงนี้อยู่แล้ว)และจากการติดตามมากว่า 2 ปี (แกนนำรายบุคคล ผมก็รู้มาก่อนแล้วว่า เป็นคนดี อาจยกเว้นคุณสนธิในยุคแรกๆที่เชียร์ทักษิณ แต่หลังจากกลับลำแล้วผมก็สนิทใจ)ผมเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตร คือกลุ่มพลังทางศีลธรรมอย่างแท้จริง หรือพูดง่ายๆว่าเป็นกลุ่มคนดี ที่รู้เท่าทันและกล้าลุกขึ้นมาสู้กับ กลุ่มชั่วครองเมืองใต้อิทธิพลของทักษิณ อย่างสันติวิธีและใช้ธรรมนำการต่อสู้

ผม share ข้อคิดเห็นนี้ เพราะรู้ว่า ดร.โสภณ ก็เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในธุรกิจนี้ แต่อาจไม่ค่อยมีเวลาได้ศึกษาระบอบทักษิณว่าส่งผลต่ออนาคตประเทศไทย อย่างไร
บันทึกการเข้า

"สุดยอดกลยุทธ์ คือชนะโดยไม่ต้องรบ" ซุนวู

"ผู้นำชั้นเลิศนั้น เพียงแต่เป็นที่รับรู้ว่ามีตัวตนอยู่
ชั้นรองลงมา เป็นที่รักและสรรเสริญ
ชั้นรองกว่านั้น เป็นที่เกรงกลัวและเกลียดชัง" เหล่าจื๊อ เต้าเต๋อจิง
pornchokchai
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 53


« ตอบ #2 เมื่อ: 03-07-2008, 05:10 »

ไม่เคยพบใครให้ความกรุณาตอบได้ยาวเท่ากับความเห็นที่ 1 เลยครับ ขอขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 03-07-2008, 09:18 »

ราคาอสังหาริมทรัพย์ หรือมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นอยู่ในประเทศไทย หรือโลกทุนนิยมบางประเทศ เป็นเพียงกลไกการทำกำไรเช่นเดียวกับตลาดหุ้น ราคาของอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของมัน แต่สะท้อนความต้องการอสงัวหาริมทรัพย์นั้น หรือสะท้อนการปั่นราคา หรือสะท้อนกลไกการจัดการอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ

ที่ดินแปลงหนึ่ง อาจจะมีค่าขึ้นมาในทันใด เมื่อมีถนนตัดผ่าน ในขณะเดียวกันมันจะด้อยค่าลงในทันใด เมื่อมันเป็นพื้นที่ใต้ถนนที่ตัดมาทับบนตัวมันนั่นเอง

ตัวอย่างราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งขึ้น ด้วยการปั่นราคาบอกด้วยการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่หมู่บ้านเล็กๆของลูกมหาเศรษฐีใหญ่ๆแถวย่านนวมินทร์

แต่เดิมหมู่บ้านตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ราคาหลังละสองสามล้านบาท ขายไม่ค่อยจะออก ต่อมาพ่อตัดถนนมาตรฐานผ่านติดรั้วหมู่บ้านของลูก ทั้งๆที่ตรงนั้นไม่น่าจะตัดถนนอะไร และรีบสร้างให้เสร็จ ทั้งๆที่ใกล้เคียงกันนั้นก็มีจุดที่จะตัดถนนมาตรฐานตามแผนงานการขยายถนนที่ถูกต้องอยู่แล้ว เหมือนถนนควายเดินในยุคหนึ่ง

ถนนเส้นนั้น ส่งผลให้หมู่บ้านของลูกมหาเศรษฐี ราคาพุ่งขึ้นไปเท่าตัว เพราะกลายเป็นหมู่บ้านติดถนนใหญ่ 

ท่านที่คิดจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัย หรือทำมาหากิน แต่จะเก็งกำไร โปรดคิดให้ดีว่า กรรมสิทธิ์ ราคา ในอสังหาริมทรัพย์ใดๆก็ตาม ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น มันเหมือนกับการเล่นการพนัน เก็งกำไร

เล่นหุ้น เขาห้ามงมงายตามโบรคเกอร์  เล่นที่ เขาก็ห้ามเชื่อเซียนที่ดิน ขอบอย่างนี้มันคือการพนัน ตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย 

บันทึกการเข้า
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 03-07-2008, 09:46 »

อสังหาริมทรัพย์ท่ามกลางวิกฤติสี่ประการ
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการ ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA*

สำหรับในระดับประเทศ วิกฤติการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ยังคงยากที่จะหาทางออกที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนส่วนใหญ่กำลังถูกท้าทาย ดูเหมือนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองพยายามดึงให้รัฐบาลชุดนี้ขาดความเป็นไปได้ในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งย่อมทำให้เกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองตามมาอย่างไม่สิ้นสุดและอาจลุกลามเป็นปัญหาระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชา
.
สำหรับแนวทางการแก้ไขวิกฤติข้างต้น ผมคงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ แต่เชื่อว่าหากมี “ผู้มีบารมี” สามารถดับวิกฤติการเมืองได้ หรือหากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนได้รับโอกาสเป็นผู้ตัดสินอนาคตของชาติจริง โดยไม่ถูกคณะบุคคลใดแทรกแซง ประเทศก็จะเดินหน้าไปโดยไม่ต้องพะวงกับปัญหาทางการเมือง ส่วนวิกฤติภาคใต้ ก็คงต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานที่ไม่โกงกินและดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยแผนการชัดเจนและดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งเชื่อว่าคงจะสำเร็จได้เพราะกรณีการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีตซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าก็ยังยุติมาแล้ว
.
* ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นประธานกรรมการศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ AREA (www.area.co.th) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลที่มีฐานข้อมูลที่กว้างขวางที่สุดในไทยและเริ่มสำรวจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2537 ขณะนี้ยังเป็นประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย กรรมการหอการค้าสาขาจรรยาบรรณ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ และกรรมการสภาที่ปรึกษาของ Appraisal Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกาที่แต่งตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรส Email: sopon@area.co.th

คุณอ้างตัวเองว่า เป็นผู้มีความรู้ถึงขั้นปริญญาเอก  เป็นกรรมการหอการค้าด้าน "จรรยาบรรณ" และนิยมเศรษฐกิจพอเพียง

แต่ดูในตัวแดง ซึ่งคุณพูดเองว่า
ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนส่วนใหญ่กำลังถูกท้าทาย ดูเหมือนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองพยายามดึงให้รัฐบาลชุดนี้ขาดความเป็นไปได้ในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งย่อมทำให้เกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองตามมาอย่างไม่สิ้นสุดและอาจลุกลามเป็นปัญหาระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชา


ก็แปลว่า คุณทำธุรกิจโดยไม่มีจรรยาบรรณเลย คุณไม่สนว่าบ้านเมืองจะเสียหายอย่างไร คุณสนแต่ว่า การเมืองสงบเข้าไว้ ใครจะไปงาบหลังฉากไม่รู้ ขอให้คนใช้จ่ายต่อ กู้เงินมาซื้อบ้านเยอะๆ ให้อสังหามันบูมๆ  ถ้าแบบนี้คุณก็เป็นคนที่คิดสั้น ไม่ได้มีจรรยาบรรณตามที่กล่าวอ้าง ตีหัวเข้าบ้านแล้วจบ

ทุกวันนี้บ้านผมก็มีอสังหาฯเก็บกิน  ออกไปดูที่ทางบ่อยๆเพื่อมองหาโอกาส  ไม่ได้ถึงขนาดเป็นนักเคลื่อนไหว  แต่ผมไม่ถึงขนาดรู้สึกเฉยเมย ไม่รู้สึกรู้สาต่อความเสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตย

บอกตรงๆว่า ถ้าบังเอิญต้องมาค้าขายอะไรหรือมาดีลสัญญาอะไรกับคนอย่างคุณ ผมต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะคุณย่อมมาแบบไม่ตรง  ปากพูดอย่าง กระทำอีกอย่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2008, 10:05 โดย 温总理粉丝 » บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: