ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
08-06-2025, 03:24
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ==วิกฤติเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ มาตั้งเค้ารอรัฐบาลสมัครแล้วครับ== 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
==วิกฤติเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ มาตั้งเค้ารอรัฐบาลสมัครแล้วครับ==  (อ่าน 3007 ครั้ง)
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« เมื่อ: 31-01-2008, 21:28 »

รู้สึกว่าจะระส่ำระสายกันไปทั่วโลก ครม.สมัคร จะพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติรอบนี้ได้หรือไ่ม่?
แค่เรื่องค่าเงินบาทที่จะต้องแข็งต่อไปอีก ผกผันกับค่าเงินดอลล่าร์ที่จะอ่อนอย่างต่อเนื่อง
ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบทุกระบบของประเทศ
ที่ พปช. เคยโม้หาเสียงเอาไว้ ก็จะได้เห็นฝีมือกันจริงๆ คราวนี้

http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000012665
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เฟดหั่น ดบ.2 ครั้ง 1.25% ศก.โลกสะเทือน! ชี้ร้ายแรงกว่าปี 40 ถึง 3 เท่า
โดย ผู้จัดการออนไลน์    31 มกราคม 2551 10:28 น.

“เฟด” ประกาศหั่นดอกเบี้ยระลอก 2 ตามคาด 0.5% ภายใน 2 สัปดาห์ ลดไปถึง 1.25% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ส่งผลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าหนัก คาดนักลงทุนแห่ขายทิ้งเงินดอลลาร์ กระทบตลาดเงิน-ตลาดทุนโลกปั่นป่วน
เม็ดเงินร้อนเก็งกำไร ราคาทองคำ-น้ำมันพุ่งขึ้นทันที นักวิเคราะห์ชี้ ร้ายแรงกว่าปี 40 ถึง 3 เท่า แนะแบงก์ชาติ
รับมือบาทแข็ง หวั่นภาวะราคาสินค้า-ค่าครองชีพ ดันเงินเฟ้อ เครื่องมือใช้ดอกเบี้ยแก้เกมอาจมีปัญหา

       
       วันนี้ (31 ม.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้น
อีก 0.5% จากอัตรา 3.5% ลงเหลือแค่ 3.0% ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2548 ครั้งนี้นับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2
ภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่การลงมติครั้งล่าสุดไม่ได้มีคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์
เนื่องจากนายริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธานธนาคารกลางสาขาดัลลัส ไม่เห็นด้วยและต้องการให้คงระดับอัตราดอกเบี้ยตามเดิม
       
       การประชุมลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด มีขึ้นในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐรายงานว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4
ของปีที่แล้ว ขยายตัวเพียง 0.6% เท่านั้น เพราะมีความวิตกกังวลกันว่า วิกฤตจากการปล่อยสินเชื่อการเคหะสำหรับผู้กู้
ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำหรือซับไพรม์ และหนี้บัตรเครติดจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
       

**ดอลลาร์อ่อนยวบทันทีเมื่อเทียบเงินสกุลหลัก
       
       ภาวะการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงทันที หลังจากที่เฟด
ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.50% และยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด
       
       สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินยูโรแข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 1.4898 ดอลลาร์ต่อยูโร จากระดับของวันอังคารที่
1.4776 ดอลลาร์ต่อยูโร ขณะที่ค่าเงินปอนด์แข็งแกร่งขึ้นแตะระดับ 1.9942 ดอลลาร์ต่อปอนด์
       
       ทั้งนี้ เงินดอลลาร์อ่อนตัวลงแตะระดับ 106.95 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับ 107.12 เยนต่อดอลลาร์ และอ่อนตัวลง
แตะระดับ 1.0857 ฟรังซ์ต่อดอลลาร์ จากระดับ 1.0941 ฟรังซ์ต่อดอลลาร์
       
       “ดอลลาร์อ่อนตัวลงทันทีที่คณะกรรมการเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.0%
และลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.5% ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแม้เป็นหนึ่งในแนวทางที่สามารถ
กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ แต่ทำให้สินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์มีมูลค่าลดลงและไม่น่าดึงดูดใจ”
       
       นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ระบุว่า จีดีพีไตรมาส 4 ปี 50
ขยายตัวขึ้นเพียง 0.6% ในไตรมาส 4 ปี 2550 ซึ่งลดลงอย่างมากจากระดับของไตรมาส 3 ที่ 4.9%
และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 1.2%
       
       นายไมเคิล วูลฟอล์ก นักวิเคราะห์จากแบงก์ออฟนิวยอร์ก กล่าวว่า นักลงทุนมองว่าแม้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ลงอีก 0.50% แต่ตัวเลขเงินเฟ้อภายในประเทศยังคงปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญญาที่เฟดจะต้องตามแก้ไขต่อไป
       
       การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเป็นการปรับลดครั้งที่ 4 นับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2550 และเกิดขึ้นเพียง 8 วัน
หลังจากเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.75% เมื่อวันอังคารที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการเฟดคาดหวังว่า
การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้และครั้งก่อน จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตปานกลาง และจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่มีต่อ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจ
       

**ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุด
       
       ด้านภาวะราคาทองคำในการซื้อขายตลาดนิวยอร์ก ซึ่งมีการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิค ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุด
เป็นประวัติการณ์ หลังจากเฟด ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และกระตุ้น
ให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก
       
       นายคาร์ลอส ซานเชส นักวิเคราะห์จากซีเอ็มพี กรุ๊ป กล่าวกับสำนักข่าวเอพี โดยระบุว่า การซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งมีขึ้นหลังจากตลาดทองคำ NYMEX ปิดทำการแล้วนั้น สัญญาทองคำส่งมอบเดือน เม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับสุงสุดเป็นประวัติการณ์
ที่ 942.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อยับยั้งเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย
       
       ก่อนที่เฟดจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ย สัญญาทองคำส่งมอบเดือน เม.ย.ในตลาด NYMEX ปิดที่ 926.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ร่วงลง 4.50 ดอลลาร์ เมื่อคืนนี้
       
       ทั้งนี้ คณะกรรมการเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.0% และลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน
ลงอีก 0.50% สู่ระดับ 3.5% เพื่อป้องกันเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคณะกรรมการเฟดคาดหวังว่าการลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุด
และการลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.75% ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตปานกลาง และจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
       
       “ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรมาหยุดยั้งการพุ่งขึ้นของราคาทองคำได้” นายคาร์ลอส กล่าวสรุปด้วยความเชื่อมั่น
       
       นายเจมส์ สตีล นักวิเคราะห์จาก HSBC ในกรุงนิวยอร์ก กล่าวว่า ตลาดทองคำนิวยอร์กขานรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
นักลงทุนมองว่าทองคำและโลหะมีค่าประเภทอื่นๆ เป็นแหล่งการลงทุนที่ปลอดภัยในยามที่เศรษฐกิจผันผวน
       
       นักวิเคราะห์หลายรายคาดว่า ราคาทองมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเดือน เม.ย.นี้
       

**ราคาน้ำมันดิบพุ่ง “โอเปก” ยันไม่เพิ่มกำลังการผลิต
       
       สำหรับผลกระทบแรงกดดันด้านราคาน้ำมัน ล่าสุด รัฐมนตรีของกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (กลุ่มโอเปก)
ออกมาระบุว่าอาจจะไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันตามแรงกดดันของสหรัฐฯ ในการประชุมที่จะจัดขึ้นที่กรุงเวียนนาของออสเตรีย ในวันพรุ่งนี้
       
       โดยซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของกลุ่มมีท่าทีพอใจต่อปริมาณการผลิตและความต้องการน้ำมันที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ขณะที่สมาชิกอีกหลายประเทศยังไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องขยายเพดานการผลิต เพราะเกรงว่าความต้องการและราคาน้ำมัน
จะลดลงอย่างมาก หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ตามที่คาดกันไว้
       
       สำหรับราคาซื้อขายน้ำมันดิบชนิดไลท์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวานนี้ สูงขึ้น 69 เซ็นต์ อยู่ที่ระดับ 92.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนท์แถบทะเลเหนือเพิ่มขึ้น 53 เซนต์
อยู่ที่ระดับ 92.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
       

**บาทแข็งขึ้นแตะ 33.01 กดดันเงินเฟ้อ
       
       นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 33.01/02 บาทต่อดอลลาร์
ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากปิดตลาดวานนี้ซึ่งอยู่ที่ระดับ 33.04/07 บาทต่อดอลลาร์
       
       การปรับลดดอกเบี้ย 0.5% ของเฟดเมื่อคืนนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของยุโรป 1%
จึงทำให้ค่าเงินยูโรปรับตัวสูงขึ้น
       
       ส่วนสกุลเงินในตลาดต่างประเทศช่วงเปิดตลาดเช้านี้ เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.4845/47 ดอลลาร์ต่อยูโร ซึ่งตลาดยังรอดู
ว่าค่าเงินยูโรจะสามารถปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1.5000 ดอลลาร์ต่อยูโร ได้หรือไม่ ขณะที่เงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น หลังจาก
ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับร่วงลง
       

**บาทแข็ง-เงินเฟ้อ ร้ายแรงกว่าปี 40
       
       นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ กล่าวแสดงความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยในปี 2551
หลังเฟดปรัดลดอัตราดอกเบี้ยแรงหลายระลอก โดยเชื่อว่า ผลกระทบจะลามเป็นลูกโซ่ และเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้
ค่าเงินของตลาดโลกมีความผันผวน เนื่องจากค่าเงินของสหรัฐฯ จะอ่อนตัวลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่า
ดังนั้นเป็นงานหนักของรัฐบาลชุดใหม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องหามาตรการรองรับโดยด่วน
       
       “ผมมองว่า ธปท.จะประสบปัญหาวิกฤต 2 ทาง คือ รับภาระขาดทุนในการแทรกแซงค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ
รวมถึงภาระดอกเบี้ยที่จะออกพันธบัตรเพิ่มเติมในการดูดสภาพคล่องเพื่อแก้ปัญหาค่าเงินแข็งและเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นในอนาคต”
       
       ทั้งนี้ ยอมรับว่าทั่วโลกขาดความมั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมากกรณีที่จะลดดอกเบี้ยอีก 0.5% เพราะในช่วง 1-2 สัปดาห์
เท่ากับว่าเฟดลดดอกเบี้ยถึง 1.25% ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ซึ่งผลที่ตามมาคือการเก็งกำไรค่าเงิน ทองคำ น้ำมันกันทั่วโลก
เนื่องจากต่างชาติไม่ต้องการถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐไว้
       
       “ถือว่าเป็นงานหนักของ ธปท. ที่ต้องรับภาระถึง 2 เด้ง จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการให้ดี ภายใต้ข้อจำกัด เพราะปัจจุบัน
ใช้เงินบาทซื้อดอลลาร์สหรัฐหลายแสนล้านบาท มากกว่าช่วงวิกฤติปี 2540 ถึง 3 เท่า ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อ
การเก็งกำไรค่าเงินบาทที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง”
       
       นายสมภพ กล่าวอีกว่า มาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องดำเนินการเร็วที่สุด คือ แก้ปัญหาการปรับตัวของราคาสินค้า
ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการขอขึ้นราคาสินค้าหลายราย ขณะที่ค่าจ้างของลูกจ้าง
ปรับตัวไม่ทันตามค่าครองชีพ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าทำได้ลำบาก
       
       สำหรับปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดในสหรัฐในปี 51 จะมีผลกระทบต่อโลกรุนแรงกว่าเมื่อปี 43-44 เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจจีน
ช่วยพยุงให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่ปัจจุบันจีนก็มีข้อจำกัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-01-2008, 21:35 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #1 เมื่อ: 31-01-2008, 21:40 »

ทาง มูดี้ส์ ก็วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกไปในทิศทางเดียวกัน ว่ามีความเสี่ยงสูง 

http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/31/WW10_WW10_news.php?newsid=225805
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
มูดี้ส์ชี้ศก.โลกเสี่ยงสุดเกิดภาวะ'Stagnation' กระทบหลายประเทศ
31 มกราคม พ.ศ. 2551 21:00:00

"มูดีส์"ระบุสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2008-2009 เผชิญกับความเสี่ยง3กรณี เผยเสี่ยงสูงสุดชะลอตัว"Stagnation"
ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆในหลายภูมิภาค และเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่บางประเทศ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด
โดยระบุว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงในระดับสูงมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ แม้ว่าสถานการณ์
โดยรวมจะยังคงดูดี แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดความพลิกผันนั้นมีอยู่สูง เพราะมีสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นที่จะทำใ้้ห้
แนวโน้มแย่ลง

รายงานของมูดีส์ อินเวสเตอร์สฯ ยังระบุอีกว่า ศูนย์กลางของความผันผวน และไม่แน่นอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่า
อยู่ที่สหรัฐ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาพคล่อง และวิกฤตสินเชื่อที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกนั้นยังคงไม่ชัดเจน

นายปิแอร์ ไซเลโต หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สากลของมูดีส์ และเป็นผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์
เป็นเช่นนี้ การวิเคราะห์สินเชื่อในระดับย่อยลงมาจำเป็นต้องพิจารณาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และการเงินในมุมมอง
ที่กว้างขึ้นด้วย รวมถึงการพิจารณาเรื่องความเกี่ยวโยงกันของความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกในทิศทาง
ที่ไม่น่าพอใจนัก

รายงานชื่อ"Mapping the Near Future: Macro Stress Scenarios for 2008-2009" และ "Global Financial Risk
Perspectives" มูดีส์ได้ระบุถึงสถานการณ์ที่น่าจะเป็นสำหรับเศรษฐกิจโลกปี 2008-2009 โดยแบ่งตามความเสี่ยง
เป็น 3 กรณี ได้แก่กรณีแรก ผลกระทบของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวที่มีต่อเศรษฐกิจโลก รายงานคาดว่าเศรษฐกิจยุโรป
และญี่ปุ่น คงจะมีความแข็งแกร่งลดลง ขณะที่เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่จะยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ โดยเงินดอลลาร์
ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศที่ไม่ได้ผูกติดกับเงินดอลลาร์ และแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ ขณะที่ราคาน้ำมันยังคงดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กรณีที่สอง Stagflation คือการที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย พร้อมกับการที่เงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่ง
เกิดจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง โดยการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนทางการเงิน ซึ่งมีผลให้คงอัตราดอกเบี้ย
ไว้ในระดับต่ำ แม้ว่าการขยายตัวสดใสนั้นจะสูญหายไป

กรณีที่สาม Stagnation คือการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงและจะส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆในหลายภูมิภาค
รวมทั้งประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางประเทศ
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #2 เมื่อ: 31-01-2008, 21:49 »

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000012504

อ้างถึง
สัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 23 มกราคม 2551 นายจอร์จ โซรอส (George Soros) พ่อมดทางด้านการเงินชื่อก้องของโลกเผยแพร่บทความวิพากษ์ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชื่อ “The worst market crisis in 60 years” หรือ “วิกฤตของตลาดที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 60 ปี” ออกสู่สายตาชาวโลก ผ่านทางหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์
       
        เนื้อหาในบทความชิ้นดังกล่าวของโซรอสมองไปที่วิกฤตฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาที่กำลังขยายตัวกลายเป็นวิกฤตใหญ่และกำลังจะก่อให้เกิดภาวะความตกต่ำของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยวิกฤตครั้งนี้โซรอสคาดการณ์ว่าจะเป็นวิกฤตครั้งที่หนักหนาที่สุดในรอบ 60 ปี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ที่สำคัญครั้งนี้ด้วยปัจจัยความผันผวนหลายๆ ประการจะบีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
       
       “ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในโลกพัฒนาแล้ว เวลานี้อย่างไรเสียก็คงเป็นสิ่งหลีกหนีไม่พ้น แต่สำหรับจีน, อินเดีย และผู้ผลิตน้ำมันบางประเทศ กลับกำลังอยู่ในสถานะที่สามารถสวนกระแสได้อย่างเข้มแข็ง ดังนั้น วิกฤตทางการเงินในปัจจุบันจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก แต่น่าจะทำให้เกิดการปรับตัวกันอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจระดับโลกมากกว่า โดยที่สหรัฐฯ จะเสื่อมถอยลงโดยเปรียบเทียบ ส่วนจีนกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ จะผงาดขึ้นมา
       
       “อันตรายนั้นอยู่ตรงที่ความตึงเครียดทางการเมืองต่างๆ ซึ่งตามมา รวมทั้งลัทธิการกีดกันการค้าในสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะก่อกวนเศรษฐกิจของโลก จนทำให้โลกจมดิ่งลงสู่ภาวะถดถอย หรือกระทั่งเลวร้ายกว่านั้น” โซรอส กล่าวไว้ในตอนท้ายของบทความ
       
       เมื่อได้ฟังคำทำนายของโซรอสแล้ว หลายคนหันหน้าไปหาหิ้งพระพนมมือและภาวนาว่า แม้ปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอย แต่ก็ขอให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีนและอินเดีย สองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียช่วยกอบกู้หรืออย่างน้อยๆ ช่วยบรรเทาวิกฤตโลกครั้งนี้เสียหน่อย
       
       อย่างไรก็ตามการพนมมือและภาวนาดังกล่าวกลับถูกขัดคอโดย นายสตีเฟน โรช (Stephen Roach) นักเศรษฐศาสตร์ระดับกูรูของบริษัทมอร์แกน สแตนเลย์ ...
       
       โรชแย้งความเห็นของโซรอส โดยกล่าวว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของประเทศจีนและอินเดียนั้นแม้ว่าจะเป็นการเจริญเติบโตที่รวดเร็วก็จริง แต่การไปตั้งความหวังว่า จีน และ อินเดีย จะสามารถเข้ามากอบกู้ภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากสหรัฐฯ นั้นถือเป็นเรื่องที่ “เพ้อฝัน” เกินไป
       
       ทั้งนี้เขาพิสูจน์คำพูดดังกล่าวให้เห็นผ่านสถิติง่ายๆ คือ ระดับการบริโภคของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ในปี 2550 นั้นสูงถึง 9.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบระดับการบริโภคของผู้บริโภคในจีนและอินเดียในช่วงระยะเวลาเดียวกันที่แม้ว่าจะมีจำนวนประชากรมากกว่าสหรัฐฯ หลายเท่า แต่กำลังการบริโภคของประชากรกลับอยู่ที่เพียงระดับ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และ 650,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชาวจีนหรือชาวอินเดียจะช่วยชดเชยความเสียหายของเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้
       
       มากกว่านั้น ในปัจจุบันเศรษฐกิจของจีนเองก็ยังอยู่ในสถานะที่พึ่งพาการส่งออกในระดับสูง กอปรกับภาวะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่รวดเร็วเกินไปจนก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นส่วนตัวผมเองเห็นด้วยกับโรชที่ว่า การไปคาดหวังว่าจีนจะช่วยคนอื่นนั้นคงเป็นไปได้ยาก เพราะปัญหาภายในของจีนเองก็หนักหนาสาหัสอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

เกจิอาจารย์ทั้งหลาย ชี้แนวทางเดียวกันว่า  เรือจม shiphai แน่นอนค่ะ  สำหรับทุนนิยมสามานย์ ถึงกับคาดการว่าจะเลวร้ายประมาช่วงสงครามโลกนั่นเลย

สรุปได้ง่ายๆว่า คนที่อยู่ในวังวนของทุนนิยม เตรียมตัวตายได้ค่ะ  ส่วนที่พอเพียงได้แล้ว ก็นั่งดูไป ดูคนบ้ามันพล่านไปเรื่อยๆ 

ส่วนรัฐบาลหมักหมมนั้น ท่าทางจะไม่ได้แก้อะไรแล้วค่ะ แก้ต่างคดีตัวเองไม่ทันแน่นอน อายุการเป็นนายกคงจะสั้นแน่ ปปช.จะใช้เวลาถึงเดือนไหม เพื่อสอบสวนคดีขยะ เพราะเขาบอกว่า คดีสอบมาจนเสร็จแล้ว สอบเพิ่มนิดหน่อยก็ส่งศาลได้ ถึงศาลวันไหน

หมักกลับบ้านเก่าค่ะ 
บันทึกการเข้า
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,591


"Angela Gheorghiu" My goddess


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 31-01-2008, 22:25 »

ต้องโทษบุชแหละ เพราะใช้นโยบาย ตีกะชาวบ้านไปทั่ว เพื่อปั่นตั๋วน้ำมันไปอุดรูโหล่ในบ้าน ไปๆมาๆ ฟองแตก หนองไหลเฟะ เลยอาการหนัก โคม่าแบบนี้ พาลพะโล ลากชาวบ้านกลิ้งโค่โร่ลงไปด้วย

ส่วนนึง สะใจอ่ะ แบบว่า สมน้ำหน้ามัน ตอนปี 40 มันลุกขึ้นมาด่าเราว่าทำไมไม่ปล่อยให้แบ้งล้มไป ไม่ต้องอุ้ม เนี่ยแหละหนา กรรมติดจรวด 
บันทึกการเข้า

       

"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #4 เมื่อ: 31-01-2008, 23:24 »

ตอนที่ฐานเศรษฐกิจลงสกู๊ปเรื่อง เบน เบอร์นานคี ประธานธนาคารกลางสหรัฐบทนี้ ยังไม่มีการลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุด
ทุกคนก็ฮือฮากับการประกาศลดดอกเบี้ยอยู่แล้ว ถึงขนาดฐานเศรษฐกิจใช้คำว่า "สร้างประวัิติศาสตร์หั่นดอกเบี้ย"

นี่มาลดกระหน่ำซ้ำเติมเข้าไปอีก .. คุณสมัครจะไหวไหม? 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เบน เบอร์นานคี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ สร้างประวัติศาสตร์ หั่นดอกเบี้ย สู้ซับไพร์ม
http://www.thannews.th.com/detialColumn.php?id=T012291a&issue=2291&cColumID=2
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2291   27 ม.ค. - 30 ม.ค. 2551



    สถานการณ์เศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกามีสัญญาณไม่ค่อยดีมาประมาณปีกว่าเกือบสองปีแล้ว ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกับ
ที่ เบน เบอร์นานคี ได้รับเลือกให้เข้ามานั่งเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐ ต่อจาก ปู่อลัน กรีนสแปน เมื่อต้นปี 2549

        ถือเป็นเรื่องท้าทายความสามารถ เบอร์นานคี ผู้ซึ่งได้รับยกย่องเป็นปรมาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ อีกทั้งยัง
ควบตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลบุช ก่อนจะขึ้นรับตำแหน่ง

        และนับแต่เขาเข้ามานั่งกุมนโยบายเศรษฐกิจอเมริกา ธนาคารกลางสหรัฐหั่นดอกเบี้ยนโยบาย

        ไม่น้อยกว่า 3 ครั้งแล้ว แต่ละครั้งก็ลดประมาณ 0.25% จนเหล่าบรรดานักวิเคราะห์เริ่มจับทาง เบอร์นานคี ได้

        ก็เพราะ ดอกเบี้ย จัดเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐมักจะนำออกมาใช้ทุกครั้ง ใน

        การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ผ่านพ้นปัญหาวิกฤติทั้งหลายที่กำลังรุมเร้า

        ดังนั้นเมื่อพายุเศรษฐกิจยังคงโหมกระหน่ำใส่อเมริกาอย่างต่อเนือง ทั้งปัญหาวิกฤติสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ หรือซับไพร์ม
ฉุดตลาดที่อยู่อาศัยตกต่ำ นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาราคาน้ำมันแพงไม่เลิก ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของ
ผู้บริโภค ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ตกต่ำไป

        ถ้าหากเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ของโลกสุขภาพไม่ดี ก็ย่อมส่งผลด้านไม่ดีต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจประเทศอื่นทั่วโลก

        เพื่อหยุดยั้งหรือชะลอภาวะเศรษฐกิจขาลง เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2551 เบอร์นานคี เรียกประชุมฉุกเฉินคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ก่อนกำหนดการประชุมปกติ 1

        สัปดาห์ และเฟดตัดสินใจใช้ยาแรง ลดดอกเบี้ยนโยบายลงทันที 0.75% จาก 4.25% ลงเหลือ 3.5% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด

        ถือเป็นการตัดสินใจเหนือคาดหมายของเหล่านักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคาดการณ์อยากจะให้เฟดลดดอกเบี้ยลง 0.50%
นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดมีความเป็นห่วงต่อภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยของอเมริกา

        นอกจากนี้ยังมีมาตรการอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนอเมริกันโดยตรง ด้วยการคืนภาษี 600 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคน
ถ้าคู่สามีภรรยาก็จะมีเงินเพิ่ม 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ และถ้ามีลูกก็จะได้เพิ่มอีก 300 ดอลลาร์สหรัฐ รวมแล้วมาตรการนี้ใช้เม็ดเงินเบ็ดเสร็จ
5 ล้านล้านบาท เท่ากับงบประมาณรายจ่ายของประเทศไทย (ที่ถูกน่าจะเป็น 1.5 ล้านล้านบาท-jerasak)

        ภายหลังเฟดใช้ยาแรงเข้าเยียวยาสถานการณ์ ด้านตลาดหุ้นนิวยอร์กเด้งรับทันที จากที่ปรับตัวลงกว่า 500 จุดในช่วงเปิดตลาด
ก็ปรับตัวลงเหลือเพียง 200 กว่าจุด นอกจากนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ขานรับในทิศทางเดียวกัน มีเพียงไม่กี่ตลาดที่ไม่มีอาการตอบสนอง หนึ่งในจำนวนนั้นก็มีตลาดหุ้นไทย

        ไม่ทราบว่ารัฐบาลใหม่ของไทยสนใจจะกอปปี้มาตรการเพิ่มเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคตามแบบอเมริกาบ้างหรือไม่
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัว

        ถ้าหากว่ายาแรงของ เบอร์นานคี ไม่สามารถหยุดยั้งพิษซับไพร์มในสหรัฐ เอาไว้ได้ ก็อาจจะหมายถึงต้องเด้งจากเก้าอี้ประธาน
ธนาคารกลางสหรัฐ เพราะตอนนี้ไม่เพียงเศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้นที่อยู่ในอุ้งมือของทั่น แต่ยังหมายรวมถึงเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย

        ในทางกลับกันถ้า เบอร์นานคี ประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐได้ จะทำให้ชื่อของเขาต้องจารึก
ในประวัติศาสตร์ รวมถึงเขาสามารถเขียนตำราการแก้วิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมาได้อีกเล่มต่างหาก
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #5 เมื่อ: 31-01-2008, 23:28 »

รัฐบาลไอ้หมัก ชิบหาย แล้ว .. เพราะคุณเทพชัยคนเดียว









ที่ไม่อนุมัติให้รับคุณชิบกลับเข้าทำงาน

 
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #6 เมื่อ: 31-01-2008, 23:29 »

สหรัฐถึงขนาดออกมาตรการ "คืนภาษี" ไม่แน่ว่าประชานิยมรอบใหม่ของ พปช.
อาจเอาใจคนเมืองที่เป็นคนจ่ายภาษีบุคคลธรรมดา ด้วยการคืนภาษีบ้างก็ได้

ว่าแต่ตามข่าวตลาดหุ้นทั่วโลกต่างตอบรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ
แต่ไทยเราเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ไม่มีอาการตอบสนอง

ทั้งที่ตอนนั้นก็เลือกตั้งเสร็จรู้แน่ว่าจะไ้ด้ใครมาเป็นนายกฯ แล้วแท้ๆ 
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #7 เมื่อ: 31-01-2008, 23:36 »

เกจิอาจารย์ทั้งหลาย ชี้แนวทางเดียวกันว่า  เรือจม shiphai แน่นอนค่ะ  สำหรับทุนนิยมสามานย์ ถึงกับคาดการว่าจะเลวร้ายประมาช่วงสงครามโลกนั่นเลย

สรุปได้ง่ายๆว่า คนที่อยู่ในวังวนของทุนนิยม เตรียมตัวตายได้ค่ะ  ส่วนที่พอเพียงได้แล้ว ก็นั่งดูไป ดูคนบ้ามันพล่านไปเรื่อยๆ 

ส่วนรัฐบาลหมักหมมนั้น ท่าทางจะไม่ได้แก้อะไรแล้วค่ะ แก้ต่างคดีตัวเองไม่ทันแน่นอน อายุการเป็นนายกคงจะสั้นแน่ ปปช.จะใช้เวลาถึงเดือนไหม เพื่อสอบสวนคดีขยะ เพราะเขาบอกว่า คดีสอบมาจนเสร็จแล้ว สอบเพิ่มนิดหน่อยก็ส่งศาลได้ ถึงศาลวันไหน

หมักกลับบ้านเก่าค่ะ 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ..

ตั้งแต่คุณสมัครจะได้เป็นนายกฯ หาข่าวดีไม่เจอเลย
ชนะได้เป็นรัฐบาลมารับทุกข์แท้ๆ ก่อนหน้านี้ยังคิดว่า
มารับช่วงต่อรัฐบาลสุรยุทธ์แล้ว คงไปกันต่อได้สบาย

นี่ทางประเทศจีนก็มีปัญหาโดนหิมะถล่มหนักเข้าไปอีก
รู้สึกว่าดินฟ้าจะแปรปรวนพิกลอยู่นะครับ
ขนาดวันประชุมสภาฯ ยังฝนตกหนักน้ำท่วมในกรุงเทพฯ 
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #8 เมื่อ: 31-01-2008, 23:41 »

ขนาด IMF ยังออกมาประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจโลก ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 5 ปี 

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=31/Jan/2551&news_id=153886&cat_id=800
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
IMF คาดศก.โลกซึมที่สุดในรอบ5ปี
31 มกราคม 2551    กองบรรณาธิการ

ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประจำปี 2551 ลงจากเดิม 0.3%
เตือนปีนี้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะอ่อนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี อันเป็นผลจากวิกฤติ
ในภาคการเงินของสหรัฐอเมริกา

    กองทุนการเงินระหว่างประเทศ  (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวเตือนเมื่อวันอังคารว่า ไม่ว่าประเทศใดก็ไม่อาจรอดพ้น
หางเลขจากวิกฤติตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยให้กับผู้กู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์) ที่ส่งผลกระทบ
ไปถึงตลาดหุ้นของสหรัฐและทั่วโลก

    ไซมอน จอห์นสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกจะเติบโตช้าลงมาก
อย่างไม่ต้องสงสัย   แต่การทบทวนการคาดการณ์ครั้งนี้ยังไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ
จะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย   

    "ความสมดุลโดยรวมของความเสี่ยงที่มีต่อการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มไปทางขาลง"   
ไอเอ็มเอฟกล่าวไว้ในรายงานทำนายอนาคตเศรษฐกิจโลกรายครึ่งปีฉบับแก้ไขของฉบับเดือนตุลาคม

    ในปี  2551 นี้ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์ใหม่เป็นว่าเศรษฐกิจโลกจะโตเพียง 4.1%  จากเดิมที่ทำนาย
ไว้ที่ 4.4% อัตราการเติบโตเช่นนี้ถือว่าอ่อนแอที่สุดนับแต่ปี 2546 ซึ่งอัตราเติบโตเศรษฐกิจโลกตอนนี้อยู่ที่ 3.6%
เท่านั้น และยังสะท้อนให้เห็นการชะลอตัวลงจากตัวเลข  4.9% ของปีที่แล้ว แม้ว่าถึงขณะนี้บรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่
ทั้งหลายยังยืนหยัดอยู่ได้และเศรษฐกิจจีนก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดโต

    ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐปีนี้ลงเช่นกัน   โดยลดลงไป 0.4% มาอยู่ที่
1.5% ขณะที่ของเขตเศรษฐกิจร่วมของสหภาพยุโรปถูกปรับลดลง 0.5% มาอยู่ที่ 1.6%

    ด้านเจ้าหน้าที่ภาคเศรษฐกิจการเงินในยุโรปหลายรายยังไม่ยอมรับแนวคิดที่ว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของสหรัฐ
จะส่งผลกระทบต่อยุโรปดังคำทำนายของไอเอ็มเอฟ  เอธานาซิออส ออร์ฟานิเดส สมาชิกคณะกรรมการบริหาร
ธนาคารกลางยุโรปบอกว่า เขาคาดการณ์ว่ายุโรปจะได้รับผลกระทบไม่รุนแรงนัก แม้จะยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐ
อยู่ในภาวะเลวร้ายกว่าที่คาดกัน

    รายงานของไอเอ็มเอฟกล่าวว่า  กลียุคทางการเงินได้เขยิบเข้าสู่ระยะใหม่  เป็นระยะที่ความวิตกกังวลต่อภาวะสินเชื่อ
ได้ขยายเกินเลยภาคซับไพรม์ไปแล้ว  และจำเป็นต้องได้รับการจับตาดูอย่างระมัดระวังเพราะเกรงว่ามันจะกระทบต่อ
เศรษฐกิจโลกโดยรวม

    ไอเอ็มเอฟชี้ว่า   ความเสี่ยงสำคัญต่ออนาคตการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ว่า ความผันผวนในตลาดการเงิน
ที่ดำเนินอยู่ขณะนี้จะยิ่งลดความต้องการใช้จ่ายภายในประเทศพัฒนาแล้วให้ตกต่ำลงอีก  และอาจก่อแรงสั่นสะเทือน
ข้ามไปถึงตลาดเกิดใหม่และเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา

    สำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐลงไปถึง   1.75%  แล้วนับแต่เดือนกันยายนปีก่อน   
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟให้ทัศนะว่าเป็นนโยบายที่ดีและน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐได้   
โดยเฉพาะเมื่อสอดประสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลบุชนำเสนอต่อสภาคองเกรส.
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
KUKKUK
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #9 เมื่อ: 01-02-2008, 00:01 »

ฝ่าย กองเชียร์ทักกี้  ที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก กันสำรอง 30%

ในสภาวะเช่นนี้ ถ้าหมักมานยกเลิกจริง บันเทิงครับ

สภาพอย่างนี้ ดอกเบี้ยในประเทศสูงกว่า ดอกเบี้ย อเมริกา เงินไหลเข้ามาในประเทศแน่

ถ้าไม่มีมาตรการที่ดีพอ ค่าเงินบาทแข็งโป๊กแน่

ส่งออก ตาย เกษตรกร ขายสินค้าเกษตรได้ราคาเป็นเงินบาทน้อยลง สินค้าเราในสายตา USA มีราคาสูงขึ้น

ยังไงสมัครก็คงไม่ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% แน่ๆ
บันทึกการเข้า
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 01-02-2008, 00:13 »

มีเพียงในหลวงเท่านั้นที่ทรงอัจฉริยภาพอย่างแท้จริงที่เห็นพิษภัยของระบบทุนนิยม

ตอนนี้ถึงเวลาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริงแล้วครับพี่น้อง


" เศรษฐกิจพอเพียง ช่วยชาติไว้อีกแล้ว "   

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 มกราคม 2551 15:36 น.

คนไทยทุกคนปลื้มใจ และมั่นใจในหลักการ "เศรษฐกิจพอเพียง" เพียงแต่แต่ละคน อาจมีระดับความเข้าใจตามแบบของตนเอง ซึ่งไม่ค่อยเหมือนกัน
       
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อหลวงของแผ่นดิน พระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักเทอดทูนของปวงชนชาวไทย ได้ทรงมีพระราชดำรัส อีกครั้งเมื่อช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจพอเพียงก็คือใช้ตามที่เหมาะสมแก่ตัว ไม่ได้แปลว่า เก็บอย่างเดียว เมื่อมี ก็ควรจับจ่าย เงินจะได้สะพัด
       
       ในโลกแห่งการค้าเสรี การบริโภคของแต่ละคน จะเป็นการช่วยเหลือผู้ขายสินค้า หรือให้บริการ ผู้ที่เก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็น และตามความเหมาะสมด้านเวลาของตนเองในอนาคต ก็ควรเก็บในธนาคาร หรือลงทุนในหุ้น ทำให้ตนได้ผลตอบแทน ธนาคารก็นำไปปล่อยกู้ และบริษัทที่เราไปลงทุนหุ้น ก็สามารถนำเงินที่ได้ไปทำธุรกิจต่อ เป็นหลักการที่เราถูกสร้างมาในโลก ไม่ได้ให้อยู่คนเดียวลำพัง แต่เรามีกันและกัน และอยู่เพื่อกันและกันอย่างแท้จริง
       
       ในสถานการณ์ "วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์" ซึ่งหลายคนก็อยากจะเปรียบเทียบกับ "วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง" เมื่อ 10 ปีที่แล้วของบ้านเรา ก็คงไม่ต่างมาก เกิดจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์กัน ด้วยความรู้สึก**เก็งกำไรบางส่วน กู้เกินตัว ซื้อเกินตัว และเป็นถึงระดับรากหญ้า (จึงเรียกว่า "ซับไพรม์") ปัญหานี้ ถือได้ว่า เลยขอบเขตแห่ง "เศรษฐกิจพอเพียง" จริงๆ และไม่ได้หยุดแค่ในสหรัฐอเมริกา แต่ลามไปถึงประเทศต่างๆ ด้วย**
       
       ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น ในฮ่องกง ในสิงคโปร์ ฯลฯ จึงขยับตัวสูงขึ้นมาก จากการกู้เกินตัว ซื้อเกินตัวนี้นั่นเองเราเองได้รณรงค์เรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" กันมาในช่วง 2-3 ปี หลัง ทำให้เราไม่เห็นปัญหาการก่อตัวของฟองสบู่อย่างที่คนอื่นเขาเป็นกัน จึงถือได้ว่า รัฐบาลที่จะมาใหม่นั้นโชคดี ยังไม่มีปัญหาเศรษฐกิจลูกโป่งพองตัวให้ต้องแก้ไขเหมือนประเทศอื่นๆที่ต้องเผชิญกันอยู่จะมีเรื่องข้างหน้าที่ต้องระวังคู่กัน ก็คือโครงการที่รัฐบาลก่อนหน้านั้นได้ทำไว้ คือ
       
       "โครงการบ้านเอื้ออาทร" ก็ค่อนข้างจะเป็นชื่อโครงการที่เพราะ ซึ่งหากกลายเป็นโครงการที่ผู้จะซื้อไม่สามารถรับโอนได้ หรือกู้ธนาคารแล้วไม่สามารถชำระได้ ก็อาจถูกกลับมาเรียบชื่อว่า "กลุ่มซับไพรม์" ได้เหมือนกัน ก็ดีที่ได้รัฐบาล พปช. เข้ามาดูแล จะได้รับลูกเรื่องนี้ต่อจากรัฐบาล ทรท. ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องโทษใคร
       
       นอกจากนี้ รัฐบาลที่ผ่านมา ได้ช่วยสร้างวินัยทางการเงิน ตามหลัก "เศรษฐกิจพอเพียง" อีกเรื่อง คือเรื่อง "ตั๋วเงินคลัง" ตั๋วเงินคลัง ต่างกับ พันธบัตร คือ พันธบัตรนั้นเครื่องมือสำหรับให้รัฐบาลใช้เงินเกินงบประมาณ คือ ถ้ารัฐบาลใช้เงินงบประมาณรายจ่าย เท่ากับงบประมาณรายรับ ก็เรียกว่า "งบประมาณแบบสมดุล" เงินเข้าก็เท่ากับเงินออก ถ้ารัฐบาลใช้เงินงบประมาณน้อยกว่ารายรับ ก็มีเงินเหลือ ซึ่งอาจใช้คืนเงินกู้เพิ่มเติม หรือลงทุนเพิ่มเติมได้ แต่ถ้ารัฐบาลใช้เงินงบประมาณมากกว่ารายรับ ก็ต้องออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินมาใช้จ่าย ตั๋วเงินคลังจึงไม่ได้ใช้สำหรับหน้าที่ดังกล่าว แต่ในแต่ละปีงบประมาณ การเก็บภาษีอาจไม่สอดคล้องกับการใช้จ่ายภาครัฐ จึงให้ออกตราสารระยะสั้น คือ ตั๋วเงินคลัง เพื่อรับเงินเข้ามาใช้ไปก่อน ที่จะเก็บภาษีเข้ามา เมื่อเก็บมาแล้วก็ควรจะลดระดับลงไป สู่ระดับปรกติ
       
       ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ระดับตั๋วเงินคลัง ก็อยู่ระดับประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลก่อนหน้านี้ ได้สะสมตั๋วเงินคลังขึ้นไปเป็น 1 แสนล้านบาท 2 แสนล้านบาท **จนเมื่อก่อนที่รัฐบาลขิงแก่จะเข้ามานั้น สะสมสูงสุดถึง 2.5 แสนล้านบาท !! ทำให้กลายเป็นเครื่องมือก่อหนี้ และสะสมหนี้ภาครัฐโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการรัฐสภาเพื่อพิจารณางบประมาณอย่างถูกต้องโปร่งใส**
       
       รัฐบาลที่ผ่านมาได้ปรับลดยอดตั๋วเงินคลังนี้ ลงไปเหลือเพียง 114,000 ล้านบาท คือลดไปประมาณ 140,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาปีเศษที่ผ่านมา มองแบบหนึ่งก็ถือว่า **ช่วยรักษาวินัยให้บ้านเมืองเป็นอย่างดี ทำให้ไม่สะสมหนี้ภาครัฐด้านนี้สูงเกินไป**มองอย่างกลัวๆ ก็คือ ไม่อยากให้เห็นเป็นช่องว่าง ให้นักการเมืองเอาไปทำอะไรก็ได้ ยิ่งใช้จ่ายกันไปไม่น้อยในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็หวังว่า จะมาทำงานเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่เพื่อเป็นธุรกิจ** เพราะการทุจริตบ้านเมืองนั้น จะนำไปสู่ความไม่ยอมรับของประชาชน โดยเฉพาะผู้เสียภาษีทุกคน และนำไปสู่ความไม่เชื่อถือ และไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลในที่สุด
       
       **เราได้รับบทเรียนมามากมายแล้ว แต่ถ้าเราเชื่อในทางสว่าง ทุกคนมีโอกาสจบสวย ด้วยความเป็นคนดีของบ้านเมือง ทำความดีเพื่อบ้านเมือง ต่อต้านการทุจริต หรือ ธุรกิจการเมือง เศรษฐกิจไทยก็พร้อมจะเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืนครับ

 
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


Albert Einsteins
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 146



« ตอบ #11 เมื่อ: 01-02-2008, 00:43 »

ในความเห็นผมหลายครั้ง คิดว่าวิกฤตการณ์นี้ไม่จบง่ายๆ การลดดอกเบี้ยเป็นการชลอปัญหาและซื้อเวลาเท่านั้น
อย่างน้อยลูกหนี้ซับพรามก็ได้ประโยชน์ในการรีไฟแนนซ์ไปดอกเบี้ยต่ำ ลดการผ่อนชำระลง
หนี้เสียคงชลอตัวลง (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลับมาเป็นหนี้เสียฮะ)
แต่การลดดอกเบี้ยก็นำพามาสู่การเกิดเงินเฟ้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สหรัฐคงต้องปั๊มเงินเข้าระบบเศรษฐกิจให้ได้ คงต้องให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และการใช้จ่ายให้มากให้ได้
ยิ่งสหรัฐกู้เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ (ปั๊มดอลล่าห์ ออกพันธบัตร) ค่าเงินดอลล่าร์ยิ่งอ่อนค่า
น้ำมัน, ทอง ในรูปดอลล่าห์จะยิ่งแพงขึ้น  เพราะคนไม่เชื่อมั่นในดอลล่าห์
ดังนั้นการที่แบงค์ชาติยังยึดโยงกับดอลล่าห์ ก็ยิ่งเสียหาย
ควรแปลงเงินดอลล่าห์ไปอยู่ในรูปแบบของ Euro, Yen หรือ ทองคำ จะดีกว่า
ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินเรามีความเสถียรมากขึ้น ไม่แกว่งตัวรุนแรง
และที่สำคัญต้องไม่เข้าไปแทรกแซง เพราะมีแต่พังกับพัง
ที่น่าห่วงคือการเกิด Stagflation ที่สหรัฐ
นั่นหมายความว่าเราจะเสียตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเราไป   

ความเห็นของผมคิดว่าเราอย่าพึ่งตระหนกตกใจมากเกินไปฮะ เคยให้ความเห็นไว้หลายครั้งฮะ
ว่าอยากให้คงการใช้จ่ายตามปรกติ แต่อาจลดอะไรที่ไม่จำเป็นลง
และออมมากขึ้นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงมากที่ขึ้น
ผมเคยบอกว่าเรายังสามารถรับมือกับภาวะเช่นนี้ได้
เนื่องจากเรายังสามารถผลิตปัจจัยพื้นฐานทีเป็นวัตถุดิบได้
และพื้นฐานทางเศรษฐกิจก็ไม่เลวร้าย ง่ายๆคือยังก่อหนี้เพื่อกระตุ้นได้อีกระยะหนึ่ง
เพียงแต่เราจะรู้สึกว่าเงินฝืดเคืองหาไม่คล่องตัว
ผมเห็นด้วยกะการยกเลิก 30% เพราะอยากให้เงินทุนที่ต้องการลงทุนจริงๆ ได้เข้ามา
อย่างน้อยก็ทำให้เกิดการลงทุนและจ้างงานในบ้านเรา
แต่ผมไม่เห็นด้วยกะการลดดอกเบี้ยตามสหรัฐ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะไปเร่งเงินเฟ้อในบ้านเราให้สูง

รัฐบาลหมักหมมถ้าบริหารจัดการไม่ดี คือใช้เงินไม่ถูกที่ถูกทาง ไม่สนใจเรื่องค่าเงินที่แข็งตัวอย่างรวดเร็ว
ไม่สนใจปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดต้นทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออก
การหาตลาดทดแทนสหรัฐ หรือการเชิญชวนเงินทุนต่างชาติมาลงทุนระยะยาวแทนที่การลงทุนระยะสั้นแบบเก็งกำไร
มัวแต่เล่นเกมการเมืองสนองตัญหาผู้ไร้บารมีนอกประเทศที่มือเหม็นเพราะมีแต่ขี้เต็มมือ
ประมาณปีหรือสองปีจากนี้ก็เตรียมเฮแบบปีสี่ศูนย์ได้เลย ที่ระบบเศรษฐกิจเราอาจพังอีกรอบ
ทั้งๆที่ไม่ควรเกิดแม้สหรัฐจะมีปัญหา เพียงแต่เราจัดการให้ดี
สงสารคนที่มาเป็นรัฐบาลต่อไปจริงๆ


 
บันทึกการเข้า
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #12 เมื่อ: 01-02-2008, 02:30 »

อย่าไปห่วงหรือหวังว่ารัฐบาลสมัครจะพาประเทศไปรอดหรือเปล่าเลยครับ เราชาวบ้านคงต้องช่วยตัวเองมากกว่า ตอนนี้ก็มีมากใช้น้อย มีน้อยใช้น้อย รับรองเอาตัวรอดได้แน่ครับ

ที่เค้ากลัวว่าจะแย่มากกว่าปี 40 ก็เพราะความผันผวนมันจะรุนแรงมาก อเมริกาคงลดดอกเบี้ยไม่ได้นานเท่าไหร่ ตอนนี้ก็แต่แก้ไปตามอาการ สุดท้ายคงต้องกลับมาขึ้นดอกเบี้ยให้ค่าเงินแข็งเพื่อใช้หนี้อยู่ดีครับ ตอนนั้นไทยคงเหนื่อยหนักเพราะการไหลเข้าออกของเงินทุนและผลกระทบกับอัตราแลกเปลี่ยนจะเร็วและรุนแรงมาก ผู้ส่งออกนำเข้าที่ไม่แข็งแรงจริงๆตายอย่างเดียวครับ
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #13 เมื่อ: 01-02-2008, 20:19 »

ผมอาจมองในแง่ดี ไปหน่อย....ว่า บางที ฟองสบู่แตก ในเมกา...อาจเป็น ผลดีต่อเศรษฐกิจ เอเซีย มากว่า เป็น ผลร้าย......

ในแถบยุโรป เป็น ภูมิภาค ที่ยังไม่น่าลงทุนนัก เมื่อถึงเวลานี้....ค่าเงินแข็ง ข้าวของ และแรงงานแพง หูฉี่.....

เมื่อฟองสบู่แตก บรรดา อีแร้ง จอมลงทุนทั้งหลาย...จะกระจายออกจาก เมกา...แล้ววิ่ง ไปรอบโลก เพื่อ หาแหล่งสูบเลือด

แหล่งใหม่ ในขณะที่ ยูโรป ไม่น่าลงทุน อย่างที่ผมกล่าวอ้างไปแล้ว....เงิน ส่วนใหญ่ จะไหลบ่าทะลักเข้า เอเชีย...

ตอนนี้ อยู่ที่ว่า เค้ามีมุมมองแต่ละประเทศ ยังไงครับ....แต่ คาดว่า คงไหลไปที่จีน มากที่สุด.....บางส่วน ก็ต้องเข้ามาที่

บ้านเราบ้าง.....เมื่อชั่งน้ำหนัก ข้อเสีย ที่ อาจส่งออกไปยังสหรัฐได้น้อยลง....กับ เงินลงทุน ที่ ไหลเข้ามา ทั้งในตลาดทุน

หรือ การลงทุนในภาคอุตสาหกรรม...เบ็ด เสร็จ หลงจ้ง ก็น่า จะเป็นผลดี มากกว่า ผลเสีย.....ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ คง ต้องอยู่ ที่การ

บริหารของรัฐบาลหมัก 1 ด้วยว่า สร้างความเชื่อถือ ได้แค่ไหน....อย่าให้มีข้อ ครหา แบบ ไมโครซอฟ ที่ เปลี่ยนใจ ไปเวียดนาม

ในรัฐบาลเหลี่ยม.....มีคนนินทา ว่ามีผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น จะตบทรัพย์.....

สิ่งที่น่ากลัว อีกอย่างก็คือ รัฐบาลหมัก 1 อาจจะผสมโรง ปั่นฟองสบู่ ให้ ผู้คนคุ้มคลั่ง จนลืมอดีต ปี 40 .....เพื่อเอาไว้โม้หาเสียง

หวังว่า แบ็งค์ ชาติ จะช่วย คุมเกมส์ แล้ว คัดท้ายไม่ให้ เกิด เหตุการ แบบปี 40 อีกครั้ง....(ผมไม่เชื่อน้ำยาหมัก 1 ครับ)


ปัจจัยภายนอก ที่น่ากลัว อีกประการ คือ ....เงินที่ไหลบ่าออกจากสหรัฐ  ซึ่งก็คงเข้าไปที่ จีน เป็นส่วนใหญ่...

ขณะเดียวกัน ในตอนนี้ จีน ก็ ไล่ปล่อยลม สารพัด ทั้ง การตัดลด บลูคอนเนอร์ ทั้ง ปรับค่าเงินให้แข็งขึ้น......

แต่หากเงิน ยังคงไหลเข้าไม่หยุด ด้วยจำนวนมหาศาล....มันก็น่ากังวลอยู่บ้างเหมือนกันครับ ว่า

จีน อาจเอาไว้ไม่อยู่  เกิดฟองสบู่แตก......ซึ่งถ้าเกิดแบบนั้นจริง...ก็จะยิ่ง น่ากลัวกว่าต้มยำกุ้งครับ

แต่ผมก็ยังมองในแง่ดี อีกเช่นกันครับ....เหล่า ประเทศ ในแถบเอเชีย มีประสพการณ์ กันมาแล้ว จากวิกฤติ

ครั้งก่อน....คงน่าไม่ปล่อยให้เกิด วิกฤติ อีกครั้ง...


 
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #14 เมื่อ: 01-02-2008, 21:17 »

สาเหตุหนึ่งที่เขาเรียกวิกฤติประเภทนี้ว่า ฟองสบู่ ก็เพราะเนื้อในของมันกลวงโบ๋ และว่างเปล่า

เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง

วัฐจักรหรือวงจรอุบาทว์ของระบบทุนนิยม เป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว และมีผู้พยากรณ์ไว้แล้วว่า ทุนนิยมจะต้องล่มสลาย เขามิได้พยากรณ์ด้วยดวงดาว แต่พยากรณ์ด้วยข้อเท็จจริง

ทุนนิยมประสพภาวะตกต่ำมาเป็นระยะ เป็นวงจร หนักขึ้น แรงขึ้น ตามฟองสบู่ที่โป่งออก

ความจริงภาพมายานี้ มองออกได้ไม่ยาก หากเราไม่ได้มองผ่านม่านพรางตาของทุนนิยม

คนรวยทุกวันนี้ ไม่ได้ทำงานทำการอะไร ไม่ได้ขุดดินถางหญ้าเลี้ยงสัตว์ เพียงแต่เอาเศษกระดาษที่เรียกว่าเงิน หรือตัวเลขในบัญชีที่บอกว่าเขามีเงินเท่าไหร่ มาเป็นทุนในการเรียกเงินให้มากขึ้น

เงินนั้นกินไม่ได้ ไม่เชื่อลองเองเงินยัดปากแล้วเคี้ยว จะพบว่าถอนหญ้ามากิน อร่อยกว่า 

มันวิปริตผิดธรรมชาติ คนที่ทำมาหากินจริงๆ กลับยากจน แต่คนที่นั่งปั่นตัวเลขกลับรวยเอาๆ

สังคมแบบนี้ ไม่มีทางยั่งยืน สุดท้ายก็ล่ม

อเมริกา ประสบภาวะเสื่อมถอยทางทุนนิยมมาหลายหน ทางแก้ก็คือ โยนขี้ไปให้คนอื่น  ก่อสงคราม สร้างความวุ่นวาย กอบโกยจากประเทศด้อยพัฒนา แต่มันก็มีที่สุด มันต้องมีวันจบ

และวันนั้นก็มาถึงแล้ว เศรษฐกิจจะไม่ฟื้นไปไหนได้แล้วค่ะ เพราะวิกฤติคราวนี้มาพร้อมๆกัน  ทุนล่มสลาย พลังงานราคาแพง ทรัพยากรณ์ธรรมชาติร่อยหรอ และที่สำคัญเหนืออื่นใด

โลกร้อน

หากจะถามว่าโลกร้อนเพราะอะไร คำตอยหนึ่งก็คือ ร้อนเพราะทุนนิยมสามานย์นั่นเอง  ยิ่งดำเนินระบบเลวทรามนี้ไปเรื่อยๆ โลกก็จะร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนพินาศในที่สุด

วันชื่นคืนสุข ของคนละโมบ หมดไปแล้วค่ะ  เลิกฝันถึงเศรษฐกิจรุ่งเรืองได้แล้ว มันอาจจะเงยหัวขึ้นได้เป็นพักๆ ด้วยการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า แล้วสุดท้ายมันจะสิ้นใจอย่างอนาถ

จะบ้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือสนองตอบต่อความต้องการการใช้ไฟฟ้าของประชาชน ที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกปี  ฟุ่ยยยย  บ้าไม่เลิก   
บันทึกการเข้า
วิหค อัสนี
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 946



« ตอบ #15 เมื่อ: 01-02-2008, 21:32 »

เอาแล้วไง...


อย่างที่หลายๆ ท่านว่าล่ะครับ พยายามยึดหลักความพอเพียงเอาไว้ พิจารณาให้ขึ้นใจว่า

"เงินทองเป็นมายา ข้าวปลาเป็นของจริง"

ต่อจากนี้ อะไรก็ตามที่ไร้แก่นสารแท้จริง อะไรที่สร้างอยู่บนรากฐานที่ไม่มั่นคง กำลังจะถูกรื้อถอนอย่างไม่ปราณี...

(และโดยไม่สนใจด้วยว่าจะมีคนมากมายเห่อเหิมชื่นชมอยู่สักกี่ร้อยล้านเสียง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2008, 21:35 โดย QuaOs » บันทึกการเข้า

_______ดังนี้แล
__เปลวไฟจักลุกโชน
___หามีวันดับลงได้
_ตราบที่ในมือพวกสูเจ้า
ยังแต่น้ำมันเตาให้ราดรดไป
โต มิ โต โชว์ ดะ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 225


« ตอบ #16 เมื่อ: 01-02-2008, 21:39 »

ประเทศเรายังมีเครดิตตั้งเยอะแยะ


เอาน่าเดี๋ยวเค้าก็เปียแชร์จนรอบวงให้ประชาชนมาจ่ายดอกได้น่า
บันทึกการเข้า
Albert Einsteins
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 146



« ตอบ #17 เมื่อ: 01-02-2008, 22:39 »

แต่ผมมีมุมมองอีกแบบคือสหรัฐกำลังกดปัญหาไม่ให้มันบานปลาย
การขาดดุลงบประมาณมหาศาล อัตราว่างงานที่สูง ต้นทุนที่แพงขึ้นในสหรัฐนั้น
มีความจำเป็นต้องการเม์ดเงินลงทุนใหม่ๆ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ทั้งต่อรัฐบาลและประชาชน
ดังนั้นเมื่อมีการลดดอกเบี้ย ย่อมเร่งให้เกิดการลงทุนเนื่องจากต้นทุนในการลงทุนลดลง
ผมว่าทุนจะไหลเข้าอเมริกา ไปช๊อปปิ้งสินทรัพย์ที่ราคาตกต่ำ ยิ่งค่าเงินที่อ่อนตัวลง
ย่อมได้ประโยชน์ในการเข้าไปลงทุนในสหรัฐของนักลงทุน
หากนักลงทุนเมิน เงินไหลอัดเข้าไม่เต็มที่ทั้งที่ลดดอกเบี้ยแรงๆขนาดนี้
แน่นอนสหรัฐต้องปั๊มเงินออกมาอีก ขาดดุลเพิ่มขึ้นอีก
ค่าเงินจะยิ่งอ่อนตัวลงไปอีกอย่างรุนแรง
ถึงตอนนั้นเราอาจเห็นค่าเงินเรากลับไปที่ยี่สิบห้าบาท
(ค่าเงินปีนี้ผมว่าคงจะอยู่แถวสามสิบ-สามสิบเอ็ดบาท)


แน่นอนทุนบางส่วนไหลเข้ามาแน่ๆที่บ้านเราเพราะเงินทุนที่มีล้นโลก
แต่ผมมองว่าเป็นทุนระยะสั้นจาก Fund Flow มากกว่าจะเป็น Foreign Direct Investment ที่เป็นทุนระยะยาว
ผมจึงห่วงว่าเราจะเอาค่าเงินไม่อยู่เพราะจะขึ้นลงเร็ว รุนแรง
มันมีผลต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ

ไม่เถียงครับที่ภายใต้วิกฤตมักมีโอกาสเสมอ
เมื่อมีเงินทุนไหลเข้าใน หรือ เราไปกู้้ยืมในตลาดโลกในต้นทุนที่ต่ำ
สิ่งที่ควรทำคือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ยกระดับเศรษฐกิจ
โดยการย้ายฐานการผลิตที่กำไรน้อยไปที่อื่น เร่งสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่ก้าวหน้ากว่า กำไรมากกว่า
เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและลดต้นทุน
เช่นระบบ Logistic ที่ลดการพึ่งพาระบบน้ำมัน ลดค่าขนส่งต่อหน่วย
หรือการเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย แปรรูปสินค้าวัตถุดิบเพื่อขายแพงขี้น
เร่งสร้่างคนรองรับการแข่งขัน
คุ้นกันไหมครับกับข้างบน
เราเคยทำในยุคพลเอกเปรม และ ก็มีนักการเมืองเสนอให้เราในยุคนี้


เรื่องอื่นๆ แสดงความเห็นไปแล้วฮะ

 


บันทึกการเข้า
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #18 เมื่อ: 01-02-2008, 23:42 »

สมัยทศวรรษ 80 ที่สหรัฐมีปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนยวบยาบ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นและยุโรปที่ร่ำรวยมหาศาล ขนเงินเข้าไปซื้ออสังหาฯราคาถูกเอาไว้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ในย่านที่แพงเป็นทองคำอย่างในนิวยอร์ค เกาะแมนฮัตตัน ซึ่งทำให้อเมริกามีเงินไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจระบอบทุนนิยมของพวกต่อไป จังหวะดีที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคดิจิตอล-ไอที ซึ่งอเมริกาได้ขายนวัตกรรมเหล่านี้เอาเงินกลับเข้าประเทศได้มากมายมหาศาล ในที่สุดก็สามารถพลิกฟื้นขึ้นมาแล้วมีเงินไปซื้อทรัพย์สินส่วนใหญ่คืนมาได้อีก

ผมมองว่าครั้งนี้มันเป็นวงรอบเศรษฐกิจโลกอีกวงรอบหนึ่ง อเมริกายังคงเป็นแกนหลักอยู่แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งเป็นมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวเหมือนกับตอนสมัยชนะสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต ต่างกันตรงที่ว่ามีผู้เล่นหน้าใหม่อย่างจีนและอินเดียเข้ามาเล่นด้วย ในขณะที่บทบาทของญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปแผ่วลงไปบ้าง

ส่วนบทบาทของไทยในเวทีโลกก็ยังคงเป็นตัวประกอบหน้าเดิม เนื่องจากไม่สามารถผ่านสันดอนขึ้นมาเป็นเสือตัวใหม่ของเอเชียได้อย่างที่เคยคาดหวังไว้เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ตอนนี้ก็คงต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก รัฐบาลต้องพยายามร่วมมือกับภาคกับเอกชนเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทุกระดับเท่านั้น จึงจะฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ถ้าจะมาไล่โกงกันเอาเปรียบกันเองอยู่ในประเทศแบบที่ไอ้เหลี่ยมกับพวกทำไว้ในช่วงที่เรืองอำนาจอยู่ คราวนี้คงถึงกาลวิบัติแน่ครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: