ดีใจครับ.... คุณเก็ดถวา คุณลูกไทย หลานไทย ไชโย คุณใบไม้ทะเล คุณ see_you
คุณ buntoshi คุณประกายดาว และท่านอื่นๆสนใจกระทู้นี้
.... ใจจริงแล้ว เรื่องที่นำมาเล่าต่อนั้น ไม่ได้มุ่งหมายไปในเรื่องธรรมะ
แต่มุ่งหมายไปในเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิตให้มีความสุข
สุขในที่นี้ไม่ใช้สุขจากการได้อะไรมา ไม่ได้ใช้เงินทองซื้อหา ไม่ใช่ใครให้มา
แต่หมายถึงสภาวะที่เราเกิดความรู้สึกเองว่าตัวเราสบาย เบา เบิกบาน รู้สึกถึงใจตัวเอง
เกาะติดกับใจตัวเอง ไม่ได้คิดถึงสิ่งใด แต่รู้ตัวเอง
ทางพุทธอาจกล่าวว่าเกิดภาวะสุญญตา (ความว่าง) ผมว่าเราเคยมีทุกคน
เพียงแต่ว่ามันอาจเป็นช่วงสั้นๆ ใครทำสภาวะนี้ได้นานได้มาก ผมถือว่า
คนนั้นมีความสุขแล้วล่ะครับ
@ ต้องขอออกตัวก่อนว่าเป็นเพียงผู้ศึกษา ยังไม่ได้เป็นผู้บรรลุหรือผู้รู้แต่อย่างไร
ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา มีกิเลส ตัณหาอยู่ ยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน
มีสุขบ้าง....ทุกบ้าง....สลับกันไปเหมือนละครชีวิตทั่วไป
ผมดูละครในทีวีบ้างบางเรื่อง ผมสังเกตุละครชีวิตของตนเสมอ
ผมนึกว่ามันไม่จีรังหรอก สักวันละครชีวิตของทุกคนก็คงจบลง
เพียงแต่ใครจะเหลืออะไรไว้ให้คนอื่นบ้าง
@ ไม่เคยอ่านพระไตรปิฏก......สนใจธรรมะแต่ก็เพียงเพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีพเท่านั้น
ได้แต่ยึดคำสอนที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธที่ว่า
.......อย่ายึดมั่นถือมั่น (ตัวกูของกู)
.......การปล่อยว่างจาก "อัตตา" (....ปล่อยวางตามที่คุณใบไม้ทะเลแนะนำ)
.......ตถตา (เป็นเช่นนั้นเอง)
@ นำมาขบคิดอยู่เสมอ เพื่อให้ใจเป็นสุข ผมจำเพียงว่าเคยตักบาตรตอนเป็นเด็ก
จำไม่ได้ว่าเข้าวัดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ไม่คิดจะเบียดเบียนใคร
ทำมาหาเลี้ยงชีพสุจริต พออยู่พอกิน ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ช่วยได้
และยึดหลัก
" คิดดี พูดดี ทำดี" แม้ยังทำไม่ได้หมด แต่ก็ไม่ย่อท้อ
@ และจากข้อความของคุณประกายดาว
"การ ลดทอน อัตตา ลง อย่างที่สุด ต่างหาก .....
ที่ น่า เรียนรู้ ...เนอะ คะ"......เราสามารถนำการ "ปล่อยวางอัตตา" มาใช้กับการทำงานได้ครับ
ผมคิดว่าอันนี้แหละที่ทำให้งานออกมาดี เราทุกคนก็เคยเป็น
เราทำงานบางครั้งเราทำเพลินจนไม่รู้ว่าเราทำงานอยู่
คือเกิดภาวะที่ไม่มีตัวเรา เรามีสมาธิจดจ่ออยู่ที่งาน
เราตั้งเป้าหมายของงาน เราทำงานอย่างสุดความสามารถ
ผลของงานถ้าได้ผลก็ดี......
ถ้าผลไม่ดี่ตามเป้าหมาย......ก็ดี
เร่งหาจุดบกพร่องแล้วปรับปรุงแก้ไข..... แล้วทำใหม่
ทำอย่างนี้เรื่อยไป.....ตัวเราก็ไม่มี มีแต่งานที่เราทำ เมื่อไม่มีอัตตาในงาน
ก็ไม่ต้องมาเครียดกับงาน ไม่ต้องผิดหวังหรือเสียใจ
มัน......เป็นเช่นนั้นเอง
@ สติกับสมาธิ (ตามที่คุณ....see_you กล่าวนั้น) ผมว่าเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรารู้ตัว
คือบ้างครั้งใจเรามันซุกซน ก็คิดไปต่างๆ นานา
คิดไปที่นั้นบ้างที่นี่บ้าง บางคนล้างจานอยู่
ใจไปคิดแต่เรื่องหนังละครช่วงหัวค่ำ กว่าจะล้างเสร็จก็เปลืองน้ำไปเยอะ...

บางทีหนักกว่า.......อาจทำจานแตกได้...
การมีสติสมาธิ อยู่สภาวะจดจ่อนกับจิตใจร่างกาย
หมายความว่าทำให้เรารู้ตัวเอง ว่าเรากำลังทำอะไร
คิดอะไรอยู่ ถ้าใจมันไปเที่ยวไหน ก็ "ดึงมันกับมา"
แล้วเราก็ใช้สติกับสมาธิกับสิ่งที่เรากำลังทำนั้น
ก็จะทำให้งานนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ดี
ในลัทธิเซน บางทีอาจารย์ก็เคาะกระโหลกลูกศิษย์
เพื่อเรียกสติกลับมา เมื่อมีสติสมาธิปัญญามันก็เกิด
ทำให้เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ง่าย...แม้เรื่องอัตตา
(เชื่อมโยงสติสมาธิกับอัตตา ที่คุณ See_you ถาม)
อ่านเรื่องต่างๆ ที่ผมให้มาแล้ว....คิดได้ไว
ดังนั้นแล้วประโยชน์ของสติกับสมาธิจึงมีมาก