ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
03-12-2024, 21:29
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  ขอแสดงความเห็นอันต้อยต่ำเกี่ยวกับเรื่อง ดา วินชี่ โค้ด หน่อยนะครับ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ขอแสดงความเห็นอันต้อยต่ำเกี่ยวกับเรื่อง ดา วินชี่ โค้ด หน่อยนะครับ  (อ่าน 3912 ครั้ง)
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« เมื่อ: 17-05-2006, 11:53 »

เห็นพูดกันมาหลายห้องหลายคนแล้วและยังไม่เพียงแต่เท่านั้นเรื่องนี้ยังมีการออกมาให้สัมภาษณ์กันอย่างมากมาย   เมื่อเช้าได้ฟังป้าปุ๊  อัญชลี  พูดในเชิงว่า  "เรื่องนี้ไม่มีความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว"

          ดังนั้นผมขอถามกลับว่า  "แล้วคุณรู้ความจริงหรือครับ"   

          ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของศาสนา  เป็นเรื่องของความเชื่อ  แต่ว่ามันเกิดมาจากความคลุมเครือทางประวัติศาสตร์มากกว่า   ไม่เพียงแต่เท่านั้นมันยังเกิดมาจากความไม่แน่ใจในตัวศาสดาอีกด้วย   พอดีเมื่อกี้อ่านเจอหัวข้อว่า  "ถ้ามีคนมาทำหนังแล้วบอกว่า  พระพุทธเจ้ามีลูกเมียหลังออกบวชแล้วจะว่ายังไง"   เป็นคำถามที่ดีครับแต่ก็ตอบง่าย ๆ ว่า  "ต้องต่อต้านและไม่เชื่อเป็นอย่างยิ่ง"

          เพราะอะไร  เพราะเรื่องของ  พระพุทธองค์  ชัดเจนครับ   

          คำสอนของพระองค์เป็นที่ชัดเจนในหมู่สาวก   คนในศาสนาเลยไม่ค่อยมีความเห็นต่างกันเท่าไหร่   แต่ผิดกับเรื่องทำนองนี้ที่มีแต่ความขัดแย้งกันมาตลอดทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมไปถึงตัวบทตัวคำสอน

          เช่น  ในศาสนจักรยุคหนึ่งอ้างว่า  โลกแบน  และยังอ้างว่า  โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล  แต่ต่อมาวันหนึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถูกหักล้างด้วยวิวัฒนการสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง  กาลิเลโอ  ต้องรับกรรมสาหัส  ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกที่ผู้คนจะสงสัยในความเป็นพระเจ้า

          ผู้คนต่างคลุมเคลือในสภาพความมีตัวตนขององค์พระเยซู   ต้องยกความผิดพลาดในเรื่องนี้ให้แก่ศาสนจักรที่มีความเพียรพยายามในการสร้างหลักฐานความมีอยู่  เช่น  เรื่องผ้าคลุมพระศพที่ตูริน  ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในยุคหลังก็ออกมาแฉว่า  เรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง  ผ้านี้เป็นของปลอมเนื่องจากได้พิสูจน์ว่า  ผ้านี้น่าจะมีจุดกำเนิดในยุคของ  ดา วินชี่  ซึ่งไม่ตรงกับที่ศาสนจักรพูดเลยแม้แต่นิดเดียว

          เรื่องทำนองนี้ออกมาเรื่อย...  ความศรัทธาก็เริ่มสั่นคลอน

          เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นให้นักคิดนักเขียนต้องตีความแทนที่จะเชื่อด้วยศรัทธา   ซึ่งผิดกับทางพุทธศาสนาที่ทุกอย่างค่อนข้างจะเชื่อถือได้สนิทใจกว่าและไม่ค่อยมีการโต้แย้ง

          เรื่องที่เขียนเกี่ยวกับ  พุทธศาสนา  ในเชิงโลกตะวันตกนั้นมี  แต่ก็เป็นไปในทางดี  ยกตัวอย่าง  หนังสือเรื่อง  สิทธารัตถะ  ของ  เฮอร์มาน  เฮสเส

          ผิดกับศาสนาคริสต์ที่มีประเด็นร้อนออกมาทุกปีและก็ฉายออกมาในมุมภาพยนตร์ก็ไม่น้อย  เช่น  เรื่อง สติกมาธา  ที่ถกเถียงความเชื่อที่ว่ามีการเจาะตะปูที่ข้อมือมากกว่าจะเป็นที่ฝ่ามือ  และเรื่องนี้ก็มีปรากฏในพระคัมภีร์ว่า  เมื่อพระเยซูคืนพระชนม์ชีพก็แสดงให้คนเห็นแผลเป็นที่ฝ่ามือ  แต่สุดท้ายแล้วเหตุผลนี้ก็ถูกหักล้างออกไป   เพราะจากการทดลองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า  ถ้าเอาตะปูเจาะที่ฝ่ามือจะไม่สามารถทานน้ำหนักตัวได้

          เรื่อง  ด็อกม่า  ก็เป็นอีกตัวอย่างของบทสรุปที่คลุมเครือ...

          ดังนี้ผมจึงไม่เห็นว่าเป็นความผิดอะไรที่มีประเด็นอีกประเด็นออกมาให้คนได้ขบคิด...

          เรื่องลูกของพระเยซูก็เป็นที่เคยปรากฏและมีการแอบอ้างอยู่ดังเช่นการแอบอ้างการเป็น  โรมานอฟ  ของหญิงคนหนึ่งที่อ้างตนเองเป็น  เจ้าหญิงอนาสตาเซีย   แต่สุดท้ายแล้วจากการพิสูจน์ก็คือ...  ไม่ใช่

          แต่ทั้งหมดที่เธอพูดก็มีคนเชื่อและก็มีคนเอาไปทำหนังในชื่อ  "อนาสตาเซีย"  เรื่องแห่งความสับสนนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเรื่องที่เล่ามีที่มาที่ไปชัดเจนและแน่นอน

          ดังนั้นเรื่องนี้ผมเห็นว่าไม่ควรจะเซนเซอร์เพราะเหตุผลในเชิงศาสนา   เพราะผมเห็นก็มีหลายข้อพิสูจน์ที่ขัดกับพระคัมภีร์ดังนั้นไม่น่าจะสาหัสอะไรถ้าเปิดประเด็นใหม่ออกมาอีกซักมุม

          ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับศรัทธาไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของหนัง   ผมอ่านเรื่องนี้สองรอบประเด็นและมุมมองก็ต่างออกไปแล้วแต่ข้อมูลและแหล่งที่มาถ้าคนมีศรัทธาดี  ความเชื่อก็ไม่ลด  แต่ถ้าคนไร้ศรัทธาเพียงสุนัขเห่าความคิดเขาก็เปลี่ยน

          ดังนั้นจึงน่าจะให้คนได้เปิดมุมมองมากกว่าไปปิดกั้น  มันไม่น่าจะต่างกับการเดิมพันระหว่างศาสนจักรกับผู้แต่งเรื่องนี้

          ผมเชื่อว่า  ถ้าเรื่องนี้เหลวไหลซะทั้งหมด  หนังสือของเขาก็คงมิขายได้ดีเท่านี้  ไม่ติดเบสต์เซลเลอร์ของ  นิวยอร์ค  ไทม์  เพราะใน  อเมริกาก็มีคริสต์ศาสนิกชนอยู่มากมาย

          เชื่อเถิดครับ  เรื่องแบบนี้ยิ่งดิ้นก็ยิ่งมัด  สู้ปล่อย ๆ ไปให้เขาคิดเองดีกว่า   เพราะความชัดเจนถ้าไม่บังเกิดในจิตใจของใครอย่างแท้จริง  ศรัทธาย่อมไม่เกิดและสถิตย์อยู่เท่านานหรอกครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
ลูกไทย หลานไทย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,196


วันนี้วันดี วันที่เป็นไท


« ตอบ #1 เมื่อ: 17-05-2006, 14:13 »

ผมเคยไปฟังเพื่อนผมที่เป็นแคธอลิคนั่งสาธยายเรื่องในหนังสือเล่มนี้อยู่พักใหญ่ หลังจากที่มันเฉลยว่าปริศนาคืออะไร ใครตามล่า

ผมก็ถามกลับว่า แล้วทำไมพวกนั้นต้องตามล่าคนที่รู้ความลับด้วยฟะ?

คือสำหรับผมแล้ว การเฉลยความลับของจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นผมมองว่าเป็นจินตนาการ แต่การที่มองว่าเพราะแท้จริงแล้วหากใครล่วงรู้ความลับของจอกศักดิ์สิทธิ์แล้วต้องมาไล่ฆ่าทิ้งมันเป็นเรื่องที่เหลวไหลกว่า

เหมือนกับเรื่อง The stigmata ที่คุณยกมานั่นแหละครับ เพราะเพราะในหนังเมื่อเปิดเผยความลับโบราณว่า พระเจ้าไม่ได้สถิตย์ในโบสถ์(เพราะพระเจ้าสถิตย์อยู่ทุกๆที่) ทำให้เกิดความสั่นคลอนในศาสนจักร ผมก็ยังงงงง (เหมือนเดิม เพื่อนแคธอลิคคนนี้ก็เป็นคนเล่าให้ผมฟัง)

ทั้งสองเรื่องนี้คล้ายกันในแง่ความพยายามตีความศาสนาในมุมมอง(ที่เข้าใจว่า)เป็นของคนปัจจุบันครับ ผมมองว่า Davinci Code ว่าด้วยเรื่องสิทธิสตรี Stigmata ว่าด้วยเรื่องศรัทธาในจิตใจสำคัญกว่าวัตถุภายนอก การสร้างประเด็นคนล่าสังหารนั้นผมว่าเพื่อให้เรื่องมันตื่นเต้นขึ้นแค่นั้น

ในขณะเดียวกัน National Geographic กำลังเล่นประเด็นใหม่ครับซึ่งผมมองว่าอันนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นแรงกว่าสองประเด็นข้างต้น กับความเชื่อที่ว่าสาวกทรยศต่อพระเยซูนาม ยูดาส์นั้น ตอนนี้มีบันทึกเก่าแก่ว่าสาวกคนนี้ทำไปตามคำสั่งของพระเยซู เพื่อการปลดปล่อยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ออกจากร่างกาย

ผมอ่านแล้ว ส่วนตัวก็คิดว่า มันเป็นแค่บันทึกของคนที่เชื่อในจูดาส ซึ่งเทียบกับสัดส่วนกับไบเบิ้ลทั้งหมดแล้วก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยครับ

http://www.nationalgeographic.com/lostgospel/document.html

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2006, 14:16 โดย ลูกไทย หลานไทย ไชโย » บันทึกการเข้า

Ŋēmŏ mē ĩmρưŋē ĺдċęşšįҐ
eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #2 เมื่อ: 17-05-2006, 14:52 »

เห็นด้วยกับ หัวข้อกระทู้ เป็นอย่างยิ่งครับ
เพราะเขียนขึ้นมาโดยมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาน้อยมากๆ
แต่ดูหนังเยอะเหมือนกัน


1. ประเด็นศาสนาพุทธ
เรื่องเกี่ยวกับความชัดเจน ขึ้นอยู๋กับว่าเราอยู่มุมไหน? เพราะบางคนเขาก็ว่าไม่ชัดเจน
อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้า

"ถ้ามีคนมาทำหนังแล้วบอกว่า  พระพุทธเจ้ามีลูกเมียหลังออกบวชแล้วจะว่ายังไง"

ก็ต้องถามที่มาที่ไปก่อน ว่ามันมาจากไหน เพราะความเชื่อเกี่ยวกับพุทธมันแตกแขนง
มากมาย ไม่ว่าพระพุทธเจ้า มีมเหสี ก็พูดง่ายๆว่ามีเมีย จริงๆ ก็มี อย่างใน วชิรญาณ
บางลัทธิ ก็เชื่อทำนองนี้ ก่อให้เกิดว่า พระสามารถมีเมียได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ปรากฏอยู่
ในบางประเทศ

การบิดเบือนของศาสนา มีให้เจอกันบ่อยๆ แม้แต่ในเมืองไทย ที่ "หลวงตามหาบัว"
เคยประกาศไว้ว่า พระไตรปิฎกที่มีอยู่ เขียนถูกๆผิดๆ จากพวกคลังกิเลส

การกล่าวตู่ ถ้ามันมีเหตุผลอยู่บ้าง ก็ยังพอทำใจรับได้ง่าย แต่หากมันไม่สมเหตุสมผล
อย่างเรื่อง องคุลีมาล ทั้งๆที่มีประวัติชัดเจน ปรากฎอยู่ใน พระไตรปิฏก แต่ก็ยัง
มาเปลี่ยนประวัติตามใจชอบ ก็ยังมีสร้างมา มันไม่ไหวจริงๆ

2. ประเด็นของศริสต์
ที่เมืองไทย รู้กันน้อยครับ เพราะประเด็นเรื่องนี้มันมีมานานมากแล้ว ถ้าใครรู้
ประวัติศาสตร์ ก็จะรู้ว่า พระเยซูไม่ใช่คริสต์นะครับ แต่เป็น "ยิว" ซึ่งความเชื่อ
ก็เป็น "ยิว" มาโดยตลอด พึ่งจะมาเป็นคริสต์ ก็สมัยลูกศิษย์ เพราะความขัดแย้ง
ทางความเชื่อว่า พระเยซูคือพระเจ้า ขณะที่ยิวเขื่อว่าเป็นแค่ประกาศก
ซึ่งก็รวมทั้งอิสลามด้วยเหมือนกัน คริสต์ไม่ได้เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง
แต่เกิดขึ้นที่กรุงโรม

ดังนั้นประเด็นเรื่อง พระเยซู เป็นคนธรรมดา มันมีมาตั้งแต่ครั้งตั้งศาสนา
อยู่แล้ว ไม่ได้ มาเกิดประเด็นนี้ภายหลัง

เดี๋ยวนี้อะไรก็ผิดเพี้ยนไปมหาศาล อย่างสมัยก่อน ถ้าได้อ่านไบเบิลภาษาไทย
จะมีคำกล่าวว่า พระเยซูผู้เป็นบุตรมนุษย์ ซึ่งแปลมากจาก Son of Man
ตอนนี้เขาตัดคำนี้ออกไปแล้ว เพราะทำให้ ร่องรอยหลักฐาน โน้มเอียงไปสู่
กรณีที่ว่า พระเยซูไม่ใช่พระเจ้า
บันทึกการเข้า
เชือกว่าว
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 171



« ตอบ #3 เมื่อ: 17-05-2006, 15:37 »

สวัสดีครับ ท่านปฐม

   บางครั้งความเป็นมา ความเชื่อ ก็ขัดกับความเจริญก้าวหน้า
ทางวิทยาศาสตร์นะครับ 
   เรื่องราวทางด้านศาสนาคริสต์ มีมากมายแตกแยกออกเป็น
หลายนิกาย และเป็นเรื่องราวที่เกิดมาไม่นานนักเมื่อเทียบกับ
เรื่องราวของพระพุทธเจ้า และเนื่องจากความก้าวหน้าทาง
วิทยาศาสตร์ ทำให้มีนักคิดนักค้นคว้าเอาเรื่องราวของคริสต์
มาตั้งข้อสังเกตกันมากมาย และบางคนก็ตั้งสมมุติฐานที่ขัดกับ
ความเชื่อโบราณขึ้นมา โดยหาจุดสังเกตุบางจุดเพื่อสนับสนุน
สมมุติฐานของตัวเองซึ่งส่วนมากก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ข้อสังเกตุบาง
ข้อก็ทำประโยชน์สร้างเงินทองให้กับตัวต้นคิดมากมายไปแล้ว
   
  ขอย้อนกับไปที่การที่คริสต์ศาสนาเดิมทีก็มีการแยกออกเป็น
สองส่วนใหญ่ๆคือคริสต์คาทอลิคและคริสเตียน คริสต์คาทอลิค
เป็นศาสนาที่ยึดถือพระเจ้า พระเยซู เช่นเดียวกับคริสต์เตียน
แต่มีส่วนที่ต่างกันคือ คริสต์เตียนไม่นับถือแม่พระหรือแม่ของพระเยซู
เหมือนคริสต์คาทอลิคด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่เชื่อว่าแม่พระจะยังเป็น
หญิงพรหมจรรย์เมื่อเป็นผู้กำเนิดพระเยซูขึ้นมา ขัดกับทางคริสต์คาทอลิค
ที่เชื่อว่าแม่พระยังเป็นหญิงพรหมจรรย์ ส่วนพระเยซูเกิดขึ้นมาเพราะ
ความประสงค์ของผู้เป็นพระเจ้า แค่เหตุผลนี้ด้วยวิทยาการสมัยใหม่
ก็แทบทำให้หลักความเชื่อของชาวคาทอลิคแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

    นี่เป็นแค่ตัวอย่างนะครับ ยังมีอีกหลายเรื่องหลายราวที่เป็นสาเหตุ
ที่ทำให้มีคนคิดค้นเกี่ยวกับเรื่องของคริสต์ศาสนาอีกมากมาย เนื่องจาก
ความคิดที่แตกแยกแบ่งออกตามวิวัฒนาการ ที่เจริญขึ้น

   ผมเป็นคนที่พิมพ์ไม่เก่ง กว่าจะได้ขนาดนี้ก็ใช้เวลาพอสมควร
จริงๆแล้วมีเรื่องราวเกี่ยวพันกับเรื่องศาสนาพอสมควร มีกระทั่ง
เรื่องของเพื่อนผมเหมือนกันที่แรกเริ่มเดิมที เป็นคนที่ศรัทธาเข้าวัด
ทุกวันอาทิตย์ แก้บาป รับศีล(กิจที่ชาวคริสต์ควรทำเมื่อไปวัด)
เคร่งศาสนาเป็นอย่างมาก
   
   ด้วยความที่เป็นคนเก่ง ชอบอ่านหนังสือ อ่านตำรา
อ่านมันทุกอย่าง เรื่องศาสนาอ่านมันทุกศาสนา อ่านแล้วเอาไปคิด
คิดจนเดี๋ยวนี้ ไม่นับถือศาสนาอะไรสักอย่าง ผมเคยได้ยินคำพูดประโยค
นี้ออกมาจากปากเขา"ศาสนาในโลกทุกศาสนาไม่มีอะไรเป็นจริงสัก
ศาสนาเดียวล้วนแต่แต่งขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์อยู่ด้วยกันได้ ชีวิตมันจะเกิด
จะดับเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับอะไรสักนิดเดียว ถ้าเพือนอ่านหนัง
สือมากๆเพื่อนจะรู้เอง"
 
  แล้วท่านปฐมคิดว่า เพราะอะไรหรือครับที่เพื่อนผมคนนี้ถึงเริ่มคิดแปลกออกไป
อย่างนั้น แต่ผมรู้อย่างหนึ่งเพื่อนๆรุ่นเดียวกันว่า ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเขาคิดว่า
 
   เขาอ่านตำรามามาก เขาฉลาดขึ้นมาก จนไม่มีใครหลอกเขาได้ ไม่มี
ศาสนาไหนที่เขาศึกษาแล้ว ทำให้เขาเชื่อเขาศรทธาได้เลย.........อนิจจา

 
บันทึกการเข้า

เชือกว่าว
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #4 เมื่อ: 17-05-2006, 17:26 »

แหม๋  ขอบคุณมาก ๆ ที่ทำให้เรื่องนี้เปิดประเด็นที่เป็นประโยชน์ออกไป  ขอแวะมาที่คุณ eAT จริง ๆ แล้วก็เป็นแบบที่คุณว่าล่ะครับเพราะศาสนาแบบนี้เหมือนเป็นศาสนาพลัดถิ่นความศรัทธาในหมู่มหาชนแต่ด้านนั้นไม่มากพอที่จะประกาศเป็นศาสนาออกไป   แต่โชคดีที่มีนักบุญดีอย่าง
เปาโล  และ  เปโต  มาละโก  แมทธิว  ที่ประกาศและสร้างความเชื่อออกไป
           
          และสามารถแยก  คริสต์  ออกจาก  ยูดาห์  อย่างสิ้นเชิง  แต่ก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน (แปลกไหม)  พระยาเวห์  กับ  เยโฮวา  ในเรื่องนี้ความเชื่อยังแตกออกไปอีกไม่รู้จบ   ดังนั้นแท้จริงแล้วเรื่องราวที่ปรากฏในพระคัมภีร์...ใครเป็นคนเขียน  และก็แตกต่างรายละเอียดออกไปอีกในยุคหลัง  เช่น  ยะโฮวา วิทเนส เขาจะไม่มีความเชื่อในพระเยซูเลย  แคธอลิก เห็นพระเยซูเป็นพระบุตรผู้ทรงฤทธานุภาพ  มีแม่พระพรมจารีย์   แต่ในขณะเดียวกัน  มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้สถาปนา โปรแตสแตนท์ หรือแปลเป็นไทยว่า  ผู้ต่อต้านนั้น  ก็เชื่อแต่พระเยซู  องค์อื่นไม่เชื่อ  และแยก โอลด์ เทสตาเมนต์ กับ นิว เทสตาเมนท์ เลือกที่จะเชื่อในบางมุมและเขียนไม่ตรงกันเลย
         
          ส่วนเรื่อง  พระไตรปิฏก บิดเบือนที่คุณพี่พูดมา  ผมเห็นว่าน่าจะไม่ใช่ความจริงนะครับ  ในเครือลังกาวงศ์นี้  เพราะเราใช้ในแบบเดียวกัน  โพธิธรรม  วิสุทธิมรรค  ชำระพระไตรปิฏกโดยผู้ชำนาญการถ้าในยุคหลัง  แต่ในยุคแรก ๆ นั้นผู้ชำระล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น  ดังนั้นผมขอตัดความเชื่อเรื่องนี้ออกไป  หลวงตามหาบัว  ภาษาบาลีไม่แตกฉาน  สัมพันธ์ไม่ได้  แต่งฉันท์และแปลไม่ได้ดังนั้น  ท่านอาจจะไม่รู้   อีกอย่างท่านเองก็เหมาตัวว่าเป็น  อรหันต์  ทั้ง ๆ ที่  สังโยชน์ 10 ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ยังละไม่ได้ดังนั้น  ผมขอปฏิเสธความเชื่อการที่ท่านจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระไตรปิฏกอย่างสิ้นเชิง   ปัจจุบันวัดปากน้ำได้ทำพระไตรปิฏกหินอ่อนซึ่งน่าจะเสร็จแล้ว  พระไตรปิฏกฉบับนี้เหมือนกับของฉบับมหามงกุฏ - มหาจุฬา  ซึ่งมีผู้ชำระกว่าครึ่งเป็นพระพม่าซึ่งท่องจำตำราปากเปล่าได้ดังนั้น  ผมค่อนข้างเชื่อว่า  มิมีใครเขียนพระไตรปิฏกด้วยมือของเขาเอง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 ขอเรียน  คุณพี่  ลูกไทยหลานไทย  (ซึ่งมี  ไชโย  ต่อท้ายตอนไหนหว่า - - - - )

          จอกศักดิ์สิทธ์  กับ  ผ้าคลุมพระศพแห่งเมืองตูรินนั้น  เป็นเรื่องของจินตนาการล้วน ๆ ครับ  ซึ่งมีการจับกันได้ในภายหลังและนักวิทยาศาสตร์แทบจะฟันธงกันเป็นหมอลักษณ์เลยว่า  ลีโอนาโด  ดา วินชี  เป็นผู้ทำมากับมือ

          ไม่ว่าจะเนื้อผ้า  หรือ  เนื้อสัมฤทธิ์  ที่เอามาทำจอก  แม้แต่หีบพันธสัญญา  ที่บอกว่ามี ๆ กันก็ไม่รู้อยู่หนใด  ผู้ใดนำไปเก็บก็ไม่กล้าให้นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์เรื่องอายุ  ความบิดเบือนและจินตนาการของคนทั้งสองฝ่ายยิ่งเพิ่มมากเป็นทวี  ดังนั้นจึงไม่ต่างกับการแต่งนิทานชวนเชื่อ
          อาเธอร์  ได้ดื่มน้ำจาก  โฮลี่ เกรล และอะไรอีกมากมายในยุคนิยายอัศวินครองเมือง  ยืนความเชื่อยาวมาถึงยุค  อินเดียน่า โจนส์  แต่การฟันธงก็เกิดขึ้นว่า  โฮลี่ เกรล นั้นน่าจะสร้างในเมือง  ฟลอเรนซ์  ซึ่งเป็นแหล่งที่มาเดียวกับผ้าห่อพระศพแห่งเมืองตูริน  และ  อายุเพียง 600 ปี  หรือยุคเดียวกับ  ดา วินชี

          ดังนั้นนักวิชาการต่าง ๆ จึงโยงความเชื่อไปที่  พระศาสนจักร  และน่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะในยุคนั้นคนที่ประกาศว่าได้พบสิ่งสำคัญสองสิ่งก็คือ  ศาสนจักร  หาใช่
ลีโอนาโด ไม่

          ส่วนบันทึกของ  จูดาส  เล่มนี้ผมยังไม่เคยอ่านครับ  ไว้จะหามาอ่านแล้วนำมาถกกันนะครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ส่วน  สหาย เชือกว่าว 

ต้องขอกล่าวคำ  "สวัสดี"  ก่อนนะครับ

เรื่องที่สหายเขียนมาก็คงไม่ต่างอะไรกับที่ผมตอบ  พี่ eAT   แต่ผมจะขอเพิ่มเติมสักนิด  ในเรื่องของ  คริสตัง กับ คริสเตียน  (แปลกไหมครับ  ฝรั่งจะเรียก คริสเตียน ทั้งสองนิกาย  แต่จะเพิ่มว่า  แคธอลิก หรือ โปรแตสแตนท์  พี่ไทยเราจับแยกเสร็จ)

           โปรแตสแตนท์มาจาก  นักบวชคนหนึ่งที่ชื่อว่า  มาร์ติน  ลูเธอร์  ซึ่งประวัติการแยกนิกายนั้นมีมาสองแนวคือ  ลูเธอร์  ไม่พอใจที่  สันตะปาปา ลีโอ ที่ 10 ได้จัดทำบัตรล้างบาปออกมาขาย  ลูเธอร์  ไม่พอใจเลยเขียนประกาศต่อต้านและเอาไปแปะที่ประตูวิหารวิตเตนเบิร์ก  ทำให้เกิดการคว่ำบาตรเขา  เขาเลยแบ่งแยกตัวเองออกมาพร้อมกับเขียนพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งตัดบางบทบางตอนในพระคัมภีร์เก่าออก
          แต่นัยมีอย่างนี้ครับ  คือในตอนนั้น  ลูเธอร์  ได้รับความสนับสนุนจากอังกฤษองค์หนึ่ง  ซึ่งอยากมีพระมเหสีเพิ่มแต่เนื่องจากพระองค์เป็นแคธอลิกเลยไม่สามารถจะมีสนมได้เปลี่ยนศาสนาและสนับสนุน  โปรแตสแตนท์  ขึ้นมา

          ตรงนี้ผมมองโดยส่วนตัวนะครับ  ว่า  อาจมีอะไรแปลก ๆ ก็ได้  แต่อย่างใดก็ดีเรื่องนี้ผมมิอาจกล่าวได้มากกว่านี้เพราะเรื่องนี้นำมาจากหนังสือเพียงเล่มเดียว

          ส่วนเรื่องเพื่อนของ  สหาย  ผมมองว่า  "น่ากลัว"  นะครับ  ผมคงไม่ตอบว่าเพราะอะไร  บางทีผมก็มีความคิดไม่ต่างกับเขาโดยคิดเล่น ๆ ว่า  เราตายแล้วไปไหน  ถ้ามีนรกสวรรค์เราก็คงไปอยู่ในนั้น  แต่ผมยังถามต่อไปอีกว่า  แล้วใครสร้าง  นรก หรือ สวรรค์ ขึ้นมาล่ะ   เพราะมันน่าจะมีคู่กับโลก  เกิดมาพร้อมกับโลกดังนั้นผมจึงถามต่อไปว่าแล้วถ้าโลกแตกล่ะ  เราอยู่ไหน

          ก็คงตอบไม่ยากว่า  เราก็อยู่ในจักรวาล

          ผมก็ถามตัวเองต่อว่า  แล้ว  จักรวาล  ล่ะ  เกิดมาได้อย่างไร  เมื่อโลกดับไปแล้ว  ก็เกิดขึ้นใหม่ได้ถ้ายังมีจักรวาล  แต่ถ้าจักรวาลดับไปอีกล่ะ 

          เราจะอยู่ที่ไหน

          มันอาจเหมือนจะฟุ้งนะครับ  ถ้าคิดแบบนี้  แต่คุณลองคิดไล่ดูไปเรื่อย ๆ สิครับ  เราจะพบกับความรู้จบ  ซึ่งก็คือความว่างเปล่า  เป็นไปได้ไหมว่า  สิ่งที่แท้คือความว่างเปล่า

          ผมจะชี้ให้เห็นในมุมที่ผมมองนะครับ  ทุกวันนี้ผมมีชีวิตอยู่...  ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความเชื่อ  ตลอดมาผมไม่เคยเชื่อว่า  พระพุทธเจ้าเกิดมาจะเดินได้เจ็ดก้าว  ผมขอบอกเลยว่า  "เชื่อยาก"  แต่สิ่งที่ทำให้ผมยึดพระองค์เป็นสรณะคือ  "คำสอนของท่าน"  ผมไม่มองไปถึงวิธีดับทุกข์เพราะผมยังค่อนข้างดิ้นรนในห้วงกิเลศตัณหาดังนั้นชีวิตจึงต้องโหยหาความสุขเพื่อจะได้เสพตัณหาและกิเรลศเหล่านั้น   ดังนั้นเมื่อเราต้องอยู่ในโลกจำต้องมีของคู่โลกคือ  ทุกข์

          การคิดแบบ  ปฏิจจสมุปปบาท  ทำให้เราพ้นทุกข์ได้บ้างแม้จะเล็กน้อย   ผมเลยถามตัวเองว่า  ถ้าไม่มีแนวคำสอนนี้ผมจะคิดเรื่องนี้เองได้ไหม...  คงไม่ได้   ผมศรัทธาองค์โคดมเพราะผมไม่สามารถปฏิเสธคำสอนของท่านได้   และคำสอนของท่านทำให้ผมได้เบาใจไปบ้าง

          ดังนั้นแนวคิดแบบเพื่อนคุณคงเป็นแนวของ  ฌอง ปอง ซาร์ต  ซึ่งยึดตัวเองเป็นจักรวาล  มีความเชื่อแต่ตัวเอง...  โดยไม่คิดถึงอะไรมากมาย  ไม่เชื่อถ้าตัวเองไม่เชื่อและออกจะต่อต้าน   ดังนั้นผมเลยบอกว่า  "น่ากลัว"  เมื่อเราไม่โยนิโสมนสิการ  สิ่งรอบตัวก็จะไม่วิ่งเข้ามาหา 

          ผมเชื่อเสมอว่า  "ความคิดของตนเองเป็นภัยต่อตัวเองเสมอ"

          น่ากลัวนะครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #5 เมื่อ: 18-05-2006, 02:35 »

ความเห็นของผมสั้นๆ เรื่องนี้นะครับ

อะไรที่หมิ่นเหม่จะทำให้ศาสนิกชนของศาสนาใดไม่สบายใจเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะครับ เพราะมันอาจจะลุกลาม
ไปถกเถียงกันต่อ เป็นเรื่องเป็นราวได้แบบคาดเดาลำบากถ้าเกินเลยไปก็อาจถึงขนาดเป็นคดีความเปล่าๆ 
ในเรื่องภาพยนต์ที่ลงเอยให้ทางผู้จัดฉาย เพิ่มคำอธิบายก่อนเริ่มฉาย โดยไม่ต้องตัดส่วนท้ายของภาพยนต์
และมีเอกสารเปรียบเทียบข้อเท็จจริงทางวิชาการกับเนื้อหาในภาพยนต์ออกเผยแพร่ ก็น่าจะเหมาะสมแล้ว

ก็เหมือนกับที่มีนักวิชาการเคยเสนอว่า พระพุทธเจ้า ไม่ได้ประสูติที่เนปาลหรืออินเดียบรรดาสังเวชนียสถาน
ที่เชื่อว่าตั้งอยู่ในประเทศเหล่านั้น ซึ่งพุทธศาสนิกชนมากมายได้ไปจาริกแสวงบุญเป็นจำนวนหลายล้านคน
ก็ไม่ใช่สถานที่จริง จนเกิดการตอบโต้กันวุ่นวาย บางคนถกเถียงกันทางวิชาการ แต่บางคนก็ไม่ใช่

ผมคิดว่าสังคมไทยยังไม่พัฒนาถึงระดับที่ยอมรับการถกเถียงเรื่องศาสนาครับ  เรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธนั้น
ในต่างประเทศมีการศึกษาเพิ่มเติมไปมากแล้ว ตัวอย่างเช่นเรื่องสถานที่ประสูติดังกล่าว ซึ่งก็มีเนื้อหาศึกษา
คืบหน้าพอสมควรแต่กลับไม่มีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการในวงการศึกษาไทย

---

ส่วนเรื่องศาสนากับยุคปัจจุบัน ผมคิดว่าก็ถูกท้าทายจากวงการวิทยาศาสตร์กันถ้วนหน้านะครับ ตัวอย่างเช่น
ทฤษฎีวิวัฒนาการ นอกจากขัดแย้งความเชื่อของคริสต์เกี่ยวกับพระเจ้าสร้างโลก ยังขัดแย้งกับความเชื่อเรื่อง
"การเวียนว่ายตายเกิด" เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่ามนุษย์อย่างเรา (Homo Sapiens) เพิ่งถือกำเนิด
ขึ้นในโลกเมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ก่อนหน้านั้นหลายล้านปีมีแต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์

ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนับเป็นแกนหลักตัวหนึ่งในโครงสร้างจักรวาลแบบพุทธ เพราะหากไม่มีการ
เวียนว่ายตายเกิด ก็อาจไม่มีนรกสวรรค์ไปด้วย ตลอดจนไม่มีเรื่องของกฎแห่งกรรม แนวคิดเกี่ยวกับอริยสัจสี่
ซึ่งมีเป้าหมายที่นิพพาน คือสภาวะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็จะพลอยไม่มีไปด้วย 

ไม่น่าแปลกครับถ้าจะมีคนรุ่นปัจจุบันไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ แต่ไปเคารพกฎกติกาสังคม
หรือขนบธรรมเนียมประเพณีแทน ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าคนกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2006, 03:02 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #6 เมื่อ: 18-05-2006, 03:02 »

(คุยต่อดีกว่า)

ส่วนเรื่องหนังสือ Davinci Code ในความเห็นผมก็ใกล้เคียงคุณ ปุ๊ อัญชลี นะครับ วันก่อนได้ฟัง อ.ชัยณรงค์
(มณเฑียรวิเชียรฉาย) เปรียบเทียบหนังสือเล่มนี้กับเรื่องแอนนา แอนด์ เดอะ คิงส์ เห็นภาพได้ชัดเจนดี คือ
ร.4 ก็ทรงเป็นกษัตริย์ไทยจริงๆ ตัวแหม่มแอนนาก็มีจริง เดินทางมาสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศไทยจริง
แต่เนื้อหาภายในหนังสือล้วนเสกสรรปั้นแต่งเป็นจำนวนมาก (อยากเพิ่มเติมว่า ทำกันหลายหนหลายเวอร์ชั่น
ต่างๆ กันด้วย) สำหรับหนังสือ Davinci Code ก็ถูกหักล้างทางวิชาการแล้วว่ามีเนื้อหาลักษณะจับแพะชนแกะ

หลักฐานเรื่องราวเกี่ยวกับ พระเยซู เท่าที่มีอยู่สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนครับส่วนแรกเป็นเรื่องราว
ก่อนการประสูติของพระเยซู ซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์ของศาสนายิวเป็นบันทึกคำทำนายของปกาศก (คิดว่าหมายถึง
ผู้สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้) เกี่ยวกับ พระผู้ไถ่บาป ที่จะมาพลีชีวิตในร่างมนุษย์เพื่อเป็นหนทางให้มนุษย์-
ทั้งมวลที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้าด้วยฝีมือซาตานได้เชื่อมโยงกับพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง มีคำทำนายมากมาย
ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนการประสูติ ระหว่างมีพระชนม์ชีพ การถูกตรึงกางเขน ตลอดจนถึงการกลับคืนชีพ

หลักฐานอีกส่วนเป็นบันทึกของสานุศิษย์ทั้ง 4 ที่ใกล้ชิดพระเยซู ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียดเรียกว่า
พระวารสารทั้ง 4 โดยที่สานุศิษย์ 3 คนบันทึกเป็นร้อยแก้วธรรมดา และอีก 1 คนบันทึกในลักษณะอิทธิปาฏิหาริย์
เนื้อหาอาจแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ 1.เรื่องราวก่อนและหลังการประสูติ 2.เรื่องราวสั้นๆ ขณะพระเยซูมีอายุสิบกว่าปี
และ 3.เรื่องราวระหว่างพระเยซูเสด็จออกเทศนาสั่งสอนจนกระทั่งถูกตรึงกางเขนและกลับคืนชีพ สำหรับข้อ 3. นี้
เนื้อหาจะละเอียดมากขนาดว่าใครพูดอะไรที่ไหนอย่างไร พิธีบูชามิซซาเพื่อระลึกถึงการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย
ก็จัดขึ้นตามเนื้อหาในข้อ 3. นี้ ( ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่ปรากฏในภาพวาดของดาวินชี่ )

---

ประเด็นเรื่องคำว่า คริสเตียน และ คริสตัง ความจริงไม่มีอะไรเลยครับเป็นแค่สำเนียงภาษา เนื่องจากนักบวชที่เข้ามา
สอนศาสนาในไทยยุคแรกใช้สำเนียงฝรั่งเศสกันมากและเป็นนิกายโรมันคาทอลิค ทำให้เรียกตัวเองเป็น "คริสตัง"
(ตัว N ออกเสียงเป็น ง.งู)

ต่อมาภายหลังพวกโปรแตสแตนท์ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และอเมริกันเข้ามาในประเทศไทย ก็เรียกตัวเองตามสำเนียง
อังกฤษว่า "คริสเตียน" (ตัว N ออกเสียงเป็น น.หนู)

บังเอิญว่าทั้ง 2 คำใช้สังเกตนิกายของทั้ง 2 ได้พอดีทำให้กลายเป็นชื่อสามัญของนิกายคริสต์ในประเทศไทยไปครับ

ยังมีศาสนาคริสต์อีกนิกายหนึ่งที่คนไทยไม่คุ้นเคย คือ กรีกออร์โธด็อกซ์ ซึ่งจะมีอะไรๆ คล้ายกับนิกายโรมันคาทอลิค
เช่นมีตำแหน่งประมุขเหมือนพระสันตปาปา มีศูนย์กลางของตัวเองเหมือนกรุงวาติกัน และใช้ภาษากรีกเป็นภาษาทาง
ศาสนาแทนภาษาลาติน  น่าสังเกตว่านักมวยสากลอเมริกัน นับถือคริสต์นิกายนี้ก้นเป็นจำนวนมากเลยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2006, 04:27 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #7 เมื่อ: 18-05-2006, 03:13 »

ขอเพิ่มเติมประเด็นคุณ eAT เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูตามความเข้าใจของผมนะครับ

ตามประวัติศาสตร์มีจุดหักเหตรงความเชื่อเรื่องพระผู้ไถ่ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของยิว  พระเยซูได้ประกาศองค์
เป็นพระผู้ไถ่ ชาวยิวที่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ก็ถือว่าได้สิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานและมาติดตามพระเยซู
ถือเป็นชาวคริสต์รุ่นแรก ในขณะที่ชาวยิวที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ก็ยังคงเฝ้ารอพระผู้ไถ่ต่อไปจนปัจจุบัน
ไม่แปลกที่ยิวและคริสต์จะนับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน  โดยที่คำสอนของยิวจะแยกชาวยิวออกจากชนชาติอื่น
แต่คำสอนของพระเยซูมีลักษณะเปิดกว้างกว่ามากทำให้สามารถเผยแผ่ไปสู่ชนชาติต่างๆ อย่างกว้างขวางกว่า

ศาสนาคริสต์ต้องหลบซ่อนตัวอยู่นานในยุคโรมัน จนกระทั่งถึงยุคจักรพรรดิโรมันองค์หนึ่งเลื่อมใสศาสนาคริสต์
ทำให้กลายเป็นศาสนาหลักของอาณาจักรโรมันซึ่งมีศูนย์กลางที่กรุงโรม และสืบต่อไปยังอาณาจักรฝรั่งเศส
อังกฤษ และสเปน ซึ่งต่างเผยแผ่ศาสนาไปพร้อมกับการขยายอาณานิคมจนครอบคลุมมีสภาพเป็นศาสนาสากล

ในขณะที่ศาสนาอิสลามนับถือว่าพระเยซูเป็นปกาศกองค์หนึ่ง แต่ถือว่าองค์ศาสดาของศาสนาอิสลามเป็นปกาศก-
องค์สุดท้าย โดยทั้งคริสต์และอิสลามถือว่ากรุงเยรูซาเล็ม เป็นนครศักดิ์สิทธิ์และมีการทำสงครามระหว่างศาสนา
เพื่อครอบครองนครดังกล่าว เกิดเป็นสงครามครูเสดที่ต่อเนื่องยาวนานร่วม 300 ปี

ยังมีศาสนาบาไฮซึ่งเป็นศาสนาใหม่ที่นับถือทั้งองค์พระเยซู และองค์ศาสดาของอิสลาม ว่าเป็นปกาศก และถือว่า
ศาสดาของบาไฮเป็นปกาศกองค์ล่าสุด และจะยังมีปกาศกองค์ใหม่ต่อๆ ไปอีกจนกว่าจะถึงวันสิ้นพิภพ

ส่วนประเด็นว่าพระเยซูเป็นมนุษย์หรือไม่ สำหรับผมยืนยันว่าเป็นมนุษย์นะครับ ที่บอกว่าพระเยซูเป็นบุตรมนุษย์
ก็ตรงกับความเชื่อที่ว่าพระเยซู ต้องเสด็จมาพลีชีพในร่างมนุษย์ เพื่อเป็นหนทางให้มนุษย์ทั้งมวลสามารถเชื่อมต่อ
กับพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นพระเยซูต้องเป็นมนุษย์ครับไม่งั้นก็พลีชีพไม่ได้ เพียงแต่ทางคริสต์เชื่อว่าพระเยซูกลับคืนชีพ
อีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมีสภาพทางกายเหนือมนุษย์ เช่น เดินทะลุกำแพงได้ สำหรับประเด็นว่าพระเยซูเป็นปกาศก
หรือเป็นพระเจ้า  คิดว่าถ้าพระเยซูเป็น ปกาศก ก็ถือเป็นปกาศกที่แสดงปาฏิหาริย์ไว้มากที่สุดทั้ง ปลุกคนตายให้คืนชีพ
เสกน้ำกลายเป็นเหล้า หยุดพายุ เดินบนน้ำ เพิ่มจำนวนสิ่งของ ฯลฯ  (ปกาศกองค์อื่นที่เคยแสดงปาฏิหาริย์ก็คือโมเสส
ที่เปิดทะเลแดงเป็นพื้นดินให้ชาวยิวอพยพผ่าน ขณะหนีจากการเป็นทาสของอียิปต์)

อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่อง ตรีเอกานุภาพ (พระบิดา พระบุตร และพระจิต) น่าจะเกิดขึ้นภายหลัง
ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะพระผู้เป็นเจ้าของพระเยซู โดยศาสนจักรมาจนถึงยุคปัจจุบันครับ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2006, 04:39 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
จูล่ง_j
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,901



« ตอบ #8 เมื่อ: 18-05-2006, 03:17 »

เรื่องศาสนา เป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ
ผมยังแปลกใจ ทำไมกล้าสร้างหนังเรื่องนี้ ไม่กลัวโดน ชาวคริสต์ต่อต้านหรือ
แล้วแล้วก็มีกระแสต่อต้านจริงๆ
เรื่องความสมจริงในเนื้อหา ไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้วครับ เพราะไม่ได้ศึกษาไบเบิ้ลและไม่เคยอ่าน
แต่อยากดูเพื่อความบันเทิง ถ้าหนัง ตัดตั้ง 10 นาที คงไม่ดูอ่ะครับ รู้สึกเสียตังไม่คุ้ม
ผมว่าเรื่องเทวา กับ ซาตาน ที่เล่นเนื้อหา พระสันตะปาปา กับ สำนักวาติกัน
ยังมีเนื้อหาหมิ่น ศาสนา น้อยกว่า ดาวินซีโค๊ด ซะอีก
บันทึกการเข้า

MonkeyBone
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 99



« ตอบ #9 เมื่อ: 18-05-2006, 07:23 »

ถ้าตัด 10 นาทีก็คงไม่ไปดูเหมือนกันค่ะ
ส่วนตัวแล้วชอบหนังสือเล่มนี้มากๆเลยนะ
บันทึกการเข้า
eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #10 เมื่อ: 18-05-2006, 07:44 »

อ่า ผมไม่ได้เถียงเรื่องประเด็นของศาสนานะครับ
แต่พูดถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งทางศาสนามันมีมา
ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่พึ่งมามี


อย่างที่อ้างเรื่องพุทธศาสนา
เอาง่ายๆครับ ฮินดู อ้างว่า พระพุทธเจ้า เป็นปางหนึ่ง
ที่อวตารมา เพื่อสั่งสอนให้คนที่ไม่เชื่อในฮินดู พากัน
ลงนรกไปให้หมด สังคมฮินดูจะได้ดีขึ้น


เรื่องความขัดแย้ง ทางด้านศาสนามีมานานแล้ว
แล้วก็ขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นฆ่ากัน ดูถูกเหยียดหยาม
กันมากมาย

แต่หากศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียว ที่สามารถ
ควบคุมไม่ให้มีความรุนแรงตอบโต้ ไม่ว่าจะเป็น
ฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ ก็วางตัวได้ดีที่สุด ทำให้
UN ยุคใหม่ หันมามองศาสนาพุทธ ว่าเป็นศาสนา
แห่งสันติ

ก็อย่างที่บอก ขนาดมี คนนุ่งเหลืองห่มเหลือง
มากล่าวตู่ พระไตรปิฎก ยังไม่มีการกระทำอะไร
รุนแรงเลย
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #11 เมื่อ: 18-05-2006, 10:05 »

อ่า ผมไม่ได้เถียงเรื่องประเด็นของศาสนานะครับ
แต่พูดถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งทางศาสนามันมีมา
ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่พึ่งมามี

ถูกต้องเลยครับคุณ eAT ..

ทีนี้ในกรณีมีเหตุการณ์ที่กระทบกับแก่นแกนของศาสนา ศาสนิกชนของศาสนานั้นๆ
ก็อาจรู้สึกว่าต้องเคลื่อนไหว  ซึ่งไม่ใช่เพื่อความเข้าใจของคนในศาสนาตัวเองครับ
แต่เพื่อความเข้าใจของคนศาสนาอื่นมากกว่า..

ตัวอย่างกรณี Davinci Code หากไปกระทบสถานะขององค์ศาสดาคือ พระเยซู
ทำให้คนศาสนาอื่นเชื่อตามว่ามีการหลอกลวงเกิดขึ้นจริงๆ  ชาวคริสต์ทั้งหลาย-
ก็จะกลายเป็นผู้นับถือศาสนา ที่เกิดขึ้นจากความหลอกลวงในสายตาของคนอื่น
ซึ่งเท่ากับกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นะครับ ถ้าข้อมูลนิยายเป็นความจริง
เหมือนทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อย่างเรื่องวิวัฒนาการก็แล้วไป อย่างนั้นเขาก็ต้อง
ยอมรับ แต่ถ้าข้อมูลถูกเปิดโปงแล้วว่าจับแพะชนแกะเขาไม่ยอมอยู่เฉยก็ถูกแล้ว

ในความเห็นของผม แก่นแกนสำคัญของศาสนาคริสต์ไม่ได้อยู่ที่ว่า องค์พระเยซู
เป็นมนุษย์หรือเป็นพระเจ้า แต่อยู่ที่ว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้ไถ่ (Messiah) ตามที่
ปกาศกทั้งหลายได้ทำนายไว้หรือไม่ เพราะถ้าไม่ใช่ก็เท่ากับว่าไม่มีศาสนาคริสต์
และผมเชื่อว่าชาวคริสต์ทั้งหลายต่างมีความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่

อาจเทียบเท่ากับเรื่องที่ว่า นิพพาน ในศาสนาพุทธมีจริงหรือไม่ ซึ่งอาจสำคัญ-
ยิ่งกว่าเรื่องที่ว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จริงหรือไม่ หรือประสูติแล้ว
ทรงพระดำเนินไปเจ็ดก้าว พร้อมเปล่งวาจาว่าจะเกิดเป็นชาติสุดท้ายจริงหรือไม่
และผมก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าชาวพุทธทั้งหลายต่างเชื่อว่า นิพพาน มีจริง

---

ทุกศาสนาที่สามารถเผยแผ่ในระดับสากล ต่างมีจุดเด่นของตัวเองครับ
ทำให้สามารถยืนยงผ่านวันเวลานับร้อยนับพันปี..

อาจกล่าวได้ว่าศาสนาคริสต์มีลักษณะเด่น ที่จะเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
ในสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันทั่วโลก  เพราะมีแนวคิดหลักที่เน้นความเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันของมวลมนุษยชาติ และโดยที่แต่ละวัฒนธรรมมักมีความเชื่อ
เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถดลบันดาลสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจมนุษย์ให้กับ
ผู้ที่บวงสรวงกราบไหว้บูชา ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพ สิ่งมีชีวิต ภูเขาแม่น้ำ ตลอดถึง
ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ  วัฒนธรรมใดที่ให้คุณค่ากับความรักใคร่สามัคคี
ความสงบสันติในสังคม  และคุ้นชินกับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างสามารถยอมรับ
นับถือศาสนาคริสต์ได้ ทำให้ศาสนาคริสต์สามารถเผยแผ่ไปได้ทั่วโลก

ในขณะที่ศาสนาพุทธมีลักษณะเด่นตรงความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งทุกคนสามารถ
คิดพิจารณาตาม โดยมักจำแนกแจกแจงเรื่องต่างๆ ไว้เป็นระบบหมวดหมู่ชัดเจน
แนวทางที่แนะนำให้ประพฤติปฏิบัติ ก็มีการจัดลำดับเป็นขั้นเป็นตอนไว้ชัดเจน
ทุกคนสามารถทดสอบพิสูจน์ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีความเชื่อศรัทธามาก่อน
ซึ่งใกล้เคียงกับหลักวิทยาศาสตร์ และวิทยาการสมัยใหม่มาก  จึงเป็นที่ยอมรับ
ในระดับสากล โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่คนเราไม่ค่อยศรัทธาอะไรง่ายๆ ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2006, 10:11 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
narong
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654



เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 18-05-2006, 11:20 »

แต่ผมคิดในแง่ที่ว่าทำให้การศรัทธาในแต่ละศาสนาใช้สติมากขึ้น
โดยไม่จำเป็นต้องทำการตอบโต้อย่างรุนแรง
กับผู้ที่มีความคิดขัดแย้งกับความเชื่อของผู้ที่ศรัทธา Rolling Eyes
บันทึกการเข้า

ผู้ที่ไม่สามารถจะใช้คนดี
ก็ย่อมจะใช้คนไม่ดีหรือคนเลว
ถ้าไม่เชื่อผู้ซื่อสัตย์หวังดีต่อตน
ก็จะต้องไปเชื่อคนประจบสอพลอ
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #13 เมื่อ: 18-05-2006, 11:23 »

เห็น คุณปฐม มาคุยเรื่อง รหัสลับดาวินชี่ ก็เลยลองไปค้นข้อมูลเพิ่มเติม
เจอบทความปี 2548 จากวารสาร Bridge of Love ปีที่ 1 ฉบับที่ 1-2
โดย ศจ. ดร.เสรี หล่อกันภัย เลขาธิการสมาคมพระคริสตธรรมไทย
ก็เลยเอามาฝากผู้สนใจครับ..


== ความจริงในเรื่องรหัสลับดาวินชี่ กับความจริงของความจริง ==

http://forum.serithai.net/index.php?topic=2170.0
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
กระดานดำออนไลน์
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 186



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 18-05-2006, 11:29 »

ขอร่วมแจมด้วยคน (ในมุมคนอ่าน)

อ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อปี ๔๗ เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านรวดเดียวจบ
ในแง่ของการประพันธ์ ผู้เขียนทำได้ดีครับ โดยส่วนตัวชอบงานของดาวินชี ก็เลยลองซื้อมาอ่านดู
พออ่านๆ ไป อ้าว! กลายเป็นเรื่องทางศาสนาไปเสียนี้

หลังจากนั้น หนังสือก็มีการพิมพ์เวอร์ชั่นแบบมีภาพประกอบ ราคาก็แพงขึ้นอีก

ผมก็ตามอ่านนิยายของแดน  บราวน์อีก ๒-๓ เ่ล่ม อาทิ ล่ารหัสมรณะ, แผนลวงสะท้านโลก
และเรื่องที่เกี่ยวโยงกับศาสนาอีกนั่นคือ เทวากับซาตาน เรื่องนี้ถ้าทำเป็นหนังก็คงมีประเด็นมาให้ถกกันอีก

โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิยายครับ อ่านจบแล้วก็จบเลย ในช่วงนั้นหากใครได้อ่าน
และเข้าไปในพันทิพย์ ก็มีกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก และโดยเฉพาะมีผู้อ่านที่อยู่แถวๆ สถานที่
เกิดเหตุในเรื่อง ก็ส่งภาพถ่ายสถานที่มาให้ดูในเว็บ

อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะซาลง ถ้าหาศรัทธาและจิตใจเรายังมั่นคง เราก็จะดำเนินชีวิตไปตามปกติ
 
รอกระทั่ง มีเรื่องใหม่ๆ มาให้เราได้ถกเถียงกันต่อไปบนดาวเคราะห์ที่น่าอยู่ แต่คนดันทำให้ยุ่งเหยิง

ด้วยจิตคารวะ
บันทึกการเข้า

กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์กระดานดำออนไลน์
http://www.kradandum.com
http://www.oknation.net/blog/kradandum
-----------------------------------------------------------
เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแ่ผ่นดิน

อยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ตาย รีบๆ ทำความดีเพื่อแผ่นดินกันเถอะครับ
เสลา
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 514



« ตอบ #15 เมื่อ: 18-05-2006, 11:45 »


เข้ามาอ่าน Cool
และดีใจที่ได้ทราบว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับอนุญาติให้ฉายในบ้านเรา
โดยไม่มีการตัด แค่แจกคู่มือประกอบการดูภาพยนตร์เท่านั้น
บันทึกการเข้า

โลกสวยงาม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 309



« ตอบ #16 เมื่อ: 18-05-2006, 13:26 »

ขอขอบคุณ ท่านผู้รู้ทุกท่านนะคะ ที่ช่วยกันตอบกระทู้ ดีจังอ่านแล้วได้ความรู้เยอะมาก  Very Happy
บันทึกการเข้า

รักและห่วงแผ่นดินไทย 
คนไทยทุกคนต้องตอบแทนคุณและสามัคคี
ปฐม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 398



« ตอบ #17 เมื่อ: 19-05-2006, 02:28 »

ขอบคุณ คุณ จีระศักดิ์ มากครับ  ที่มาให้ความรู้เพิ่มเติม  ทั้งหมดก็อยู่ที่  "ศรัทธา"  ตัวเดียวแหล่ะครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าจะอยู่  ก็ขออยู่อย่าง  เย้ยฟ้าท้าดิน
ตลก
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 686


ไปมาไร้ร่องรอย


« ตอบ #18 เมื่อ: 27-05-2006, 01:08 »

โมคอมเมนต์นะครับ แต่สงสัยอยู่อย่างหนี่งว่า หนังสือ นวนิยาย หรืออะไรก็ตามแม้แต่การ์ตูนที่เป็นที่นิยมชมชอบ มักจะถูกเอามาสร้างเป็นหนัง ตอนเป็นหนังสือ เค้าเขียนอะไรจนได้ไปวางอยู่บนแท่น best seller ได้ แต่พอมาเป็นหนังปุ๊ป กลับมาประท้วงกันใหญ่ เพื่ออะไร งงครับ


***ส่วนนี้วิจารณ์เฉพาะส่วนที่สงสัยนะครับ ไม่ขอพูดเรื่องศาสนา เพราะ นวนิยายก็คือนวนิยายครับ
บันทึกการเข้า

ผ่านฟ้าแล้วเลยไปนรกเลยรึเปล่าครับ.........
กิ๊กบนเรือ บนเครื่องบิน กิ๊กบนรถ ทุกอาชีพกิ๊กกันหมดอนาคตจะเป็นไง?
หน้า: [1]
    กระโดดไป: