เป้าหมายแท้จริงที่สะท้อนผ่านจักรภพ (2) (กวนใจให้สะอาด)
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้นำคำพูดของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ได้ไปกล่าวในที่ประชุมสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อเดือนกันยายน 2550 (หลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549) มาเล่าให้ฟังแล้วรวม 2 ประเด็นด้วยกัน คือ ประเด็นที่ว่าด้วยระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนายจักรภพ ขยายความหมายไปที่พระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ โดยยกตัวอย่างตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา และประเด็นที่ว่าด้วยการลงประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งมีประชาชน 41% ไม่เห็นด้วย เรื่องนี้นายจักรภพกล่าวว่า ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า "เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป"
นายจักรภพตีขลุมเรื่องอย่างนี้ทำไม
ประชาชนไม่ใช่คนพูด แต่นายจักรภพพูด
ทั้งๆ ที่การลงประชามติดังกล่าวไม่ใช่เรื่องอย่างนี้
มาฟังประเด็นที่ 3 กันบ้างว่า นายจักรภพ ยังพูดอะไรต่อไปอีกในที่ประชุมสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทยในวันนั้น นายจักรภพพูดไว้อย่างนี้
" ต่อมาในสมัยอยุธยาซึ่งมีอยุธยาเป็นเมืองหลวงเป็นเวลา 400 กว่าปี แนวคิดที่ว่ากษัตริย์เปรียบเหมือนพระเจ้าถูกนำเข้ามา โดยได้รับอารยธรรมจากเขมร กษัตริย์เป็นกึ่งเทพเจ้า เป็นตัวแทนของเทพในศาสนาฮินดูและพระเจ้าที่อยู่เหนือเทพทั้งหลาย ดังนั้นระบบอุปถัมภ์ซึ่งให้ความช่วยเหลือประชาชน เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นการปกป้อง ถ้าคุณมีความซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์ ความซื่อสัตย์โดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น คุณจะได้รับการปกป้อง และเพื่อแสดงให้เห็นการปกป้องอย่างชัดเจน ประชาชนที่ทำในทางตรงกันข้ามจะถูกลงโทษ "
การพูดของนายจักรภพอย่างนี้เป็นการพูดที่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกลึกๆที่มีอยู่หรือไม่ว่านายจักรภพกำลังคิดอะไรอยู่
นายจักรภพยังพูดต่อไปในประเด็นนี้อีกว่า
" สมัยอยุธยาสอนให้คนไทยมีชีวิตอยู่กับอำนาจ จะดำเนินชีวิตอยู่กับอำนาจได้อย่างไร จะเอาตัวรอดจากอำนาจได้อย่างไร และจะทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกอำนาจทำลาย แต่สมัยอยุธยาก็ได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ขึ้นในประเทศไทย คือความสัมพันธ์ระหว่างนายกับทาส ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นผู้ดีมียศศักดิ์กับสามัญชน "
นายจักรภพพยายามจูงใจให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบของสังคมในยุคนั้นจนต้องมีทาส มีการแบ่งแยกชนชั้น ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการปกครองของกษัตริย์ใช่หรือไม่
นายจักรภพไม่เคยหยิบยกแง่ดีของการปกครองของพระมหากษัตริย์ในยุคนั้นมายกย่องแม้แต่เรื่องเดียว เฉพาะอย่างยิ่งความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้ทรงสละได้แม้พระชนมชีพเพื่อรักษาบ้านรักษาเมือง ปกป้องราษฎรทั้งหลายภายใต้ศึกสงครามกับพม่าหลายครั้งหลายหน ไม่ว่าในสมัยของสมเด็จพระนางเจ้าศรีสุริโยทัย หรือพระนเรศวรมหาราช
ถัดจากแง่ลบในประเด็นที่ 3 แล้ว นายจักรภพยังได้พูดถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตามมาเป็นประเด็นที่ 4 ซึ่งนายจักรภพ พูดให้ที่ประชุมวันนั้นฟังดังนี้
" ต่อมาก็เป็นสมัยรัตนโกสินทร์ ผมจะขอข้ามสมัยธนบุรีช่วง 12 ปีไป ในสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นสมัยปัจจุบันนั้น ราชวงศ์จักรีเป็นราชวงศ์ที่เริ่มต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสมัยอยุธยาและทักษะใหม่ๆ ซึ่งผมจะขอเรียกว่า "การบริหารจัดการความรู้" กล่าวคือความรุ่งเรืองของ "พ่อผู้ยิ่งใหญ่" ผสมผสานกับอำนาจสมัยอยุธยา และความสำคัญของความเป็นกษัตริย์กึ่งเทพเจ้า รวมเข้ากับการบริหารจัดการความรู้ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเข้าใจกันว่าความรู้คืออำนาจ...
...ขณะนี้เราอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เรามีทุกสิ่งที่กล่าวมาแล้วรวมกัน และเนื่องจากพระองค์ทรงครองราชย์นานมาก 60 ปีแล้ว พระองค์จึงทรงได้รับยกย่องให้เป็นตำนาน ประชาชนไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังพูดถึงความจริงหรือความเชื่อเกี่ยวกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงครองราชย์มานานมากจนสามารถเป็นได้ทุกอย่างรวมกัน ทั้งกษัตริย์ตามที่สืบทอดกันมา กษัตริย์นักวิทยาศาสตร์ กษัตริย์นักพัฒนา กษัตริย์นักทำงาน และขณะนี้พระองค์ยังทรงเป็นผู้พิทักษ์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ของประเทศไทย นั่นคือประชาธิปไตย ทั้งหมดนั่นกำลังเผชิญหน้าเราอยู่ เรามีปัจจัยเหล่านี้มากมายซึ่งเราต้องปรับปรุงและจัดลำดับใหม่ "
นายจักรภพพูดไว้อย่างนั้นในประเด็นที่ 4 นี้
เป็นประเด็นที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่า นายจักรภพมีความต้องการความเปลี่ยนแปลงและจัดลำดับใหม่จากสิ่งต่างๆ ที่ นายจักรภพ สาธยายมาตั้งแต่ประเด็นที่ 1 ถึงประเด็นที่ 4 ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขใช่หรือไม่
เฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของนายจักรภพที่มีตามมาหลังประเด็นที่ 4 ดังกล่าวซึ่งจะนำมาให้ทราบต่อไปในคราวหน้าที่ว่า " เราอาจจำเป็นต้องมีผู้นำที่จะช่วยปรับปรุงทุกสิ่งทุกอย่างให้เราใหม่...เราถูกชักนำให้เชื่อว่ารูปแบบของรัฐบาลที่ดีที่สุดคือประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำ หรือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำ การนำทางที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอยู่หัว..."
จักรภพพูดไว้อย่างไรจะนำมาให้ทราบคราวหน้า
(อ่านต่อวันอังคาร)
ตาโป๋เป่าปี่
http://www.naewna.com/news.asp?ID=109074บรรยากาศพาไป