qazwsx
|
|
« เมื่อ: 01-01-2008, 04:21 » |
|
เมื่ออ่านความคิดเห็นนี้แล้ว จะลบทิ้งหรือ Copy เื่พื่อส่งต่อให้เพื่อนฝูงหรือคนรักของท่านพิจารณา ก็สุดแล้วแต่ท่านเถิด
1. ในปี พ.ศ.2551 จะเป็นช่วงเวลาที่มฤตยูเคลื่อนเข้าสู่เมืองไทย โดยก่อนหน้านั้น ราว ๆ 2-3 ปี เป็นช่วงราหูเข้าครอบงำ และถัดมาเมื่อราวปีที่แล้ว เป็นช่วงที่พระเสาร์เข้าครองเมือง
2. ...มันหมายถึงอะไร ?
ราหู คือ สัญลักษณ์แห่งโลกียวิสัย ตัณหา โลภจริต โมหจริต ซึ่งช่วงเวลานั้นแทนที่ผู้คนในเมืองไทยจะช่วยกันขับไล่อัปมงคลตัวนี้ กลับดันไปช่วยกันบูชา ส่งเสริม อย่างเป็นล่ำเป็นสันซะอีกแน่ะ ( ไม่รู้ทำกันไปได้ยังไง ? ) ด้วยผลจากช่วงเวลานั้นและการยอมรับในบาปเคราะห์อันเป็น จริตแห่งราหู เข้ามาสู่เมือง - เข้าสู่ชีวิต ้ความพังพินาศทางจริยธรรมต่าง ๆ จึงประเดประดังเข้าสู่แผ่นดินเหมือนสายน้ำ ...ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวาระสุดท้ายขอ่งประเทศนี้ ันั่นคือ รากฐานทางสังคมถูกกัดกร่อนทำลาย หลักธรรมอันเป็นแรงยึดเหนี่ยวกันไว้จนเกิดเป็นสังคมมนุษย์ เสื่อมถอย คนโกหกฉ้อฉล - กลิ้งกลอกหลอกลวงได้รับการยกย่องเหนือคนที่มีความรับผิดชอบ - ยึดถือความสัตย์จริง สังคมไม่มีเด็ก - ไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีการเคารพนับถือกัน จะเหลือก็เพียงแต่ "ประเพณี" ที่ทำ ๆ กันไปเช่นนั้น "เพื่อให้ตัวเองดูดี และเผื่อไว้ขายได้" ...อันเป็นการทำตาม ๆ กันไปเพื่ออย่างน้อยก็ไม่เสียโอกาสขายของ หรือรับการอนุเคราะห์จาก "ผู้มี" ( สถานภาพทางสังคมแบบใหม่ทีเข้า่มาแทน "ผู้ดี" )
ความโลภ - อยากรวย รวย ๆๆๆๆๆ ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นและฝังอยู่ในจิตใจผู้คนทุกระดับชนชั้น ตัวอย่างสังเกตง่าย ๆ เช่น ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยทั้งหลายแหล่ ทั้งในรายการ TV และสื่อต่าง ๆ ป้าย "บ้านนี้รวย" ที่สงฆ์บางสำนักใช้เป็นสินค้าหาเงินอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไปจนถึงแวดวงนักวิชาการโดยเฉพาะ "สายการเงินการธนาคาร" ที่ตั้งหน้าตั้งตาสอดส่องมองหาช่องทางทำเงินจาก "สถานภาพของรัฐ" จนหลงลืมที่จะฝากฝังหลัก กม. หลักจารีตปฎิบัติ ให้แก่ผู้ติดตามรับฟังรับชม ( เป็น "อาจานไร" ) ตัวอย่างเช่น นัก กม.ด้านการเงินคนหนึ่งถึงกับตั้งตัวเป็นปรมาจารย์ในการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี แล้วก็ได้รับการยกย่องเชิดชูจากสังคมถึงขนาดเรียกขานว่า "อาจารย์" ทั้งบ้านทั้งเมือง และแล้ว คนไทยก็เปลี่ยนไปหมด บ้าคลั่งความร่ำรวยจนลืมเลือนความสงบสุบ ตามวิถีชีวิตแบบพอเพียงที่มีมาช้านาน บ้าคลั่งคนดัง ( ที่ทำเงินได้เยอะ ) จนดูหมิ่นเหยียดหยามคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สันโดษ บ้าคลั่งวัตถุ ที่ไม่ได้มีนัยสำคัญต่อการดำรงชีวิตของตน ...อยากได้ อยากมี อยากเป็นที่รู้จัก ...เราเปลี่ยนตัวเองไปเป็นสัตว์เศรษฐกิจอย่างเต็มใจ และรับเอาความคิดที่ว่า่อย่างน้อยต้อง "วิ่งตามฝูงให้ทัน" ( บางคนก็เสี้ยนอยาก ที่จะได้เป็นผู้นำฝูง - นำกระแส ด้วย "มิจฉาทิฐิ" ) และแข่งขันให้ชนะ โดยไม่ต้องสนใจว่าจะทำให้เกิดผู้แพ้ขึ้นในสังคม ( อธิบายกับตัวเองว่า "นั่นคือธรรมชาติของการแข่งขัน ผู้ที่แข็งแรงกว่า + ฉลาดกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ ) ...เรายอมรับ "วิถีแห่งการดำรงชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน" เข้ามาในชีวิตและสังคมแบบเต็ม ๆ
3. หลังจากราหูผ่านไป พระเสาร์ก็เข้ามาแทนที่ พระเสาร์คืออะไร ? พระเสาร์ ในความหมายก็คือ อันธพาล กุ๊ย การใช้อำนาจข่มขู่คุกคาม โทสะจริต อันเป็นช่วงเวลาตรงกับสมัยที่ 2 ของทักษิณ ที่ประชาชนในประเทศต้องอยู่อย่างหวาดกลัว หวาดหวัั่น ถ้าคุณเป็นคนเมือง ไม่ต้องถามว่า "รู้สึกปลอดภัยกับชัวิตและทรัพย์สินแค่ไหน ?" การลัก ขโมย ปล้น ชิงทรัพย์ การใช้กำลังประทุษร้ายกัน ในแผ่นดินเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติธรรมดา ...ปกติธรรมดาเสียจนกล่าวได้ว่าคนเดินถนนในกรุงเทพ ฯ จำนวนกว่าครึ่ง เคยถูกลักทรัพย์ (แล้วบ้างก็ต้องทนรับสภาพว่า "ทำของหาย") ถูกชิงทรัพย์ โจรเข้าบ้าน ปล้นทรัพย์สินไปจากรถหรือห้องพัก ฯลฯ มาแล้ว ...แล้วรัฐบาลก็เสไปว่าเป็นเพราะผู้คนยังยากจน เพื่อหา่ช่องทางผันเอางบประมาณไปแจกจ่าย ยึดเอาที่ดินของรัฐ-สมบัติของประชาชนทั้งประเทศไปแบ่งซอย เร่ขาย-ให้เช่า เพื่อเอาคะแนนนิยม ...รวมทั้ง "หาแพะ" ที่ชื่่อ "พวกแก๊งยาบ้า" เอามาบูชายัญซะ จนสามารถบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ฺทางการเมือง-สังคมของประเทศไทยได้ว่า "หากเป็นคดีลักวิ่งชิงปล้นล้วนเป็นผลจากยาบ้า คดีฆาตกรรมก็เกิดจากขัดผลประโยชน์ (ถ้ามีผู้หญิงมาเกี่ยวข้องก็รวม "ชู้สาว" ไว้ด้วยสักหน่อย ) ส่วนไฟไหม้ก็ไฟฟ้าลัดวงจร" ...งานตำรวจไทยจึงง่ายดี แต่ก็ถูกใจพวกไม่รู้สึกไม่รู้สม - ไม่รู้สึกไม่รู้สา ที่ก้มหน้าก้มตา "หาเงิน + รวย ๆๆๆๆ" (แม้ว่าฝ่ายที่มีวติปัญญาจะกังขาหรือสงสัยอยู่บ้าง ก็ไม่กล้าออกมาขัด เพราะกลัวจะถูก "อุ้มหาย")
โดยยังไม่นับสภาวะ "ขวัญหนีดีฝ่อ" ในแวดวงข้าราชการ - พนง.รัฐวิสาหกิจ ที่สถานภาพความมั่นคงในชีวิตของตนช่างง่อนแง่น โงกเงกเต็มที ไม่รู้ว่าจะเผลอไปเหยียบตาปลาทั่น CEO หรือ "คนของทักษิณ" เข้าเมื่อไหร่ ...หรือหน่วยงานของตนจะถูกยุบ - ขาย อย่างไร - ไปทางไหน โดยยังไม่นับประชาชนในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยยังไม่นับรวมสถานภาพขององค์กร สถาบัน หน่วยงานต่าง ๆ ที่กำลังถูกท้าทายหรือบ่อนเซาะให้หมดความน่าเชือถือศรัทธา ฯลฯ
หากมีคำถามว่า "ในเมืออันธพาลครองเมืองแล้ว ทำไมผู้คนยังไม่หนีไป ?" ....นั่นเพราะอิทธิพลของ "ราหู" ที่ทิ้ิ้งไว้นั่นเอง เปรียบเทียบได้กับสัตว์ที่อยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ( ความอยาก + เสี้ยน ) หรือสัตว์ที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะจำศีล ( ความอยาก + ความจำเป็น ) หรือสัตว์ที่กำลังพ้นช่วงจำศีล ( ความอยาก + อดอยาก ) ที่ไม่ว่าจะมีเภทภัยอะไรรออยู่ข้างหน้า ก็จะต้องดาหน้าออกไป ( จะเกิดห่าเหวอะไรค่อยว่ากัน หาเงินก่อนโว้ย...เดี๋ยวไล่เก็บไม่ทันชาวบ้าน )
4. เวลานี้ - ช่วงนี้ พระเสาร์ กำลังจากไปนะครับ แถมยังเป็นการจากไปแบบแปลก ๆ ซะด้วย คือ "เดินถอยหลัง" แบบ "หลบเส้นใหญ่ - แว่บไปชั่วคราว" อีกต่างหาก
เนื่องจาก ...มฤตยู กำลังจะเข้ามา... อย่างที่บอกไว้ในตอนต้น ไงล่ะครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2008, 12:18 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 01-01-2008, 05:47 » |
|
4. ...ต่อ "มฤตยู" คืออไร ?
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า มฤตยูไม่ใช่ความชั่วร้าย อาจจะน่ากลัว น่าหวาดหวั่น แต่นั่นล่ะคือ "ความจริง" ของธรรมชาติ มฤตยู เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้พ้น แม้แต่ ( สภาวะตัวตนของ ) พระพุทธเจ้า รวมไปถึงศาสดา หรือใครก็ตาม - อะไรก็ตามที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ว่า "ขลังสุด ๆ" ..."เสร็จ" มฤตยู หมด !
และการทำงานของมฤตยู ก็ไม่ได้หมายถึงความเกรี้ยวกราดถาโถมรุนแรงซะด้วย ตัวของมฤตยูเองนั้น "เงียบ" และ "รวดเร็ว" อันเป็นภาวะสั้น ๆ ระหว่าง "เป็น > ตาย" เท่านั้น
มฤตยูไม่ได้ทำลายอะไร เพียงแต่เข้ามาเพื่อปรับให้ทุกอย่างกลับไปเป็นศูนย์ ( ด้วยการทำให้สูญ ) มีชีวิต ก็กลับไปเป็นไม่มีชีวิต ร่ำรวย ก็กลับไปเป็นเหลือแต่ตัว ตึกรามบ้านช่อง ที่ยื่นขึ้นมาจากแผ่นดิน ก็กลับพังทลายลงไปอยู่ในระดับดิน ( Ground Zero ) ...อะไรทำนองนี้
ซึ่งการมาของมฤตยูนี้เอง จะส่งผลให้เกิดการปรับเข้าสู่สมดุลย์ ( ซึ่งคงไม่ถูกใจใครต่อใคร ) เช่น คนที่เป็นหนี้ ก็จะปลดหนี้ ( เย้...) แต่ทรัพย์สินที่มี ก็จะสูญมลายหายสิ้นไปด้วย ( ไม่เช่นนั้น ก็ืคือ "ไม่สมดุล" ) ตัวอย่าง : หนี้ในบัตรเครดิต หนี้ที่ติดไว้กับแบงค์ จะหายไปหมด ( เย้...) แต่บรรดาทรัพย์สินต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ได้มาจากการกู้ยืมนั้น ๆ ไม่ว่าผ่อนหมดแล้วหรือยังผ่อนไม่หมด ก็จะฉิบหายวอดมลายไปด้วย !!
สถานการณ์ที่ว่านี้ อาจหมายถึงในรอบปีนี้จะมีการ "ยิงเจ้าหนี้" เกิดขึ้นทั่วไปในบ้านเมือง ยิงลูกหนี้ไม่มีใครได้อะไรครับ หนี้สินยัีงพลอยสูญเปล่า ๆ ในขณะที่ "ยิงเจ้าหนี้" นี่สิ มีผู้ได้รับประโยชน์มหาศาล ...ใครยิง ? ...ก็คนที่อยากเอาใจ "ลูกหนี้" หรือ "ลูกหนี้" นั่นเองล่ะ ที่ยิง แล้ว "หนี้" นั้นหมายถึงแต่ "เงิน" เท่านั้นหรือ ....ก็ไม่ใช่อีกนั่นล่ะ หนี้ อาจจะเป็นหนี้บุญคุณ หนี้ขี้ปาก หรือหนี้ ( ที่ทึกทักเอาเอง ) หัวใจ ก็ได้
สถานการณ์ที่ว่านี้ อาจรวมหมายถึง การคืนกลับไปซึ่่งสมบัติของแผ่นดิน - คุณประโยชน์ของแผ่นดิน แผ่นดินในความหมายนี้ไม่ใช่รัฐบาลนะครับ แต่หมายถึงแผ่นพื้นพสุธาที่ไอ้-อีสารพัดสารพันกลุ่มเข้ามาอาศัย การเอาคืนกลับไปของแผ่นดิน อาจหมายถึงอุบัติภัยต่าง ๆ และเหตุการณ์อันไม่มีใครคาดหวังจะให้เกิด เช่น อัคคีภัยร้ายแรง เผาผลาญทำลายสร้างความเสียหายต่อชีวิต - ทรัพย์สิน ( เน้น "สิน" ) อย่างสุด ๆ วาตภัยที่เข้ามากวาดทุกสิ่งทุกอย่างจนราบเรียบ อุทุกภัยที่ทำให้ทุกอย่างไหลไปรวมกันทั้งสิ่งที่ไม่เคยมีชีวิตอยู่แล้วและสิ่งที่เคยมีชีวิตมาก่อน ...ตลอดไปจนถึงพืชพรรณที่ปลูกไว้ อาจโดนแมลงศัตรูพืชต่าง ๆ เข้าทำลาย รวมทั้งอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีิดอกผลซะงั้น ทั้งที่อัดปุ๋ย อัดยา อัดฮอร์โมนแร่ธาตุ ลงไปแล้วจนเพีียบ
ถึงตรงนี้แล้ว อย่่าลืมนะครับว่ายังไม่ได้กล่าวถึง สิ่งที่มฤตยจะูเอาคืนไปจาก "ผู้คนในแผ่นดิน" เลย
5. เจ้าหนี้หายหน้า - ในเวลาที่ต้นทุนก็หมดสิ้น แล้วจะทำอย่างไร ? ....ปล้นสิ ฉกชิง - ฉกฉวยสิครับ ก็ปากท้องยังต้องกิน จะให้ทำมาหาแดกอะไร ?? - คนต่างจังหวัดเข้าเมืองมาตกงาน - หางานทำไม่ได้ ก็ไม่อยากกลับไปมือเปล่า - คนในเมือง พวกรับจ้างอิสระก็ไม่มีใครจ้าง ส่วนพวกลูกจ้าง วันดีคืนดีก็ไม่มีนายจ้าง...แหม้งหายหัว ( พร้อมเงินเดือนกรู ) ไปไหนก็ไม่รู้ - รากหญ้า...เทวดาหน้าโง่ของทักษิณ ก็เปลี่ยนสภาพเป็นหญ้าคอมมิวนิสต์ ก่อม็อบวันละ 4 เวลาหลังอาหารและก่อนนอน เรียกร้องสารพัดสารพันเสียจนรัฐบาล ( ไม่ว่าใครเป็นนายก ฯ ) ไม่มีปัญญาทำอะไรอื่น - ฯลฯ
การปล้น ฉกชิง ฉกฉวย ที่กำลังจะเกิดขึ้นไมใช่การฉ้อ่โกงหรือฉ้อฉล อีกต่างหาก เพราะเสียเวลา สู้ฟาดกบาลแล้วเอามันซึ่ง ๆ หน้านั่นเลย มิง่ายกว่าดอกรึ ? ...ปีนี้อาจมีข่าว "ฆ่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฆ่าแท้กซี่" หนักหน่อย อาจพาลไปถึงเรื่องแปลก ๆ เช่น ดักปล้น - ชิงรถเด็กส่งพิซซ่า หรือประักันภัย ( อ้าว...ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ) ...พ่อบ้านหรือแม่บ้านขับรถออกไปตอนเช้า พอค่ำ ๆ ก็กลับมาในห่อผ้าขาวหลังกะบะรถปิคอัพสกรีนตรามูลนิธิ ฯ ...เหตุการณ์เรื่องโจรเข้าบ้านอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียจนมีธุรกิจประกัน "การโจรกรรมทรัพย์สินในเคหสถาน" แบบเมืองนอก ( ที่ไม่เจริญทางจิตวิญญาณ )
นอกจากปล้นชิงแล้ว ในออฟฟิสก็จะมีเรื่องการยักยอก - โกงนายจ้าง - การจัดการงานนอกคำสั่ง - ลาภมิควรได้ เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ ....วงแชร์ล้มระนาวเหมือนกอเห็ดโดนยา ส่งผลต่อเนื่องไปยังความสัมพันธ์ทางสังคม เพราะคนเล่นแชร์ก็เพื่อน ๆ กันทั้งนั้น ( แหม้งโกงกรูเห็น ๆ นะไอ้สาด...ตายซะเถอะ ) ....หุ้น ( สามัญ ) ล้ม ( กรูขอเอาไปก่อนนะเพื่อน ไว้เจอกันชาติหน้านะ...ไอ้หน้าโง่ ) ....ผู้รับเหมา - รับจ้าง ทิ้งงาน ส่วนผู้จ้างก็ทิ้งผู้รับจ้าง ( แล้วแต่ว่าใครได้ประโยชน์ไปก่อน ) ....น่าดีใจแทนคุณตำรวจ ที่กลับไมค่อย่ว่างกันเลย - งานเข้าเยอะมาก นั่นเพราะกำลังไปคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกนักการเมืองกฎุุมพี
สภาวะนี้เรียกว่าเป็น "สูญญากาศทางสังคม - เศรษฐกิจ" ครับ คือผู้คนคิดเหมือนกัน - รู้สึกต่อกันและกันว่า "กรูไม่เชื่อมรึง กรูไม่ไว้ใจมรึง กรูไม่เชื่อในรัฐ แต่จะว่าไปแล้วกรูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนั่นล่ะ"
...เศรษฐกิจและสังคม เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ด้วย ความเชื่อมั่น - เชื่อถือ นะครับ ...ไม่ใช่เชื่อในลักษณะที่ว่า "เมื่อยื่นมือออกไปแล้ว จะต้องคว้าอะไรมาได้เสมอ" ...แต่เป็นความเชื่อมั่นในลักษณะที่ว่า "เมื่อหว่านเมล็ดพืชลงไปแล้ว อย่างน้อยจะต้องงอกกลายเป็นต้นไม่ต่ำกว่า 1 ใน 4" และที่สำคัญที่สุดก็คือ "ต้นไม้นั้นจะต้องไม่โดนใครมากระทืบให้ตายแหงแบนแต๊ดแต๋เอาเสียดื้อ ๆ" ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ "สัตว์เศรษฐกิจ" แบบที่คนไทยแปลงร่างไปเป็นในช่วง 20 ปีมานี้ต่างไม่เคยมีอยู่ ...เป็นเรื่องที่บรรดานักวิชาการทั้งหลายจากทุกสื่อ ไม่เคยสนใจศึกษา ด้วยร้อยละ 90 เป็นผู้ที่มาจาก "สายการตลาด - เศรษฐศาสตร์" ถนัดแต่ซื้อ - ขาย ( ซึ้อมาขายไป ) ที่ต่างก็ตั้งหน้าตาทำมาหากินเพื่อบำรุงหน้าใหญ่ ๆ ( และเหลี่ยม ๆ ) ของตัวเองอย่างจริงจัง ...เป็นนักวิชาการที่พร่ำสอนให้รู้จักวิธี "เก็บดอก - เก็บผล" จนไม่สนใจที่จะบำรุงต้น บำรุงราก ...เป็นนักวิชาการที่ไม่สนใจว่าต้นไม้ - ต้นอ่อนที่ไหนจะถูกกระทืบแบนแต๊ดแต๋ แถมไอ้พวกนี้จะพาลถามกลับว่า "แล้วมรึงจะเสียเวลาปลูกทำไม ทำไมไม่รอตกเขียวแล้วนำผลไปขายต่อเอากำไร ส่วนช่วงนี้ก็เอาเวลาไปจับจองยึดครองตลาดดักไว้เสียก่อนล่วงหน้า จะไม่เป็นการฉลาดกว่าหรอกหรืิอ ?"
ตลอดระยะเวลา 20 ปีตั้งแต่ยุคโชติช่วงชัชวาลย์ ( พลเอกเปรม ) เป็นต้นมา เราไม่เคย "ปลูกต้นเศรษฐกิจ" เองเลย เราอาศัยการลงทุน หรือ "มือของต่างชาติ" แทบทั้งสิ้น จากนั้นเราก็เป็นแค่ "รับจ้างเฝ้านา" หรืออย่างดีก็ "รับจ้างฉีดยา - โรยปุ๋ย" โดยมีพวก "นายทุนชาวไทย" คอย "รับจ้างเก็บเกี่ยว" แล้ว "สีฝัด ขัดขาว" พร้อมบรรจุถุง ...เ่ท่านั้น
สุญญากาศทางสังคม - เศรษฐกิจ นี้รุนแรงกว่าทางการเมืองหรือทางวิชาการ มากมายหลายเท่า นะครับ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงยังจำคำว่า "สูญ" หรือ "ศูนย์" ได้ใช่ไหม ?! ...นั่นล่ะ คือผลงานของ มฤตยู
6. เหตการณ์หรือสถานการณ์ที่ผม "คาดเดา" นั้นเป็นเพียง "ทางผ่าน" เท่านั้น แท้จริงแล้วมันอาจไม่ใช่อย่างนี้ หรือยิ่งไปกว่านี้ ก็ได้ สิ่งที่จะให้พิจารณาคือผลลัพย์ของมัน หรือเจ้า "สูญญากาศทางเศรษฐกิจ - สังคม" นี้ล่ะ
เพราะเมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ อาจจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ จู่ ๆ ก็มีเส้นด้ายสีแดง ็ปรากฎขึ้นมาบนข้อมือผู้คนบนแผ่นดิน
เส้นด้ายสีแดง : เป็นสิ่งที่คนเป็น ( โดยเฉพาะผุ้ใหญ่ ) ใช้ผูกให้กันไว้ในขณะที่มีคนตายในครอบครัว ...ซึ่งเชื่อว่า หากดึงออกแล้วไซร้่ คนเป็นที่ไม่มีเส้นด้าย ฯ รายนั้น อาจจะได้ติดตามคนตายไปในเร็ววัน ( เพราะยมทูตแยกไม่ออก )
7. แล้วจะทำอย่างไร ? ......น่าคิดนะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2008, 06:51 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 01-01-2008, 07:09 » |
|
7. ....ต่อ
ก่อนอื่น ต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณเป็นคนแบบไหน ก. แบบแรก
"แล้วจะให้ทำไงได้ล่ะ เกิดมาในบ้านเมืองนี้ - ช่วงเวลานี้ จะหนีไปไหนได้พ้น มันก็ต้องอดทนไปจนถึงที่สุดล่ะ อะไรที่ละเว้นหรือปล่อยวางได้ก็ละ ๆ วาง ๆไป คิดมากเยี่ยวเหลือง เปลืองกระแสไฟฟ้าในเส้นประสาท เปล่า ๆ .... Blah Blah Blah"
...OK ถ้าเป็นแบบนี้ก็ทำบุญเยอะ ๆ ครับ เข้าวัดเอาเงินไปให้กรรมการวัดซื้อเครื่องประดับโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ TV จอพลาสมา เครื่องเล่น DVD รวมทั้งรถตู้ติดฟิล์มกรองแสงมืดตึ๊ดตื๋อให้พระสงฆ์องค์เจ้าในวัดใช้เวลามีกิจนิมนต์ Outdoor ...แล้วจบเลย ไม่ต้องอ่านต่อ เอาเวลาไปคิดมุขไว้ยิงกับพระเวลานิมนต์ท่านมาเทศนาที่ออฟฟิส
แต่ถ้าไม่ใช่แบบ ก. ก็มีแบบ ข. และ แบบ ค. ( มี Option ซะด้วย ) ให้พิจารณา ...ขอบอกก่อนนะครับว่า อาจมีบางเรื่องที่วิญญูชนทำใจยอมรับไม่ได้
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2008, 07:16 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
สมชายสายชม
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 01-01-2008, 09:22 » |
|
เข้ามาอ่านครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
วิหค อัสนี
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 01-01-2008, 09:53 » |
|
ถ้าใช้หลักสากล ปีนี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ที่มีผลทั่วโลกคือ พลูโตย้ายเข้าราศีมกร ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน เรือนภพที่ 8 หรือภพมรณะ ของดวงเมืองกรุงเทพฯ และตำแหน่งพลูโต+พฤหัสจรในช่วงปีใหม่ ก็กุมพฤหัส+เสาร์กำเนิดอยู่ด้วย
ก็ดูน่าเป็นห่วงอยู่มากนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
_______ดังนี้แล __เปลวไฟจักลุกโชน ___หามีวันดับลงได้ _ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
|
|
|
ลักลั่นย้อนแย้ง
น้องใหม่
ออฟไลน์
กระทู้: 10
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 01-01-2008, 10:09 » |
|
เข้ามาอ่านต่อครับ ปล. สวัสดีปีใหม่ครับปู่เย็น หายไปนานเลยนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 01-01-2008, 11:00 » |
|
8. แบบ ข.และแบบ ค. เป็นคนไทยจำพวก "ไม่ยอมอยู่เฉย ๆ แล้วรอรับชะตากรรม" ( อย่างน้อยกรูก็ "Do Something" ล่ะวะ )
ขอกำหนดเองให้ ข.คือพวกมองในแง่ร้าย ว่า ปลายทางอุโมงค์มีแสงสว่างรำไร แต่ต้องตก - ลงไปตายในเหวที่ขวางหน้าซะก่อน ( จากนั้นจึงเป็นวิญญาณลอยขึ้นไปสู่ลำแสง ณ ปลายอุโมงค์ )
ถ้าคุณเป็นแบบนี้ คิดว่า "เมืองไทยไปไม่รอดแน่....หรืออย่างน้อยในช่วงชีวิตที่เหลือ เมืองไทยยังจมอยู่ในหุบเหวแห่่งความวิบัติอย่างแน่นอน"
...อพยพ ครับ ...ไปอยู่เมืองนอกซะ จะแว่บไปแว่บมา ( โดยแว่บไปซะส่วนใหญ่ ) หรือเปลี่ยนสัญชาติ-ภูมิลำเนา ไปเลยก็สุดแล้วแต่ ...ที่นี่ - เมืองไทย มันคือโซดอม & กอมโมรา อันนี้ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ เพราะ "้พวกนักเลือกตั้ง - นักเล่นการเมือง" ทั้งหลายที่เห็น ๆ อยู่ในบ้านเมืองทุกวันนี้ ล้วนแต่มีบ้้านพัก - ถิ่นพำนักอยู่ ตปท. แล้วแทบทั้งสิ้น ...มันเห็นอะไร ๆ ก่อนเราแล้วครับ เค้าลางความหายนะที่ปรากฎขึ้นนี้ "ไอ้พวกที่สร้างความหายนะ" นั่นล่ะรู้ดีที่สุด ส่วนจะเป็นใครบ้าง - มีใครบ้าง คงไม่ต้องขยายไว้ ณ ที่นี้หรอก
แต่บังเอิญการ "ทิ้งบ้านช่อง" ไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะผู้ที่มีภาระ ( 1 ) มีความผูกพัน ( 2 ) และไร้ช่องทางเอาตัวรอดใน ตปท. ( 3 ) - มองออกไปก็ โอ้...โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นโตโยต้าโคโรลลา ก่อนหน้านั้นอีกเคยเป็นโตโยต้าไฮลักส์ ก่อนหน้านั้นอีกคือคาวาซากิ-มัคทู ( สี่่จังหวะรุ่นสุดท้าย ) ...กว่าจะ "มาถึงขนาดนี้ได้" มันยากนะ มันเหนื่อยนะ มันน่าเสียดายนะ ! - มองเข้ามาในบ้านก็ ลูก แม่ พ่อ ( ส่วนเมียหรือผัว...ช่างมันเหอะ ไว้หาใหม่ที่เมืองนอกให้เจ๋ง ๆ กว่านี้ได้เยอะแยะ ) - หลับตานึกถึงงานการ โอกาสที่กำลังจะได้เป็นผู้จัดการในเวลาอีกไม่กี่เดือน ลูกน้องที่กว่าจะฝีกให้ช่วยโกงบริษัทได้ 1 ก๊กใหญ่ ๆ ร้านค้าที่กำลังเติบโตดีวันดีคืน ...ลืมตาหรือหลับตา ก็ยังตอบตัวเองว่า "ไปไหนไม่ได้" สักที
งั้น "พวกนี้" ผมขอ "ข้าม" ไปก่อน ( โห...รับผิดชอบน่าดูเลยตู )
เราจะหมายถึง "คนโสด" หรือ "ผู้ที่อาศัยอยู่ ตปท. อยู่แล้ว" ก่อน พวกนี้ ไม่ต้องกลับ - ไม่ต้องรอ ครับ ไปเลย...แปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดแล้วซิ่ง อย่าบอกใครว่ามาจาก ไทยแลนด์ อีกต่างหาก ้มั่วไปเลยว่ามาจากไต้หวัน มาเลเซีย หรือมะยันมาร์ ( ถ้าอยู่ "เมืองฝรั่ง" ) แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปไหน ไกลนักก็กลัว ก็แนะนำให้ Look West ครับ ไปพม่า - อินเดีย - บังคลาเทศ - ซีลอน หรือยาว ๆ หน่อยก็ประเทศเล็ก ๆ แถบริมขอบอาฟริกา ( อย่าเข้าไปใจกลาง ) ...ส่วนจะใช้ชีวิตอย่างไร อันนี้แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง ที่สำคัญก็คือ จงบินไปให้สุดกำลังและแรงใจ จงพุ่งไปอย่างลูกธนู อย่าได้ห่วงหวงอาลัยอาวรณ์ในเมืองไทย อย่าเป็นเบ็ดที่รอเวลาถูกกรอกลับ
กลับมาที่พวกซึ่ง "ยังติด (1 -2 -3 )" อันนี้เข้าใจ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนี้ ...คุณต้องแยกแล้วครับว่า "จะเอาอะไรไปด้วย" หรือ "ใครจะไปด้วย" กับคุณ ถ้าเขาหรือเธอหรือท่านไม่ไป...ปล่อยไปตามบุญตามกรรม จากนั้นค่อย ๆ แปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด ( หน่วย S$ หรือ MLSR น่าจะปลอดภัยกว่า US$ ) ฝากเิงินในธนาคารต่างประเทศให้หมด...กระจายความเสี่ยงไปยังแบงค์หลาย ๆ สัญชาติ
ถ้ามีสังหาริมทรัพย์จำพวก "ทรัพย์ใหญ่" ก็เอาเข้าไฟแนนซ์หรือรีไฟแนนซ์ซะ ส่วนพวกอสังหา ฯ หากมีโอกาส ให้ "ปล่อยเช่าเหมือนตั้งใจขาย" แก่ชาว ตปท. เช่น สัญญาเช่าระยะยาวเต็มข้อกำหนดของ กม. และให้บุริมสิทธิแก่ผู้เช่านั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ให้ถือกรรมสิทธิได้ ....ขายให้สิงคโปร์ - ไต้หวันนั่นล่ะ ง่ายที่สุด ถ้าเปิดพอร์ตไว้ในตลาด ก็จงเล่นสั้น ฉกแล้วฉากออกไปเรื่อย ๆ จนไม่เหลือตัววิ่ง อย่าฟังไอ้พวกนักวิเคราะห์ ฯ มากนัก เพราะเท่าที่เปิดตลาดเป็นต้นมา ก็เห็นมีแต่พวกมันนั่นล่ะที่รวยเอา ๆ ด้วยเหตุที่มือข้างหนึ่งถือพายกวักน้ำ ในขณะที่มืออีกข้างก็ถือกระชอนคอยดักเอาผู้ฟัง - ผู้ชมทั้งหลายแหล่ ที่กลายสภาพเป็นปลาเป็ด-กุ้งฝอย ...พันธบัตร ( ระยะยาว ) อะไรนั้นอย่าได้เข้าไปถือเด็ดขาด คุณเชื่อจริง ๆ หรือว่าในสถานการณ์ที่บ้านเมืองแทบไม่เหลืออะไร - สมบัติของประเทศชาติถูกเร่ขายหมด ( แม้แต่คุณเองก็ช่วย่ขาย ) แล้วลูกหลานชาวไทยที่เห็นวิ่งเล่นตัวกะมอมกะแมมตามชุมชน "บ้านมั่นคง" ( ชื่อใหม่ของ "สลัม" หลังจากใช้คำว่า "ชุมชนแออัด" > "ชุมชนพัฒนา" มาได้ระยะหนึ่ง ) ทั้งหลายแหล่นั้น จะมีปัญญาหาดอกผลมาชดใช้ให้ตามที่ปรากฎอยู่ในหนังสือพันธบัตร ?? ....ยิ่งไอ้ - อีคนที่อนุมัติให้ออกพันธบััตรน่ะ มันไปเสวยสุขอยู่ตามแมนชั่นหรู ๆ ที่ ตปท.ตั้งนานแล้ว ...คุณก็รู้ ...นักวิเคราะหฺ์หุ้น - เศรษฐกิจทั้งหลายนั่น "ยิ่งโคตรรู้"
เมื่อถือเงินสดแล้ว ให้โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ตามเมืองที่สามารถ "ออกไปจากราชอาณาจักร" ได้โดยง่าย เช่น ภูเก็ต สมุย หาดใหญ่ ระยอง ตราด ฯลฯ ซะ ...อยู่ห่าง ๆ จังหวัดทีหากจะต้องออกไป ตปท.ก็จะต้องเข้าไปในประเทศเขา เช่น ลาว เขมร พม่า ให้มาก ๆ เพราะประเทศเหล่านี้จะดัก "เอาทรัพย์สิน" ของคุณไว้แล้วปล่อยคุณ ( ไปไหนก็ช่างหัว ) ออกมาเพียงแค่ตัวเปล่า ๆ ...มีโอกาสก็หัดเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ( แนะนำ เอสปัญญอล - โปรตุกีส หรือเยอรมัน ) ไว้บ้าง ...ฝึกฝนเรียนรู้งานฝีมือ เช่น การทำอาหารไทย-ขนมไทย การร้อยพวงมาลัย - อุบะ นวดแผนไทย การพยาบาลเด็กและคนชรา หรือแม้แต่เย็บกระเป๋า เย็บรองเท้า ฯลฯ เพราะสิ่งแรกที่คุณจะต้องทำหากไปอยู่ ตปท.ก็คือ การหารายได้เลี้ยงปากท้อง อย่าได้อาศัยบุญหรือเงินเก่าเป็นอันขาด เพราะนั้นคือทุนก้อนสุดท้ายในชีวิต ...ไว้ "อยู่ตัว" สักหน่อนแล้ว จึงค่อยเอาประสบการณ์การทำงานจากเมืองไทยไปขาย จงจำไว้เสมอว่างานลูกจ้างนั้นไม่มีคุณค่าถ้าคุณเปลี่ยน Field หรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดสินค้านมกล่องในเมืองไทย อาจไม่มีประโยชน์อะไรแก่นายจ้างในประเทศเซโรโธ เมื่อเทียบกับคนขับรถพื้นเมืองของเจ้าของกิจการนมกล่องชาวเดนมาร์ค รายละเอียดมากนักก็เกรงใจ เอาเป็นว่า "จัดปีกจัดขน" ของใครของมันให้สมกับเพดานบินและสายพันธุ์ก็แล้วกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 01-01-2008, 12:04 » |
|
คคห.นี้ มาเพื่อกล่าวคำ "สวัสดี" และ "สวัสดีปีใหม่" สวัสดีครับท่านอัง ฯ สวัสดีครับหนูอนา ฯ สวัสดีครับคุณ QuaOs - คุณสมชาย ฯ - คุณลักหลับยกล้อ ( สงสัยสะกดผิด ) สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ ขอให้พระคุ้มครองไปจนตลอดรอดฝั่ง ภยันตรายใด ๆ มิอาจแผ้วพานได้ ...คิดหวังอะไร ก็ขอให้ได้เฉพาะแต่เรื่องดี ๆ เป็นศิริมงคล นะครับ ( ผมไม่ได้ไปไหนนะ แค่ปล่อยให้ลูกน้องเข้ามาเล่นในชื่อของเขาเอง และ/หรือพิมพ์ให้ในชื่อของผม ระยะหนึ่ง )
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2008, 12:06 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aiwen^mei
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 01-01-2008, 12:14 » |
|
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ท่านปู่เย็นเปรียบเมืองไทยเช่นเมืองโสโดมโกโมราห์นี่ -- หมดอนาคตจริง ๆ ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ริวเซย์
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 01-01-2008, 15:07 » |
|
เมืองไทยคงถึงกลียุคแน่แล้วแบบนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^
|
|
|
Kittinunn
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 01-01-2008, 15:31 » |
|
ผมอ่านแล้วกลับงง จะให้ผมไปอยู่ที่ไหน??? เอาเป็นว่า สิ่งที่จะคาดเดาได้อย่างหนึ่งหลังจากอ่านบทความของคุณปู่เย็นก็คือ "ตลาดหุ้นไทย" ครับ โดยเฉพาะ SET ที่ถือเป็นสวรรค์ของนักเก็งกำไรและคนที่คิดโลภ ผมเดาว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทย "ล่มจม" แน่ๆ เพราะดูไปรอบๆ ก็มีแต่คนที่ฟหช้ำดำเขียว ส่วนเรื่องของมฤตยู ผมทำใจส่วนหนึ่ง แต่ก็ถือว่ายังดีที่เรามีคุณธรรมและความชอบธรรม เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้เราได้ทำใจร่มๆ อยู่ถึงทุกวันนี้ สวัสดีปีใหม่ปู่เย็น บุคคลที่ผมชอบอ่านคอมเม้นต์ประจำ หวังว่าจะเข้ามาที่นี่บ่อยๆ นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 02-01-2008, 19:49 » |
|
กระทู้นี้ยังไม่จบนะครับ แม้แต่ ข้อ 8 ( ตำแนะนำสำหรับผู้คนประเภท ข. ) ก็ยังไม่จบ แต่ด้วยเหตุการณ์ในช่วงเวลาปัจจุบัน ทำให้ไม่เหมาะสมที่จะกระทำการใดอันมีลักษณะซ้ำเติมจิตใจพสกนิกรชาวไทยผู้มีความจงรักภักดี
จึงขอเว้นระยะไว้สักพักหนึง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 01-03-2008, 04:20 » |
|
มาต่อ...
ก่อนอื่น จะต้องขอสรุปเล็ก ๆ ถึงบางเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นระหว่างผมร่วมไว้ทุกข์ - ไว้อาลัยสมเด็จพระพรี่นาง ฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมทั้งทบทวนจุดประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้
1. กระทู้นี้ตั้งขึ้นก่อนหน้ารู้ว่าหมักจะได้เป็นนายก ฯ 2. กระทู้นี้มีเจตนาให้ผู้อ่าน "เอาตัวรอด" ไ่ม่ใช่ "กอบกู้แผ่นดินไทย" จากกลุ่มคนชั่วชาติที่ได้รับการเลือกตั้งมาโดยคนโฉดชั่ว
...ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ แถวอีสานและภาคเหนือ "เลือกพวกมัน" เลือก เพราะ "ติดใจ" ในรสชาติการได้รับของแจก - ของฟรี ที่เป็น "ของคนส่วนรวมทั้งแผ่นดิน" เลือก เพราะ "มักง่าย" คิดง่าย ๆ แบบเดียวกับที่เคยโดนหลอกแดกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณที่โดนหลอกเอาลูกสาวไปเป็นกะหรี่ - หลอกเอาลูกชายไปเป็นขี้ข้า ( แล้วก็ตกค้างอยู่ในเมือง - กลับบ้านนอกไปทำนาไม่เป็นแล้ว ) ต่อมาก็ถูกหลอกให้เสียที่ดิน แล้วก็ถูกหลอกให้บุกรุกป่า ( ตัดไม้ + ล่าสัตว์ออกมาให้ ) หลอกให้เล่นแชร์ลูกโซ่ หลอกให้ซื้อบัตรสมาชิก หลอกให้ร่วมหุ้นทำสวนสักทอง สวนยูคา ฯ ...ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะ "เสี้ยน - คัน - อยาก" เมื่อเห็นไอ้พวกคนมาจากเมืองมันมีอะไรก็อยากได้บ้าง - อยากเป็นบ้าง คันใจ อยู่เฉย ๆ ดี ๆ แล้วงุนง่านก็เลยเอาหัวไปให้เขาฟันเล่น...เอาเงินไปให้เขาโกง - เอาศักดิ์ศรีไให้เขาตลกขบขัน เสี้ี่ยนอยากเป็นใหญ่ "เจ้าคนนายคน" กับเขาบ้างเพื่อจะได้มีโอกาส "วางก้ามใส่ไอ้พวกเรียนหนังสือ พวกครู - หมอ - ข้าราชการที่มัน "อยู่เหนือพวกกรู ( ทางสังคม )" มาเป็นเวลาเนิ่นนาน ...ซึ่งบรรดาความ "เสี้ยน - คัน - อยาก" เหล่านั้นไม่ถือว่าผิดหรอกครับ มันเป็นโลกียสุข ตามสันดานสัตว์สปีชีร์คนที่ยังชื่นชมในรสชาติแห่งภวตัณหาผ่านทาง หู - ตา - จมูก - ปาก - ดาก และแผ่นผิว ...แต่มัน "ผิด" ที่มิได้แสวงหามาอย่าง "สัมมาทิฐิ" หรืออยู่ในกรอบแห่ง "จริยธรรม"
แบบเดียวกับพวกเด็กกุ๊ย ๆ ที่เสี้ยนอยากให้ครูบาอาจารย์ หรือเพื่อนฝูงที่เจริญก้าวหน้า หรือบางทีก็รวมไปถึงพี่น้อง พ่อ-แม่ของตัวเอง "มายกมือไหว้" รวมทั้งตัวเองก็ "ทำมาหากินไม่เป็น - หยิบโหย่ง - ขี้เกียจ" ...ก็เลยไป "บวช" ซะ แล้วจะได้มีคนมากราบไหว้บูชา และเอาเครื่องบริขารมา "ถวาย"
......นั่นล่ะครับ "คนส่วนใหญ่ของบ้านเมือง - เสียงสวรรค์ของพรรคพลังประชาชน" ......กลุ่มสัตว์สปีชีร์คน "พันธุ์รากหญ้าของทักษิณ" ที่น่าเชื่อได้ว่ามีคุณภาพ "ดีเยี่ยม" จนสามารถเป็นพลังผลักดันให้ประเทศไทยนี้สามารถแข่งขันกับชาวเวียดนาม - เขมร - ลาว ได้อย่างไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2008, 19:13 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 01-03-2008, 04:54 » |
|
อยู่ ๆ จู่ ๆ ทำไมผมถึงกล่าวถึง "คนพวกนี้" ?
เปรียบเทียบนะครับ ว่าทำไมอาหารที่เก็บไว้อยู่ดี ๆ ในตู้เย็นก็กลายเป็นของเสียที่ทำให้เราต้องตัดใจ "ทิ้งไปทั้งหมด" ...ทำไมประเทศไทย - เมืองไทยที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นผาสุกดี ก็กำลังจะถูก "มฤตยู" เข้ามากวาดล้างทิ้งไปเสียหมด ??
ของมันต้อง "มีที่มาที่ไป" ซึ่งนั่นก็คือ "สังคมมันเน่าแล้ว - ความเป็นชาติ ( ประชาชนภายใต้รัฐเดียวกันบนแผ่นดิน ) มันถึงจุดอวสานแล้ว" ...อาหารเ่น่า เพราะ "เชื้อโรค" ที่อาจจะมี "มือโสโครก" มากระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ...สังคมเน่า - ชาติวิบัติ ก็เพราะ "ปรสิตแผ่นดิน ( เสธ.แดงเรียก "สนิมของชาติ" )" ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดย "คนชั่ว" กลุ่มหนึ่ง ...ดังนี้ล่ะครับ
เมื่อ "เชื้อโรค + อาหาร" แล้วทำให้บูดเน่านี้ทางอาหารเีรียกว่ากระบวนการ "ย่อยสลาย ( อินทรียวัตถุ )" ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศชาิติ ก็คือ เมื่อ "ปรสิตแผ่นดิน + ทรัพย์สินของแผ่นดิน" แล้วทำให้ประเทศชาติ่วิบัตินี้ ก็เป็นด้วยกระบวนการที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" หรือ "อนาธิปไตยภายใต้แนวทางตัณหานิยม" นั่นเอง
ยั่วให้แย้ง : คนเหนือ + อีสาน คุ้นชินกับ "การทำให้อาหารเน่า" เพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหารมานานู่แล้ว เช่น การทำส้ม ( แหนม ) หมักถั่วเน่า ดองผัก และการทำปลาร้า ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าคนเหนือและคนอีสานอาจจะเห็นว่า "ไม่มีอะไรเสียหาย แถมยังน่าสนใจยิ่งขึ้นซะด้วยซ้ำ" ถ้าทำให้สังคม ( รวมทั้งวัฒนธรรม - ประเพณี ) ของตน "ฉิบหาย" ไปเสียบ้าง เช่น การส่งลูกสาวเข้ามาเป็นหมอนวด ( กะหรี่ ) สนับสนุนใ้ห้ลูกหลานเต้นกินรำกิน ( เป็นนักร้อง - หมอลำ...หรือหางเครื่องก็ยังดี ) สนับสนุนให้ลูกชายเข้าไปรับใช้ ( เป็นมือเป็นตีน ) คนมีอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรม
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2008, 19:16 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 01-03-2008, 06:09 » |
|
ทั้งนี้ทั้งนั้น...โปรดสังเกตนะครับว่าเมื่อผมใช้คำว่า "คนเหนือและอีิสาน" ผมไม่ได้ระบุว่า "ชาวเชียงใหม่ อุบลฯ อุดร ฯ ฯลฯ" นั่นเป็นเพราะ "ชาว" เหล่านั้นผมจะเรียกว่าเป็น "คนเมือง" ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลผู้ "รับทราบและเข้าใจดีแล้วในจริยธรรม หรือขนบธรรมเนียมอย่างสากลตามวิถีทางแห่งอารยชน" ...แน่นอน โดยนัยนี้ ผมหมายรวมถึง "คนใต้" ด้วยนั่นล่ะ ( ซึ่งไม่ใช่ชาวสงขลา ชาวปัตตานี คนชุมพร ฯลฯ ) ...แน่นอน โดยนัยนี้ ผมหมายรวมถึง "เจ๊ก" ด้วยนั่นล่ะ ( ซึ่งไม่ใช่ชาวไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว แขะ ไหหลำ ฮกเกี้ยน ฯลฯ ) - ตัวอย่างเช่น ชาว กทม. ชาวปากน้ำ คนเมืองนนท์ ชาวแปดริ้ว ฯลฯ คนเหล่านี้จะไม่พยายาม "Classified" ตัวเองเป็น "คนกลาง - คนภาคกลาง" เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาสถาบัน "พวกกู - กลุ่มกู" ด้วยเหตุที่เรากำลังพูดถึง "คน" จึงขอใช้วิธีการศึกษาพฤติกรรมอย่างพื้นฐานที่สุด ตามหลัก "มาสโลว์สเต็ป" กัน เนื่องจากคนจะแสวงหาบันไดขั้นถัดปอีก 2 ขั้น หลังจากได้ "1.กินอิ่มนอนอุ่น ( Physical Needs )" มาแล้ว นั่นคือ "2.ความปลอดภัย ( มีพวก - Safety Needs )" และ "3.ความยืดเบ่ง ( มีหน้ามีตา - Social Needs )" ไอ้บันไดขั้น 2 ทีี่ชื่อ "ความปลอดภัย" น่ะไม่เท่าไหร่ แต่สัตว์สปีชีร์คนรับทราบอยู่แก่ใจดีว่า มัน "ยากส์" ที่จะอยู่อย่าง "3.มีหน้ามีตา" ใน "ฝูงโคตรใหญ่" ดังนั้นเขาจึงพอใจที่จะสร้าง "ขอบเขต ( Boundary ) ย่อย" หนึ่ง ๆ ที่เขามีปัญญากวาดตาไปได้ทั่วถึง โดยอาศัย "ส่วนร่วม - สัญลักษณ์" อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ อย่างเข้ามาเป็นเกณฑ์ ...คนอีสานจะรู้สึกว่ามันยากที่จะได้รับความสำคัญ ถ้าจะนั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับคนใต้ + ไอ้พวกกรุงเทพ + ไอ้พวกแปดริ้ว + ฯลฯ ...คนใต้จะรู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายใจ ถ้าไม่แยก "ซุ้มปักษ์ใต้" ออกไปสุมหัวอยู่กันต่างหาก ...คนเชื้อสายจีนจะรู้สึกถูกคุกคามจากไอ้พวก "ฮวนนั้ง" จึงต้องสร้างเกราะความเป็น "ตึ่งนั้ง" แล้วเอาตัวเองเข้าไปจุมปุ๊กอยู่ข้างใน ( ส่วนพวก "คนไทย" ก็เรียกว่าคนจีนเหล่านี้ว่า "เจ๊ก"...เหยียดแหม้งกลับซะ - หายกันนะอาแปะ ) ...ฯลฯ คงจำคำว่า "ยืดเบ่ง" ได้นะครับ ...ในแต่ละขอบเขตสังคม ( ฝูง...ผมขอใช้คำนี้ ) ก็จะมีวิธี "เด่น" ตามความเชื่อ - ความชอบของตน เช่น - คนอีสานอาจจะรู้สึกว่าพวก "ดารุ่งดารา" หรือ "พวกที่ได้ออกทีวี - พวกที่มีแฟนนาติค" ช่างเป็นคนเด่นที่ "ยืดเบ่ง" ได้ดี ...คนอีสานจึงนิยม "พวกที่ได้ออกทีวี" หรือปรากฎหน้า - ปรากฎตัวในที่สาธารณะ - คนเหนืออาจจะรู้สึกว่า "พวกไปประเทศนอก" เคยไปอยู่ต่างประเทศ - ต่างถิ่นมาแล้ว เช่น "เฮาชนไหล่กะฝรั่งมาแล้วกา" นี้ช่างโก้เก๋ - คนใต้อาจจะรู่้สึกว่า "พวกที่เป็นใหญเป็น่โต - เจ้าคนนายคน" เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ยศฐาบรรดาศักดิ์สูง ๆ นี่สิเจ๋ง - ส่วนเจ๊กก็รู้สึกว่า "คนมีตังค์" สิวะสมควรได้รับการยกย่องนับหน้าถือตามากที่สุด .............ตรงนี้ล่ะครับที่ "พวกนักการเมือง เอามาใช้เป็นประโยชน์" ...ได้แก่ - หาโอกาสให้เจ๊ก ( โดยเฉพาะพวกรับเหมาก่อสร้าง - ขายวัสดุอุปกรณ์ ) ขายของได้เงิน > รวย > เจ๊กชอบ - หาช่องทางให้คนอีสานได้เปิดตัว - ได้ออก TV - ได้ ปชส.ท้องถิ่นตน > ประทับใจ > อิสานชอบ - หาวิธีการให้ฝรั่งมังค่าหรือคนต่างถิ่นได้เข้าไปกระทบไหล่คนเหนือ > ฮาได้อู้กำอิงลิชก๊า หมู่เฮาปั๊ดตะนาแหล่วโว้ยยย > ชื่นชม > คนเหนือชอบ - หาเส้นสายให้คนใต้ได้เข้าไปเป็นใหญ่เป็นโตในวงราชการ > ภาคภูมิใจ > คนใต้ชอบ ( สังเกตดี ๆ ว่าเมื่อไรที่พรรคแมงสาบเป็น รบ. เมื่อนั้นจะมีการ Recrui- ข้าราชการบ่อยจัง ) ... จึงอาจกล่าวได้จริง ๆ ว่า ไม่ใชเรื่อง "เงิน" หรือผลประโยชน์อย่างเดียวหรอกครับ ที่พวกนักเล่นการเมืองเหล่านี้ ( ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน ) ใช้ "ซื้อวิญญาณ" ของชาวบ้านแต่ "ทั้งนี้ทั้งนั้น" ( อีกที ) ที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นเพียง "อดีต" ก่อนที่ "ระบอบทักษิณ" จะเข้ามาในสังคมไทย นะครับเพราะไอ้กระบวนทัศน์เพื่อใช้ซื้อวิญญาณชาวบ้านแบบเก่า ๆ นี้ เพียง ทำให้หมูกลายเป็นแหนม ทำให้ปลากลายเป็นปลาร้า ทำให้ผักกลายเป็นผักดอง ( และทำให้ข้าวเหนียวกลายเป็นกระแช่...โอ้ หลั่ล ลาาา ) ...ไม่ไ้ด้ทำให้ "เน่า" หรือ "บูด" ไปทั้งหมดเสียทีเดียว
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2008, 03:36 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 01-03-2008, 07:46 » |
|
ต่อ ๆๆ... ยั่วให้เคือง... เจ๊ก (ในเมืองไทย) ชื่นชมคนร่ำรวย และปรารถนาให้ความร่ำรวยกลายเป็นสรณะอย่าง "เหนือสิ่งอื่นใด" ถึงขนาด "ไร้ความเคอะเขินถ่อมตัว" ที่จะแสดงอาการโอ่อวด โอหัง ในทำนอง...
"ผม ( กู ) เรียนไม่จบ ป.4 ซะด้วยซ้ำ แต่ทุกวันนี้ไอ้พวกจบปริญญายังต้องมาเป็นลูกน้อง ( ขี้ข้า ) ของผม หรือแม้แต่พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ตอนนี้เป็นถึงด๊อกเต้อหรือพู่พิพากสาก็ยังแอบมาขอเงินผมใช้อยู่บ่อย ๆ"
เชื่อหรือไม่ว่า ผมเคยคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติที่มีเชื้อสายจีนหลายคน แล้วผมก็พบว่าไม่มีผู้คนเชื้อสายจีนที่ไหนในโลกนี้อีกเลย ที่มีพฤติกรรมอวดโอ่ - ขี้โม้ - โอหังอย่างเจ๊ก ( คนเชื้อสายจีนในเมืองไทย ) อ้อ วรรคข้างบนนี้ ผมกล่าวถึงเฉพาะพวก "เจ๊ก" นะครับ ไม่ใช่ "คนไทยเชื้อสายจีน"
================================================================ กลับมาที่ "ความบูดเน่าของอาหาร - ความฉิบหายของสังคมประเทศชาติ" ในขณะที่วิเทโศบายในการซื้อวิญญาณชาวบ้านแบบเก่าเปรียบเสมือนการทำให้อาหารมีรสเปรี้ยวกลิ่นส้ม รสเค็มกลิ่นตุ่ย หรือรสดีกลิ่นหอมแบบเหล้า ( ง่าาาา...) นั้น วิเทโศบายในการซื้อวิญญาณชาวบ้านแบบใหม่ที่ชื่อ "ระบอบทักษิณ" กลับเทียบได้กับการทำให้อาหารบูดเน่า - เสียหายไปทั้งหมดนั่นเลย ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ? นั่นเป็นเพราะว่า "วิธีการหาประโยชน์" ของเหล่าเดรัจฉานการเมือง ( ไม่ใช่ "นักการเมือง" ) ในระบอบทักษิณ มิได้มุ่งหมายเพียงแค่ 1.สมประสงค์ทางการเมือง" แล้ว 2. เอาประโยชน์ไปบ้างถึงพอสมควร ก่อน 3. โยนเศษที่เหลือกับลงมา ( ซึ่งก็ไม่ได้มีจริยธรรมอะไรนักหรอก ) ให้สังคม หรือถ้าจะเปรียบเทียบเดรัจฉานการเมืองแบบเก่า ก็คงราว ๆ สัตว์หน้าขนจำพวก "เสือ หมาไน" หรือหนักหน่อยก็ "อีแร้ง" ที่มุ่งโกงกินในลักษณะฉีกเนื้อเถือหนัง ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่าเป็น "การล่า" ตามวิถีทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง อันได้แก่ หากชาวบ้านกลุ่มไหนโง่นักก็กลายเป็นเหยื่อ - หรือก่อบาปกรรมให้แก่ประชาชนในประเทศชาติทั้งมวลด้วยการชักนำผู้ล่า ( ไอ้เดรัจฉานการเมืองวเหล่านั้น ) เข้ามาหาเหยื่อ ถ้ากำจัด "ความโง่ ( เช่น การให้การศึกษาเชิงตระหนักและรับผิดชอบต่อส่วนรวม ) & ความอ่อนแอ ( ความอดอยากยากจน )" ลงได้ ประเทศชาติ ก็ยังคงอยู่อย่างปลอดภัยจากผู้ล่าที่ชื่อ "นักการเมือง ( เดรัจฉานหน้าขน )" เหล่านั้นได้.............ส่วน "ระบอบทักษิณ" ไม่เป็นเช่นนั้น...มันไม่ใช่วิถีทางที่เราคุ้นชินแบบนั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2008, 03:55 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Kna
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 01-03-2008, 11:51 » |
|
มาลงชื่อรออ่าน ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พรรณชมพู
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 01-03-2008, 12:53 » |
|
มานั่งขอบจอ รอปู่เย็น ด้วยคนนึงค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลูกหินฮะ๛
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 01-03-2008, 22:18 » |
|
เจี๊ยก...กก (เข้ามาเกาะขอบเวที..ฮะ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 01-03-2008, 22:23 » |
|
มารออ่านบทความที่เชือดชำแหละ สังคมปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น
เห็นภาพตาม ได้อย่างชัดเจนและ ......จะรออ่านต่อค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ทองเปลว
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 01-03-2008, 23:17 » |
|
พึ่งเข้ามาอ่านครับปู่เย็น อ่านแล้วรู้สึกว่ามันอยู่รอบๆตัวเรานี่เอง คงอีกไม่นาน.....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เพื่อนหมัก หักเหลี่ยมหด
|
|
|
ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 02-03-2008, 13:17 » |
|
ปู่เย็น ผมคิดแบบคุณมาก็นานแล้วครับ
ผมพูดคำว่าลาออกจากประเทศไทยให้แฟนฟังตั้งแต่ 2 ปีก่อน ปัจจุบัน หลังจากเฮียตะกวดได้ดิบได้ดีในสังคมแล้ว มีอีกหลายคนที่พูดเหมือนผม
มันไม่ใช่แค่ที่ว่าผมจะเอาตัวรอด มันคือสิ่งที่ปู่เย็นสรุปความไว้อย่างชัดเจน
ันั่นคือ รากฐานทางสังคมถูกกัดกร่อนทำลาย หลักธรรมอันเป็นแรงยึดเหนี่ยวกันไว้จนเกิดเป็นสังคมมนุษย์ เสื่อมถอย คนโกหกฉ้อฉล - กลิ้งกลอกหลอกลวงได้รับการยกย่องเหนือคนที่มีความรับผิดชอบ - ยึดถือความสัตย์จริง
สิ่งนี้ไม่ได้ชัดเจนแค่ในระดับมหภาค(การเมือง สังคม) นะครับ แม้แต่ในระดับจุลภาค ในองค์กรรัฐ รัฐวิสาหกิจ(ชัดเจนเลย) หรือเอกชนหลายๆแห่ง ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น
จากทศวรรษแย่งชิงอำนาจ มาถึงทศวรรษฟองสบู่ มาถึงทศวรรษอินเตอร์เน็ตและทักษิณ ประเทศไทย ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ทั้งในแง่ศักยภาพในการทำมาหากินของตนเอง และในแง่ศีลธรรม
ผมจึงมองไม่เห็นเลยว่า มนุษย์จะสามารถอยู่ในสังคมแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 03-03-2008, 04:55 » |
|
แล้วระบอบทักษิณ "เป็นแบบไหน ?"
...คงยังจำสำนวนที่ผมเคยใช้บ่อย ๆ ที่ว่า "เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้" กันได้บ้าง
สำนวน "เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้" นี้ ผมลักจำเอามาจากบทกวีของคุณอังคาร กัลยาณพงศ์ ซึ่งหมายถึงสัตว์จำพวกหนอน พยาธิ อันเป็นสัตว์ชั้นต่ำเกือบสุดแล้วในการจัดลำดับตามหลักอนุกรมภิธาน ( ต่ำกว่านั้นคือพวก อะมีบา พารามีเซียม ) ...โดย "หนอน" อาจจะพอมีศักดิ์์ศรีนิดหน่อย ถ้าเป็นหนอน - ตัวอ่อนของแมลง ( ในกระบวนการเมตามอร์ฟอสิส )
เทียบ "ระบอบทักษิณ" ในการซื้อวิญญาณชาวบ้าน ก็คือ ระบอบทักษิณนั้นเปรียบเสมือนปรสิต ที่ถูกส่งเข้าไปในร่างกายของ "เป้าหมาย" แล้วเจ้าปรสิตนี้ก็จะทำการแพร่ขยาย เพิ่มจำนวนทีละเล็กทีละน้อยในร่างกายของเป้าหมาย จนในที่สุดแล้วก็ยึดเอาสังขารไปได้ทั้งหมด เป็นการบ่อนเบียนที่ยากแก่การสังเกต เนื่องจากกว่าจะรู้ตัวก็ "พยาธิขึ้นสมอง" หรือเบาะ ๆ ก็ "ตัวจี๊ดขึ้นตา" แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือไอ้หนอน - พยาธิเหล่านี้ไม่มีหนทางขับออกไปได้เลย ด้วยเหตุที่พฤติกรรมของเป้าหมาย ดันเสือก "คุ้นชินกับการทำให้สังคมฉิบหายบ้างสักนิด เพื่อสร้างความสนุก ตื่นเต้น น่าสนใจ" ( จำได้ไหมว่าผมเคยกล่าวถึงพฤติกรรมที่ว่านี้ไปแล้วใน คคห.ก่อนหน้า )
ประชาชนไทย "กลุ่มนั้น - พวกเสียงส่วนใหญ่ - พวกที่มีอำนาจเลือกตั้งซึ่งกำหนดชะตาบ้านเืมืองของคนทั้งแผ่นดิน เหล่านั้น" ...เป็น "ไอ้ขี้โรค" ที่ยังชอบ "กินของโสโครกสกปรก" ( เอาประโยชนจากแผ่นดินเยี่ยงโจร เช่น บุกรุกป่า - ตัดไม้ - แล้วยังเรียกร้องความเกื้อกูลเอาจากกองทุนต่าง ๆ ที่ตนเองไม่เคยช่วยเพิ่มพูนให้มีมูลค่า ) ...เป็น "ไอ้ขี้ยา" ที่ยังปรารถนาได้ "หารสชาติแปลก ๆ" ( ทำเรื่องผิดบาป - ผิดศีลธรรมจรรยา เช่น ผิดลูกผิดผัว, เล่นการพนัน, กินเหล้าเมายาสารพัด, ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ) ...เป็น "ไอ้ขี้เรื้อน" ที่ยังหลงใหลการ "ถูไถตัวเองไปกับเสื้อผ้าของคนอื่น" ( ทำให้สิ่งดี ๆ ของสังคม - ประเทศชาติตกต่ำ เช่น ทำลายภาษา บิดเบือนประวัติศาสตร์ - หลักการทางศาสนา ทำลายธรรมชาติและวัฒนธรรม พาลไปจนถึงการนินทาว่าร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ) ...เป็น "ไอ้ขี้เกียจ" ที่พอใจอยู่กับการแลบเลียเศษอาหารที่โปรยทานมาจาก "เทวดา ( แต่ก่อนคือพวก "ศักดินา" ปัจจุบันนี้คือพวก "กฎุมพี" )"
เมื่อประชาชนเป็นแบบนี้แล้ว "เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้ทางการเมือง" ใน "ระบอบทักษิณ" ก็สบายสิครับ ...นอกจากเป้าหมายจะไม่ถูกฆ่าไม่ถูกทำลาย กลับยังได้รับการส่งเสริม ( ให้เติบโต ) แล้วยังมี "พาหะ" ช่วยแพร่กระจายระบอบทักษิณออกไปให้กว้างไกลขจรขจายเสียอีก !
แต่...ครับ...แต่ ระบอบทักษิณ ไม่ได้มีเพียง "( ประชาชน ) เป้าหมาย" กับ "พยาธิสภาพ" เท่านั้นหรอกนะครับ ...ยังมีอีก...มีต่อ ...ซึ่งไ้อ้พวกนี้ล่ะ "สำมะคัญนัก" ( ใน Eco system ไม่ได้มีแต่ความสัมพันธ์แบบ ผู้ล่า - ผู้ถูกล่า, ปรสิต เหยื่อ เท่านั้น )
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 03-03-2008, 05:58 » |
|
ย้อนกลับไปนิด ๆ ...ในขณะที่การเมืองแบบเก่าเป็นการทำลายบ้านเมืองด้วย "เดรัจฉานการเมือง" ประเภท "สัตว์หน้าขน" ซึ่งเราเชื่อว่าสามารถปกป้อง - เอาตัว ( ประเทศชาติบ้านเมือง ) รอดได้ ด้วยการให้การศึกษาเชิงตระหนักและรับผิดชอบ + กำจัดความยากจน* แก่ผู้คน
( *ขยายความ : อันที่จริงแล้ว สำหรับเมืองไทยนั้นไม่มีคำว่ายากจนถึงขนาด "ตกบันไดขั้นแรก" ตามแนวคิดของมาสโลว์หรอกครับ )
...แต่การเมืองตามระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นการทำลายบ้านเมืองด้วย "เดรัจฉานการเมือง" ประเภท "เดรัจฉานท้องติดดินกินขี้" นั้น กลับไม่มีหนทางอื่นใดเลยที่จะเยียวยาแก้ไข หากประชาชนกลุ่มที่มีอำนาจ ( จากผลการ ) เลือกตั้งในประเทศ ไม่ถูกทำให้หมดอำนาจเลือกตั้งนั้น หรือกำจัดพฤติกรรมประดุจ "ตัวเลี้ยงเชื้อ - เหยื่้อพยาธิ" ลงให้ได้เสียก่อน
การแก้ไขหรือป้องกันด้วยความเข้าใจแบบเดิม ๆ ที่ว่า "ให้การศึกษาและกำจัดความยากจน" กลายเป็นเรื่อง "ไร้ผลในทางปฎิบัติ" ก็เพราะ - ต่อให้ ให้้การศึกษา ถึงขนาดยัดปริญญาใส่มือเป็นปึก ๆ ก็ไม่ได้เรื่อง แถมยังจะกลายเป็นการผลิตผู้คนพฤติกรรม "Ignorance" + "Egoism" ที่ในหัวมีแต่ "กูเก่ง - กูแน่ กูมีสิทธิที่จะเชื่อที่จะรักใครก็ได้ ( สันสนระหว่าง Assertive Right กับ ความดื้อด้านดักดาน )" - ต่อให้ จัดสรรเงินจากกองทุนต่าง ๆ หรือสินเชื่อ ( เช่น ธกส.) รวมทั้งกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือทรัพยสิทธิต่าง ๆ ก็ไม่ได้เรื่อง แถมดีไม่ดีเงินหรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านั้นก็หมดไปกับหวย หม้อ ดอ ขวด ฯลฯ หรือบางรายที่พอจะดูไม่เป็นอบายมุขสักหน่อย ก็กลายเป็นวัตถุนิยมจำพวกมือถือถ่ายรูปได้ มอเตอร์ไซค์ซิ่งของลูกชาย ( และค่าประกันตัว + ค่ารักษาพยาบาล ) ไปจนถึงเงินแต่งเมีย - แต่งเรือนหอ
==========================================================
กลับมาว่าต่อ...
หากสังเกตก็จะพบว่า เดิมที่เสียงส่วนใหญ่หรือประชาชนผู้มีอำนาจ ( จากผลการ ) เลือกตั้ง เหล่านั้น ไม่เชิงว่าจะ้ปล่อยให้เดรัจฉานการเมืองทำลายประเทศชาติบ้านเมืองมากนักหรอก แม้ว่าก่อนหน้านี้ก็มีพฤติกรรมขี้โรค - ขี้ยา - ขี้เรื้อน และขี้เกียจ เหมือนทุกวันนี้นั่นล่ะ เนื่องจากยังมี "ศรัทธา" ในสิ่งที่เป็น "สุจริตธรรม" ...แล้วก็ เพราะ "มีธรรม" จึงได้รับ "การปกป้อง ( จากรัฐ ) ตามสมควร" เพราะ "มีธรรม" จึงได้รับ "ความเอ็นดูห่วงใย ( จากสังคมที่มีสถานภาพดีกว่า )" เพราะ "มีธรรม" จึงได้รับ "ความเห็นใจและอนาทร ( จากชนชั้นที่ปัจจุบันนี้ถูกเรียกว่า "พวกศักดินา อมาตยนิยม" )
แต่มาถึงวันนี้แล้ว "ไม่ใช่" ....พวกเขาเหล่านั้นไม่มีธรรมหลงเหลืออยู่ในสายตาของ "ฝ่ายที่ไม่มีอำนาจ ( จากผลการ ) เลือกตั้ง" อีกแล้ว
พวกเขากลายเป็น "รากหญ้าของทักษิณ" - ที่เต็มไปด้วย "ความละโมบโลภมาก อยากได้ใคร่มีไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอ" - ที่เต็มไปด้วย "พฤติกรรมตีสองหน้า ลิ้นสองแฉก กลับกลอก ฉ้อฉล" เหมือนดั่งทักษิณผู้เป็น "เทวดากฎุมพี" ของพวกเขา - ที่เต็มไปด้วย "ความไ่ม่รู้สึกไ่ม่รู้สา ไม่รับรู้ว่าธรรมอันใด คือ "คุณธรรมแบบมนุษย์" อย่างสับสนปนเปกับ "ธรรมชาติของสัตว์ ( ที่มาของการเรียกว่า "สัตว์สปีชีร์คน")" ที่ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมซึ่งนำตนให้พ้นออกไปจากสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่** ทั้ง 2 ประเภท
( ** ขยายความ : "1. คุณธรรม" เป็นธรรมที่นำคนให้ "สูงขึ้น" จากสภาพสามัญชนสู่ความเป็นวิญญูชนไปจนถึงปราชญ์ ส่วน "2. ธรรมชาติ" เป็นการนำคน "ต่ำลง" ไปสู่ความหยาบถ่oย ไร้สำนึกชั่วดี ไปจนถึงอาชญากร )
จากเดิมทีที่สังคมไทย "อยู่ห่างกันตามฐานะ แต่มีผัสสะกันทางจิตใจ" ก็กลับกลายเป็น "ต่างคนต่างอยู่ ( ไม่อยากจะรับรู้ว่าใครกำลังจะอด - ตาย ) และถ้าเป็นไปได้มึงอย่ามายุ่งเกี่ยวกับกูเลยจะดีกว่า" ...มันแตกแยกอย่างสมบูรณ์แล้วครับ ...เหลือก็เพียงแต่จะออกมาฆ่ากัน ( อย่างไม่รู้สึกไ่ม่รู้สา ) เมื่อไหร่ เท่านั้นเอง
คำถาม : ถึงตรงนี้แล้ว "ยังยินดีที่จะมองเห็นฝันร้ายที่กำลังจะกลายเป็นความจริง" กันอยู่รึเปล่า ? ถ้า "ไม" รู้สึกว่า "พอแล้ว - ไม่อยากรับรู้อีกแล้ว" ผมจะได้ข้ามบริบทอื่น ๆ ที่เหลือ ตรงไปที่ข้อ 9 ในหมวด "ข้อแนะนำในการเอาตัวรอด"
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2008, 19:26 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
isa
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 03-03-2008, 10:44 » |
|
...อยากบอกปู่เย็นว่า... ทำไมเราคิดเหมือนกันเด๊ะเลยครับปู่ ความหลงทางของนักวิชาการ โดยเฉพาะฝ่ายซ้ายก็คือไปมองรากหญ้าว่าเป็นชนชั้นกรรมาชน แต่แท้จริงแล้วพวกนี้ยังติดอยุ่ในระบบ"ไพร่" อยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์แบบตำข้าวสารกรอกหม้อ มองไกลแค่หัวแม่ตีน การพึ่งพาคนอื่นชนิดสุดตีน การหลงบูชาตัวบุคคลชนิดบ้าผีบุญ การหวังรวยทางลัด การขายลูกสาวกิน การบูชาคนฉลาดแกมโกงแบบศรีธนนชัย การขาดค่านิยมยกย่องคนที่ความสามารถหรือจิตสำนึก ฯลฯ สิ่งที่พวกนักวิชาการฟันน้ำนมเรียกว่าประชาธิปไตยรากหญ้า จริงๆแล้วก็เป็นแค่การไปปลุกให้พลังไพร่ที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ลุกขึ้นมาใช้พลังไพร่ๆ อย่างเต็มที่เพื่อชี้นำการเมืองไทยไปสู่หายนะ ภายใต้การหลอกล่อของนักการเมืองเจ้าเล่ห์เท่านั้นเอง และสิ่งที่พวกรากหญ้าทำ ไม่ได้เป็นการเลือก ผู้เข้ามาพัฒนาประเทศ แต่เป็นการเลือก "มูลนาย" ที่จะเข้ามาฉกฉวย เบียดบังผลประโยชน์ของทั้งชาติ เพื่อเอาไปอุปถัมภ์ไพร่สมในสังกัดตัวเอง ลองศึกษาการเมืองไทยสมัยอยุธยาว่าทำไมกรุงแตก ก็ลองดูพฤติกรรมไพร่และมูลนายในยุคนั้นดูก็ได้ครับ และด้วยความเหียกของนักวิชาการปีกซ้ายที่รับใช้ทักษิณ ก็เอาบทของชนชั้นกรรมาชนไปสวมให้กับไพร่รากหญ้า และเอาบทผู้ร้ายศักดินามาสวมให้กับ ชนชั้นกลาง ทั้งๆที่ชนชั้นกลางต่างหากที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยในทุกประเทศ ทุกสังคม ไม่ใช่พวกไพร่ และฐานะทางสังคม หรือการศึกษาไม่ได้เปลี่ยนคนจากฐานะไพร่ไปสู่ชนชั้นกลาง แต่เป็นจิตสำนึกแบบชนชั้นกลางต่างหากที่ทำสิ่งนั้น และจากมุมมองของคนที่ศึกษาศาสนาพุทธ (บ้าง) ผมว่าภพของคนในเมืองไทยมันตกต่ำไปถึงขั้นของมนุษย์สเปโต (มนุษย์เปรต) แล้วล่ะ คนดีๆเค้าก็ถอดใจหนีไปเกิดใหม่กันเกือบหมดแล้ว ผมเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด และภพภูมินะ แล้วก็ค่อนข้างจะเชื่อด้วยว่าความโลภในจิตใจของมนุษย์ปัจจุบัน ความสำส่อนของมนุษย์ ปัจจุบัน ได้ถ่วงภพมนุษย์ทั้งภพลงไปอยู่ใกล้เคียงกับภพเดรัจฉาน และภพเปรตชนิดที่เคาะประตูเรียกกันได้แล้วแล้ว ผมเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีพวกนี้มาผุดมาเกิดในโลกมนุษย์กันให้เยอะไปหมด และทำไมคนรุ่นใหม่ๆถึงได้มีความคิดที่ โลภโมโทสันไม่รู้จักอิ่มไม่ต่างอะไรจากเปรต และก้าวร้าว อันธพาล ไร้เหตุผล บ้ากาม บ้ากิน เบียดเบียนกันและกันไม่ต่างจากเดียรัจฉาน แต่ผมว่าผมคงไม่ต้องหนีไปถึงเมืองนอกหรอก เพราะผมเชื่อว่าในวิถีชีวิตของคนใต้ ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย ก็ยังมีจิตสำนึกของชนชั้นกลาง ความพอเพียง และความรักศักดิ์ศรีมากพอที่จะคุ้มกันตัวเองและสังคมให้ปลอดภัยจากระบบทุนสามานย์ได้ครับ... อย่างมากก็หนีกลับใต้ละวะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2008, 10:52 โดย isa »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 03-03-2008, 17:17 » |
|
ตอบกลับและทักทายท่านผู้ผ่านทาง... ผมค่อนข้างชินกับคำว่า "ทำใจ ( ไม่ใช่ทัมใจ )" ของคุณ'โลห้า เพราะทุกครั้งที่คนเรากำลังจะเดินหน้าเ้ข้าหาสถานการณ์วิกฤต หรืออยู่เฉย ๆ รอรับสถานการณ์วิกฤต นั้น เรามักจะบอกตัวเอง และเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างว่า "...ทำใจ" ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอารมณ์เดียวกับเวลาที่ต้นหนเรือดำน้ำสั่งการไปยังลูกเรือทุกคนให้เตรียมตัวรับสถานการณ์ ( ร้าย ) ที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อระเบิดน้ำลึกถูกหย่อนลงมาว่า " ...เตรียมฮับการกระแทกเด้ออออ ( กองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐประชาชนลาว )" นั่นล่ะครับ...บังเอิญ "คำเตือน" แบบนี้พวกลูกเรือต่างทราบว่าไม่ได้หมายถึงเพียงให้ "ทำใจเด่ออ้าย..." แต่มันหมายรวมไปถึงให้เตรียมตัวรับเหตุการณ์ "ตามที่ได้ฝึกมาก่อน" แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการไล่คว้าหาเสื้อชูชีพ - กระติกน้ำ - ปืนพก ตลอดจนมองหาช่องทางเอาตัวรอดออกไปจากเรือ...หากเรือแตก ความคิดเห็นของคุณ isa เป็นบทวิพากย์เหล่านักวิชาการที่ชัดเจนครับ ...แต่โชคไม่ดีที่คนเหล่านั้นจมปลักอยู่กับแนวคิด - ทฤษฎียุุคสงครามเย็น โดยมีวิญญาณผีคอมมิวนิสต์กำมะลอ วนเวียนหลอกหลอนอยู่รอบข้าง แถมยังไม่พยายามรับรู้ - รับทราบต่อพื้นฐานทางสังคม โดยเฉพาะ "จริตสันดาน" ของคนไทยกลุ่มที่พวกเขาพยายามทึกทักว่าเป็นกรรมาชน เพื่อให้ครบกระบวนการสำเร็จความใคร่ทางปัญญา ...ไม่มีใครเถียง "ความถูกต้อง" ทางทฤษฎีของท่านหรอกครับ ...ไม่มีใครเถียงว่าท่านเชียวชาญการทำสลัดหรอกครับ เพียงแต่สิ่งที่มีอยู่ตรงหน้าท่าน เป็นแตงไทยสุก เนื้อขนุนฉีก และเม็ดแมงลักแช่น้ำ ที่ท่านควรจะใช้น้ำกะทิ + น้ำตาลปี๊บเชื่อมราดลงไป แล้วโปะหน้าด้วยน้ำแข็งใส ไม่ใช่ดันทุรังราดด้วยน้ำสลัดทาวซันไอส์แลนด์ แล้วโรยหน้าซ้ำด้วยเบค่อนเฟลกคุณสมานฉันท์ ฯ ...ทำใจครับ ( แซวท่าน'โลห้า ) "อย่ามองโลกร้ายกว่าที่เราเองจะทำให้มันร้ายไปกว่านั้นได้" ...คติสอนใจของวายร้ายตัวเอ้คนหนึ่งในแฟ้มอาชญากร อาจารย์อัง ฯ คุณดอกฟ้า ฯ คุณทองเปลว ท่านลูกหินฮะ๛ ( เออนะ...ทำไมไม่ใช่คำนำหน้าว่า "คุณ" ) คุณพรรณชมพู ...ผมน่าจะทำได้แค่ "เขียนได้อย่างที่พวกคุณคิด" เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรอก จำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยโพส คคห.เรื่องนึงใน Pantip แล้วมีท่านผู้ผ่านทางท่านหนึ่งให้ comment ไว้ว่า "ผมคิดเหมือนคุณนั่นล่ะ แต่เขียนไม่ได้อย่างคุณ" ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมใจแตก หลงระเริงต่อการให้เกียรติจากคนแปลกหน้าอยู่พักใหญ่ กระทั่งวันนึงผมจึงเข้าใจแล้วว่า ผมหลงผิด - คิดเข้าข้างตัวเองด้วยอัตตาทิฐิ เมื่อได้มีเวลา้พิจารณาความผิดพลาดเฮงซวยของตนเอง แล้วก็พบความจริงแบบดิบ ๆ อย่างหนึ่ง คือ การที่ผม "เขียนได้อย่างนั้น" เป็นเพราะผมมีสันดาน "ไม่รักษาหน้า - ไม่รักษาน้ำใจคน - ไม่ยืนอยูบนหนทางแห่งวัฒนธรรม" ...คุ้นชินกับการปลดปล่อยความคิดผ่านทางถ้อยภาษาอย่างโหดร้าย ...หรืออย่างดีหน่อยก็เป็็นเพียงการกระทำอย่างหยาบคาย ไม่ต่างจากการระบายท้อง - ปลดปล่อยของเสีย แบบไม่กระมิดกระเมี้ยน ตลอดจนไม่ค่อยกดชักโครกให้ความอึดอัดเหล่านั้นวนหายลงไปกับสายน้ำเป็นครั้งคราว ...เป็นการปลดปล่อยที่มีทั้ง "ซาวด์เอ็ฟเฟ็ค" และ "กลิ่นประกอบ" ในแบบที่ใครบางคนผ่านมาประสบเหตุแล้วก็ได้แต่ยิ้มกะเรี่ยกะราด ึแล้วพึมพำกับตัวเองว่า "...กรูก็อยากปลดปล่อยได้อย่างมรึงนั่นล่ะ แต่กรูรู้จักอาย..."
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2008, 17:21 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 03-03-2008, 17:42 » |
|
อยู่ต่อไปอย่างผู้แพ้...ต่อไปก็ชินเองแหล่ะ เชื่อจ๊ะดิ๊!! ผมยังไม่ได้เขียนถึงสัตว์สปัชีร์คนอย่างคุณ ซึ่งเมื่อผมเขียน ( พิมพ์ ) เสร็จ และคุณรวมทั้งใครต่อใครได้อ่านแล้ว คุณอะไรจ๊ะ จะรู้ว่าตัวคุณเองไม่ได้เป็นผู้ชนะตามที่เข้าใจ ( หรือพยายามหลอกตัวเอง ) เอาความคิดเห็นแบบเข้าใจง่าย ๆ ไปปรับทัศนคติของตนเองก่อนก็แล้วกัน ... เชื้อโรคในปากxมา ตัวที่กัดคนจนต้องรีบไปให้หมอฉีดวัคซีนนั้น ไม่ได้เป็น "ผู้ชนะ" อย่างที่ "หมาตัวนั้นชนะ" คนที่โดนกัด ( ในระยะเวลาสั้น ๆ ) แต่มันเป็นเพียงสิ่งโสโครก น่ารังเกียจ สำหรับคน พร้อม ๆ กันนั้น ยังอาจเป็น "ตัวนำความหายนะ" ไปสู่หมา เพราะถ้าพิสูจน์ได้ว่า เชื้อโรคในปากxมา อย่างที่'จ๊ะ กระทำอยู่นี้ เป็น "เชื้อหมาบ้า" ...หมาตัวนั้นก็จะถูกฆ่า - ตัดหัว เพื่อเอาไปพิสูจน์ พาลไปถึงหมาตัวอื่น ๆ ในละแวกที่จะต้องเดือดร้อน พาลไปถึงผู้คนทั่วไปในละแวก ที่จะต้องวิตกกังวล โกลาหลวุ่นวาย หมากัดคน - คนตีหมา มันเป็นเรื่องปกติธรรมดามาตั้งแต่ยุคหิน ไม่เคยมีใครเห็นว่าเป็นเรื่องแพ้ - ชนะ จนกระทั่ง "เชื้อโรค - เชื้อหมาบ้า" อย่างอะไรจ๊ะปรากฎตัว หมากับคนก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ไอ้เชื้อหมาบ้า ...รกโลกจริง ๆ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2008, 17:47 โดย qazwsx »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Limmy
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 03-03-2008, 17:57 » |
|
ปู่เย็นครับ
ในความเป็นจริง "รากหญ้า" นั้นรู้ดีครับว่าตัวเองกำลังจมอยู่กับอะไร และจะต้องพบกับอะไรในอนาคต
แต่ระบบทักษิณ ระบบลด-แลก-แจก-แถม มันทำลายตัวตนและพฤติกรรมทางสังคมของรากหญ้าไปหมดแล้ว จนทุกวันนี้ถึงทางตันไปหมด
จากที่เคยเป็นผู้ผลิต กลายมาเป็นผู้ขอ
จากคนที่คิดต่อสู้ กลับกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา รอเพียงคนมาป้อนอาหาร
ครั้นจะเลิกเสพติดทักษิณ หันมายืนบนลำแข้งตัวเอง ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะหนี้สินท่วมหัว หวังเพียงทักษิณจะเข้ามาช่วยปลดหนี้
จึงไม่แปลกอะไรที่ทักษิณกลายเป็นศาสดาของคนกลุ่มนี้ไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกผิด เหตุผล และจริยธรรมใด ๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 03-03-2008, 18:16 » |
|
ปู่เย็นครับ
ในความเป็นจริง "รากหญ้า" นั้นรู้ดีครับว่าตัวเองกำลังจมอยู่กับอะไร และจะต้องพบกับอะไรในอนาคต
แต่ระบบทักษิณ ระบบลด-แลก-แจก-แถม มันทำลายตัวตนและพฤติกรรมทางสังคมของรากหญ้าไปหมดแล้ว จนทุกวันนี้ถึงทางตันไปหมด
จากที่เคยเป็นผู้ผลิต กลายมาเป็นผู้ขอ
จากคนที่คิดต่อสู้ กลับกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา รอเพียงคนมาป้อนอาหาร
ครั้นจะเลิกเสพติดทักษิณ หันมายืนบนลำแข้งตัวเอง ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะหนี้สินท่วมหัว หวังเพียงทักษิณจะเข้ามาช่วยปลดหนี้
จึงไม่แปลกอะไรที่ทักษิณกลายเป็นศาสดาของคนกลุ่มนี้ไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกผิด เหตุผล และจริยธรรมใด ๆ
โอเค เมื่อมีผู้นำเสนอคำว่า "รู้ตัว ( เป็นอย่าง ) ดี" แล้ว ผมคงจะละเลี่ยง - ไม่กล่าวถึง Manipulater อีก 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ไม่ได้ ...ส่วนพวก "รากหญ้า ( ของทักษิณ )" นี้ ผมคงไม่ต้องขยายความเป็นการเฉพาะอีก เนื่องจากคุณ Limmy ได้เสนอมุมมองอย่างให้เกียรติแก่ตัวตนของเป้าหมายอย่างกระจ่างชัดดี อันที่จริงแล้ว ผมมีเรื่อง "รากหญ้าของทักษิณ" โดยเฉพาะพวกที่มักอ้างว่าตนเองเป็นเกษตรกร ในบริเวณพื้นที่เขตงานอิสานใต้ ตลอดมาจนถึง จว.ชายแดนภาค ตอ. อยู่นิดหน่อย ...ไว้เดี๋ยวสักพัก จะกลับมาพิมพ์ต่อ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
มารุจัง
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 04-03-2008, 18:55 » |
|
มารออ่านต่อค่ะ... ต้องบอกตรง ๆ ว่า อ่าน แล้วรู้สึกเหนื่อยใจจริง ๆ ค่ะ
แต่คงได้แต่ทำใจให้เตรียมรอดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และหาวิธีแก้ไขเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเอง และครอบครัวผ่านพ้นจุดที่เลวร้า่ยที่สุดไปให้ได้.. โดยยังยืนอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ถูกต้อง...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ประชาธิปไตย มิได้จบอยู่แค่การเลือกตั้งปล.รูปจากเวบ ผจก.
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 19-03-2008, 06:58 » |
|
มาต่อ...
เผลอลากยาวออกทะเลไปไกลเชียว ...ยังไงซะก็ต้องลากกลับมาก่อน
ก่อนหน้านี้ เคยมีการถกกันในกระทู้นึงเกี่ยวกับสถาบัน ฯ ...ซึ่งผมคงจะไม่นำมากล่าวถึงในด้านรายละเอียด เอาเป็นว่า "เรารู้และตระหนัก" ในหลักความเป็นจริงทางธรรม ก็แล้วกัน
บังเอิญ ความเกี่ยวข้องมันอยูตรงนี้ล่ะครับ เพราะ "ประเทศไทย" คือ "ราชอาณาจักร" ที่คนกลุ่มนั้น และันั้น และนั้น และนั้น ( มี 4 กลุ่มใหญ่ ) พยายามทำให้ "คำนำหน้ารัฐ" แห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป บาง "นั้น" ก็เลือกที่จะ "อยู่เฉย ๆ รอให้นั้นอื่น ๆ จัดการไปก่อน แล้วค่อย "กินรวบ" ในภายหลัง บาง "นั้น" ก็เลือกที่จะใช้วีถีทางการเมืองใน "แบบที่ตนถนัด" เข้าจัดการกับสังคม บาง "นั้น" ก็พอใจที่จะ "อยู่เบื้องหลังไปก่อน" จนกระทั่งสถานการณ์ไปไม่รอดจึงออกมา ...ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ประชาชนก็เป็นเพียง 3 อย่าง "ในสายตาของคนพวกนั้น ๆๆๆ" คือ เหยื่อ - เหยียบ ( ฐานมวลชน - กลุ่มผู้คนรองตีน ) และอย่าง ( ข้ออ้าง ) ...รอก็เพียงแต่ "สัญญาณ" จากผู้มีอำนาจหรือผู้ชักใย แล้วอะไร ๆ ที่ทุกวันนี้มันเป็นเพีงภาพราง ๆ ( และลาง ๆ ) ก็จะแจ่มชัด
การ "เล่นตามเกมส์" ของกลุ่มนั้น ๆๆๆ อาจจะเป็นหนทางที่ "ง่าย" ที่สุดสำหรับประชาชน จะแตกต่างก็เพียง "เล่นอยู่ในฝ่ายไหน" ที่ "อย่างน้อยก็จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวิบัติ" และก็ไม่มีใครอยากเป็นหนึ่งในฝ่ายนั้น ( แหงอยู่แล้ว )
การไม่ร่วมเกมส์ - ไม่เอาฝ่ายไหนเลย วางตัวเป็นกลาง ดูจะเป็นข้ออ้าง - คำโม้ ที่รู้ ๆ กันว่าคนพูดตอแหล เพราะในสภาพป่า อันเป็นที่่อยู่ของเหล่าเดรัจฉาน นั้น สัตวตัวที่ฝูงที่ "ไม่เอาฝ่ายไหนเลย - ไม่เป็นภาคีกับใครเลย" นั่นล่ะคือ "เหยื่อกลุ่มแรก" ...ดังนั้น "อย่าทำ" ครับ ...อย่าทำตัวไม่รู้ไม่เห็น แล้วคิดว่า + บอกใคร ๆ ว่า "กรูอยู่ของกรู กรูไม่ยุ่งกะใคร" เด็ดขาด เนื่องจากคุณจะกลายเป็นเพียง "ไอ้ - อี หัวเดียวกระเทียมลีบ" ที่ "น่าตบตีแล้วขบกัด" มากที่สุด
ซึ่งเรื่องนี้ "พวกลิ่วล้อของทักษิณ" ได้ "เลือกข้าง" ไปแล้วครับ แม้แต่หลายคนก็ "เปลี่ยนข้างไปเอาด้วยกับทักษิณ" เพราะเห็นว่าฝูงของทักษิณเด่นชัดและ "ดูฝูงใหญ่ดี - เสียงดังดี" ...ใช่ ไม่มีใครผิด กุ๊ยย่อมต้องหาหัวหน้าแก๊ง - หัวหน้าโจร ดอกทoงย่อมต้องเข้าหาผู้มีศักดาบารมี กะหรี่ย่อมต้องเข้าหาผู้อุปถัมป์ ...และถ้าพวกคุณสังเกตดี ๆ จะพบว่าพวกนี้ พยายาม "ชูคอ" เหมือนปรารถนาให้ "นายมองเห็น" กันอย่างสุด ๆ เพราะการเข้าถึง "ชั้นใน" ได้มากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยและได้รับผลตอบแทนมากเท่านั้น
...แต่...ถ้าหากพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ไม่ใช่ "แบบของคุณ" !!
ผมก็มีทางเลือกให้อีก 2 อย่าง คือ 1. เอาตัวออกไปจากป่า 2. วิ่งเข้า ๆ ออก ๆ ให้เร็ว
อย่างแรกก็คือการ "อพยพ" นั่นล่ะครับ คงไม่ต่างจากสมัยที่ปู่ย่าตายายคนจีนที่อพยพมาอาศัยแผ่นดินไทย ส่วนอย่างที่ 2 ก็คือสิ่งที่พวก "นักธุรกิจ" ในเมืองไทย ไม่ว่จะเป็นสายอุตสาหกรรม - พาณิชยกรรม - วิชาการ ฯลฯ กำลังกระทำอยู่ "การเข้าเ็ร็ว + ออกเร็ว" เป็นพื้นฐานของแนวคิด "โลกาธนวัตร" ทีี่่คนเหล่านี้พยายาม "ทำให้เป็นเรื่องปกติชอบธรรม" ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรม "เสพสุขและสิงสู่ + มีชีวิตอยู่เพื่อล้างผลาญ" แบบที่พวกมันกระทำอยู่นั้น อาจกล่าวได้ว่าไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดแก่สังคมหรือภูมิลำเนาที่มันเสพและสิงอยู่เลย ...เหมือน "ปรสิต" หรือ "กาฝาก" อย่างไรอย่างนั้น
พิจารณาเองนะครับว่าจะเอายังไง ...พิจารณาจากสถานภาพของตัวเอง ถ้าจะ "อยู่" ก็ต้องเลือกข้าง ไม่อย่างนั้นก็ต้อง "ไป" หรือต้อง "ไม่ผูกพันกับความเป็นชาติ ( เชื้อชาติ ชนชาติ สัญชาติ )" ใด ๆ ทั้งนั้น ...คุณมีทางเลือกแค่ 3 Mode เพราะถ้าไม่เอาแบบไหนเลย ก็คือ "เหยื่อ" หรือ "กลุ่มล่างสุดของห่วงโซ่แห่งอำนาจ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 19-03-2008, 07:19 » |
|
"ผู้มีจิตใจมั่นคงแข็งแกร่ง การตัดสินใจอันเด็ดขาดแม่นยำ สติปัญญาอันรอบรู้หลักแหลม ภววิสัยอันละเอียดรอบคอบ สุขภาพอันแข็งแรงทรหด และเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวปราดเปรียว" เท่านั้น จึงจะอยู่รอดผ่านพ้นวิกฤติ - หายนะภัย ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้" 6 ปัจจัยนี้ ให้จำใส่ใจไว้เลยนะครับ ...อันที่จริงก็มีอีกข้อ คือ "ตัวใครตัวมัน" ซึ่งผมถือว่าแล้วแต่ศักยภาพของบุคคล บางท่านอาจ "ตัวใครตัวมัน" ไม่ได้ เพราะบุคคลที่จะต้องฉุดกระชากลากถูไปด้วยมีทั้ง แม่ - พ่อ - ลูก ที่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญในชีวิต ยืนยัน "ความเป็นมนุษย์" ในตัวตนของเรา หรือบางท่านก็มีปัญหาสุขภาพอยู่ ก่อนหน้านี้แล้ว จึงจำเป็นต้อง "พึ่งพา" บุคคลอื่น เอาน่า...ไม่เป็นไร ข้อ 7 นี้ ผมจะทำเป็นไม่พูดถึงก็แล้วกัน ...เพราะมันแสลงใจ - แสลงหู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|