"นาม"ลั่นไม่กลัว"สมัคร" พร้อมทำงานจนหมดวาระ :slime_fighto:18:24 น.
นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงของ กทม. เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เชิญผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ หนึ่งในพยานที่ทีมทนายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา อ้างถึง และขอให้อนุกรรมการไต่สวนฯสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งยืนยันว่าคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ทำตามที่ทีมทนายของนายสมัคร ขอร้องทุกขั้นตอน คาดว่าประเด็นนี้จะสรุปแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เชื่อว่าการที่นายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรี คงไม่เข้ามาแทรกแซงการทำงานของ คตส. เพราะที่ผ่านมา คตส.ยึดตามกฎหมายทุกขั้นตอน และไม่หนักใจอะไร ต่างคนต่างทำหน้าที่ เพราะสุดท้ายทุกคดีต้องไปสิ้นสุดในชั้นศาล
ส่วนที่นายสมัคร ประกาศจะเอาคืนทุกคนที่เล่นงาน ประธาน คตส.กล่าวว่า การทำงานของ คตส.ไม่มีใครกลั่นแกล้งใคร ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา และการทำงานยึดตามหลักของกฎหมาย และไม่มีใครยุบ คตส.ได้ หากจะยุบก็ต้องออกกฎหมายใหม่เท่านั้น เมื่อนายสมัครเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงอยากให้ทุกคนทำงานตามหน้าที่ คตส.ก็ตรวจสอบความไม่ถูกต้อง ส่วนนายสมัครก็ต้องบริหารประเทศต่อไป อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกัน ตนเองไม่กลัว เพราะก่อนหน้านี้เคยตรวจสอบการยุบพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครั้งนี้ก็ตรวจสอบนายสมัคร ในฐานะนายกรัฐมนตรีด้วย
ต่อข้อถามว่า การทำงานของ คตส.ขณะนี้เหมือนถูกโดดเดี่ยว นายนาม กล่าวว่า คตส.ถูกโดดเดี่ยวมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งจนถึงขณะนี้ แต่มั่นใจว่าไม่มีใครมาแทรกแซงการทำงานคตส.ได้กรณีที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธาน คมช. โทรศัพท์เคลียร์ใจกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต่างประเทศ นายนาม กล่าวว่า ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร แต่อาจมีความจำเป็นก็ได้ ไม่รู้ความในใจ ไม่ขอก้าวล่วง พูดไปจะเกิดความเข้าใจผิดกันอีก ตอนนี้ คตส.ขอทำงานอย่างเดียวจนครบวาระ ซึ่งอาจมีผลงานชิ้นโบว์แดง คือคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 และคดีจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงของ กทม. ที่นายสมัคร เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา ทั้งนี้ยืนยันว่า คตส.ทั้ง 10 คน ไม่ยกทีมถอดใจลาออกก่อนครบวาระ จะทำงานให้ถึงที่สุดจนหมดวาระ เพื่อส่งคดีต่างๆให้อัยการสูงสุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล เพราะคตส.ได้พิจารณาด้วยความรอบคอบได้ดีที่สุดแล้ว
ขอเป็นกำลังใจให้ คตส.ที่ยังทำตัวกล้า ไม่กลัวไอ้หมัก ขอให้คุณความดีนั้นจงตอบสนองท่านและครอบครัว แด่ คตส.ทุกคน
อย่าดีแตกเสียก่อนละ "แก้วสรร"ไม่หวั่น"สนธิ"จูบปาก"แม้ว" ลั่นเข้ามาทำงานไม่ใช่เพราะ"สนธิ"ระบุมี กม. ป.ป.ช.รองรับ ย้ำกำลังใจยังดีอยู่ เผยจันทร์นี้ฟันเพิ่มอีก 3 คดี "กล้ายาง-บ้านเอื้ออาทร- ภาษีดาวเทียมไทยคม" พร้อมชง สรรพากร เรียกเก็บภาษีเงินเคลมประกันดาวเทียมไทยคม 3 ระบุเป็นเงินได้พึงประเมินเพราะโอนเงินเข้าบัญชีชินแซทฯทั้งๆที่เจ้าของดาวเทียมคือ ไอซีที.
นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช.เจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแล้วว่า เป็นเรื่องของพล.อ.สนธิ ไม่เห็นว่าคตส.จะต้องหวั่นไหวอะไร การที่คตส.เข้ามาทำงานไม่ได้ทำเพราะพล.อ.สนธิ ไม่ได้อาศัยอำนาจของ คมช. เป็นการอาศัยอำนาจกฎหมายป.ป.ช.ตามปกติ ไม่ใช่ศาลเตี้ย สรุปสำนวนส่งศาล ซึ่งเหมือนส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมไม่ได้คิดกลั่นแกล้งใคร ซึ่งการดำเนินการต่างๆ ที่ผ่านมาไม่กระทบกับคดีที่คตส.กำลังตรวจสอบอยู่ และขณะนี้กรรมการคตส.ยังมีกำลังใจดีอยู่ เพราะเมื่อเข้ามารับงานตรงนี้ก็ต้องมีกำลังใจ จะไปฝากไว้ที่คนอื่นได้อย่างไร
นายแก้วสรร กล่าวว่า ในการประชุมคตส.วันจันทร์ที่ 4 ก.พ.นี้ จะมีวาระในการพิจารณาคือ คดีการทุจริตจัดซื้อพันธุ์กล้ายางพารา 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรฯ และคดีบ้านเอื้ออาทร โครงการร่มเกล้า-บางพลี สำหรับคดีกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับครอบครัวและพวกพ้อง ที่มีข่าวว่าจะมีการขอ
เลื่อนการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปนั้น ถ้าจะมีการขอเลื่อนจริงก็ขอให้เขียนคำร้องพร้อมระบุเหตุผลอธิบายมา ซึ่งการพิจารณาให้เลื่อนหรือไม่ก็ต้องดูว่าเลื่อนออกไปแล้วทางผู้ถูกกล่าวหาจะมีหลักฐานอะไรใหม่ๆ มาแก้ข้อกล่าวหาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้ง 2 คดี ทางคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้สรุปสำนวนเสร็จแล้ว ซึ่งการเสนอให้คตส.พิจารณาครั้งนี้เพื่อให้คตส.มีมติส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องต่อศาลต่อไป จึงถือว่าคตส.จะทำงานเสร็จสิ้นตามแผนที่กำหนดไว้เพิ่มอีก 2 คดี
มีรายงานข่าวจากคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง แจ้งว่า ในการประชุมคตส.วันจันทร์ที่ 4 ก.พ.นี้ จะมีการเสนอให้ที่ประชุมคตส. ส่งเรื่องให้กรมสรรพากร เรียกเก็บภาษีเงินได้จากเงินเคลมประกัน 33 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1 พันล้านบาท กรณีดาวเทียมไทยคมเสียหาย โดย คตส.ไม่ได้ประเมินวงเงินการเสียภาษีให้ เพราะถือเป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะต้องประเมินเอง
รายงานข่าว เปิดเผยว่า การเรียกเก็บเงินภาษีดังกล่าว มาจากการที่คณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ ดาวเทียมไทยคม ได้ตรวจสอบพบว่าเงินดังกล่าวมีการโอนเข้าบัญชีของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) จึงมอบหมายให้นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ กรรมการคตส. ซึ่งชำนาญด้านภาษี เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ได้
ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว โดยเห็นว่า แม้จะเป็นเงินที่ได้จากการประกันดาวเทียม แต่เงินดังกล่าวไปอยู่ในบัญชีของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) จึงถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม ภงด. 50 ซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษีตามประมวลกฎหมายรัษฎากรมาตรา 65
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้บริษัทชินแซทฯได้ทำหนังสือหารือไปยังกรมสรรพากรในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2548 ว่า ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับประโยชน์ร่วมจากเงินเคลมประกันดังกล่าว บริษัทต้องเสียภาษีในส่วนนี้หรือไม่ จากนั้นช่วงเดือนมกราคม 2549 กรมสรรพากรได้มีหนังสือตอบกลับไปยังบริษัทว่าเงินจำนวน 33 ล้านเหรียญสหรัฐไม่ถือเป็นรายได้ที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี และอนุมัติคืนเงินจำนวน 300 ล้านบาทกลับไปให้บริษัท เนื่องจากได้มีการพิจารณาในเอกสารการรับผลประโยชน์ร่วมระหว่างบริษัทกับกระทรวงไอซีที.เพียงอย่างเดียว แต่ปรากฏว่า อนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ตรวจสอบพบหลักฐานสำคัญ พบว่า นอกจากเอกสารดังกล่าวแล้ว ยังมีบันทึกการประชุมว่า ดาวเทียมไทยคม 3 เป็นสมบัติของกระทรวงไอซีที ดังนั้นเมื่อมีเงินไปตกอยู่ในบริษัทชินแซทฯ ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของดาวเทียม จะต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมิน
ขอให้รักษาความดีเช่นเกลือ รักษาความเค็ม นะครับ ปปช ทุกท่าน สู้โว้ย
