ทัศนะวิจารณ์
กาแฟดำ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551 05:00:00
สมการมุมกลับ.คะแนนไว้วางใจยิ่งสูง ศรัทธาประชาชนยิ่งต่ำ ถ้าคนไทยที่ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี (สมัคร สุนทรเวช) และรัฐมนตรีอีก 7 คน ตลอดสามวันก่อนการลงมติในสภาฯ เมื่อวานนี้ (27 มิ.ย.) มีสิทธิจะลงคะแนนเสียงเองบ้าง คงจะแตกต่างไปจากที่เฉลี่ยออกมา 280 ต่อ 162 ให้สอบผ่านหมดทุกคนอย่างที่ปรากฏเมื่อวานนี้
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ :
เพราะหากฟังคำกล่าวหาจากฝ่ายค้าน และเนื้อหาของการตอบโต้จากนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีอคติหรือผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว รัฐมนตรีหลายคนสอบตกอย่างชัดเจน
แม้ตัวนายกรัฐมนตรีเองก็เถอะ หากประเมินเอาเฉพาะเนื้อๆ ของคำตอบต่อคำถามต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นเขาพระวิหาร และการบริหารทิศทางเศรษฐกิจของประเทศภายใต้วิกฤติขณะนี้แล้ว คะแนนที่ชาวบ้านทั่วไปพึงจะให้กับผู้นำประเทศอย่างนี้ก็คงจะปริ่มๆ...คือถ้ารอดมาได้ ก็บาดเจ็บสาหัส หนีไม่พ้นว่าคนไทยไม่น้อยที่ติดตามการอภิปรายครั้งนี้ต้องถามตัวเอง และคนข้างๆ อย่างดังๆ ว่าหาคนอื่นที่มีความสามารถในการบริหาร และน่าเชื่อในความเป็นผู้นำประเทศดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ?
หรือถามอีกอย่างก็คือว่าทำไมเราต้องอดทนจมปลักอยู่กับคณะรัฐมนตรีชุดนี้ในเมื่อสภาพบ้านเมืองเรียกร้องให้ต้องมีคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถโดยเฉลี่ยสูงกว่านี้มากมายหลายเท่านัก
หรือนี่คือผลิตผลที่ดีที่สุดเท่าที่คุณภาพนักการเมืองไทยวันนี้จะพึงกลั่นกรองออกมาให้ได้?
เพราะตัวเลขของ ส.ส. ที่ให้คะแนนไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรี เปรียบเทียบกับคะแนนไม่ไว้วางใจนั้นช่างแตกต่างไปจากมาตรฐานที่คนทั่วไปประเมินเมื่อได้ยินได้ฟังเนื้อหาและสาระแห่งการอภิปรายในทุกๆ ประเด็น
ตัดเอาเรื่องการกล่าวหาส่วนตัวหรือลีลาวาทะ ของนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านในระหว่างการอภิปรายออกไปและพิจารณาเฉพาะเนื้อหาและวิธีคิดรวมไปถึงวิสัยทัศน์ของการทำงานเป็นเสนาบดีที่ต้องมีผลงานแสดงต่อประชาชนแล้ว รัฐมนตรีที่ "สอบผ่าน" การซักถามครั้งนี้มีน้อยกว่าที่ "สอบตก" อย่างแน่นอน
และที่สอบผ่านก็ได้คะแนนเกินครึ่งอย่างเฉียดฉิวยิ่งนัก
ถามว่าถ้าตื้ออยู่ต่อไปอย่างนี้ หรือถูลู่ถูกังกันต่อไปด้วยการอ้างเสียง "ไว้วางใจ" ในการลงมติตามมติของพรรคร่วมรัฐบาล ประชาชนจะรู้สึกอย่างไร?
ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนหนึ่งคิดว่าจะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีขนานใหญ่โดยเฉพาะที่ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนักหน่วงเกือบทุกด้าน
และคนไทยอีกส่วนหนึ่งจะบอกว่าไม่เชื่อว่าคุณสมัคร สามารถจะปรับคณะรัฐมนตรีให้หาย "ขี้เหร่" ได้ เพราะผลประโยชน์ของนักเลือกตั้งในพรรคร่วมรัฐบาลมีสูงเกินกว่าที่คุณสมัคร ผู้โดดเดี่ยวจะสามารถทำอะไรที่สมควรจะทำได้
คนไทยอีกหลายส่วนก็จะคิดต่อด้วยซ้ำว่าปรับคณะรัฐมนตรีในกรอบเดิมก็ยังจะไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรได้มาก เพราะปัญหาไม่ได้อยู่เพียงที่ตัวบุคคลที่มองเห็น หากแต่อยู่ที่ "ผู้อยู่เบื้องหลัง" ที่ยังมีอิทธิพลต่อโครงสร้างอำนาจของรัฐบาล และยังทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งตน
แปลว่าคนเหล่านี้เชื่อว่าตราบใดที่คุณสมัคร ยังอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจได้
ซึ่งก็แปลว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เป็นเพียง "กลยุทธ์" ของรัฐบาลในการลดแรงกดดันจากการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เท่านั้น มิได้เป็นการวัดความพอใจหรือไม่พอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลแต่ประการใด
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่าคะแนนเฉลี่ย 280 ต่อ 162 ที่ให้นายกฯ และรัฐมนตรีอีก 7 คนอยู่ในตำแหน่งต่อไปทั้ง ๆ ที่มีการชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องร้ายแรงมากมายในรัฐบาล ก็จะยิ่งเติมเชื้อของความไม่พอใจในหมู่ผู้ชุมนุมที่หน้าทำเนียบ
และผู้คนที่เชื่ออยู่เดิมแล้วว่าคุณภาพของคณะรัฐมนตรีชุดนี้มีปัญหาและไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ก็จะยิ่งเสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาล...เพราะมองเห็นแล้วว่าโอกาสที่จะเห็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้ยากเต็มที เมื่อผู้ถูกปกครอง มีอาการท้อแท้ สิ้นหวังหรือเลิกตั้งความหวังต่อผู้ปกครองประเทศ และมองไม่เห็นว่ากลไกระบอบปัจจุบันจะแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองได้อย่างไร เงื่อนปมของปัญหาที่ควรจะคลี่คลายเพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ยิ่งจะขมวดเกลียวหนักหน่วงขึ้น
ดังนั้น ชัยชนะของรัฐบาลในสภาฯ เมื่อวานนี้จึงอาจจะส่งผลในทางตรงกันข้ามจากที่รัฐบาลคาดหวัง
นั่นคือยิ่งเสียง "ไว้วางใจ" คณะรัฐมนตรีเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึก "หมดศรัทธา" มากยิ่งขึ้น (เข้ามาร่วมแสดงความเห็นต่อสถานการณ์ร้อน ๆ ของบ้านเมืองได้ที่
www.oknation.net/blog/black ได้ตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/06/28/news_271179.php ดังนั้น ชัยชนะของรัฐบาลในสภาฯ เมื่อวานนี้จึงอาจจะส่งผลในทางตรงกันข้ามจากที่รัฐบาลคาดหวัง
นั่นคือยิ่งเสียง "ไว้วางใจ" คณะรัฐมนตรีเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึก "หมดศรัทธา" มากยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่า สมเด็จหมัก เมถุน สมเด็จสัปดน และรัฐมนตรีลูกกรอกทั้งหลายอ่านบทความนี้ของกาแฟดำอย่างไม่เข้าใจ
หรือเข้าใจ ก็เข้าข้างพรรคพวกว่าบทความนี้ขาดความเชื่อถือ ไม่สร้างสรรค์ และเป็นความคิดเห็นของสื่อฯที่อคติกับรัฐบาลลูกกรอกและ สมเด็จแม๊ว....
พวกรากหญ้า คนกินหญ้า และพวก'บัตรเติมเงิน'ในเสรีไทยเวบบอร์ดยิ่งไม่สติปัญญา วุฒิภาวะจะอ่านเข้าใจความคิดเห็น และสมการมุมกลับ จึงต้องคล้อยตาม'ใบบอก'ว่าเป็นทัศนะของสื่อฯที่เป็นศัตรู เป็นอริกับสมเด็จแม๊ว สมเด็จหมัก เมถุน และรัฐมนตรีลูกกรอก....