ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
13-05-2025, 03:05
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  ความทุกข์จากบุคลากรรถไฟที่ไร้ทางออก 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ความทุกข์จากบุคลากรรถไฟที่ไร้ทางออก  (อ่าน 1620 ครั้ง)
ทุกข์ระทม
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 18-04-2008, 23:07 »

   ผมได้มีประสบการณ์เลวร้ายมากเกี่ยวกับบุคคลที่ทำงานที่การรถไฟแห่งประเทศไทย เรื่องมีอยู่ว่าผมมีน้องสาวอยู่1คน ที่บ้านมีกิจการขายกิ๊ฟชอป เลยต้องไปหาซื้อของมาขายที่ร้านขายส่ง และที่ ที่ดีที่สุดคือสำเพ็ง ด้วยความต้องการจะลดต้นทุนเพื่อกำไร(ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการค้าขาย) จึงได้ใช้บริการรถไฟในการไปซื้อของขายส่งที่สำเพ็ง ผมไม่ได้ไป น้องสาวผมไปกับแม่ผม และได้ขึ้นรถไฟเที่ยวประมาน3ทุ่ม ขึ้นรถไฟไปก็พบว่าคนเต็มไปหมดไม่มีที่นั่ง และไปพบนายตรวจตั๋วคนหนึ่ง จึงได้ให้ช่วยหาที่นั่งให้ ซึ่งเขาก็ช่วยเป็นอย่างดี(อาจจะดีเกินไปด้วยซ้ำ) จนได้ที่นั่ง แม่ผมก็นั่งตรงที่นั่งนั้น แต่ปรากฎว่าน้องของผมหายไปไม่ได้นั่งด้วย แม่ผมจึงไปตามหาในขบวน ปรากฎว่าไปเจอน้องของผมนั่งคุยกับนายตรวจตั๋วคนนั้นที่บรรไดรถไฟ แม่ผมจึงได้เรียกให้ไปนั่ง และไม่ได้ต่อว่าอะไร จนถึงกทม.ซื้อของ จนกลับบ้านที่ต่างจังหวัด และหลายเดือนต่อมา แม่ผมไม่รู้คิดอะไร จึงได้คุยกับน้องผมเกี่ยวกับนายตรวจตั๋วคนนั้นว่า"พี่คนนั้นไม่รู้เป็นไงแล้วเนาะเค้าก็ช่วยเราดีนะ) และก็คุยๆต่อไป แล้วจึงรู้ว่าน้องของผมได้แลกเบอร์โทรศัพท์กับนายตรวจตั๋วคนนั้นไปเสียแล้ว แม่ผมเลยต่อว่าและให้หยุดติดต่อ เรื่องก็เงียบไป จนมาถึงช่วงที่น้องผมจบม.6 ต้องไปเรียนต่อที่ระดับมหาวิทยาลัย น้องผมบอกแม่ผมว่าจะไปเรียนที่รามฯ แม่ผมจึงให้ผมไปเรียนอยู่ด้วย ปรากฎว่าผมเรียนไม่ไหวอยู่ต่อไม่ได้จึงได้กลับต่างจังหวัด แล้วไปเรียนใหม่ที่มสธ.ที่บ้าน ทางบ้านผมก็ให้น้องผมเรียนอยู่ต่อที่รามฯก็โทรติดต่อกันว่าอยู่อย่างไร อ้อลืมเล่าไปว่าช่วงที่ผมยังอยู่ที่รามฯ น้องผมได้ให้เพื่อนโทรมาบอกผมว่าจะมีญาติของเพื่อนน้องผมมาน้องค้างด้วยที่หอพัก(หอรวม) ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร ก็คิดว่าเป็นอย่างที่เพื่อนน้องผมบอก ผมไม่เคยเห็นเขาจึงไม่ได้คิดอะไร มารู้เอาตอนหลังว่าคนๆนั้นเป็นนายตรวจตั๋วรถไฟที่รู้จักกับน้องผมตอนไปสำเพ็ง ต่อจากนั้นมาหลายเดือน เพื่อนน้องผมนี่แหละครับที่โทรมาบอกแม่ผมว่าน้องผมได้ไปเที่ยวเชียงใหม่โดยขึ้นรถไฟไปกับนายตรวจตั๋วของการรถไฟคนนั้น เท่านั้นล่ะครับแม่ของผมหมดแรงที่จะยืนทรุดตัวลง ร้องไห้ปานจะขาดใจเพราะไม่คิดว่าลูกสาวของตัวเองไปเที่ยวกับคนอื่นได้ง่ายดายโดยไม่ยอมบอกพ่อแม่เลย ผมก็ได้แต่ปลอบใจแม่ บอกว่าคงคงไม่มีอะไรและเรื่องก็จบไป จนมาถึงคราวน้องชายผมจบ(บ้านผมมีพี่น้อง3คน)ก็ต้องไปเรียนที่กทม.ทางบ้านผมเลยให้ไปอยู่ด้วยกันกับพี่สาว ก็น้องสาวผมนั่นแหละครับ ทีนี้แหละครับเรื่องราวมันถึงได้แดงขึ้นมาเพราะน้องชายของผมไปพบว่าน้องสาวผมได้อยู่กินฉันสามีภรรยากับนายตรวจตั๋วคนนั้น และก็มีเรื่องขัดแย้งกับน้องสาวผมเรื่อยมา ต่อจากนั้นเรื่องก็ลามไปจนแม่ผมรู้ ไม่ต้องบรรยายครับเสียใจร้องไห้ปานจะขาดใจเช่นเคย และคนที่ปลอบก็คือผมเหมือนเดิม น้องชายผมก็ขัดแย้งกับน้องสาวผมอยู่ประจำจนคล้ายเป็นเรื่องธรรมดา จนมาวันนึงน้องสาวผมก็ท้อง และแม่ของผมก็ได้รู้เรื่องเช่นเคยครับเสียใจร้องไห้น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด ร้องปานจะขาดใจตาย และต่อมาพ่อผมก็เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ ผมไม่คิดเลยพ่อของผมที่ผมมองเห็นมาตลอดว่าเป็นคนเข้มแข็ง ก็ทนไม่ได้กอดผมร้องไห้ กับน้องชายอีกคน ในบ้านผมวันนั้นระงมไปด้วยความทุกข์ระทม หดหู่ "ส่งมันไปเรียน ให้ไปเรียน แต่มันก็ได้ปริญากลับมา(ลูก)"นี่คือคำพูดที่พ่อผมพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเครือ ก็ได้แต่ปลอบใจกันไปมา คิดกันไปต่างๆนาๆ ในการหาคนทางแก้ปัญหา ว่าน้องสาว ลูกสาวจะอยู่ยังไง ขณะท้องจะอายคนที่บ้านไหม ถ้าจะไปอยู่ที่อื่นก่อนจะอยู่ที่ไหนดี ผมกับแม่ก็ขับมอเตอร์ไซค์หาที่พักตามอำเภอรอบๆ จนเจอที่พักที่เหมาะสมแล้วก็ให้น้องสาวผมไปอยู่ แม่ผมก็ให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อน เท่านั้นล่ะครับเหมือนเช่าบ้านให้สามีภรรยาอยู่นายตวจตั๋วคนนั้นก็ไปหาอยู่เรื่อยๆ ผมก็ไม่คิดอะไรเพราะผมไม่ได้คลุกคลีรู้จักนิสัยใจคอของนายตรวจคนนั้นเท่าไร แม่ผมก็สลับไปอยู่ด้วยบ้าง นานวันไปผมเริ่มเห็นธาตุแท้ของนายตรวจคนนั้น มีภรรยาอยู่แล้วได้กันตั้งแต่ยังเรียน ลูกอีก2หรือ3คน เป็นอิสลาม และก็ขัดแย้ง ทะเลาะกับแม่ผมเรื่อยมา ผมก็พูดจาบอกบ้างว่า มันไม่ถูก ที่ทำอย่างนี้ ควรจะกลับตัวใหม่ทำสิ่งที่ผิดให้มันดีขึ้น จนมาถึงวันคลอด ทางบ้านผมก็พาน้องสาวผมไปทำคลอดที่โรงพยาบาล และแล้วนายตรวจตั๋วคนนั้นก็มา และจดใบสูติบัตรชื่อพ่อ คือชื่อของนายตรวจคนนั้น ก่อนหน้านั้นทางบ้านผมได้คิดกันว่า พ่อผมจะรับเป็นพ่อเอง เพราะนายตรวจคนนั้น ไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดู แม้กระทั่งจ่ายเงินค่าคลอดเลย ที่มีก็อย่างเดียวคือชุบมาเปิดมาจดเป็นพ่อเอาตอนคลอด (ผมเพิ่งมารู้เอาตอนหลังว่า เขาอ้างว่าอิสลามถ้าเอาคนนอกศาสนามาเข้าอิสลาม และมีลูกก็เอาลูกมาเข้าอิสลามจะได้บุญมาก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆเป็นอย่างไร) บ้านผมไม่เอาเรื่องอะไร คิดว่าเสียแล้วเสียไปไม่อยากจะก่อเวร จองเวรกัน ให้เขาไปตามทางเขา เราและลูกสาวไปตามทางเรา ส่วนลูกก็จะเลี้ยงดูส่งเสียเอง แต่ทว่า ด้วยสิ่งที่นายตรวจคนนั้นอ้างเกี่ยวกับอิสลามนั่นเอง ทำให้เป็นปัญหาต่อมาไม่จบ พอคลอดเสร็จ ทางบ้านผมก็ทำใจ ยังไงๆก็ลูกเราหลานเรา จะให้ไปอยู่ไหน จึงพากลับมาอยู่บ้าน เท่านั้นล่ะครับ เหมือนเอาไฟเข้าบ้าน นายตรวจคนนั้น อ้อผมลืมบอกชื่อ "ชื่อทาลิป"(อิสลาม)ครับ เขาไม่มีเกรงใจพ่อ แม่ ผม น้องชายเลย มาที่บ้านผม มากินมาอยู่ทำเหมือนการที่ตัวเองหลอกลูกสาวเขา(ซึ่งน้องผมเต็มใจให้หลอก) จนเขาท้องมีลูกให้บ้านพ่อ แม่เขาเลี้ยง ไม่ใช่สิ่งผิด และก็ให้น้องสาวผมไปเข้าอิสลาม ไปแต่งงานแบบอิสลามในขณะที่พ่อ แม่ผมไม่รู้เห็นด้วยเลยผมก็ทนไม่ได้ก็ชกต่อยกับเขา และเขาก็ว่า ผมเก่งแต่ในบ้าน ใช่ผมเก่งแต่ในบ้าน ก็บ้านของผม ผมต้องปกป้องบ้านผม และพูดจาเชิงดูถูกว่าผมชกไม่แรง ไม่รู้สึกอะไร จากนั้นก็พูดต่อว่า ถ้าไม่อยากให้มาตอแยก็เอาลูกสาวซึ่งเขาว่าเป็นลูกของเขา ซึ่งที่บ้านผมเลี้ยงดูช่วยกันมา ทั้งพ่อผม(ซึ่งไม่ค่อยยอมรับ แต่ก็ถือว่าเกิดมาแล้วก็เลี้ยงดูกันไป) แม่ผม และผม พูดจาในลักษณะไม่เคารพยำเกรง พ่อผม แม่ผม ผม และน้องชายผม ว่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขา มือถือสากปากถือศีล ทำไมไม่ยอมรับเขา(ทั้งที่ตัวเองทำตัว พูดจา ดูถูกเหยียบย่ำ ผม และน้องชาบผม ว่าไม่มีน้ำยาจะทำอะไรเขาได้) ไม่เคยส่งเสีย ค่าเลี้ยงดูลูก เมีย ส่งก็ส่งนิดๆหน่อยๆ ไม่เป็นประจำ นานๆที ก่อนหน้านั้นทางบ้านผมก็ไปร้องเรียนหัวหน้าเขาที่หัวลำโพง ว่าให้ดูแลลูกน้องคุณที อย่าให้มาวุ่นวายกับครอบครัวคนอื่นเลยเรื่องที่แล้วจะไม่เอาเรื่องขอแค่อย่ามาเจอกันอีกเลย หัวหน้าเขาถามว่าจะให้ทำอย่างไร ให้ออกเลยไหม ที่บ้านผมคิดว่านั่นไม่ใช่การแก้ปัญหา ทางที่ดีคือควรจะดูแลลูกน้องของคุณให้ดีๆ ผลก็คึอ เขาโดนทัณบน เงียบหายไป จากนั้นมาหลายเดือน ก็กลับมาเหมือนเดิม คราวนี้หนักกว่าเดิม เขาลงสถานีมาแถวบ้านผม และก็เช่าโรงแรมนอนด้วยกันกับน้องสาวผม แม่ผมไปพบก็ดุด่าว่ากล่าว ไม่เพียงแต่เขาไม่ฟัง กลับพูดจาเชิงดูถูกว่าทำอะไรเขาไม่ได้ น้องสาวผมก็แทนที่จะเข้าข้างแม่ตัวเอง กลับเข้าข้างนายตรวจคนนั้น ว่ากล่าวแม่ โกรธแม่ตัวเอง ไม่ยอมพูดด้วย ทำเย็นชา ทั้งที่ตัวเอง จริงๆไม่ค่อยได้ดูแลลูกตัวเองเท่าไร มีแต่แม่ผมที่เลี้ยงดูเพราะลูกสาวน้องสาวผมติดยาย จนทางบ้านผมไม่รู้จะทำอย่างไร นานวันไปมีแต่จะเกลียด ขัดแย้งกันมากขึ้น เอาสามีตัวเองมาบ้าน มาพูดจาดูถูกทุกคนในบ้าน ว่าไม่มีน้ำยาจะทำอะไรเขา เรื่องของเรื่องก็คือหวังสมบัติ มรดกของทางบ้านผม พ่อ แม่ ผมก็ไม่ยอม แต่นายตรวจคนนั้นก็แวะเวียนมาอยู่เป็นประจำ ทางบ้านผมเลยบอกน้องสาวผมให้ไปอยู่กับนายตรวจคนนั้น แต่เขาก็ไม่ไป เพราะน้องสาวผมเคยหนีไปอยู่กับเขาแล้วช่วงที่เขาเอาไปเข้าอิสลาม ประมาณ2อาทิตย์ ก็รู้ว่าเขาเลี้ยงไม่ได้ เพราะมีเมียอยู่แล้ว บ้านผมก็เคยบอกเมียเขานะครับว่าให้ดูสามีคุณหน่อย แต่ก็ประมาณว่าเขาก็เอือมระอากับสามีของเขา ไม่สามารถทำอะไรได้ ไปทำงานตรวจตั๋วรถไฟ ก็ไปทำลักษณะล่อลวงกับน้องสาวผมกับผู้หญิงคนอื่น แม่ผมรู้ก็บอกน้องสาวผม ว่าเขาไม่ดี แต่น้องผมก็ไม่ใส่ใจ แถมยังต่อว่าแม่ผม ว่ายุ่งเรื่องของคนอื่น แม่ผมเสียใจทุกวัน เห็นหน้าลูกสาวก็เหมือนกับเป็นคนอื่น ไม่ยอมดูลูกตัวเอง พอลูกตัวเองเป็นอะไรขึ้นมาก็ไปต่อว่า แม่ หรือผม ว่าไม่ยอมช่วยดูแล ทั้งที่เป็นลูกตัวเองแท้ๆ พ่อผม แม่ ผม ผม น้องชายผม กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไง จัดการนายตรวจคนนั้นก็ไม่ได้ เพราะลูกสาวไม่ยอมร่วมมือ จะจับแยกกัน ให้ไปอยู่ที่อื่นก็แอบเจอกันได้อีก บ้านผมเศร้า ทุกข์ระทม หมดหนทาง กับปัญหานี้มาร่วมๆ5-6ปี ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้มาระบาย บอกกับท่านๆ ที่ได้อ่าน ได้ช่วยคิดแก้ปัญหาที

(ภาพนายตรวจการรถไฟข้างต้นครับ)
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: