สุทธิชัย หยุ่น เขียนถึงกรณี คะแนนเลือกคุณรสนา สูงเกิน 7 แสนคะแนน
กับสภาพ "เซ็งการเมือง" ของคนกรุงเทพฯ
มีประโยคดีๆ ของคุณรสนา หลายประโยค ที่ผมชอบคือพูดถึงการเลือกตั้ง
ที่อาจทำให้นักการเมืองคิดว่าได้รับอำนาจอธิปไตยไปอยู่กับตัว
คุณรสนากล่าวว่า..
"อำนาจยังเป็นของประชาชนอยู่ ประชาชนเพียงเลือกพวกเรามาเป็นตัวแทน
เขาไม่ได้ให้สัมปทานอำนาจของเขาแก่นักการเมือง..."อ่านดูแล้วมีประโยคดีๆ อยู่ในบทความเยอะเลยครับ 
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใน'ความเซ็ง'การเมืองก็ยังมีพลังเงียบที่ไม่ยอมถอดใจ5 มีนาคม พ.ศ. 2551 00:00:00
สังเกตไหมว่าแม้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
นั่นคือร้อยละ 55.9 แต่คะแนนของคนที่ได้เป็น ส.ว.กทม. สูงเกิน 7 แสนเสียงอย่างน่าประหลาดใจ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผมวิเคราะห์ว่าคนกรุงต้องการจะส่งสารอะไรบางอย่างให้กับการเมืองไทย
วันก่อนฟังคุณรสนา โตสิตระกูล ผู้ได้คะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ให้สัมภาษณ์วิเคราะห์ผล
การเลือกตั้งครั้งนี้อย่างน่าสนใจ
คุณรสนา บอกว่า ในระหว่างการออกไปหาประชาชนก่อนเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภานั้นได้รับรู้
"ความท้อแท้ใจของชาวบ้านเป็นจำนวนมาก" เพราะเบื่อหน่ายการเมือง เซ็งกับสภาพการณ์
ของบ้านเมืองทุกวันนี้
เพราะเหตุแห่ง "ความเซ็งการเมือง" นี้ที่คุณรสนา ได้เสียงกว่า 740,000 เสียง ซึ่งต้องถือว่า
สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนพอสมควร...เพราะจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงไปใช้สิทธิเพียง
ร้อยละ 55.9 เท่านั้นเอง
คนออกไปใช้สิทธิน้อย แต่กลับเทคะแนนให้กับคุณรสนาอย่างล้นหลาม อย่างนี้มีความหมาย
ทางการเมืองไม่น้อย
"เขารู้สึกว่าผู้แทนที่ทำหน้าที่ทุกวันนี้ไม่ได้เกรงใจประชาชน...ทำให้เขาเห็นว่าบ้านเมืองไม่มีความหวัง
และสิ่งที่ประชาชนคิดว่านักการเมืองไม่ควรจะทำ แต่พวกเขาก็ทำ..."
คุณรสนา บอกว่า ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ประชาชนคนไทยวันนี้ไม่อยากรับรู้ความเป็นไปของบ้านเมือง
ไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่อยากฟังข่าว
ในฐานะที่เป็น ส.ว. ที่ได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้นขนาดนี้ คุณรสนาบอกว่า คนไทยจะท้อแท้ไม่ได้
"เพราะหากว่าตามศาสนาพุทธ เราต่างก็เป็นเหตุปัจจัยด้วยกันทั้งสิ้น...เพราะบ้านเมืองเป็นของพวกเราทุกคน
เป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันปกปักรักษา..."
น่าเชื่อว่าการที่คุณรสนาได้คะแนนเสียงมากผิดความคาดหมายเช่นนี้ เป็นการ "ส่งสัญญาณ"
มาถึงวุฒิสภาว่าประชาชนคนไทยต้องการที่สุดคือการสร้างกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุล
ให้บ้านเมืองดีกว่าที่เป็นอยู่
คือให้มีความโปร่งใสขึ้น มีธรรมาภิบาลมากขึ้น ไม่ใช้อำนาจเกินจากขอบเขตอันเหมาะควร
และความคาดหมายของประชาชน
คุณรสนา ตอกย้ำว่า "อำนาจยังเป็นของประชาชนอยู่ ประชาชนเพียงเลือกพวกเรามาเป็นตัวแทน
เขาไม่ได้ให้สัมปทานอำนาจของเขาแก่นักการเมือง..."
เมื่อได้รับสัญญาณจากประชาชนอย่างนี้ ความคาดหวังของประชาชนย่อมจะสูงขึ้นด้วย
"เพราะเขาต้องการให้เราทำมากขึ้น ดีขึ้นในสิ่งที่ทำ เพราะประชาชนเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้น
เป็นการปกปักรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะอย่างแท้จริง..."
คุณรสนาบอกว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เลือกเธออย่างมืดฟ้ามัวดินนั้นเป็นเพราะ
"ประชาชนเห็นว่าดิฉันเป็นพลังอิสระ ซึ่งสามารถทำให้ยืนเคียงข้างกับประชาชน..."
วันหนึ่ง ระหว่างไปหาเสียงแถวบ้านครัวใน กทม. คุณรสนาเห็นข้อความที่เขียน
ด้วยถ่านหุงข้าวบนผนังของทางด่วนข้างๆ บ้านครัว...
เขียนว่า "ไม่มีส่วนไหนยิ่งใหญ่กว่าส่วนรวม..."
คุณรสนาบอกว่า นี่คือการแสดงเจตนารมณ์อย่างสำคัญยิ่งของชาวบ้านที่ต้องการเตือนสติ
นักการเมืองทั้งหลายที่อาสามาทำงานเพื่อประชาชน
"ดิฉันว่าผู้แทนทุกคนต้องตระหนักในเรื่องนี้...ว่าไม่มีส่วนไหน ไม่ว่าส่วนตัว ส่วนพรรคพวก
หรือส่วนพวกพ้องจะสำคัญยิ่งไปกว่าผลประโยชน์ของส่วนรวม..."
คุณรสนาบอกว่า วุฒิสภาต้องมีการปฏิรูปกันครั้งใหญ่ เพราะทุกวันนี้บทบาทของวุฒิสภา
ถูกมองเป็นเพียง "ไส้ติ่ง"
ไส้ติ่งไม่ได้ทำอะไรในร่างกายของคน มีไว้เพื่อเอาไว้ตัดทิ้งเท่านั้นเอง...
เพราะไส้ติ่งไม่ใช่ลำไส้ ไม่ใช่ปอด ไม่ใช่หัวใจ...
วุฒิสภาทุกวันนี้จึงไม่มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตยของประเทศ
"เขาบอกว่าวุฒิสภามีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย แต่กฎหมายส่วนใหญ่มาจากสภาล่าง...
คุณกลั่นกรองได้ในบางเรื่องเท่านั้น แต่วุฒิสภามิอาจไปเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของกฎหมายเป็นไปได้ยาก...
หรือวุฒิสภามีหน้าที่กลั่นกรองคนที่เข้าไปในองค์กรอิสระ แต่คุณก็แค่เป็นตราแสตมป์ว่าคนที่เขาเลือกมาแล้ว
คุณจะเอาหรือเปล่า...แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสอบถอดถอนหรือการคานดุลและถ่วงดุลควบคุม
งานบริหารราชการแผ่นดินนั้น ถูกมองเพียงแค่ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลเท่านั้น..."
หากทำเพียงแค่นี้ คุณรสนา บอกว่า "ไร้ความหมาย"
ดังนั้น พอจะเห็นแล้วว่าคุณรสนา จะเข้าไปเสนอปฏิรูปโครงสร้างและอำนาจของวุฒิสภาอย่างแน่นอน
เพื่อให้วุฒิสภามีบทบาทในการถ่วงดุลและตรวจสอบการบริหารราชการให้มีความโปร่งใสมากขึ้น
ที่จะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างแท้จริง
หากจะวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งนี้ โดยเฉพาะใน กทม. แล้ว
สารของชนชั้นกลางแห่งเมืองหลวงก็คงจะเป็นว่า
"จะเบื่อการเมืองเพียงใด ก็ยังจะต้องเอาพลังอิสระไปสู้กับพวกโกงชาติโกงบ้านเมือง"