ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
30-11-2024, 18:39
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  ซัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ 0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ซัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ  (อ่าน 12796 ครั้ง)
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« เมื่อ: 19-07-2006, 17:08 »





คำนำสำนักพิมพ์

เมื่อกองทัพของจีนคอมมิวนิสต์บุกเข้ายึดคริงธิเบตนั้น ในด้านหนึ่งนับเป็นความสูญเสีย
อย่างใหญ่หลวงของธิเบต แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นโอกาสให้ธิเบตนำศาสนาและวัตนธรรม
อันลึกซึ้งของตนเอง ออกไปเผยแพร่แก่โลกภายนอกอย่างไม่เคยมีมาก่อน พุทธศาสนา
อย่างธิเบตไม่เพียงแต่ย้ายที่มั่นไปอยู่ ณ อินเดีย หากยังเผยแพร่ไปสู่โลกตะวันตกโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และได้รับความนิยมเป็นอันมาก เช่นเดียวกับเซนจากญี่ปุ่น ซึ่งแพร่
หลายอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทั้งนี้ด้วยความสามารถของผู้นำศาสนาของธิเบตนั่นเอง
ในบรรดาผู้ศาสนาของธิเบตที่ได้รับความนิยม ที่มีอิทธิพลถึงคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมากมีสอง
ท่าน คือ ทารถัง ตุลกุ และ เชอเกรียม ตรุงปะ สำหรับท่านแรกนั้นมีลีลาการแสดงธรรมอย่าง
เรียบๆ ง่ายๆ ดังที่มูลนิธิ ได้เคยเสนอผลงานบางชิ้นของท่านออกสู่พากษ์ไทยด้วยแล้ว ในชื่อ
ดุลยภาพแห่งชีวิต (วัชรา ทรัพย์สุวรรณ แปลจาก Gesture of Balance)
ส่วนท่านหลังนั้นตรงกันข้าม คือมีลีลาการเทศนาและเขียนที่มีชั้นเชิงน่าสนใจไปอีกแนวหนึ่ง
ทั้งยังมีปฏิปทาบางอย่างที่ท้าทายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากด้วย และมูลนิธิ ก็ได้เคยจัด
พิมพ์ผลงานชิ้นนั้นของท่านเผยแพร่มาแล้วเช่นกัน ในชื่อ ลิงหลอกเจ้า : ลอกคราบวัตถุนิยม
ทางศาสนา(วีระ สมบูรณ์ และ พจนาถ จันทรสันติ แปลจาก Cutting Through
Spiritual Materialism)


หนังสือ ซัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบนี้ แปลจากเรื่อง Shambhala : The
Sacred Path of the Warrior ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องล่าสุดของเชอเกียม
ตรุงปะแล้ว ยังเป็นเล่มสุดท้ายก่อนสิ้นชีพอีกด้วย จึงนับเป็นหนังสือที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่ง เนื้อหา
ในเล่มนอกจากจะกล่าวถึงความจริงแท้และความดีงามในตัวของปัจเจกบุคคลที่สามารถฝึกฝนตน
ให้สมบูรณ์พร้อมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน มีชีวิตชีวา อาจหาญและลุ่มลึก จนเข้าถึงการดำรงอยู่
อย่างแท้จริงและกว้างใหญ่ไพศาล พร้อมกับให้หลักการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอนจนถึงจุดหมาย และ
ให้คุณลักษณะของนักรบอาจารณ์ผู้นำทางเป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์ไว้แล้ว ยังให้ความรู้เกี่ยวกับ
ธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมความเชื่อแต่โบราณของธิเบต สอดแทรกอยู่ด้วยอย่างน่าติดตาม
อีกทั้งยังได้ผู้แปลซึ่งนอกจากมีความสามารถทางอักษรศาสตร์แล้ว ก็ยังมีศรัทธาปสาทะในชีวิตการ
แสวงหา บรรจงแปลไห้อย่างดี หนังสือเล่มนี้จึงควรแก่การลิ้มลองอย่างยิ่ง

สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #1 เมื่อ: 19-07-2006, 17:12 »




หมายเหตุ ตอนแรกท่านบวช แล้วสึกมาเป็นฆราวาส เผยแพร่ธรรม ครับป๋ม อย่า งง

ประวัติผู้เขียน

เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ได้ก่อตั้งชมรมชาวพุทธผู้ภาวนาขึ้น หลายแห่งในอเมริกาเหนือ
ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดคือกรรม ซอง ในบุลเดอร์ โคโรลาโด และ กาเม โนหลิง ในบาร์เนต เวอร์
มอน ท่านยังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันนโรปะ อันเป็นสถานศึกษา ซึ่งนักศึกษาอาจค้นคว้าภูมิ
ปัญญาแบบพุทธควบคู่ไปกับภูมิปัญญาของตะวันตก ในฐานะผู้อำนวยการและครูใหญ่ใน
สถานศึกษาแห่งนี้ ท่านยังเป็นทั้งกัลยาณมิตรและเป็นครูวิปัสสนาของนักศึกษาจำนวนมาก
ในฐานะที่ท่านถูกนับเนื่องเป็นอวตารชาติที่สิบเอ็ดของตรุงปะ ตุลกุ ในวัยเด็ก ท่านจึงได้รับ
การอบรมบ่มเพาะอย่างเข้มงวด เพื่อให้สืบทอดเป็นเจ้าอาวาสอารามเชอร์มังในธิเบตตะวัน
ออก หลังจากผ่านการฝึกฝนอบรมอย่างหนัก ท่านก็ได้รับการอภิเษกให้สืบทอดเป็นธรรม
ทายาทของมิลาเรปะและปัทมสัมภาวะ ท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและปรัชญาตาม
แนวทางสายกาคิวและยิงมาจนเจนจัด

ตรุงปะ จำต้องอพยพลี้ภัยออกจากแผ่นดินถิ่นเกิดเมื่อครั้งที่จีนคอมมิวนิสต์ ได้เข้ายึดครอง
ธิเบตเมื่อปี ๑๙๕๙ หลังจากได้พำนักอยู่ในอินเดียเป็นเวลา ๓ ปี ท่านได้เดินทางไปประเทศ
อังกฤษเพื่อศึกษาศาสนาเปรียบเทียบและจิตวิทยา ณ มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด สี่ปีหลังจากนั้น
ท่านได้ก่อตั้งศูนย์ศึกษาพุทธศาสนาแบบธิเบตและภาวนาขึ้นในโลกตะวันตกเป็นแห่งแรก นั่น
คือสัมเย หลิงในสกอตแลนด์ ตรุงปะได้ไปเยือนอเมริกาเหนือในปี ๑๙๗0 และด้วยเหตุที่มี
ผู้สนใจในคำสอนของท่านเป็นจำนวนมาก ท่านจึงได้ตัดสินใจพำนักอยู่ในประเทศนั้น

ท่านได้ตระเวณไปทั่วสหรัฐอเมริกา และ แคนาดา เข้าร่วมสัมมนาและแสดงปฐกถาธรรม
ท่านยังได้เขียนหนังสือขึ้นหลายเล่ม เป็นอัตชีวประวัติเล่มหนึ่งชื่อว่า Born in Tibet
นอกจาก นั้นยังมีงานทางด้านพุทธธรรมหลายเล่ม อาทิเช่น มุทรา :Cutting Through
Spiritual Materialism ( ลิงหลอกเจ้า : ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ) ;
Meditation in Action ; The Myth of Freedom ; Journey
Without Goals ; The Tibetan Book of theDead และ Shambhala :
The Sacred Path of the Warior.

ตรุงปะถึงแก่กรรมเมื่อ ๔ เมษายน ๑๙๘๗ มีอายุเพียง ๔๗ ปี
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #2 เมื่อ: 19-07-2006, 17:14 »




คำนำ

ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ได้นำเสนอ ญาณทัศนะซัมบาลาไว้ในหนังสือเล่มนี้ สารัตถธรรมนี้เองคือสิ่ง
ที่โลกกระหายและต้องการ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าจะต้องกล่าวไว้อย่างชัดเจนในที่นี้ว่า เนื้อหา
สาระในหนังสือเล่มนี้ มิได้เผยถึงความลี้ลับประการใด ๆ แห่งพุทธศาสนาสายตันตระ ซึ่งสืบ
เนื่องอยู่ในหลักธรรมคำสอนของซัมบาลา ทั้งมิได้นำเสนอถึงหลักปรัชญาของกาลจักร หากทว่า
หนังสือเล่มนี้คือคู่มือของบรรดาผู้คน ซึ่งได้หลงลืมหลักการแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เกียรติภูมิและ
ความเป็นนักรบในชีวิตของตน เนื้อหาของหนังสือจึงยืนพื้นอยู่บนหลักการของนักรบ ซึ่งแฝงเร้น
อยู่ในอารยธรรมโบราณของอินเดีย ธิเบต จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่า จะขัดเกลา
วิถีชีวิตของตนได้อย่างไร และจะก่อเกิดความหมายที่แท้จริงของนักรบขึ้นมาได้อย่างไร มันได้รับ
แรงบันดาลใจมาจากแบบฉบับและปรีชาญาณของมหาราชธิเบตองค์หนึ่งคือ เกซาร์ แห่งหลิง
จากความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงและ ความไม่หวาดหวั่นของพระองค์ รวมถึงการที่ทรงมีชัยต่อความ
ป่าเถื่อน โดยใช้หลักการแห่ง พยัคฆ์ ราชสีห์ ครุฑ มังกร ซึ่งได้กล่าวถึงแล้วในหนังสือเล่มนี้
ในฐานะของเกียรติภูมิสี่ประการ

ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ในอดีตได้มีโอกาส นำเสนอถึงปรีชาญาณและ
เกียรติภูมิแห่งชีวิตมนุษย์ ภายใต้แนวคิดของหลักธรรมคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา ทว่าบัดนี้
ก็ยังรู้สึกยินดีที่จะได้นำเสนอหลักการนักรบซัมบาลาเป็นที่สุด ทั้งชี้ให้เห็นว่า เราอาจประพฤติ
ตนเยี่ยงอย่างนักรบ โดยปราศจากความหวาดหวั่น และ เต็มไปด้วยความเบิกบานได้อย่างไร
โดยไม่จำเป็นต้องทำร้ายกันและกัน โดยนัยนี้เองที่ญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่จะได้
รับการฟูมฟักขึ้นมา และดวงใจทุก ๆ ดวงก็จะประจักษ์แจ้งถึงความดีงามอย่างไม่ต้องสงสัย

ดอราจ ดราดุล แห่งมุกโป
บุลเดอร์ โคโลราโด
สิงหาคม ๑๙๘๓
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #3 เมื่อ: 19-07-2006, 17:16 »



โอม ! ท่านผู้ปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ
ผู้ครอบครองความรุ่งรุ่งโรจน์ของพยัคฆ์ ราชสีห์ ครุฑ และ มังกร
ผู้ครองครองความเชื่อมั่นอันเปี่ยมล้นเกินถ้อยคำ
ข้าขอกราบประณต  ณ  เบื้องบาทแห่งองค์จักรพรรดิริกเดน



จากกระจกเงาอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล
ซึ่งปราศจากจุดเริ่มต้นและไร้จุดจบ
สังคมมนุษย์ก็อุบัติขึ้นมา
ในครั้งนั้น การหลุดพ้นและความสับสนก็อุบัติขึ้นด้วย
เมื่อมีความกลัวและความสับสนสงสัย
เกิดขึ้นกับความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล
ผู้คนอันขาดเขลาจำนวนมากก็อุบัติขึ้น
เมื่อความเชื่อมั่นซึ่งเป็นอิสระแต่ปฐมกาล
ได้รับการยอมรับและดำเนินตาม
นักรบจำนวนมากก็อุบัติขึ้น
ผู้คนอันขลาดเขลามากมายเหล่านั้น
พากันซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำเถื่อนพงไพร
ฆ่าพี่น้องและกัดกินเนื้อกันเอง
ต่างประพฤติเยี่ยงอย่างสัตว์
ต่างกระตุ้นเร้าความป่าเถื่อนในกันและกัน
ต่างมีชีวิตอยู่เยี่ยงนี้
เขาหล่อเลี้ยงและสุมไฟแห่งความเกลียดชังไว้
เขากวนสายน้ำแห่งราคะให้ขุ่นข้นตลอดเวลา
เขาเกลือกกลิ้งอยู่ในโคลนตมแห่งความเกลียดคร้าน
ยุคสมัยแห่งความอดอยากและโรคระบาดก็อุบัติขึ้น
สำหรับผู้ที่อุทิศตนแด่ความเชื่อมั่นแห่งปฐมกาล
เหล่านักรบมากมายเหล่านั้น
บ้างก็ขึ้นสู่ที่สูงบนภูเขา
และสร้างปราสาทแก้วผลึกอันงดงามขึ้นที่นั่น
บ้างก็ไปสู่ดินแดนแห่งทะเลสาบและเกาะแก่งอันงดงาม
และสถาปนาเวียงวังอันน่ารื่นรมย์ขึ้น
บ้างก็ลงสู่ที่ราบลุ่ม
การเกษตรเพาะปลูกข้าวเจ้า ข้าวบารืเลย์และข้าวสาลี
ต่างอยู่ร่วมกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้ง
มีแต่ความรักใคร่และเอื้อเฟื้อแบ่งปัน
โดยไม่ต้องมีใครมากระตุ้นเตือน
ผ่านความลี้ลับสุดหยั่งถึงซึ่งการดำรงอยู่ด้วยตนเอง
เขาต่างอุทิศตนต่อจักรพรรดิริกเดน .
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2006, 10:17 โดย โอสถ » บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #4 เมื่อ: 19-07-2006, 17:19 »



เอา สารบาญ มายั่ว จะพิมพ์ให้อ่าน เรื่อยๆ ตาม เวลา ดินฟ้าอากาศ

ภาค ๑ จะเป็นนักรบได้อย่างไร

บทที่ ๑ สร้างสังคมอริยะ
บทที่ ๒ ค้นหารากฐานแห่งความดีงาม
บทที่ ๓ ใจเศร้าที่แท้จริง
บทที่ ๔ ความกลัวกับความไม่หวาดหวั่น
บทที่ ๕ ประสานจิตกับกาย
บทที่ ๖ รุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
บทที่ ๗ รังดักแด้
บทที่ ๘ การตัดทอนและความกล้า
บทที่ ๙ เฉลิมฉลองการเดินทาง
บทที่ ๑o ปล่อยให้เป็นไป

ภาค ๒ ความศักดิ์สิทธิ์ : โลกของนักรบ

บทที่ ๑๑ ปัจจุบันขณะ
บทที่ ๑๒ ค้นหาอำนาจวิเศษ
บทที่ ๑๓ จะปลุกอำนาจวิเศษขึ้นมาได้อย่างไร
บทที่ ๑๔ เอาชนะความหยิ่งยโส
บทที่ ๑๕ เอาชนะนิสัยและความเคยชิน
บทที่ ๑๖ โลกศักดิ์สิทธิ์
บทที่ ๑๗ ระบบธรรมชาติ
บทที่ ๑๘ จะปกครองอย่างไร

ภาค ๓ ปัจจุบันขณะอันแท้จริง

บทที่ ๑๙ กษัตราธิราช
บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
บทที่ ๒๑ สืบสายสกุลซัมบาลา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2006, 17:25 โดย โอสถ » บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #5 เมื่อ: 19-07-2006, 17:23 »




บทที่ ๑ สร้างสังคมอริยะ

" คำสอนของซัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มีปรีชาญาณ
อันเป็นรากฐานของมนุษย์อยู่ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายปัญหา
ของโลกได้ ปรีชาญาณประการนี้มิได้ เป็นสมบัติเฉพาะ
ของวัฒนธรรมใด หรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจาก
ตะวันตกหรือตะวันออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของ
นักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่าง ๆ
ตลอดช่วงกาลเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ "

เช่นเดียวกับประเทศทางเอเชียหลายประเทศ ในธิเบตก็เช่นกัน มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ
อาณาจักรในฝัน ซึ่งเป็นต้นตอแห่งศิลปศาสตร์และอารยธรรมของสังคมเอเชียปัจจุบัน
ตามตำนานเล่าว่า อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรือง ซึ่งปกครอง
โดยผู้ปกครองทรงสติปัญญาและการุณ ทั้งอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนรอบรู้และเมตตาปราณี
ดังนั้นเองอาณาจักรนี้จึงเป็นสังคมในอุดมคติ สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า ซัมบาลา


เล่ากันว่าพุทธศาสนาได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมซัมบาลา ตามตำนาน
กล่าวว่า ศากยมุณีพุทธได้แสดงธรรมว่าด้วยตันตระขั้นสูงแก่ดาวะ สังโปปฐมกษัตริย์แห่ง
ซัมบาลา บรรดาพระธรรมเหล่านี้ได้สืบทอดกันมาเป็น " กาลจักรตันตระ " ซึ่งถือว่าเป็น
ปรีชาญาณที่ลึกซึ้งที่สุดของพุทธศาสนาแบบธิเบต หลังจากองค์กษัตริย์ได้สดับพระธรรม
เทศนาเหล่านี้แล้ว เล่ากันว่าบรรดาอาณาประชาราษฎร์แห่งซัมบาลาต่างพากันปฏิบัติสมาธิ
ภาวนาและดำเนินชีวิตตามพุทธมรรคา ด้วยการมีเมตตาจิตและเอาใจใส่ทุกข์สุขของสัตว์ทั้ง
หลาย โดยนัยนี้เอง ไม่เพียงผู้ปกครองเท่านั้น แต่บรรดาทวยราษฎร์ในอาณาจักรล้วนแล้วเป็น
อริยบุคคลผู้มีใจสูงทั้งสิ้น


ในหมู่ชาวธิเบต มีความเชื่อว่าอาณาจักรซัมบาลานี้ยังดำรงอยู่ซ่อนเร้นอยู่หุบเขาอันลี้ลับใน
เทือกเขาหิมาลัย ทั้งยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งบรรยายถึงสถานที่ตั้งและทิศทาง
ที่จะไปสู่ซัมบาลา ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเลอะเลือนมาก จนกระทั่งมีผู้สงสัยว่านี่จะถือเป็นจริงหรือ
เป็นเพียงข้อมูลเปรียบเปรยเท่านั้น ทั้งยังมีคัมภีร์หลายฉบับซึ่งบรรยายอย่างละเอียดลออถึง
อาณาจักรแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นตามที่อ้างอิงอยู่ใน " มหาอรรถกถาแห่งกาลจักร " ซึ่งเขียนโดย
มิฟัม คุรุ ผู้มีชื่อเสียงในสมัยศตวรรษที่สิบเก้า ดินแดนซัมบาลานี้อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำสิตะ
ดินแดนแห่งนี้ ถูกแบ่งออกโดยแนวเทือกเขาทั้งแปด พระราชวังของริกเดนหรือราชันผู้ปกครอง
ซัมบาลานั้น สร้างอยู่บนยอดเขาทรงกลมซึ่งตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางดินแดน มิฟัมบอกต่อไปว่า ขุนเขา
ลูกนี้ชื่อไกรลาส พระราชวังซึ่งมีชื่อว่ากัลปะกว้างยาวหลายร้อยเส้น เบื้องหน้าพระราชวังทางทิศ
ใต้มีสวนรุกขชาติอันงดงามที่มีชื่อว่ามาลัย ตรงกึ่งกลางสวนรุกขชาตินี้มีวิหารซึ่งสร้างอุทิศถวาย
แด่กาลจักรโดย ดาวะ สังโป


ตามตำนานอื่นๆ กลับกล่าวว่า อาณาจักรซัมบาลานี้ได้สาปสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว มาถึง
จุดหนึ่งเมื่อทั้งราชอาณาจักรได้บรรลุถึงการตรัสรู้ จึงได้สูญสลายไปดำรงอยู่ในมิติอื่น ตามตำนาน
กล่าวว่า กษัตริย์ริกเดนแห่งซัมบาลายังคงเฝ้าดูกิจกรรมทั้งมวลของมุนษย์โลกอยู่ แล้วสักวันหนึ่ง
จะลงมาช่วยมนุษย์ชาติให้รอดพ้นหายนะ ยังมีชาวธิเบตอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่
กษัตริย์เกซาร์ แห่งหลิง ทรงได้รับแรงบันดาลใจและได้รับการชี้นำจากกษัตริย์ริกเดน และปรีชา
ญาณแห่งซัมบาลานี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่าอาณาจักรซัมบาลาดำรงอยู่ในมิติอื่น เพราะ
เชื่อกันว่าเกซาร์ก็ไม่เคยเดินทางไปซัมบาลา ดังนั้นสายสัมพันธ์แห่งซัมบาลาจึงเป็นเรื่องของ
การเชื่อมโยงทางภาวะธรรม ราชันเกซาร์มีชีวิตอยู่ประมาณศตวรรษที่สิบเอ็ด และได้ปกครอง
แว่นแค้วนหลิง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดคัมธิเบตตะวันออก จากรัชสมัยนี้เอง จึงอุบัติเรื่องราวมากมาย
เกี่ยวกับปรีชาสามารถทั้งในแง่ของการศึกษาและการปกครอง เล่าขานกันไปทั้งธิเบต กลายเป็น
มหากาพย์อันยิ่งใหญ่ของวรรณกรรมธิเบต บางตำนานก็กล่าวว่าเกซาร์จะปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง
จากซัมบาลา นำทัพมาปราบมารและพลังมืดดำของโลก


เมื่อไม่นานมานี้ มีนักวิชาการตะวันตกบางคนได้สันนิษฐานว่า อาณาจักรซัมบาลาอาจจะเป็น
อาณาจักรโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งมีบันทึกอยู่เอกสารทางประวัติศาสตร์ ดังเช่น อาณาจักร
ชางชุงในเอเชียกลาง อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการหลายคนที่เชื่อว่าเรื่องราวเกี่ยวกับซัมบาลา
เป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่ไม่เป็นจริง แต่ในขณะที่อาจสรุปกันง่าย ๆ ว่าอาณาจักรนี้เป็นเรื่อง
โกหกทั้งเพนั้น เราก็อาจเห็นได้ชัดถึงร่องรอยของความปรารถนาของมนุษย์ อันฝังรากแน่น
อยู่ในสิ่งสูงและชีวิตอันดีงาม ซึ่งแสดงออกผ่านตำนานนี้ ที่จริงแล้วในบรรดาคุรุธิเบตหลาย
ท่านมีประเพณีซึ่งถือว่าอาณาจักรซัมบาลามิใช่สถานที่ซึ่งดำรงอยู่ภายนอกหากเป็นรากฐาน
ของสภาวะการหยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน
จากทัศนะนี้เอง จึงไม่สำคัญว่าอาณาจักรณ์ซัมบาลาเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากควรที่เราจะเห็น
คุณค่า และดำเนินตามอุดมคติของสังคมอริยะซึ่งแสดงนัยอยู่


ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่าน ข้าพเจ้าได้นำเสนอข้อเขียนที่ว่า " คำสอนของซัมบาลา " ซึ่งใช้ภาพของอา
ณาจักรซัมบาลาเพื่อแสดงถึงอุดมคติของการตรัสรู้ซึ่งปราศจากลัทธินิกาย นั่นก็คือ เสนอให้
เห็นถึงความเป็นไปได้ ของการยกระดับจิตวิญญาณของตนและของผู้อื่น โดยไม่ต้องอาศัยแนว
ทางหรือญาณทัศนะของศาสนาใด เพราะแม้ว่าสายความคิดของซัมบาลาจะยืนพื้นอยู่บนหลัก
คิดและความนุ่มนวลของวัฒนธรรมแบบพุทธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีรากฐานที่เป็นอิสระ
ของตนเอง ซึ่งมุ่งตรงสู่การขัดเกลาให้เป็นมุนษย์ที่แท้ สังคมมนุษย์ปัจจุบันต้องเผชิญหน้ากับ
ปัญหาอันหนักหน่วงนานับประการ จึงดูยิ่งจำเป็นจะต้องแสวงหาแนวทางอันเรียบง่ายและไร้
ลัทธิ เพื่อนำมาปฏิบัติและแบ่งปันประสบการณ์นั้นร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นเองคำสอนซัมบาลาหรือ
" ญาณทัศนะซัมบาลา " ซึ่งเรียกกันอย่างกว้าง ๆ ตามนัยนี้ จึงเป็นเสมือนความพยายามอันหนึ่ง
ที่จะผลักดันเกื้อหนุนให้ไปสู่ภาวะการดำรงอยู่อันสมบูรณ์สำหรับตัวเราและผู้อื่นด้วย


สภาวะการของโลกปัจจุบันคือต้นตอแห่งความกังวลห่วงใยของเราทุกคน เป็นต้นว่า ความน่า
หวาดเสียวของสงครามปรมาณู ความยากจนที่แผ่ลุกลามออกไป ความไม่มั่นคงทางภาวะเศรษ
ฐกิจ ความปั่นป่วนวุ่นวายของสภาพสังคมและการเมือง และความวิกลวิการทางจิตใจแบบต่าง ๆ
โลกนี้ล้วนตกอยู่ในความปั่นป่วนยุ่งเหยิง คำสอนของซัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มีปรีชาญาณ
อันเป็นรากฐานของมนุษย์อยู่ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายปัญหาทั้งหลายของโลกได้ ปรีชาญาณประการ
นี้มิได้เป็นสมบัติเฉพาะของวัฒนธรรมใดหรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจากตะวันตกหรือตะวัน
ออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของนักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่าง ๆ
ตลอดช่วงกาลเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์


ความเป็นนักรบในที่นี้มิได้หมายถึงการไปรบรากับผู้อื่น ความก้าวร้าวนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหา
ทั้งหลายแหล่ มิใช่การแก้ไข คำว่านักรบนี้มาจากภาษาธิเบตว่า ปาโว ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้กล้า"
ความเป็นนักรบตามนัยนี้จึงนับเป็นวัฒนธรรมแห่งความกล้าหาญของมุนษย์ หรือเป็นวัฒนธรรม
แห่งความไม่หวาดกลัว ชาวอเมริกันอินเดียนฝ่ายเหนือก็มีวัฒนธรรมดังกล่าว ทั้งในสังคมอเมริ
กันอินเดียนฝ่ายใต้ก็มีอยู่เช่นกัน ซามูไรในอุดมคติของญี่ปุ่นก็แสดงออกถึงปรีชาญาณของนักรบ
ด้วยเช่นกัน ทั้งในสังคมคริสเตียนของชาวตะวันตกก็มีแนวคิดเรื่องนักรบผู้เห็นธรรมอยู่ด้วย
กษัตริย์อาเธอร์นั้นเป็นตำนานซึ่งเป็นแบบฉบับของนักรบที่แท้จริงนวัฒนธรรมตะวันตก และเป็น
ผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ดังเช่นกษัตริย์เดวิด ก็เป็นแบบฉบับของนักรบซึ่งรู้จักกันดีใน
วัฒนธรรมของยิวและคริสเตียน บนโลกของเรานี้มีตัวอย่างของความเป็นนักรบอันเลอเลิศอยู่
มากมาย


กุญแจที่ไขสู่ความเป็นนักรบและหลักการเบื้องต้นของญาณทัศนะซัมบาลาก็คือการไม่กลัวความ
จริงในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว คำจำกัดความของความกล้าก็คือ "ไม่กลัวตัวเอง"
ญาณทัศนะซัมบาลาสอนดังนั้น เบื้องหน้าปัญหาอันยิ่งใหญ่ของโลกที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ เราก็
อาจหาญกล้าและเมตตาได้ในขณะเดียวกัน ญาณทัศนะซัมบาลาคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความเห็น
แก่ตัว เมื่อเราเริ่มกลัวตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็กลับเห็นแก่ตัวอย่าง
ร้ายกาจเราปรารถนาจะสร้างรังเล็ก ๆ ของตนขึ้น สร้างเปลือกขึ้นห่อหุ้มตัวเองเพื่อว่าเราจะได้
อยู่เพียงลำพังอย่างปลอดภัยในนั้น


ทว่าแท้จริงเราอาจกล้าได้มากกว่านั้น เราต้องพยายามคิดให้กว้างไกลออกไปกว่าบ้านของเรา
คิดให้ไกลออกไปกว่าไฟที่ลุกอยู่ในเตา ไกลกว่าการส่งลูกหลานไปเข้าโรงเรียนหริอการตื่นขึ้น
มาทำงานในตอนเช้า เราจะต้องพยายามขบคิดว่าเราจะสามารถช่วยโลกนี้ได้อย่างไรเพราะถ้า
เราไม่ช่วยแล้วก็จะไม่มีใครอื่นช่วยเลย เป็นภารกิจของเราที่จะต้องช่วย ในขณะเดียวกัน การ
ช่วยผู้อื่นก็มิได้หมายถึงการสละชีวิตส่วนตัวไป คุณไม่จำเป็นต้องลนลานรีบไปเป็นนายกเทศ
มนตรีหรือประธานาธิบดีเพื่อที่จะได้ช่วยผู้อื่น แต่คุณสามารถเริ่มต้นจากญาติมิตรและผู้คน
รอบ ๆ ตัว ที่จริงแล้วคุณอาจเริ่มต้นจากญาติมิตรและผู้คนรอบ ๆ ตัว ที่จริงแล้วคุณอาจเริ่มต้น
ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ข้อสำคัญก็คือต้องตระหนักอยุ่เสมอว่าคุณต้องไม่ทอดทิ้งภารกิจของตนเอง
คุณไม่อาจทำเป็นเพิกเฉยอยู่ได้ เพราะเหตุว่าโลกนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง


ในขณะที่ทุก ๆ คนต่างมีภาระรับผิดชอบที่จะต้องช่วยเหลือโลกแต่การณ์กลับจะเป็นว่าเราไป
ก่อกวนให้ยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น หากเราพยายามจะไปยัดเยียดความคิดของเราหรือยัดเยียดความ
ช่วยเหลือแก่ผู้อื่น มีคนไม่น้อยที่รู้ทฤษฎีว่าโลกต้องการสิ่งใดบ้าง คนบางคนคิดว่าโลกต้องการ
คอมมิวนิสต์ บางคนคิดว่าโลกต้องการประชาธิปไตย บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้โลกรอด
บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะทำลายล้างโลก คำสอนซัมบาลานั้นมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยน
โลกให้เข้าไปอยู่ในทฤษฎีใด ๆ รากแก้วของญาณทัศนะซัมบาลามีว่า ในการที่จะสถาปนาสังคม
อริยะสำหรับมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องค้นให้พบว่าเรามีของจริงสิ่งแท้อะไรอยู่ในตัวบ้าง ซึ่งอาจ
สามารถมอบให้แก่โลก นั่นก็คือเหตุแรกสุด เราจะต้องพยายามพิจารณาดูประสบการณ์ของเรา
ทั้งหมด เพื่อที่จะหยั่งเห็นให้ได้ว่าเรามีสิ่งมีค่าอะไรอยู่ในตัว ซึ่งจะสามารถช่วยยกระดับสภาวะ
ความเป็นอยู่ทั้งของตนเองและผู้อื่น


ถ้าเราตั้งใจมองอย่างปราศจากอคติ เราจะพบว่านอกเหนือจากปัญหาและความสับสนทั้งมวลที่
เรามีอยู่ นอกเหนือจากภาวะจิตและอารมณ์ที่ ขึ้นๆ ลงๆ แล้ว ยังมีบางสิ่งบางอย่างอันเป็นความ
ดีงามรากฐานของการเกิดมาเป็นมนุษย์ นอกเสียจากเราจะสามารถค้นพบถึงรากฐานแห่งความ
ดีงามในชีวิตของเราอันนั้น หาไม่เราก็มิอาจหวังที่จะช่วยเกื้อหนุนชีวิตของผู้อื่นไปในทางสุงได้
เลย ถ้าหากเราเป็นเพียงสัตว์โลกผู้โชคร้ายและน่าสงสาร เรายังจะสามารถฝันถึงสังคมอริยะได้
อยู่อีกหรือ


การค้นพบถึงความดีงามที่แท้จริง ย่อมเกิดจากการแลเห็นถึงคุณค่าความหมายของประสบการณ์
แม้ที่ธรรมดาสามัญที่สุด เรามิได้กำลังพูดถึงความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเกิดจากการที่เราหาเงินได้เป็นล้าน
หรือจากการเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือการซื้อบ้านใหม่ได้ แต่เรากำลังพูดถึงความดีงามรากฐาน
ของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือการบรรลุถึงสิ่งที่มุ่งหวัง เราได้สัมผัสถึงความ
ดีงามชั่วแวบหนึ่งอยู่เสมอ แต่เราพลาดที่จะประจักษ์แจ้งอย่างถ่องแท้ เมื่อเราแลเห็นสีสันอันสด
ใสนั้น เราก็กำลังเป็นประจักษ์พยานถึงแก่นสารอันดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวเรา เมื่อเราได้ยินเสียงอัน
ไพเราะ ก็เท่ากับเรากำลังสดับฟังแก่นแท้อันดีงามของเราเอง เมื่อเราก้าวออกไปสู่สายฝนเราย่อม
รู้สึกสะอาดสดชื่น และเมื่อเราเดินออกจากห้องที่อึดอัดปิดล้อม เราย่อมดื่มด่ำในอากาศสดชื่น
ที่พรั่งพรูเข้ามา เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยววินาที แต่มันล้วนเป็นประสบการณ์
ที่แท้จริงของความดีงาม มันอุบัติขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา แต่โดยปกติแล้วเรากลับไม่ใส่ใจ ถือว่า
เป็นเพียงสิ่งดาษ ๆ เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ทว่าตามหลักการซัมบาลาแล้ว กลับถือว่าจำ
เป็นยิ่งที่จะต้อง ตระหนักถึงและหยิบฉวยชั่วขณะเหล่านั้นไว้ ด้วยว่ามันแสดงออกถึงรากฐานแห่ง
อหิงสาและความสดใหม่ในชีวิตของเรา ซึ่งก็คือรากฐานแห่งความดีงามนั่นเอง


มนุษย์ทุกคนมีรากฐานแห่งธรรมชาติอันดีงามนี้อยู่ มันเป็นสิ่งที่เข้มข้นและชัดเจน ความดีงาม
นั้นบรรจุไว้ด้วยความอ่อนโยนและความละเอียดอ่อนอย่างล้นเหลือ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์
เราอาจร่วมเพศทั้งเราอาจสัมผัสใครบางคนอย่างอ่อนโยน เราอาจจุมพิตใครบางคนด้วยความ
รู้สึกเข้าอกเข้าใจอันละเอียดอ่อน เราอาจดื่มด่ำซาบซึ้งในความงาม อาจเห็นคุณค่าของสิ่งดีที่
สุดในโลกนี้ เราอาจชื่นชมในความสดใสกระจ่างของสีสันต่าง ๆ ในความเหลืองใสของสีเหลือง
ในความแดงจ้าของสีแดง ในความเขียวสดของสีเขียวและในความม่วงเข้มของสีม่วง ประสบ
การณ์ของเราล้วนจริงจังยิ่ง ในเมื่อสีเหลืองเป็นสีเหลือง เราจะสามารถบอกได้หรือว่ามันเป็น
สีแดง เพียงเพราะว่าไม่ชอบความเหลืองของมัน ถ้าทำดังนั้นก็เท่ากับบิดเบือนความจริง เมื่อ
เรามีแดดสว่างสดใสเราจะปฏิเสธมันโดยการกล่าวว่าแดดนั้นเป็นสิ่งเลวได้ละหรือ คิดหรือว่า
เราจะสามารถพูดดังนี้ได้ เมื่อใดก็ตามที่มีแดดส่องสว่างหรือมีหิมะตก เราทำได้ก็แต่เพียงตระ
หนักซึ้งถึงคุณค่าของมัน เมื่อเราตระหนักยอมรับได้ถึงความจริง สิ่งนั้นย่อมส่งผลถึงตัวเราด้วย
เราอาจต้องลุกขึ้นมาในยามเช้าหลังจากได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ถ้าหากเรามองออกไปนอก
หน้าต่างและได้เห็นดวงอาทิตย์ฉายแสง สิ่งที่เห็นอาจช่วยให้เรากระปรี้กระเปร่าขึ้น เราอาจเยียว
ยาตนเองให้หายจากความรู้สึกกดดันต่าง ๆ ถ้าเราตระหนักว่าโลกของเรานี้ดีงาม


การที่ว่าโลกนี้ดีงาม มิใช่เป็นเพียงความคิดอย่างผิวเผิน ทว่ามันดีเพราะเหตุที่เราสามารถสัมผัส
ถึงความดีงามของมัน เราอาจสัมผัสได้ว่าโลกของเรานี้สมบูรณ์และเที่ยงตรง ตรงไปตรงมาและ
จริงยิ่ง ด้วยเหตุว่าธรรมชาติพื้นฐานของเราดำเนินร่วมไปกับความดีงามของสถานการณ์ ศักย
ภาพของมนุษย์ ในเชิงภูมิปัญญาและความสง่างาม ย่อมมุ่งสู่การสัมผัสถึงความแจ่มกระจ่างของ
ฟากฟ้าสีครามสดใส สู่ความสดฉ่ำของท้องทุ่งเขียวขจี และความงามของแมกไม้และป่าเขา เรา
มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงอยู่กับความดีซึ่งอาจปลุกเราให้ตื่นขึ้นและทำให้เรารู้สึกดี ๆ อย่างแท้จริง
ญาณทัศนะซัมบาลาจึงมุ่งผสานเข้ากับศักยภาพของเราเพื่อปลุกให้เราตื่นขึ้น และตระหนักถึงสิ่ง
ดี ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งที่จริงมันได้เกิดขึ้นแล้วด้วยซ้ำ


กระนั้นก็ตาม ยังมีสิ่งที่น่ากังขาอยู่อีก คุณอาจจะสร้างสายใยเชื่อมโยงอย่างวิเศษกับโลกของคุณ
ได้ คุณอาจเห็นแสงแดดส่องสว่าง เห็นสีสันอันสดใส ได้ยินดนตรีอันไพเราะ ได้กินอาหารรสดีหรือ
อะไรก็ตามแต่ ทว่าการเห็นชั่วแวบถึงความดีงามเหล่านั้น จะสัมพันธ์กับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง
อยู่อย่างไรเล่า โดยนัยหนึ่ง คุณอาจรู้สึกว่า " ฉันต้องการจะได้ความดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวฉันและ
โลกแห่งปรากฎการณ์นั้นมา " ดังนั้นคุณจึงวิ่งพล่านเที่ยวเสาะหาหนทางที่จะครอบครองมันไว้
หรือหยาบยิ่งไปกว่านั้น คุณอาจพูดว่า " ถ้าอยากได้ จะขายเท่าไร ประสบการณ์นั้นงดงามมาก
ฉันอยากจะได้มันไว้ " ปัญหาของวิธีการชนิดนี้ก็คือ คุณจะไม่มีวันพึงพอใจแม้ว่าคุณจะได้สิ่งที่
ต้องการมา เพราะว่าคุณก็ยังคงมีความอยากอย่างรุนแรงอยู่นั่นเอง ถ้าคุณลองเดินไปตามถนน
สายที่ห้า คุณจะเห็นเรื่องน่าเศร้าใจทำนองนี้ คุณอาจจะกล่าวว่าผู้คนที่เดินซื้อของอยู่ตามถนน
สายที่ห้า ล้วนเป็นผู้มีรสนิยม ดังนั้น เขาจึงมีโอกาสที่จะตระหนักได้ถึงศักดิ์ศรีของความเป็น
มนุษย์ แต่อีกนัยหนึ่ง ก็ประหนึ่งว่าคนเหล่านั้นห่อมคลุมอยู่ด้วยหนาม เขาต้องการจะหยิบฉวย
มาครอบครองไว้ได้ให้ได้ มากขึ้นๆ


และแล้ว ก็ยังมีวิธีการอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการยอมหมอบราบคาบแก้ว หรือน้อมตนลงเพื่อเข้าถึง
ความดีงามชนิดนั้น มีใครบางคนบอกว่าเขาอาจทำให้คุณมีความสุขได้ ถ้าคุณเพียงแต่มอบชีวิต
ให้เขาจัดการ ถ้าหากคุณเชื่อเขาก็จะมอบความดีงามที่คุณต้องการให้ คุณอาจจจะเต็มใจยอมโกน
หัว หรือนุ่งห่มจีวร หรือกระทั่งยอมคลานบนพื้น หรือกินอาหารด้วยมือด้วยหวังจะเข้าถึงความดี
งาม คุณพร้อมที่จะแลกด้วยศักดิ์ศรีของตนเองและยอมตนเป็นทาส


สภาพทั้งสองอย่างล้วนเป็นความพยายามเพื่อจะเข้าถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดีงามและจริงแท้ ถ้า
คุณร่ำรวย คุณคงพร้อมที่จะเสียเงินมากมายเพื่อให้ได้มา หรือถ้าคุณจน คุณคงพร้อมที่จะอุทิศ
ชีวิตเพื่อมันแต่ทว่าวิธีการทั้งสองนั้นล้วนผิดพลาด


สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เมื่อเราเริ่มประจักษ์แจ้งถึงศักยภาพแห่งความดีงามในตนเอง เรามักจะถือ
เอาอาการค้นพบนี้เป็นจริงเป็นจังเกินไป เราอาจจะฆ่ากันเพื่อความดีงาม แม้กระทั่งยอมตาย
เพื่อความดีงาม เราปรารถมันอย่างสุดจิตสุดใจ แต่สิ่งที่เราขาดก็คืออารมณ์ขัน อารมณ์ขันในที่
นี้มิได้หมายถึงการเล่าเรื่องขำขัน หรือเป็นคนตลก หรือเที่ยววิพากษ์วิจารณ์คนอื่นและหัวเราะ
เยาะ อารมณ์ขันที่แท้จริงนั้นคือการสัมผัสอย่างแผ่วเบา มิใช่การปฏิเสธความจริงโดยสิ้นเชิง
หากแต่หมายถึงการชื่นชมในความจริงด้วยอาการอันนุ่มนวลแผ่วเบา รากฐานของญาณทัศนะ
ซัมบาลาก็คือ การค้นพบถึงอารมณ์ขันอันสมบูรณ์และจริงแท้ ค้นให้พบถึงสัมผัสแผ่วเบาของ
ความชื่นชมนั้น


ถ้าคุณลองมองดูตัวเอง ลองมองดูจิตใจมองดูกิจกรรมของตนเองคุณอาจจะได้อารมณ์ขันซึ่งสูญ
หายไปในอดีตกลับคืนมา จุดเริ่มต้นก็คือ คุณจะต้องเฝ้าดูความจริงอันธรรมดาสามัญในชีวิต
ประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นมีด เป็นส้อม จาน โทรศัพท์ เครื่องล้างจานหรือผ้าเช็ดตัว เฝ้าดูเจ้าสิ่งสามัญ
เหล่านี้แหละ มันไม่มีอะไรที่ดูลึกลับซับซ้อนหรือแปลกประหลาดหรอก แต่ถ้าหากไม่มีจุดเชื่อม
โยงระหว่างตัวคุณกับเหตุการณ์ธรรมดาสามัญในชีวิตเหล่านั้น ถ้าคุณมิได้เฝ้าดูวิถีชีวิตอันต่ำต้อย
สามัญนี้แล้ว คุณจะไม่มีวันได้ค้นพบอารมณ์ขัน หรือศักดิ์ศรี หรือแม้แต่ความจริงใจใด ๆ เลย


ไม่ว่าจะเป็นการหวีผม การแต่งตัว การล้างจาน กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งแห่งสติสัมปชัญญะ
มันล้วนเป็นหนทางที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับความจริง แน่นอน ส้อมคือส้อม คือเครื่องมือพื้น ๆ
สำหรับใช้ในการกิน แต่ในขณะเดียวกัน ในขยายปริมณฑลของสติสัมปชัญญะให้กว้างไกลออกไป
อาจจะขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ส้อมอย่างไรด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือญาณทัศนะซัมบาลานั้นก็คือความพยา
ยามที่จะกระตุ้นให้คุณประจักษ์ว่าคุณมีชีวิตอยู่อย่างไร มีความสัมพันธ์กับชีวิตสามัญอย่างไร


ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสภาวะที่ตื่นอยู่เป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีความสามารถที่จะเข้าใจความ
จริงได้ด้วย เรามิใช่ทาสของชีวิต หากเป็นอิสระ การเป็นอิสระในที่นี้มีความหมายง่าย ๆ ว่ามีร่าง
กายและจิตใจ ดังนั้นเราจึงสามารถยกระดับตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะสามารถกระทำร่วมกับความจริง
อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ถ้าเราเริ่มใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เราจะพบว่าจักรวาลทั้ง
หมด รวมถึงฤดูกาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหิมะน้ำตก น้ำแข็งหรือโคลนตม ต่างก็เต็มไปด้วยพลังอัน
ยิ่งใหญ่ ซึ่งกระทำการร่วมไปกับเรา ชีวิตคือปรากฎการณ์ที่น่าขบขัน แต่มันก็มิได้เยาะเย้ยเรา เรา
จะพบว่าในที่สุดเราจะสามารถจัดการกับโลกของเราได้ จัดการกับจักรวาลของเราอย่างเหมาะสม
และเต็มเปี่ยมด้วยอาการอันแยบยล


การค้นพบถึงความดีงามรากฐานนี้มิใช่ประสบการณ์ทางศาสนาโดยเฉพาะเจาะจง หากแต่เป็น
การประจักษ์ว่าเราสามารถสัมผัสและกระทำการร่วมกับความจริงได้โดยตรง คือโลกซึ่งเป็นจริง
ซึ่งเรามีชีวิตอยู่นั้นเอง การสัมผัสถึงความดีงามรากฐานในชีวิตของเรา ย่อมทำให้เรารู้สึกว่าเรา
เป็นผู้มีสติปัญญาใช้การได้ ทั้งโลกนั้ก้มิใช่ศัตรูของเรา เมื่อเรารู้สึกว่า ชีวิตของเรานั้นดีงามและ
ถูกทำนองคลองธรรม เราก็ไม่จำเป็นจะต้องหลอกตัวเองหรือลวงคนอื่นอีกต่อไป เราอาจแลดู
ชีวิตอันแสนสั้นนี้โดยไม่รู้สึกผิดหรือไร้ค่า และขณะเดียวกันก็อาจแลเห็นถึงศักยภาพที่จะแผ่ขยาย
ความดีงามออกไปยังผู้อื่น เราอาจพูดถึงความจริงใจได้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยหมดจดยิ่ง
ในขณะเดียวกันก็มั่นคงยิ่ง


แก่นแท้ของความเป็นนักรบหรือแก่นแท้ของความกล้าหาญของมนุษย์นั้น ย่อมไม่ยอมสยบพ่าย
แพ้ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เราไม่มีวันพูดว่าเรากำลังจะแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เราไม่อาจพูดว่าคนอื่นก็
จะต้องเป็นเช่นนั้น และโลกด้วยเช่นกัน ชั่วชีวิตของเราอาจจะมีปัญหาอันหนักหน่วงมากมายในโลก
แต่ขอให้เรามั่นใจว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีความหายนะใด ๆ อุบัติขึ้น เราอาจป้องกันได้ ทุกสิ่งสิ่งทุกอย่าง
ขึ้นอยู่กับเรา อย่างน้อยที่สุดเราก็อาจช่วยโลกให้รอดจากหายนะ ญาณทัศนะซัมบาลามีอยู่เพื่อสิ่งนี้
มันอุดมคติเก่าแก่ที่มีมานานนับศตวรรษ นั่นคือ โดยการรับใช้โลกนี้ เราก็อาจช่วยมันให้รอด แต่
การช่วยให้รอดก็ยังไม่เพียงพอ เรายังจะต้องกระทำการเพื่อสร้างสังคมมนุษย์ที่เป้นอริยะขึ้นมาด้วย


ในหนังสือเล่มนี้ เรากำลังพูดถึงรากฐานแห่งสังคมอริยะและหนทางที่นำไปสู่ แทนที่จะมามัวพูดถึง
สังคมอุดมคติว่าควรเป็นเช่นไร ถ้าเราปรารถนาจะช่วยโลกให้รอด เราจะต้องก้าวเดินไปด้วยตัวเอง
แทนที่จะมาขบคิดถึงแต่ทฤษฎีหรือคาดเดาถึงจุดหมายปลายทาง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเราแต่ละคน
ว่าจะสามารถค้นหาความหมายของสังคมอริยะได้อย่างไร และจะบรรลุถึงได้อย่างไร ข้าพเจ้าเพียง
มุ่งหวังว่าการนำเสนอซึ่งเป้นวิถีแห่งนักรบซัมบาลานี้ อาจมีส่วนช่วยเกื้อหนุนให้เกิดการค้นพบได้
อีกโสดหนึ่ง
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #6 เมื่อ: 19-07-2006, 17:29 »




บทที่ ๒ ค้นหารากฐานแห่งความดีงาม

" อาศัยเพียงการหยุดตั้งมั่นลงตรงนั้น ชีวิตของคุณก็
อาจกลายเป็นหนทาง และแม้กระทั่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ทีเดียว คุณย่อมตระหนักได้ว่าคุณสามารถนั่งอยู่บน
บัลลังก์ดุจราชันหรือราชินี ความสูงส่งของสภาวะนี้
ขานไขให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ซึ่งก่อเกิดการหยุด
นิ่งและเรียบง่าย "

ความปั่นป่วนสับสนมากมายในโลกอุบัติขึ้น เพราะเหตุที่ผู้คนมิได้แลเห็นคุณค่าของตนเอง
เพราะการที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจและอ่อนโยนต่อตัวเอง เขาจึงไม่อาจเข้าถึงความกลมกลืน
หรือสันติสุขภายในได้ ดังนั้นเองสิ่งที่เขากระทำต่อผู้อื่นจึงขาดความกลมกลืนและสับสนด้วย
เช่นกัน แทนที่จะแลเห็นคุณค่าความหมายของชีวิต เรามักจะไม่ใส่ใจต่อภาวะการดำรงอยู่
ของเรา หรือไม่ก็รู้สึกว่ามันกดดันหน่วงหนัก ผู้คนถูกบีบคั้นให้ฆ่าตัวตาย เพราะเขาไม่ได้รับ
สิ่งที่เขาคิดว่าควรจะได้จากชีวิต เขาข่มขู่ผู้อื่นด้วยการฆ่าตัวตาย ขู่ว่าเขาจะฆ่าตัวตายถ้าสิ่ง
นั้นสิ่งนี้ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแก้ไข แน่นอนว่าเราควรจริงจังกับชีวิต แต่นั่นก็ไม่ได้หมาย
ความว่าเราจะต้องผลักดันตัวเองไปจนถึงขอบเขตแห่งหายนะ โดยการบ่นพร่ำถึงปัญหาของ
ตัวเอง หรือตำหนิติเตียนโลก เราจะต้องรับผิดชอบตัวเองเพื่อที่จะสามารถยกชีวิตของตนให้
สูงขึ้น


เมื่อใดที่คุณเลิกประณามหรือลงโทษตัวเอง เมื่อคุณผ่อนคลายมากขึ้นและให้ความสำคัญแก่
ร่างกายและจิตใจ เมื่อนั้นคุณก็เริ่มรู้สึกได้ถึงรากฐานแห่งความดีงามในตัวเอง ด้วยเหตุนี้เอง
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องมีความตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวเองให้ตนเองได้รับรู้ การสร้างเสริม
ความรู้สึกอ่อนโยนต่อตนเองจะช่วยเอื้อให้คุณแลเห็นทั้งปัญหาและศักยภาพของตนได้อย่าง
ชัดแจ้ง คุณไม่จำเป็นต้องเพิกเฉยต่อปัญหาหรือโอ้อวดศักยภาพของตน ความรู้สึกอ่อนโยนต่อ
ตนเองและการเห็นคุณค่าของตนเองนั้นป็นสิ่งจำเป็นมาก มันคือพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดการช่วย
เหลือตัวเองและผู้อื่น


ในฐานะมนุษย์ เรามีวิถีทางอยู่ภายในตัวเองแล้ว ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถยกระดับภาวะภายใน
และนำความผ่องแผ้วเบิกบานมาสู่ตัวเราวิถีทางสายนั้นรอคอยให้เราก้าวเดินไปอยู่ตลอดเวลา
เรามีจิตใจและมีร่างกาย ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของเรา เพราะเหตุที่เรามีจิตใจและร่างเรา
จึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจโลกนี้ได้ ภาวะการดำรงอยู่นั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์และทรงคุณค่า เรา
ไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะอยู่ได้นานแค่ใหน ดังนั้นขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่ใช้มันอย่าง
เต็มเปี่ยม และก่อนที่จะใช้มัน เหตุใดจึงไม่ตระหนักถึงคุณค่าของมันอย่างเต็มที่


เราจะค้นพบการตระหนักถึงคุณค่านี้ได้อย่างไร การคิดใฝ่ฝันหรือเพียงแค่การพูดถึงก็คงช่วยอะ
ไรไม่ได้มาก ในวัฒนธรรมซัมบาลา วิธีในการสร้างเสริมความอ่อนโยนต่อตัวเอง และการตระ
หนักถึงความหมายของโลกนี้ ก็คือการนั่งสมาธิ การปฏิบัติสมาธินี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนสั่งเมื่อ
กว่า ๒,๕oo ปีล่วงมาแล้ว และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมซัมบาลาสืบมาตั้งแต่บัดนั้น
มันยืนพื้นอยู่บนวัฒนธรรมของการบอกเล่า ตั้งแต่ครั้งพระพุทธองค์ การปฏิบัติแนวนี้ได้ถูกถ่าย
ทอดจากคนคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งโดยนัยนี้ มังจึงยังคงเป็นวัฒนธรรมที่มีชีวิต ดังนั้น แม้ว่ามัน
จะเป็นแบบแผนการปฏิบัติอันเก่าแก่ แต่มันก็ยังคงใหม่สดอยู่เสมอ ในบทต่อไปนี้ เรากำลังจะถก
กันด้วยเรื่องวิธีการปฏิบัติสมาธิและรายละเอียดต่าง ๆ แต่จำเป็นที่จะต้องตระหนักไว้ด้วยว่า
ถ้าคุณต้องการจะเข้าใจถึงการปฏิบัตินี้อย่างแจ่มชัด คุณจำต้องได้รับคำแนะนำอบรมเป็นส่วนตัว



สมาธิภาวนาในที่นี้เราหมายถึงสิ่งธรรมดาสามัญอันเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด และมิใช่สมบัติเฉพาะ
ของวัฒนธรรมใด เรากำลังพูดกันถึงกิจกรรมพื้น ๆ ที่สุด เช่นการนั่งลงบนพื้น ขยับกายให้มั่นคง
และสร้างความรู้สึกว่าตัวเราอยู่ตรงนี้ อยู่บนพื้นโลกขึ้นมา นี่คือวิธีการในการค้นหาตัวเองและ
ความดีงามพื้นฐาน เป็นวิธีการสำหรับปรับตนเข้าสู่การรับรู้ถึงสัจจะอันแท้จริง โดยปราศจาก
ความคาดหวังหรือความนึกคิดคาดเดาใด ๆ


คำว่าสมาธิภาวนาบางครั้งก็ใช้หมายถึงการเพ่งพินิจพิจารณาดูบางสิ่งบางอย่าง ภาวนาในเรื่อง
นั้นเรื่องนี้ โดยการภาวนาตริตรึกในปัญหาหรือข้อยุ่งยากประการ เราก็อาจพบทางออกได้ บาง
ครั้งสมาธิภาวนายังถูกใช้เพื่อนำไปสู่ภาวะทางจิตบางอย่างโดยการเข้าฌานสมาบัติ แต่ในที่นี้เรา
จะพูดถึงสมาธิภาวนาโดยความหมายซึ่งแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง คือสมาธิที่ปราศจากเหตุและ
ปัจจัย ปราศจากจุดหมายหรือความคิดใด ๆ ในจิต ในวัฒนธรรมซัมบาลาสมาธิภาวนาเป็นเพียง
การฝึกฝนสภาวะแห่งการดำรงอยู่เพื่อให้กายและจิตบรรสานกัน โดยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เรา
อาจจะเรียนรู้ที่จะเลิกหลอกตัวเอง เผชิญความจริงและดำรงชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม



ชีวิตของเราเป็นการเดินทางอันไร้จุดจบ เหมือนกับหนทางใหญ่ที่ทอดยาวออกไปสู่เบื้องหน้ามิรู้
สิ้นสุด การปฏิบัติสมาธิภาวนาเอื้อให้เกิดยานที่จะใช้เดินทางไปบนเส้นทางสายนั้น ในการเดิน
ทางของเราเต็มไปด้วยการ ขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลา ทั้งความมุ่งหวังและความกลัว แต่มันก็เป็น
การเดินทางที่ไม่เลว การปฏิบัติสมาธิเอื้อให้เราสามารถรับรู้ถึงผิวของถนนซึ่งเรากำลังเดินทางไป
โดยการปฏิบัติสมาธิ เราจะเริ่มพบว่าภายในตัวเองนั้นไม่มีรากฐานของความไม่พึงพอใจต่อใคร
หรือต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่เลย


การทำสมาธิเริ่มด้วยการนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น คุณจะเริ่มรู้สึกได้ว่าอาศัยเพียงการหยุดตั้งมั่นลง
ตรงนั้น ชีวิตของคุณก็อาจกลายเป็นหนทางและแม้กระทั่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทีเดียว คุณย่อมตระ
หนักได้ว่าคุณสามารถนั่งอยู่บนบันลังก์ดุจดังราชันหรือราชินี ความสูงส่งของสภาวะนี้ขานไขให้
เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ซึ่งเกิดจากการหยุดนิ่งและเรียบง่าย


ในการปฏิบัติสมาธิ การตั้งกายตรงเป็นสิ่งสำคัญมาก การเหยียดหลังตรงมิใช่ท่าทางที่ขัดธรรม
ชาติ หากเป็นธรรมชาติพื้นฐานที่สุดของร่างกายมนุษย์ เมื่อร่างกายของคุณโอนเอียงง่อนแง่น
นั่นแหละจึงผิดธรรมชาติ คุณไม่อาจหายใจได้สม่ำเสมอเมื่อร่างกายโอนเอียง ความโอนเอียงนี้
ยังเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงการยอมจำนนแก่โรคจิตประสาท ดังนั้นเมื่อคุณนั่งตัวตรง คุณจึงอาจ
ประกาศก้องต่อตนเองและต่อโลกทั้งมวลว่าคุณกำลังเป็นนักรบ เป็นมนุษย์ที่แท้จริง


การยึดกายตั้งตรงไม่จำเป็นที่จะต้องฝืนตัวเองโดยการเกร็งตัวยกไหล่ ความตั้งตรงนี้เกิดขึ้นตาม
ธรรมชาติโดยการนั่งอย่างง่าย ๆ ทว่ามั่นอกมั่นใจ ไม่ว่าจะนั่งอยู่บนพื้นหรือบนเบาะ ต่อจากนั้น
เพราะเหตุที่หลังของคุณตั้งตรง คุณจึงไม่รู้สึกขวยเขินกระดากกระเดื่องแต่อย่างใด ดังนั้นคุณจึง
มิได้ก้มหัวลง คุณจะไม่ยอมโอนอ่อนให้แก่สิ่งใด ดังนั้นเองหัวไหล่ของคุณจึงเหยียดตรงโดยอัตโน
มัติ นี่เองคุณจึงรู้สึกได้ถึงท่าทางอันเหมาะสมของศรีษะและไหล่ จากนั้นคุณจึงอาจพักขาไว้อย่าง
เป็นธรรมชาติ ในท่วงท่าขัดสมาธิ เข่าของคุณไม่จำเป็นต้องราบชิดกับพื้น คุณทำให้ท่วงท่านี้สม
บูรณ์ขึ้นโดยการวางมือลงแผ่ว ๆ หันฝ่ามือลงบนขาอ่อน นี่ก่อให้เกิดความรู้สึกว่าเราได้ดำรงอยู่
ในที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว


ในท่วงท่าดังกล่าว คุณไม่จำเป็นต้องเพ่งมองไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมาย เพราะเหตุที่คุณมีความ
รู้สึกว่าคุณดำรงอยู่ตรงนั้นอย่างเหมาะสมแล้ว ดังนั้นดวงตาของคุณจึงเปิดอยู่ แต่สายตาเพ่งตรง
ออกไปบนพื้นเบื้องหน้าห่างสัก ๖ฟุต โดยนัยนี้ สายตาของคุณก็จะไม่วอกแวก ทว่ามีความรู้สึกถึง
ความรอบคอบรัดกุมและหนักแน่นมั่นคงยิ่ง คุณอาจพบท่วงท่านี้ได้จากงานปฏิมากรรมบางชิ้น
ของอียิปต์และอเมริกาใต้ เช่นเดียวกับรูปปฏิมากรรมของทางทิศตะวันออก มันเป้นท่วงท่าสากล
มิได้จำกัดอยู่กับวัฒนธรรมหรือยุคสมัยใด


ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน คุณจำต้องตระหนักถึงท่วงท่าของตนเองทั้งศรีษะและไหล่ ต้องรู้ว่าเดิน
อย่างไร มองดูคนอื่นอย่างไร แม้ในขณะที่คุณมิได้ทำสมาธิ คุณก็อาจดำรงไว้ซึ่งสภาวะอันลุ่มลึก
นี้ได้ คุณอาจขึ้นอยู่เหนือความกระดากอายของตนเอง และมีความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นมนุษย์
ความภาคภูมิใจดังกล่าวเป็นสิ่งดีงามและสามารถยอมรับได้


ขั้นต่อมาในการปฏิบัติสมาธิ หลังจากที่คุณนั่งได้ถนัดดีแล้ว คุณก็ต้องหันมาพิจารณาดูลมหายใจ
เมื่อคุณหายใจ คุณก็ต้องตระหนักรู้ว่าตัวเองดำรงอยู่ที่นั่นและดำรงอยู่อย่างเหมาะสม เมื่อผ่อน
ลมหายใจออก ลมหายใจจางหายไป ครั้งแล้วลมหายใจเข้าก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ครั้งแล้วก็หาย
ใจออกอีก ดังนั้นจึงมีการออกไปกับลมหายใจออกอยู่ตลอดเวลา เมื่อคุณหายใจออก ตัวคุณก็จาง
ไป กระจายหายไป ครั้นแล้วลมหายใจเข้าก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คุณไม่จำเป็นต้องติดตามกลับ
เข้ามา คุณเพียงแต่กลับเข้ามาอยู่กับท่วงท่า และพร้อมที่จะหายใจออกอีก ออกไปและละลายตัว
เองไป พรู กลับมาอยู่ที่ท่วงท่าอีก แล้วก็พรู และกลับมาอยู่กับท่วงท่าอีกครั้ง


ครั้นต่อมาก็มีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เกิดขึ้น ปิ๊ง ! ...ความคิดนั่นเอง พอถึงจุดนี้คุณก็เพียง
แต่พูดว่า " ความคิด " ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาดัง ๆ เพียงแต่กล่าวในใจว่า " ความคิด " การ
เอ่ยเรียกความคิด จะช่วยปรับให้กลับมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจใหม่ เมื่อมีความคิดหนึ่งใดชักนำ
คุณหันเหออกนอกทางที่คุณเดินอยู่ เมื่อคุณไม่รู้ว่ากำลังนั่งอยู่บนเบาะ จิตของคุณไพล่ไปอยู่เสีย
ที่ซานฟรานซิสโกหรือที่นิวยอร์ค คุณก็เพียงแต่พูดว่า " เจ้าความคิด " และกลับมาสู่ลมหายใจ
ใหม่อีกครั้ง


ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีความคิดแบบใดเกิดขึ้น เพราะในการนั่งสมาธิ ไม่ว่าคุณจะมีความคิดเลว
ทรามหรือสูงส่ง ทั้งหมดถูกถือว่าเป็นความคิดเช่นเดียวกัน ไม่มีทั้งบุญหรือบาป คุณอาจมีความ
คิดอยากฆ่าพ่อของตัวเอง หรืออาจอยากชงน้ำมะนาวกินกับคุกกี้ โปรดอย่าตกอกตกใจกับความ
คิดของตนเอง ความคิดทุกประการล้วนเป็นเพียงความคิดเท่านั้น ไม่มีความคิดใดที่จะได้รับราง
วัลหรือถูกประณาม เพียงแต่ปิดป้ายยี้ห้อว่า " ความคิด " แล้วก็กลับไปสู่ลมหายใจอย่างเก่า
"ความคิด" - กลับไปสู่ลมหายใจ "ความคิด"- กลับไปสู่ลมหายใจ


การปฏิบัติสมาธินั้นเป็นสิ่งแน่นอนตายตัวยิ่ง มันจะต้องดำรงอยู่ ณ ที่นั้น หยั่งลงตรงจุดนั้น มัน
เป็นงานที่หนักหน่วงไม่น้อย แต่ถ้าคุณจดจำความสำคัญของท่วงท่าการนั่งได้ นั่นจะช่วยปรับ
สัมพันธภาพระหว่างกายกับจิต ถ้าคุณนั่งไม่ถูกต้อง การปฏิบัตินั้นก็จะเป็นเหมือนกับม้าขาเสีย
ที่จะพยายามลากเกวียน มันคงไม่สำเร็จผลแน่ ดังนั้นขั้นแรกคุณจึงต้องนั่งลงและจัดท่วงท่าให้
เหมาะสม ถัดมาก็เฝ้าติดตามลมหายใจ พรู ออก กลับมาสู่ท่วงท่า พรู กลับมาสู่ท่วงท่า พรู เมื่อ
เกิดมีความคิดขึ้นก็ปิดป้ายฉลากเรียกมันว่า "ความคิด" และกลับมาสู่ท่าเดิม กลับมาสู่ลมหาย
ใจ คุณจะมีจิตกระทำการร่วมไปกับลมหายใจ และมีร่างกายเป็นจุดกำหนดคุณมิได้กระทำการ
ร่วมกับจิตใจเพียงลำพังเท่านั้น หากร่วมไปกับจิตและกายพร้อมกันเลยทีเดียว และเมื่อทั้งสอง
ส่วนร่วมกันเป็นอันดีแล้ว คุณก็จะไม่ห่างเหินไปจากความเป็นจริง


สภาวะอุดมคติแห่งความสงบนั้นก่อเกิดจากประสบการณ์แห่งการประสานสอดคล้องระหว่าง
กายและใจ ถ้ากายและใจไม่ประสานกันเมื่อนั้นร่างกายก็จะโอนเอนไม่มั่นคง จิตก็จะฟุ้งซ่าน
ไป มันเหมือนกับกลองชั้นเลวที่ทำขึ้นมาอย่างลวก ๆ หนังกลองนั้นขึงไม่พอดีกับขอบกลอง
ดังนั้นไม่ขอบกลองแตกก็หนังฉีกขาด ขาดความคงทนถาวร ดังนั้นเมื่อกายและจิตประสานกัน
และ ด้วยเหตุที่ดำรงอยู่ในท่วงท่าอันเหมาะสม ลมหายใจของคุณก็จะดำเนินไปตามธรรมชาติ
และด้วยเหตุที่ท่วงท่าและลมหายใจประสานกัน จิตของคุณก็จะมีหลักยึดสำหรับเหนี่ยวรั้งตน
เอง ดังนั้นจิตของคุณจึงออกไปกับลมหายใจอย่างเป็นธรรมชาติ


วิธีการประสานจิตกับกายเข้าด้วยกันนี้ คือการฝึกตนให้เรียบง่ายที่สุดและให้รู้สึกได้ว่าตนเอง
ไม่ได้มีความพิเศษแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นคนธรรมดาสามัญ สามัญอย่างยิ่ง คุณเพียงแต่นั่ง
ง่าย ๆ ประดุจดั่งนักรบ และจากจุดนี้เองที่ความรู้สึกภาคภูมิใจของปัจเจกชนได้ผุดขึ้นมา คุณ
นั่งอยู่บนพื้นโลกและคุณก็ตระหนักได้ว่าโลกยอมรับคุณและคุณก็ยอมรับโลกนี้ คุรดำรงอยู่ที่นั่น
อย่างเต็มเปี่ยมเพียงลำพังอย่างแท้จริง ดังนั้นการปฏิบัติสมาธิในแนวซัมบาลาจึงมุ่งเพื่อขัดเกลา
คนให้เป็นคนจริงและสัตย์ซื่อ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง


ในบางแง่มุม เราจะต้องถือว่าเรามีภาระหน้าที่อยู่ คือภาระหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันแก้ไขแบ่งเบา
ปัญหาของโลกนี้ เราไม่อาจละเลยความรับผิดชอบต่อผู้อื่นได้ แต่ถ้าหากเราปฏิบัติภาระหน้าที่
นี้อย่างเบิกบาน เราก็อาจช่วยไถ่กู้โลกได้จริง ๆ ทีเดียว หนทางคือเริ่มต้นที่ตนเอง จากความเปิด
กว้างและสัตย์ซื่อต่อตนเอง เราก็อาจเรียนรู้ที่จะเปิดเผยต่อผู้อื่น ดังนั้นเราก็อาจกระทำร่วมกัน
ไปกับโลกทั้งหมด จากพื้นฐานของความดีงามซึ่งเราค้นพบในตัวเอง ดังนั้น การปฏิบัติสมาธิจึง
ถือเป็นวิถีทางที่ยอดเยี่ยมในการยุติสงครามที่มีอยู่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามภายในตนเองหรือ
สงครามภายนอก
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #7 เมื่อ: 19-07-2006, 17:32 »




บทที่ ๓ ใจเศร้าที่แท้จริง

" ผ่านการปฏิบัติโดยการนั่งนิ่ง ๆ และเฝ้าติดตาม
ลมหายใจขณะผ่อนออกและจางคลายไป คุณก็ได้
เชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของตน โดยเพียงแต่ปล่อยให้
เป็นไปดังที่ตนเองเป็นอยู่ คุณก็สามารถสร้างความ
รู้สึกเกื้อการุณอย่างแท้จริงขึ้นต่อตัวเอง "

ลองนึกดูว่าหากคุณได้นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนพื้นดินโดยมีก้นเปลือยสัมผัสโลก ทั้งมิได้มีผ้าโพกหัว
หรือสวมหมวก คุณจะเปิดเผยตนเองต่อฟ้าเบื้องบนด้วยเช่นกัน คุณถูกประกบอยู่ระหว่างแผ่นฟ้า
แผ่นดิน เป็นมนุษย์ชายและหญิงผู้เปลือยเปล่า นั่งอยู่บนฟากฟ้ากับแผ่นดินโลก

แผ่นดินยังคงเป็นแผ่นดินอยู่เสมอ แผ่นดินยอมรับให้ใครก็ได้นั่งลงไป มันไม่เคยผลักไสไล่ส่ง มัน
ไม่เคยปฏิเสธหรือแบกรับ คุณจะไม่มีวันหลุดร่วงออกจากแผ่นดินออกไปลอยเคว้งคว้างอยู่ใน
อวกาศ ในทำนองเดียวกัน ฟ้าก็ยังคงเป็นฟ้า ฟากฟ้าก็ยังคงเป็นฟากฟ้าเบื้องบนอยู่เสมอ ไม่ว่า
ฝนจะตก แดดจะออกหรือมีหิมะ ไม่ว่าจะเป็นยามกลางวันหรือกลางคืนฟ้าก็ยังคงอยู่ที่นั่น ในแง่
มุมนี้เราอาจรู้สึกได้ว่าทั้งฟากฟ้าและแผ่นดินเป็นสิ่งที่เชื่อมั่นได้

ตรรกกะแห่งความดีงามพื้นฐานก็คล้ายคลึงกัน เมื่อเราพูดถึงความดีงามพื้นฐาน เรามิได้พูดถึง
การภักดีต่อสิ่งดีและปฏิเสธสิ่งเลว ความดีงามพื้นฐานนั้นดีโดยปราศจากเงื่อนไข โดยปราศจาก
ที่ตั้ง มันดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว ดังเช่นที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว เรามิได้ปฏิเสธบรรยากาศของเรา
ไม่ได้ปฏิเสธดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เมฆหมอกและฟากฟ้า เรายอมรับมัน เรายอมรับว่าฟ้านั้น
เป็นสีฟ้า ยอมรับภูมิประเทศและท้องทะเล เรายอมรับถนนหนทางตึกรามบ้านช่องและมหานคร
ความดีงามพื้นฐานก็คือพื้นฐานประการนี้ คือสิ่งที่ปราศจากเงื่อนไข มันมิใช่ทัศนะ "มีคุณ" หรือ
"ให้โทษ" ในทำนองเดียวกับที่แสงแดดมิใช่มีขึ้นเพื่อ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ"

กฎเกณฑ์ธรรมชาติของโลกนี้มิใช่ "มีคุณ" หรือ "ให้โทษ" โดยพื้นฐานแล้ว ไม่มีสิ่งใดซึ่งช่วยส่ง
เสริมหรือปิดกั้นทัศนะของเรา ฤดูกาลทั้งสี่อุบัติขึ้นอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับความเรียกร้องต้อง
การของใครความคาดหวังและความหวาดกลัวไม่อาจแปรเปลี่ยนฤดูกาลได้ มีกลางวันมีกลางคืน
มีความมืดในยามค่ำคืนและมีแสงสว่างในยามกลางวัน โดยไม่มีใครมาคอยบังคับปิดเปิดให้เป็น
ไป มีหลักเกณฑ์ธรรมชาติและความเป็นไปซึ่งเอื้อให้เรามีชีวิตอยู่ นั่นเองคือความดีงามพื้นฐาน
ดีงามตรงที่ว่ามันอยู่ตรงนั้น มันกระทำอย่างสัมฤทธิ์ผล

เรามักจะพากันละเลยต่อกฎเกณฑ์พื้นฐานในจักรวาล แต่ควรจะคิดทบทวนดูอีกครั้ง เราควรจะ
ตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็จะตกอยู่ในภาวะยากลำบาก
มาก ถ้าปราศจากแสงแดด ก็จะไม่พืชพรรณใด ๆ ขึ้นงอกเงย ปราศจากพืชพรรณธัญญาหาร ก็
จะไม่มีอาหารกินด้วย ดังนั้น ความดีงามพื้นฐานจึงเป็นสิ่งดี เพราะว่ามันเป็นสิ่งพื้นฐานยิ่ง มันเป็น
ธรรมชาติและมันก็ใช้การได้ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งดี มิใช่สิ่งดีที่อยู่ตรงกันข้ามกับความชั่ว

หลักการเดียวกันนี้อาจประยุกต์มาใช้กับสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นมนุษย์ เรามีตัณหา มีความก้าว
ร้าวและอวิชชา นั่นคือเราคบหาปลูกฝังไมตรีกับมิตรและก็กีดกันศัตรูออกไป บางครั้งก็วางตัวเฉย ๆ
ท่าทีเหล่านี้มิได้ถือว่าเป็นข้อบกพร่อง หากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันสูงส่งและเป็นเครื่องมือ
ของมนุษย์ เรรมีเล็บและฟันเป็นเครื่องมือสำหรับป้องกันตัว เรามีปากและอวัยวะเพศเป็นเครื่อง
มือสำหรับสัมพันธ์กับผู้อื่น เรายังโชคดีที่มีระบบย่อยอาหารและระบบเผาผลาญอย่างสมบูรณ์ ซึ่ง
ทำให้กระบวนการในการกินและขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์เป็นสถานะ
ตามธรรมชาติและก็เป็นเหมือนกฎเกณฑ์และหลักการของโลก มันใช้การได้ดี ที่จริงอาจถือว่าเป็น
สิ่งมหัศจรรย์ เป็นอุดมคติทีเดียว

มีคนกล่าวว่าโลกนี้เป็นผลงานของหลักการมูลฐานอันศักดิ์สิทธิ์ แต่คำสอนซัมบาลามิได้เกี่ยวข้อง
กับต้นกำเหนิดอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเลย จุดหลักของความเป็นนักรบก็คือการกระทำร่วมกับสถานะการณ์
ดังที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทัศนะแบบซัมบาลาถือว่าเมื่อเรากล่าวว่ามนุษย์มีความดีงามอยู่เป็นพื้น
ฐานนั้น เราหมายความว่ามนุษย์ล้วนมีสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นอยู่ครบ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับ
โลกของเขาเอง ตัวตนของเราเป็นสิ่งดี เพราะเหตุที่มันมิใช่ต้นกำเหนิดของความก้าวร้าวและความ
ไม่พึงพอใจ เราไม่อาจพร่ำบ่นที่เรามีตา มีหู มีจมูกและปาก เราไม่สามารถสับเปลี่ยนจัดแจงระบบ
สรีระใหม่ได้ และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขภาวะจิตของเราได้ ความดีงามพื้น
ฐานก็คือสิ่งที่เรามีอยู่ สิง่ที่ติดตัวเรามา มันคือสถานะตามธรรมชาติซึ่งเราได้รับเป็นมรดกตกทอด
มาตั้งแต่เกิด

เราควรจะตระหนักไว้ด้วยว่าการที่ได้อยู่ในโลกนี้เป็นสิ่งที่วิเศษสุดยิ่ง ช่างมหัศจรรย์ยิ่งที่ได้แลเห็น
สีแดงและเหลือง สีฟ้าและเขียว ม่วงและดำ บรรดาสีสันเหล่านี้มีขึ้นเพื่อเรา เรารู้สึกร้อนและหนาว
รู้รสหวานและเปรี้ยว เรารู้สึกได้ถึงสิ่งเหล่านี้และรู้ถึงคุณค่าของมัน ด้วยมันเป็นสิ่งดีงาม

ก้าวแรกแห่งการประจักษ์แจ้งในความดีงามพื้นฐานก็คือการแลเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ ต่อจาก
นั้นเราก็จะต้องแลให้ชัดเจนกว้างไกลออกไปว่าเรากำลังเป็นอะไรอยู่ อยู่ตรงใหน เราเป็นใคร เมื่อ
ไหร่และทำอะไรในฐานะมนุษย์ เพื่อว่าเราจะได้เป็นเจ้าของความดีงามรากฐานอย่างแท้จริง ที่จริง
มิใช่หมายถึงการครอบครอง หากแต่เป้นการหยั่งเห็น ถึงคุณค่าของมัน

ความดีงามพื้นฐานเกี่ยวพันอย่างแนบชิดกับแนวคิดเรื่องโพธิจิตในพุทธศาสนา โพธิหมายถึง
"ตื่นขึ้น" หรือ "การตื่น" จิตหมายถึง "ใจ" ดังนั้นโพธิจิต จึงแปลว่า "ใจที่ตื่นขึ้น" ใจที่ตื่นขึ้นเช่นนี้
อุบัติขึ้นจากความพร้อมที่จะเผชิญกับภาวะจิตของตนเอง นี่ดูคล้ายกับการเรียกร้องมากจนเกิน
ไป แต่ที่จริงแล้วกลับจำเป็นมาก คุณจำเป็นต้องตรวจสอบดูตัวเองและถามตัวเองว่าตนได้พยา
ยามเชื่อมโยงกับหัวใจของตนมากน้อยเพียงใด อย่างจริงใจและเต้มที่เพียงใด บ่อยครั้งที่คุณหัน
หลังให้แก่มัน ด้วยคุณกลัวว่าคุณอาจพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าหวาดหวั่นภายในตนเอง กี่ครั้งกัน
ที่คุณเต็มใจที่จะแลดูหน้าตัวเองในกระจก โดยที่ไม่รู้สึกกระดากอาย กี่ครั้งกี่คราที่คุณพยายามจะ
ปกปิดตัวเองไว้ด้วยการเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์บ้าน ดูโทรทัศน์บ้าน หรือใช้เวลาว่างให้หมดไปวัน ๆ
จึงมีคำถามซึ่งทรงคุณค่ามหาศาลอยู่คำถามหนึ่งว่า คุณได้สัมพันธ์กับตัวเองมากน้อยเพียงใดกับ
ชีวิตทั้งหมด

การนั่งลงปฏิบัติสมาธิดังที่เราได้แจกแจงกันในบทที่แล้ว คือหนทางเพื่อกลับไปค้นหาความดีงาม
รากฐาน และยิ่งไปกว่านั้น มันคือหนทางที่จะปลุกดวงใจที่แท้จริงภายในตนเองให้ตื่นขึ้น เมื่อคุณนั่ง
อยู่ในท่วงท่าของสมาธิ คุณย่อมเป็นชายหรือหญิงผู้เปลือยเปล่า ซึ่งนั่งอยู่ระหว่างฟากฟ้าและแผ่น
ดินดังที่เราได้พูดถึงมาแล้ว เมื่อคุณนั่งโงนเงนก็เท่ากับพยายามปกปิดดวงใจของตนไว้ พยายาม
ซ่อนเร้นเอาไว้โดยอาการง่อนแง่น แต่เมื่อใดที่คุณนั่งตัวตรงทว่าผ่อนคลายอยู่ในอิริยาบทของสมาธิ
เมื่อนั้นใจของคุณก็จะเปลือยเปล่า ตัวตนของคุณทั้งหมดจะเปิดเผยออกสู่ตัวเองเป็นอันดับแรก
และเปิดออกสู่ผู้อื่นด้วย ผ่านการปฏิบัติด้วยการนั่งนิ่ง ๆ และเฝ้าติดตามลมหายใจขณะที่ผ่อนออก
และจางคลายไป คุณก็ได้เชื่อมโยงเข้ากับหัวใจของตน โดยเพียงแต่ปล่อยให้เป็นไปดังที่ตนเองเป็น
อยู่ คุณก็สามารถสร้างความรู้สึกเกื้อการณ์อย่างแท้จริงขึ้นต่อตัวเองได้

เมื่อคุณปลุกดวงใจของคุณขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ คุณจะค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าดวงใจของคุณ
นั้นว่างเปล่า คุณได้ค้นพบว่าคุณกำลังมองออกไปสู่ความโล่งกว้างภายนอก คุณคือใคร เป็นอะไร
ดวงใจของคุณอยู่ที่ใหน ถ้าคุณมองให้ดี คุณจะไม่พบเห็นสิ่งใดที่เป็นแก่นสารแน่นอนตายตัวเลย
แต่คุณจะพบสิ่งที่แข็งตัวอย่างนั้น ถ้าหากคุณรู้สึกขุ่นเคืองใครหรือถูกครอบงำอยู่ด้วยความรัก แต่
นั่นหาใช่จิตใจที่ตื่นขึ้นไม่ ถ้าหากคุณแสวงหาดวงใจที่ตื่นขึ้น ถ้าคุณเอามือแทงผ่านกระดูกซี่โครง
เข้าไปสัมผัสดูดวงใจ ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นนอกจากความอ่อนโยนคุณรู้สึกเจ็บปวดทว่านุ่มนวล และ
ถ้าคุณเปิดตาขึ้นแลดูโลก คุณย่อมรู้สึกเศร้าอย่างลึกซึ้ง ความเศร้าชนิดนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะเป็น
ผู้ถูกกระทำ คุณมิได้รู้สึกเศร้าเพราะว่ามีใครมาดูแคลนหรือรู้สึกด้อยค่า ทว่าประสบการณ์นี้เป็น
ความเศร้าที่ปราศจากเงื่อนไข มันเกิดขึ้นเพราะดวงใจของคุณได้เปิดเผยออกอย่างหมดจด ไม่มี
หนังหรือเนื้อเยื่อปกปิดมันไว้อีกต่อไป มันคือก้อนเนื้อดิบ ๆ แท้ ๆ แม้แต่มียุงสักตัวหนึ่งมาเกาะ
คุณก็อาจรู้สึกได้อย่างลึก ๆ ประสบการณ์ของคุณเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวที่ดิบ จริงและอ่อนโยนยิ่ง

ดวงใจเศร้าที่แท้จริงกำเหนิดขึ้นจากความรู้สึกที่ว่า หัวใจที่ว่างเปล่าของคุณนั้นเต็ม คุณอยากจะ
หลั่งเลือดจากใจ อยากจะให้หัวใจของคุณแก่คนอื่น สำหรับนักรบแล้ว ประสบการณ์แห่งดวงใจ
อันเศร้าอันแสนอ่อนโยนนี้ คือจุดกำเหนิดแห่งความไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ตามความหมายสามัญ
แล้ว ความไม่หวาดหวั่นหมายความว่าคุณไม่กลัว หรือหมายถึงว่าถ้ามีใครมาทำร้ายคุณ คุณจะ
ตอบโต้กลับอย่างไรดี เรามิได้กำลังพูดถึงความไม่หวาดหวั่นในระดับนักสู้ข้างถนน ความไม่หวาด
หวั่นที่แท้จริง คือผลอันเกิดจากความอ่อนโยน มันเกิดจากการปล่อยให้โลกหยอกล้อจิตใจคุณเล่น
จิตที่ดิบและงดงาม คุณเต็มใจที่จะเปิดมันออกโดยไม่ขัดขืนหรือเขินอาย และเผชิญกับโลก คุณ
พร้อมที่จะแบ่งปันหัวใจของคุณกับผู้อื่น
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #8 เมื่อ: 19-07-2006, 17:41 »

ขอต้อนรับ ด้วยความคารวะค่ะ

ถือเป็นเกียรติ อย่างสูง
สำหรับ หนึ่งเรื่องราว ในดวงใจ


กำลังอยากอ่าน มากๆ หนทางนักรบ จะศักดิ์สิทธิ์ ไหมนี่
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #9 เมื่อ: 19-07-2006, 17:52 »

แทงกิ้ว !! คะ   ที่มาแนะนำกัน

ดิฉัน..เคยเห็นหนังสือชื่อ ซัมบาลา ที่บ้านเพื่อน

แต่..ยังไม่เคยหยิบขึ้นมาอ่านเลย .............. สักครั้ง !!

ไม่แน่ใจว่า..จะเป็นเล่มเดียวกะที่คุณเขียนถึง

อ่านที่คุณเขียนในกระทู้ ..

( คือ..ตอนนี้ อ่านไม่จบทั้งหมดที่โพสมาหรอก.. แต่ จะใช้เวลาเงียบๆ อ่านในสิ่งที่คุณโพสอีกครั้งคะ )

คุณทำให้ ดิฉัน .. มีความรู้สึกว่า อยากอ่าน... หนังสือเล่มนี้ขึ้นมาซะแล้วสิ  :
wink:
บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #10 เมื่อ: 19-07-2006, 17:53 »




ขอเชิญดื่มกิน ถ้อยคำ และแรงบันดาลใจ ครับ

หนังสือ แห่งแรงบันดาลมีไม่กี่เล่ม อยากให้อ่านกัน ก็แค่นั้น
หนังสือ บางเล่ม อ่านไม่มีวันจบอ่าน รอบ เวลา ใหน ก็เป็นรหัสนัย เฉพาะตัว
ได้ สาระ สุนทรียะ ที่ ต่างกัน ในแต่ละช่วง
จะอ่านแบบ กัดกิน บดย่อย มันทุกถ้อยคำ เอาความหมาย
จะอ่านแบบ ดูภาพศิลปะ ไม่เอาความหมาย นัก เอาความไหลลื่น ของถ้อยคำ การผุดบังเกิดของแรงบันดาลใจ

บางคนชอบ วิถีแห่ง ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน
บางคนชอบ วิถีดาบ แห่ง มุซาชิ
ซัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ ของท่านตรุงปะ ก็น่าสนใจ แนวการเขียนของท่านตรุงปะ น่าประทับใจดีครับ

นักรบ มิใช่เพียง ความรุนแรง หอกดาบ และ ปืนไฟ

สัมผัสเองละกัน ขอให้บางสิ่งบางอย่าง จงบังเกิดขึ้นแก่ใจท่าน และ มนุษย์ทุกคน


ซัมบาลา แปลโดย คุณพจนา จันทรสันติ
งานแปล คุณ พจนา จันทรสันติ ใครแฟนพันแท้ เชิญ
http://www.geocities.com/jiriki_n/p/p3b.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2006, 18:15 โดย โอสถ » บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #11 เมื่อ: 19-07-2006, 18:17 »

ขอเชิญดื่มกิน ถ้อยคำ และแรงบันดาลใจ ครับ

หนังสือ แห่งแรงบันดาลมีไม่กี่เล่ม อยากให้อ่านกัน ก็แค่นั้น
หนังสือ บางเล่ม อ่านไม่มีวันจบอ่าน รอบ เวลา ใหน ก็เป็นรหัสนัย เฉพาะตัว
ได้ สาระ สุนทรียะ ที่ ต่างกัน ในแต่ละช่วง
จะอ่านแบบ กัดกิน บดย่อย มันทุกถ้อยคำ เอาความหมาย
จะอ่านแบบ ดูภาพศิลปะ ไม่เอาความหมาย นัก เอาความไหลลื่น ของถ้อยคำ การผุดบังเกิดของแรงบันดาลใจ

บางคนชอบ วิถีแห่ง ดอนกิโฆเต้แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน
บางคนชอบ วิถีดาบ แห่ง มุซาชิ
ซัมบาลา : หนทางอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ ของท่านตรุงปะ ก็น่าสนใจ
 แนวการเขียนของท่านตรุงปะ น่าประทับใจดีครับ

นักรบ มิใช่เพียง ความรุนแรง หอกดาบ และ ปืนไฟ

สัมผัสเองละกัน ขอให้บางสิ่งบางอย่าง จงบังเกิดขึ้นแก่ใจท่าน และ มนุษย์ทุกคน


ขอ อนุญาต ดื่มด่ำ กับ คำกล่าว ที่ว่า ค่ะ
ใจคิดไปถึง เสียงเพลงก้องกังวาน แมน ออฟ ลามันช่า  กับ ละครประทับ ลงในใจ
ความหาญกล้าของนักรบ ความฝัน ที่ ถ่ายทอดจากหัวใจ


หนทางศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ วันนี้ มาถูกเวลามากๆ ค่ะ


ประกายดาว ประทับใจ ตรงนี้


ดวงใจเศร้าที่แท้จริงกำเหนิดขึ้นจากความรู้สึกที่ว่า หัวใจที่ว่างเปล่าของคุณนั้นเต็ม

 คุณอยากจะ

หลั่งเลือดจากใจ อยากจะให้หัวใจของคุณแก่คนอื่น
 สำหรับนักรบแล้ว

 ประสบการณ์แห่งดวงใจ   อันเศร้าอันแสนอ่อนโยนนี้ คือ
จุดกำเหนิดแห่งความไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ตามความหมายสามัญแล้ว

ความไม่หวาดหวั่นหมายความว่าคุณไม่กลัว หรือหมายถึงว่าถ้ามีใครมาทำร้ายคุณ
 คุณจะตอบโต้กลับอย่างไรดี

เรามิได้กำลังพูดถึงความไม่หวาดหวั่นในระดับนักสู้ข้างถนน
 ความไม่หวาดหวั่นที่แท้จริง คือผลอันเกิดจากความอ่อนโยน
มันเกิดจากการปล่อยให้โลกหยอกล้อจิตใจคุณเล่น
จิตที่ดิบและงดงาม คุณเต็มใจที่จะเปิดมันออกโดยไม่ขัดขืนหรือเขินอาย
 และเผชิญกับโลก คุณพร้อมที่จะแบ่งปันหัวใจของคุณกับผู้อื่น

TOUCHING  Exclamation
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #12 เมื่อ: 19-07-2006, 18:21 »

 Tongue out Lips are sealed

หนู ชอบเรื่องนี้
แต่หนูไม่ชอบ คนแปล  คุณพจนา จันทรสันติ

รู้สึกแบบนี้ได้ไหม?
Tongue out
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #13 เมื่อ: 19-07-2006, 18:31 »

Tongue out Lips are sealed

หนู ชอบเรื่องนี้
แต่หนูไม่ชอบ คนแปล  คุณพจนา จันทรสันติ

รู้สึกแบบนี้ได้ไหม?
Tongue out

 Shocked Shocked Shocked Shocked Shocked

เมืองไทยคนแปล ยิ่งน้อยๆ  อยู่ เฮ่อๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่ชอบ แนวคิด สไตล์ นิสัย อะไร ก็ตามใจ
แต่อ่านของแก บ่อย มาก ขอบคุณที่มีคน แปลให้อ่าน
ชอบผลงานเค้า ตัวตนคนแปล ไม่ได้ไปยุ่ง ไปเจาะลึก ลึกไปกลัวจะเสียความรู้สึก มันเป็นอาณาเขตของเขา

ถ้าแปลได้ แปลอ่านเองไปนานแล้ว  Razz Razz Razz


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2006, 18:36 โดย โอสถ » บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #14 เมื่อ: 19-07-2006, 18:34 »

Tongue out Lips are sealed

หนู ชอบเรื่องนี้
แต่หนูไม่ชอบ คนแปล  คุณพจนา จันทรสันติ

รู้สึกแบบนี้ได้ไหม?
Tongue out

 Shocked Shocked Shocked Shocked Shocked

เมืองไทยคนแปล ยิ่งน้อยๆ  อยู่ เฮ่อๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไม่ชอบ แนวคิด สไตล์ นิสัย อะไร ก็ตามใจ
แต่อ่านของแก บ่อย มาก ขอบคุณที่แกแปลให้อ่าน
ชอบผลงานเค้า ตัวตนคนแปล ไม่ได้ไปยุ่ง ไปเจาะลึก ลึกไปกลัวจะเสียความรู้สึก มันเป็นอาณาเขตเขา

ถ้าแปลได้ แปลอ่านเองไปนานแล้ว  Razz Razz Razz




 Cry

ขอโทษ ๆๆๆ

โอเคๆๆ เพื่อวงการหนังสือของประเทศไทยจงเจริญก้าวหน้า
หนู ประกายดาว ขอสัญญา หนูจะ ก้าว(ช้าๆ) ไปสู่ถนน คนแปลหนังสือค่ะ

จะได้เพิ่มจำนวนประชากร นักแปล
  Wink
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #15 เมื่อ: 25-07-2006, 15:06 »




บทที่ ๔ ความกลัวกับความไม่หวาดหวั่น

" การยอมรับถึงความกลัวใช่ว่าจะทำให้รู้สึกหดหู่
หรือท้อแท้ เพราะด้วยเหตุที่เรามีความกลัวเช่นนี้อยู่
เราจึงยังมีศักยภาพที่จะเข้าถึงความไม่หวาดหวั่น
อยู่ในตัวด้วย ความไม่หวาดหวั่นที่แท้จริงนั้นมิใช่การ
ลดทอนความกลัวลง แต่เป็นการขึ้นอยู่เหนือความกลัวนั้น "

ในการที่จะเข้าถึงความไม่หวาดหวั่นได้จำเป็นที่จะต้องประสบกับความกลัวเสียก่อน แก่นของ
ความขลาดอยู่ตรงที่การไม่ยอมรับการมีอยู่จริงของความกลัว ความกลัวนั้นอาจปรากฏขึ้นใน
หลายรูปแบบ โดยเหตุผลแล้ว เรารู้ว่าเราไม่อาจมีชีวิตอยู่ชั่วกาลนาน เรารู้ว่าเราจะต้องตายสัก
วันหนึ่ง ดังนั้นเราจึงรู้สึกกลัว เราหวาดหวั่นต่อความตาย ในอีกระดับหนึ่ง เรากลัวว่าเราจะไม่
สามารถจัดการกับปัญหาของโลกนี้ได้ ความกลัวชนิดนี้แสดงตนออกมาในความรู้สึกด้อย รู้สึก
ว่าตนไม่เก่ง เรารู้สึกว่าชีวิตของเราไร้หวัง และการต้องเผชิญกับโลกทั้งโลกยิ่งเป็นสิ่งไร้หวัง ถัด
มาก็มีความกลัวแบบปัจจุบันทันด่วน หรือความตกตะลึงพรึงเพริด ซึ่งอุบัติขึ้นเมื่อมีสถานะการณ์
ใหม่ ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตอย่างกระทันหัน เมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถจัดการกับมัน เราก็เต้นแร้ง
เต้นกาหรือไม่ก็สั่นสะท้าน บางครั้งความกลัวก็สำแดงออกมาในรูปของความกระวนกระวาย ขีด
เขียนอะไรเล่นในแผ่นกระดาษ ประสานมือไขว้นิ้วเล่นหรือนั่งอยู่ไม่เป็นสุขบนเก้าอี้ เรารู้สึกว่าเรา
ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เหมือนดังเครื่องรถยนต์ ลูกสูบเครื่องที่ขึ้น-ลง ขึ้น-ลง ตราบใดที่
ลูกสูบเคลื่อนที่ เราก็รู้สึกมั่นคงปลอดภัย มิเช่นนั้นก็คงกลัวลนลานและอาจหัวใจวายตายไปตรงนั้น


มีกลวิธีอยู่มากมายที่เราใช้เพื่อดึงใจออกจากความกลัว บางคนก็ใช้ยาระงับประสาท บางคนก็ทำ
โยคะ บางคนก็ดูโทรทัศน์หรืออ่านนิตยสารหรือไปดื่มเบียที่ร้านเหล้า จากทัศนะของคนขลาด ความ
เบื่อหน่ายเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อเรารู้สึกเบื่อเราจะเริ่มมีความรู้สึกวิตกกังวล เราเริ่ม
ขยับเข้าไกล้ความกลัวเข้าไปทุกที สิ่งบันเทิงเริงใจต่าง ๆ ล้วนได้รับการตอบรับ และความคิดใด ๆ
เกี่ยวกับความตายล้วนเป้นสิ่งพึงหลีกเลี่ยง ดังนั้นคนขลาดจึงพยายามใช้ชีวิตอยู่ดังประหนึ่งว่า
ความตายนั้นเป็นสิ่งไม่มีอยู่ มีบางยุคสมัยในประวัติศาสตร์ซึ่งมีคนอยู่ไม่น้อยผู้แสวงหายาอายุ
วัฒนะ ถ้าสิ่งดังกล่าวมีอยู่จริงแล้วไซร้ ผู้คนเหล่านั้นจะค้นพบว่ามันออกจะน่าหวาดหวั่นทีเดียว
ถ้าหากเขาต้องมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ถึงพันปีโดยไม่รู้จักตาย เนิ่นนานก่อนที่เขาจะมีอายุจะมีอายุครบ
พันปี เขาอาจจะพากันฆ่าตัวตายไปเสียก่อน และถึงแม้ว่าคุณอาจมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดิ์คุณก็ไม่อาจ
หลีกเลี่ยงสัจจะแห่งมรณะและความทุกข์ของผู้คนที่แวดล้อมคุณอยู่


ความกลัวเป็นสิ่งที่จะต้องยอมรับ เราจำเป็นต้องประจักษ์ถึงความกลัวของเราและเชื่อมโยงตัวเอง
เข้ากับมัน เราจะต้องสำรวจดูตัวเองว่าเราเคลื่อนไหวอย่างไร พูดคุยอย่างไร ประพฤติปฏิบัติเช่นไร
กัดเล็บอย่างไร และบางครั้งก็เอามือล้วงกระเป๋าโดยไม่จำเป็น เมื่อนั้นเราจะค้นพบว่าความกลัว
สำแดงตนออกอย่างไรในรูปของความกระวนกระวาย เราจะต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าความกลัว
นั้นห้อมล้อมชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลาและในทุกสิ่งที่เรากระทำ


อีกนัยหนึ่ง การยอมรับถึงความกลัวใช่ว่าจะทำให้รู้สึกหดหู่หรือท้อแท้ เพราะด้วยเหตุที่เรามีความ
กลัวเช่นนี้อยู่ เราจึงยังมีศักยภาพที่จะเข้าถึงความไม่หวาดหวั่นอยู่ในตัว ความไม่หวาดหวั่นที่แท้
จริงนั้นมิใช่การลดทอนความกลัวลง แต่เป็นการขึ้นอยู่เหนือความกลัวนั้น ทว่าโชคร้ายที่ภาษาอัง
กฤษนั้นเราไม่มีคำเฉพาะซึ่งหมายถึงสิ่งนี้ คำว่า "fearlessness" นับว่ามีความหมายไกล้เคียงที่สุด
แต่โดยคำว่า " fear-less " เรามิได้หมายถึงว่า " กลัวน้อย " (less fear) หากหมายถึง " อยู่เหนือ
ความกลัว " (beyond fear)


การขึ้นอยู่เหนือความกลัวเริ่มขึ้นเมื่อเราพิจารณาดูความกลัวของเรา เฝ้าดูความวิตกกังวลความ
ทุรนทุรายและความกระวนกระวายของตน ถ้าเราจ้องมองเข้าไปในความกลัว ถ้าเรามองทะลุลงไป
ใต้พื้นผิวของมัน สิ่งแรกที่เราพบก็คือความเศร้า ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ใต้ความทุรนทุรายนั้น ความทุรน
ทุรายนั้นเป็นอาการผิดปกติ มันดำเนินไปและสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราทำตัวให้เนิบช้าลง เมื่อ
เราผ่อนคลายจากความกลัว เราจะพบความเศร้าซึ่งสงบและอ่อนโยนยิ่ง ความเศร้านี้สะเทือนใจ
คุณ และร่างกายก็ขับน้ำตาออกมา ก่อนที่คุณจะร้องไห้มีความรู้สึกวูบอยู่ในทรวงอก ครั้นแล้วคุณ
ก็หลั่งน้ำตาออกมา คุณแทบจะหลั่งมันออกมามากมายดังสายฝนหรือธารน้ำตกทีเดียว คุณรู้สึก
เศร้าและเหงาหงอยยิ่งขณะเดียวกันก็รู้สึกโรเมนติกด้วย นั่นคือเงื่อนปมแรกของความไม่หวาดหวั่น
และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนักรบที่แท้ คุณอาจคิดเอาเองว่า เมื่อคุณเข้าถึงความไม่หวาด
หวั่น คุณคงจะได้ยินเสียงซิมโฟนีหมายเลข ๕ ของบีโทเวน หรือได้เห็นระเบิดก้องในท้องฟ้า แต่อัศ
จรรย์เหล่านั้นจะไม่อุบัติขึ้น ตามแนวทางของซัมบาลา การค้นพบถึงความไม่หวาดหวั่นย่อมอุบัติขึ้น
จากการกระทำร่วมกับความอ่อนโยนในหัวใจมนุษย์


กำเหนิดของนักรบนั้นคล้ายดั่งเขากวางเรนเดียร์ที่เพิ่งงอก หะแรกเขาของมันที่นุ่มนิ่มดั่งยาง มีขน
อ่อนขึ้นอยู่บนนั้นด้วย นั่นยังมิใช่เขาแต่เป็นเพียงปุ่มปมที่มีเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ในนั้น ครั้นพอเขากวาง
เรนเดียร์มีอายุมากขึ้น เขาก็แข็งแกร่งขึ้นตามวัย แตกกิ่งออกสี่กิ่งบ้าง สิบกิ่งบ้างจนถึงสี่สิบกิ่งก็มี
ความไม่หวาดหวั่นนั้นเริ่มแรกก็คล้ายดังเขาอ่อนนุ่ม ๆ เหล่านั้น มันดูคล้ายเขาก็จริงแต่คุณไม่สา
มารถ ใช้มันเป็นอาวุธต่อสู้ได้ เมื่อกวางเริ่มงอกเขาอ่อน มันก็ไม่รู้ว่าจะใช้เขานั้นทำอะไร คุณคงต้อง
รู้สึกเคอะเขินมากทีเดียวที่ต้องมีปุ่มปมนุ่ม ๆ งอกอยู่บนหัว แต่ในไม่ช้ากวางจะเริ่มตระหนักได้ว่า
มันจะต้องมีเขาและเขานั้นเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของการเป็นกวาง ในทำนองเดียวกันเมื่อมนุษย์
เริ่มให้กำเนิดแก่ดวงใจอันอ่อนโยนของนักรบเป็นคราแรก เขา( ไม่ว่าชายหรือหญิง ) ย่อมรู้สึกเคอะ
เขินอย่างบอกไม่ถูก เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจว่าจะสัมพันธ์กับความไม่หวาดหวั่นชนิดนี้อย่างไร
แต่แล้วเมื่อคุณได้สัมผัสรับรู้ถึงความเศร้าชนิดนี้มากขึ้นเป็นลำดับ คุณจะประจักษ์แจ้งแก่ใจว่ามนุษย์
นั้นควรจะต้องมีความอ่อนโยนและเปิดกว้าง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรู้สึกอายหรือเคอะเขิน
ต่อความเป็นคนอ่อนโยนเลย แท้ที่จริงความอ่อนโยนของคุณเริ่มจะกลายเป็นความกรุณาไปเสีย
แล้ว คุณเริ่มอยากที่จะเข้าหาผู้อื่นและสื่อสารกับเขา


เมื่อความอ่อนโยนเริ่มพัฒนาไปตามแนวทางนั้น เมื่อนั้นแหละที่คุณอาจแลเห็นคุณค่าของโลกรอบ ๆ
ตัวอย่างแท้จริง สัมผัสและการรับรู้กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง คุณได้กลายเป็นความอ่อนโยนและ
ความเปิดกว้างไปเสียแล้ว จนคุณต้องเปิดออกสู้สิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวไปโดยปริยาย เมื่อคุณเห็นสี
แดงหรือเขียว เหลืองหรือดำ คุณก็ตอบสนองออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อคุณเห็นใครบางคนร้อง
ไห้หรือหัวเราะหรือหวาดกลัว คุณก็ตอบสนองไปอย่างเหมาะสม จากจุดนี้เอง ความไม่หวาดหวั่น
ในระดับรากฐานก็ได้คลี่คลายไปสู่ความเป็นนักรบ เมื่อคุณเริ่มรู้สึกที่จะเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพ
อย่างปล่อยวางตามสบาย เขากวางเรนเดียร์ของคุณก็จะมิใช่เขาอ่อนที่มีขนอยู่อีกต่อไป หากมัน
ได้กลายเป็นเขาที่แท้จริง สภาพการณ์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นของจริงและจริงยิ่ง อีกแง่มุมหนึ่ง ก็กลับ
เป็นสิ่งธรรมดาสามัญยิ่งเช่นกัน ความกลัวคลี่คลายมาเป็นความไม่หวาดหวั่นโดยธรรมชาติ เป็น
ไปอย่างง่าย ๆ และตรงไปตรงมายิ่ง


อุดมคติของความเป็นนักรบก็คือนักรบจะต้องมีใจเศร้าและอ่อนโยนและด้วยเหตุนี้เอง นักรบจึงอง
อาจกล้าหาญยิ่ง หากปราศจากใจเศร้าเช่นนั้นแล้ว ความกล้าหาญก็จะกลับกลายเป็นสิ่งเปราะบาง
ยิ่ง เหมือนดังถ้วยกระเบื้อง ถ้าคุณทำตก มันก็จะแตกกระจายหรือบิ่นร้าว แต่ความกล้าของนักรบ
นั้นเปรียบประดุจดังถ้วยเขิน ซึ่งมีไม้เป็นแกนเคลือบด้วยยางรัก ถ้าถ้วยเขินแตก มันก็จะกระดอน
แทนที่จะแตก มันมีทั้งความอ่อนนุ่มยืดหยุ่นและแข็งแกร่งในขณะเดียวกัน
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #16 เมื่อ: 25-07-2006, 15:13 »



บทที่ ๕ ประสานจิตกับกาย

" การประสานจิตกับกายเข้าด้วยกันมิใช่เป็นเพียง
ความคิดหรือเป็นวิธีการอันไร้แบบแผน ที่ผู้ใดผู้หนึ่ง
คิดขึ้นมาเพื่อใช้ปรับปรุงตนเอง ทว่ามันคือหลักการณ์พื้น
ฐานของความเป็นมนุษย์และการใช้ผัสสะ ใช้จิตและ
กายอย่างสอดคล้องกัน"

การสำแดงออกแห่งความดีงามพื้นฐานนั้น ย่อมมีส่วนสัมพันธ์กับความอ่อนโยนอยู่เสมอ ความ
อ่อนโยนนั้นมิใช่อ่อนปวกเปียก นุ่ม ๆ นิ่ม ๆ หรือมากจนเลี่ยน ทว่าเป็นความอ่อนโยนที่เต็มเปี่ยม
และสง่าผ่าเผย ความอ่อนโยนในที่นี้เกิดขึ้นจากการทีได้เข้าถึงภาวะที่ปราศจากความลังเลสงสัย
ซึ่งก็คือความชัดเจนนั่นเอง การปราศจากความลังเลสงสัยนี้ไม่เกี่ยวกับการยอมรับถึงแนวความ
คิดหรือหลักปรัชญา มันไม่ใช่การที่คุณจะถูกชักจูงเกลี้ยกล่อมให้เข้าร่วมสงครามศาสนา จนกระ
ทั่งคุณเริ่มปราศจากความสงสัยในความเชื่อของตนเอง เรามิได้กำลังพูดถึงผู้คนที่ปราศจากความ
สงสัยซึ่งได้กลายเป็นพวกบ้าศาสนา ซึ่งพร้อมที่จะเสียสละตนเองเพื่อความเชื่อ การไร้ความสงสัย
นี้ก็คือความเชื่อมั่นในหัวใจของตนเอง เชื่อมั่นตนเอง การปราศจากความสงสัยนี้หมายความว่า
คุณได้เชื่อมโยงเข้ากับตนเอง คือการที่คุณได้เข้าถึงการประสานกายกับจิตเข้าด้วยกัน เมื่อจิตกับ
กายเชื่อมโยงเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อนั้นเองที่ความสงสัยได้สิ้นสุดลง


การประสานจิตกับกายเข้าด้วยกันมิใช่เป็นเพียงความคิดหรือเป็นวิธีอันไร้แบบแผน ที่ผู้ใดผู้หนึ่งคิด
ขึ้นมาเพื่อใช้ปรับปรุงตนเอง ทว่ามันคือหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และการใช้ผัสสะ ใช้
จิตและกายอย่างสอดคล้องกัน ร่างกายนั้นเปรียบเสมือนกล้องถ่ายรูป และจิตนั้นเสมือนฟิล์มที่อยู่
ในกล้อง ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณจะใช้ร่วมกันอย่างไร เมื่อขนาดความกว้างของรูกล้องและความเร็วชัต
เตอร์ได้ถูกกำหนดอย่างเหมาะสมอย่างสอดคล้องกับความไวแสงของฟิล์มอยู่ภายใน เมื่อนั้นคุณก็
อาจถ่ายฟิล์มอย่างเหมาะสม ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อจิตกับกายได้ประสานกันอย่างเหมาะเจาะ
สอดคล้อง เมื่อนั้นคุณก็จะมีการรับรู้ที่แจ่มชัดจะเกิดความรู้สึกแน่ใจขึ้นมา ปราศจากความหวาด
หวั่นแกว่งไกวและการมองอย่างแคบ ๆ อันมีความวิตกกังวลเป็นสาเหตุ ซึ่งทำให้พฤติกรรมของคุณ
สับสนเลอะเลือนยิ่ง


เมื่อกายและจิตไม่บรรสานกัน บางครั้งจิตของคุณก็สั้นแต่ร่างกายกลับยาว หรือบางครั้งจิตของ
คุณยาว ทว่าร่างกายกลับสั้น เมื่อนั้นคุณก็จะเต็มไปด้วยความลังเล แม้แต่จะหยิบจับแก้วน้ำสักใบ
หนึ่ง บางครั้งคุณอาจจะเอื้อมยาวเกินไป และบางครั้งคุณก็เอื้อมไม่ไกลพอ คุณก็ไม่สามารถหยิบ
ถือแก้วน้ำไว้ได้ เมื่อจิตและกายไม่บรรสานกัน เมื่อนั้นแม้ว่าคุณยิงธนูก็ยิงไม่ถูกเป้า แม้ว่ากำลัง
เขียนอักษรจีน แม้แต่จุ่มพู่กันลงในหินฝนหมึกก็ไม่ตรงเสียแล้ว อย่าพูดถึงการตวัดพู่กันอย่างมีพลังเลย


การประสานกายกับจิตยังเกี่ยวพันไปถึงว่าเราได้สัมพันธ์กับโลกอย่างไรด้วย เกี่ยวพันไปถึงว่าเรา
กระทำการร่วมกับโลกอย่างไร กระบวนการนี้มีอยู่สองขั้นตอน ซึ่งเราอาจเรียกว่าการมองและการ
เห็น เราอาจจะพูดถึงการฟังและการได้ยินหรือการสัมผัสและการรู้สึกด้วยก็ได้ แต่จะดูง่ายดายกว่า
ที่จะอธิบายกระบวนการอันสอดคล้องนี้ด้วยจักษุประสาท "การมองดู" เป็นอาการในขั้นแรก และ
ถ้าหากคุณมีความลังเลสงสัยอยู่ ก็จะมีความหวาดหวั่นไม่มั่นคงเข้ามาแทรก คุณเริ่มมองดู ครั้น
แล้วก็รู้สึกหวั่นไหว หรือกระวนกระวายเพราะเหตุที่คุณไม่เชื่อมั่นในสายตาของตนเอง ดังนั้นบาง
ครั้งคุณจึงอยากจะหลับตาเสีย คุณไม่ปรารถนาจะมองต่อไปอีก แต่ประเด็นกลับอยู่ตรงที่ว่าคุณจะ
ต้องแลดูต่อไปให้ถี่ถ้วน มองดูสีสันของมัน ขาว ดำ ฟ้า เหลือง แดง เขียว หรือม่วง แลดูต่อไป นี่คือ
โลกของคุณ คุณไม่อาจเพิกเฉยได้ ไม่มีโลกอื่นนอกไปจากนี้ นี่คือโลกของคุณ คือของประทานสำหรับ
คุณ คุณเป็นทายาทของสิ่งเหล่านี้ คุณรับมรดกลูกนัยน์ตานี้มา คุณสืบทอดโลกแห่งสีสันมา จงมองดู
ความยิ่งใหญ่ของสรรพสิ่ง มองดูซิ อย่าได้ลังเล มองดู เปิดตาออกอย่ากระพริบ และแลดู ดู ดูให้ชัด


เมื่อนั้นคุณอาจ "เห็น" บางสิ่งบางอย่าง ซึ่งนั่นเป็นขั้นตอนที่สองยิ่งมองดูมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเริ่มรู้สึก
อยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเท่านั้น ก็ยิ่งจะมองให้มากขึ้น กระบวนการในการมองของคุณไม่จำเป็นต้อง
จำกัดเอาไว้ เพราะเหตุที่คุณเป็นสิ่งแท้ คุณอ่อนโยน ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสีย และไม่จำเป็นที่จะต้อง
ต่อสู้เพื่อครอบครองสิ่งใดไว้ คุณอาจมองดูได้มาก ๆ อาจมองได้ยิ่ง ๆ ขื้นไป และอาจเห็นได้อย่างงด
งาม ที่จริง คุณอาจรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของสีแดงและความเย็นฉ่ำของสีฟ้า รู้สึกได้ถึงความจัดจ้าของ
สีเหลือง ความแหลมคมของสีเขียว รู้สึกได้พร้อม ๆ กันในทันทีนั้น คุณอาจรู้สึกถึงคุณค่าของโลกรอบ ๆ
ตัว มันคือการค้นพบอย่างใหม่อันมหัศจรรย์เกี่ยวกับโลก คุณอาจจะอยากสำรวจตรวจค้นไปในจักรวาล
อันกว้างใหญ่


บางครั้ง เมื่อเรารับรู้โลก เรารับรู้โดยปราศจากภาษา เรารับรู้จากเนื้อจากตัวโดยตรง โดยระบบการ
สื่อสารที่ปราศจากภาษา แต่ในบางครั้งเมื่อยามเรายลโลก แวบแรกเราก็คิดถึงถ้อยคำ ครั้นแล้วจึง
สัมผัสรู้ พูดอีกนัยหนึ่งอย่างแรกคือการสัมผัสรับรู้ถึงจักรวาลโดยตรง ส่วนอย่างหลังคือการบอกตัว
เองให้มองดูจักรวาลของเราเอง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมองดูและสามารถแลเห็นเหนือภาษาขึ้นไป ในชั่ว
ขณะแห่งสัมผัสแรก หรือคุณจะแลเห็นโลกผ่านม่านความคิดของตนโดยการพูดกับตนเอง ทุกคน
ย่อมรู้ดีว่าการสัมผัสโดยตรงนั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์อันแรงกล้า ตัณหาหรือความก้าว
ร้าวและความอิจฉาริษยา ล้วนเป็นสิ่งที่ปราศจากภาษาทั้งสิ้น มันอุบัติขึ้นมาอย่างแรงกล้าในชั่วแวบ
แรก ครั้นแล้ว คุณก็เริ่มคิดถึงมันโดยใจ "ฉันเกลียดคุณ" หรือ "ฉันรักคุณ" หรือพูดว่า "ฉันรักคุณ
ได้มากเพียงนั้นเทียวหรือ" มีการพูดคุยโต้ตอบเกิดขึ้นในจิตใจของคุณ


การประสานกายและจิตคือการมองดูและแลเห็นโดยตรง อันอยู่พ้นภาษาขึ้นไป ทั้งนี้มิใช่เพราะเรา
ดูแคลนภาษา แต่ด้วยเหตุที่การโต้ตอบภายในของคุณนั้นกลับกลายเป็นการพูดจานินทาของจิตใต้
สำนึก คุณสร้างบทกวีและความเพ้อฝันขึ้นมา คุณสร้างคำสบถสาบานของตนเองขึ้น คุณเริ่มคำสนทนา
ระหว่างตนกับตัวเอง กับคนรัก และกับครู ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในใจ แต่อีกนัยหนึ่ง เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึก
ว่าคุณสามารถผ่อนคลายลงและรับรู้โลกได้โดยตรง เมื่อนั้นญาณทัศนะของคุณก็จะแผ่ขยายออกไป
กว้างขึ้นกว้างขึ้น และคุณจะแลเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสีสันและความสดใหม่ทั้งยังเที่ยงตรงยิ่ง แง่
มุมอันคมชัดของมันช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์


ในทำนองนั้นเอง การประสานกายกับจิตเข้าด้วยกันจึงเป็นสิ่งสัมพันธ์กับการเติบใหญ่ไปสู่สภาวะ
ของความไม่หวาดหวั่นด้วย พูดถึงความไม่หวาดหวั่นนี้ เรามิได้หมายถึงการกระทำดังเช่นการกระ
โดดลงมาจากหน้าผา หรือเอานิ้วแหย่เข้าไปในเตาไฟ หากแต่ความไม่หวาดหวั่นนที่นี้หมายถึงความ
สามารถที่จะตอบสนองอย่างเที่ยงตรงต่อโลกแห่งปรากฏการณ์ทั้งมวล มันหมายเพียงการสัมพันธ์
อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมากับโลกแห่งปรากฏการณ์ โดยอาศัยสัมผัสรับรู้ของคุณ โดยอาศัยจิต
และญาณทัศนะ ญาณทัศนะอันปราศจากความกลัวนั้นย่อมสะท้อนให้เห็นอยู่ในตัวคุณด้วย มันส่ง
ผลให้คุณมองตัวเองอย่างไร ถ้าคุณมองตัวเองในกระจกเงา มองดูผมเผ้า ดูฟัน ดูหนวด ดูเสื้อคลุม
เสื้อเชิร์ต ดูเนคไท ดูชุดเสื้อผ้า ดูสร้อยมุกและตุ้มหู คุณย่อมแลเห็นว่ามันล้วนดำรงอยู่ที่นั่น ทั้งตัว
คุณเองก็ดำรงอยู่ที่นั่น ดังที่ตัวเองเป็น คุณจะเริ่มตระหนักได้ว่าคุณมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะดำรงอยู่
ในจักรวาลนี้ ที่จะเป็นอย่างนี้ ทั้งคุณจะเห็นด้วยว่ามีความเอื้ออารีพื้นฐานซึ่งโลกนี้มอบให้แก่คุณ
คุณได้แลดูและได้เห็น คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกต่ำต้อยหรือเสียอกเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้เลย


การค้นพบประการนี้เป็นแวบแรกของการหยั่งเห็นที่เรียกว่าอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เมื่อเรากล่าว
ถึงคำว่าดวงอาทิตย์ ในที่นี้เราหมายถึงดวงอาทิตย์แห่งความภาคภูมิสง่างามของมนุษย์ดวงอาทิตย์
แห่งพลังของมนุษย์ ดังนั้นมันจึงหมายถึงรุ่งอรุณแห่งการตื่นขึ้นแห่งคุณค่าศักดิ์ศรีของมนุษย์ คือ
การอุบัติขึ้นของความเป็นนักรบแห่งมนุษย์ การประสานกายและจิตย่อมนำไปสู่รุ่งอรุณของอาทิตย์
อุทัยอันยิ่งใหญ่
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #17 เมื่อ: 25-07-2006, 15:18 »






บทที่ ๖ รุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่

"วิถีทางแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บน
การแลเห็นว่า มีแหล่งกำเนิดแห่งแสงสว่างและประภา
รัศมีตามธรรมชาติอยู่ในโลกนี้ ซึ่งก็คือภาวะแห่งการ
ตื่นขึ้น อันมีอยู่โดยกำเนิดของมนุษย์"

รุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่พื้นฐานอยู่บนประสบการณ์ที่เป็นจริง มันมิใช่เป็นเพียงความ
คิด คุณย่อมตระหนักได้ว่าคุณอาจยกระดับตัวเองขึ้น คุณอาจเล็งเห็นคุณค่าของการดำรงอยู่ใน
ฐานะที่เป็นมนุษย์ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กปั๊มหรือประธานาธิบดีของประเทศก็ไม่ต่างอะไรกันเลยเมื่อ
ใดที่คุณสัมผัสได้ถึงความดีงามของการมีชีวิตอยู่ คุณย่อมเคารพในสิ่งที่ตัวเองเป็น คุณไม่จำต้อง
รู้สึกห่อเหี่ยวเพราะการมีหนี้สิน มีผ้าอ้อมลูกต้องคอยเปลี่ยน มีอาหารที่จะต้องปรุงหุงหา มีเอกสาร
ที่จะต้องทำให้เสร็จ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว นอกเหนือจากงานรับผิดชอบเหล่านี้ คุณอาจเริ่มรู้สึก
ได้ว่ามีภาวะการณ์อย่างหนึ่งอันทรงคุณค่าอย่างยิ่ง นั่นคือการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การได้มีชีวิต
อยู่ โดยไม่หวั่นเกรงต่อความตาย

ความตายจะมาถึงอย่างแน่นอน คุณไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้ ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งใดก็ตาม ความตาย
จะปรากฏขึ้น แต่ถ้าหากคุณดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาการอันสำนึกรู้ถึงความจริง พร้อมด้วยการตระหนัก
รู้ถึงคุณค่าของชีวิต เมื่อนั้นคุณก็ได้ละทิ้งความทรงจำแห่งชีวิตอันทรงคุณค่าไว้เบื้องหลังเพื่อว่าญาติ
มิตรและลูกหลานจะได้แลเห็นถึงคุณค่าของการเป็นตัวคุณ ญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
มีพื้นฐานอยู่บนชีวิตอันรุ่งโรจน์มันเป็นสิ่งตรงข้ามกับอาทิตย์อัสดง อาทิตย์ที่ตกลงตรงขอบฟ้าและ
จางหายไปในความมืด ญาณทัศนะของอาทิตย์อัสดงมีพื้นฐานอยู่บนการพยายามขับไล่ความคิด
เกี่ยวกับความตายออกไป พยายามที่จะปกป้องตัวเองไว้จากมรณภัย ทัศนะของอาทิตย์อัสดงมีพื้น
ฐานอยู่บนความกลัว เรามักกลัวตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถยืดตัวตรงได้เลย
เราเต็มไปด้วยความละอายใจในตนเอง ในสิ่งที่เราเป็น ในความเป็นเรา เราอายในหน้าที่การงาน
อายในฐานะการเงิน อายในชาติกำเนิด อายในการศึกษา และอายในปัญหาทางจิตใจของตน

ญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลเห็นคุณค่าของตัวเองและโลก
นี้ ดังนั้นมันจึงเป็นวิถีทางที่อ่อนโยนมาก ด้วยเหตุที่เราและเห็นคุณค่าความหมายของโลก เราจึง
ไม่สร้างความปั่นป่วนสับสนแก่มัน เราเอาใจใส่ดูแลร่างกาย ดูแลรักษาสภาพจิตใจและใส่ใจดูแล
โลก โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องบำรุงรักษาและทำความ
สะอาดมัน ทัศนะแห่งอาทิตย์อัสดงถือว่าการทำความสะอาดและการซักล้างเช็ดถูเป็นเรื่องของการ
จ้างคนให้มาทำ หรือถ้าหากว่าคุณไม่สามารถหาแม่บ้านได้ คุณก็อาจทำเอง ทว่าถือว่ามันเป็นงาน
สกปรก การได้กินอาหารอร่อย ๆ นั้นเป็นเรื่องวิเศษ แต่ทว่าใครจะเป็นคนล้างจานเล่าเรามักจะผลัก
ภาระนี้ไปให้กับคนอื่นอย่างเต็มอกเต็มใจ

มีเศษอาหารจำนวนนับพัน ๆ ตันถูกเททิ้งไปทุก ๆ ปี เมื่อผู้คนไปกินอาหารกันที่ภัตตาคารก็มักจะ
ได้รับอาหารจานใหญ่ วึ่งมีปริมาณมากเกินกว่าที่จะกินหมด อาหารจานใหญ่ ๆ เหล่านั้นมีขึ้นเพื่อ
สนองความต้องการอย่างใหญ่ในจิตใจของเขา ใจของเขาอิ่มเอมเพียงเมื่อได้เห็นเสต็คชิ้นมหึมา
ได้เห็นอาหารเต็มจาน ครั้นแล้วอาหารที่เหลือก็ถูกเทลงถังขยะไป อาหารเหล่านั้นสิ้นเปลืองไปอย่าง
น่าเสียดาย เปล่าเปลืองอย่างยิ่ง

นั่นแหละคือวิถีทางของอาทิตย์อัสดง คุณได้สนองตาสนองความอยากของตนเอง แต่ทว่าไม่สามารถ
บริโภคได้หมด และจบลงด้วยการเทของที่เหลือทิ้ง ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะนำของที่เหลือมาใช้ให้เกิด
ประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างไปก่ายกองทับถมกันอยู่ในกองขยะ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราต้องเผชิญ
กับปัญหาเรื่องราวกำจัดขยะปริมาณมหาศาลเหล่านั้น มีบางคนยังคิดถึงขั้นที่จะส่งขยะออกไปทิ้ง
นอกโลก เราปล่อยให้จักรวาลเป็นผู้จัดการกับขยะของเรา แทนที่จะดูแลรักษาความสะอาดโลกของ
เรา แนวทางแห่งอาทิตย์อัสดงก็คือการหลีกหนีจากความสกปรกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อ
ว่าเราจะได้ไม่ต้องดูแลมัน เราเพียงแต่ขจัดสิ่งที่ไม่น่าอภิรมณ์ออกไปเสีย ตราบใดที่เรายังอยู่ในภาวะ
ที่น่าพึงพอใจ ตราบนั้นเราก็ลืมนึกถึงเศษอาหารและถ้วยชามที่แปดเปื้อน เราปล่อยภาระการทำ
ความสะอาดให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น

ทัศนะเช่นนั้นก่อให้เกิดระบบลดหลั่นแบ่งแยกอันมีลักษณะกดขี่ให้เกิดขึ้นในโลกของอาทิตย์อัสดง
ในโลกนั้นประกอบด้วยผู้คนซึ่งคอยติดตามชำระล้างความสกปรกซึ่งผู้อื่นก่อขึ้น และผู้คนซึ่งเพลิด
เพลินในการทำสกปรกทิ้งไว้ พวกคนมีเงินยังสามารถหาความสุขจากการกินทิ้งขว้างสืบไป คนเหล่า
นี้สามารถจับจ่ายใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือยและเพิกเฉยต่อความเป็นจริง ในการกระทำอย่างนั้น คุณ
ไม่มีวันที่จะแลเห็นความสกปรกได้อย่างแท้จริง ไม่มีวันมองอาหารได้อย่างแท้จริงด้วย ทุกสิ่งทุก
อย่างถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วน ๆ แยกขาดออกจากกัน จนคุณไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างสม
บูรณ์ เรามิได้กำลังพูดถึงอาหารแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรากำลังพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
อาทิตยือัสดงนั้น อาหารสำเร็จ การพักผ่อนสำเร็จรูป สิ่งสำเร็จรูปสารพัดชนิด แทบไม่มีที่ว่างพอให้
เกิดความมั่นอกมั่นใจขึ้นในโลกนั้นเลย ไม่มีที่ว่างพอสำหรับความอ่อนโยน ไม่มีที่ว่างให้สัมผัสรับรู้
ถึงความจริงได้อย่างเต็มเปี่ยมและเที่ยงตรง

โดยนัยตรงข้าม ญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่เป็นการมองที่คำนึงถึงระบบนิเวศน์และสภาพ
แวดล้อม วิถีทางของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานบนการหยั่งเห็นว่าควรจะวางตนอย่างไรและเข้า
ใจถึงสัมพันธภาพในสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นความคิดเรื่องการแบ่งแยกหน้าที่หรือการจัดระเบียบในโลกแห่ง
อาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ จึงไม่มีการขีดเส้นแบ่งแยกอย่างตายตัว การจัดระเบียบในโลกอาทิตย์อุทัยอัน
ยิ่งใหญ่นั้นเกิดขึ้นจากการมองเห็นชีวิตว่าเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ ซึ่งจะต้องปรับเข้ากับกฎเกณฑ์
ซึ่งดำรงอยู่ในโลก การจัดระเบียบของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บนการแลเห็นว่า มีแหล่งกำ
เนิดแห่งแสงสว่างและประภารัศมีตามธรรมชาติอยู่ในโลกนี้ ซึ่งคือภาวะแห่งการตื่นขึ้น อันมีอยู่โดยกำ
เนิดของมนุษย์ ดวงอาทิตย์แห่งความภาคภูมิสง่างามของความเป็นมนุษย์ย่อมคล้ายดั่งดวงอาทิตย์ซึ่ง
ส่องสว่างทำลายห้องอันมืดดำ เมื่อคุณมีดวงอาทิตย์อันเจิดจรัส ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแห่งญาณทัศนะ
อยู่ในตัว แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ย่อมส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทุกบาน และความกระจ่างแจ้งของ
มันย่อมเป็นแรงดลใจให้คุณเปิดม่านทุกม่าน ระเบียบแบบแผนในโลกแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นั้น
คือต้นไม้ดอกซึ่งงอกงามชูยอดเติบโตขึ้น ในขณะที่แบบแผนและการแบ่งแยกต่าง ๆ ในโลกแห่งอาทิตย์
อัสดง คือสิ่งปิดบังที่ทำให้คุณตื้นเขินและหยุดอยู่กับที่ ในญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ แม้แต่
อาชญากรก็อาจกล่อมเกลาอุดหนุนจุนเจือให้เติบโตได้ แต่ในทัศนะของอาทิตย์อัสดง อาชญากรคือผู้
ไร้หวังที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ดังนั้นจึงถูกตัดขาดแบ่งแยกออกไปต่างหาก ไร้โอกาสโดยสิ้นเชิง เขา
กลายเป็นส่วนหนึ่งของความสกปรกซึ่งเราไม่ปรารถนาจะเห็น แต่ในญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่
ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้หลงผิดโดยสิ้นเชิง เราไม่รู้สึกว่าเราจะต้องหาสิ่งปกปิดมาครอบคลุมใครหรือสิ่งใด
ไว้ เรามีความปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะใช้สิ่งต่าง ๆ ได้มีโอกาสงอกงามออกดอกผล

รากฐานของญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ก็คือการประจักษ์แจ้งว่าโลกนี้สะอาดบริสุทธิ์มาตั้ง
แต่แรกเริ่ม จึงไม่มีปัญหาในเรื่องการทำความสะอาด ถ้าเราตระหนักได้ว่าเราเพียงแต่ทำให้มันกลับคืน
สู่สภาพดั้งเดิมตามธรรมชาติ มันเหมือนกับการไปขัดฟัน เมื่อคุณออกจากทันตคลีนิค คุณก็รู้สึกว่าฟัน
สะอาดมาก ดังประหนึ่งว่าคุณได้ฟันชุดใหม่มา แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงแต่ว่าฟันของคุณได้รับการทำ
ความสะอาดจนหมดจดเท่านั้น และคุณก็ประจักษ์ได้ว่ามันเป็นฟันที่ดีอยู่แล้วโดยพื้นฐาน

ในการกระทำร่วมกับตนเอง กระบวนการในการชำระล้างตนเริ่มด้วยการเผชิญความจริง เราจำ
ต้องสลัดความลังเลที่จะซื่อสัตย์ต่อตนเองทิ้งไป เพราะเรากลัวว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจนักหาก
เราต้องเผชิญความจริง ถ้าหากว่าคุณรู้สึกแย่ ๆ เมื่อกลับมาถึงบ้าน เพราะว่าวันนี้ทำงานหนักมาก
คุณก็อาจพูดจริง ๆ ถึงสิ่งนั้นว่าคุณรู้สึกแย่ ถ้าทำดังนี้ได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องระบายอารมณ์ใส่ใคร
ต่อใครในห้องนั่งเล่น ทว่าคุณสามารถผ่อนคลาย อาจพบความสุขสบายในบ้านของตนเอง คุณอาจ
ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และพักผ่อน คุณอาจเปลี่ยนรองเท้า ออกไปข้างนอกเดินเล่นในสวน
และแล้วคุณก็รู้สึกดีขึ้น แท้จริงแล้ว เมื่อคุณเข้าไกล้ความจริง คุณก็อาจบอกความจริงออกมาและ
สามารถรู้สึกดี ๆ ได้ด้วย

ในโลกนี้มีโอกาสเปิดให้กลับคืนสู่ความสะอาดบริสุทธิ์แต่แรกเริ่มอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุว่าโลกนี้
เป็นสิ่งสะอาดให้เราสามารถเริ่มต้นได้ ราคีมิใช่สิ่งที่มีมาแต่แรกเริ่ม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณซื้อผ้า
เช็ดตัวผืนใหม่ มันไม่มีรอยสกปรกแปดเปื้อนอยู่เลย ครั้นเมื่อคุณใช้มันไปนานเข้ามันก็กลับสกปรก
แต่คุณก็สามารถซักและทำให้มันกลับสู่สภาพเดิมได้ ในทำนองเดียวกันนี้ ทั้งร่างกายจิตใจและโลก
ซึ่งเรารู้จัก ทั้งท้องฟ้า ผืนแผ่นดิน บ้านเรือน และทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ล้วนไร้ราคีมาแต่แรกเริ่ม
แต่ครั้นแล้วเรากลับทำให้สิ่งต่าง ๆ แปดเปื้อนด้วยอารมณ์อันขัดแย้งสับสน กระนั้นก็ดีหากกล่าว
โดยพื้นฐานแล้ว ภาวะการดำรงอยู่ของเราล้วนเป็นสิ่งดีงามและเป็นสิ่งซึ่งสามารถชำระล้างได้ นั่น
คือความหมายของความดีงามพื้นฐานซึ่งเป็นรากฐานอันบริสุทธิ์ ซึ่งดำรงอยู่ที่นั่น รอเวลาให้เราไป
ชำระล้างเราอาจกลับไปสู่รากฐานดั้งเดิมนี้ได้เสมอ นี่คือหลักการและเหตุผลแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #18 เมื่อ: 25-07-2006, 15:21 »




บทที่ ๗ รังดักแด้

" หนทางของคนขลาดคือการสานทอรังขึ้นมาห่อหุ้ม
ตัวเองไว้ ภายในรังนั้นเองที่เราพยายามสืบต่อนิสัย
ใจคอเฉพาะตัวไว้ เมื่อเราสร้างรูปแบบพื้นฐานของ
นิสัยและความคิดขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นเราก็
ไม่มีทางผ่านพ้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ออกมาสู่
โลกภายนอกอันสดชื่นได้เลย "

ในบทก่อน เราพูดกันถึงรุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วเราคุ้นเคยกับ
ความมืดของโลกแห่งอาทิตย์อัสดงมากกว่า แสงสว่างของอาทิตยือุทัยอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น หัวข้อ
ที่จะพูดถึงถัดมาก็คือการเข้าเผชิญกับความมืดมน เมื่อพูดถึงความมืดนี้เราหมายถึงการเปิดตัว
เองอยู่ในโลกที่คุ้นเคย ซึ่งเราสามารถหลบซ่อนหรือนอนหลับได้อย่างปลอดภัยดังประหนึ่งว่าเรา
อยากจะกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดา และซ่อนตัวอยู่ในนั้นตลอดกาล เพื่อว่าจะได้หลีกเลี่ยงการ
จุติออกมาสู่โลก เมื่อยามที่เราหวาดกลัวการตื่นขึ้นมาและกลัวที่จะสัมผัสได้ถึงความกลัวของตน
เอง เมื่อนั้นเราก็สร้างรังดักแด้ขึ้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันเราไว้จากญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอัน
ยิ่งใหญ่ เราสมัครใจที่จะซ่อนตนอยู่ในป่าและในถ้ำของตนเอง เมื่อเราซ่อนตัวจากโลกด้วยอาการ
ดังนี้ เราก็ย่อมรู้สึกปลอดภัย เราอาจคิดว่าเราได้ทำให้ความกลัวสงบราบคาบ แต่โดยแท้จริงแล้ว
เรากลับทำให้ตัวเองตกตะลึงจังงังด้วยความกลัว เราหุ้มห่อตัวเองด้วยความคิดที่คุ้นเคย เพื่อว่า
จะได้ไม่มีสิ่งที่เจ็บปวดหรือแหลมคมมาทิ่มแทงเราได้ เราหวาดกลัวความกลัวของตนอย่างเหลือ
เกิน จนกระทั่งทำให้หัวใจของตนชาด้าน

หนทางของคนขลาดคือการสานทอรังขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองไว้ เมื่อเราได้สร้างรูปแบบพื้นฐานของนิสัย
และความคิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นเราก้ไม่มีทางผ่านพ้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ออกมาสู่
โลกภายนอกอันสดชื่นได้เลย ตรงข้ามกลับห่อหุ้มตัวเองไว้ในสิ่งแวดล้อมอันมืดดำของตน มีเพื่อนอยู่
เพียงหนึ่งเดียวคือกลิ่นเหงื่อไคลของตนเท่านั้น เรากลับถือเอาเจ้ารังดักแด้อันอับชื้นนี้ว่าเป็นมรดกตก
ทอดประจำตระกูล และก็ไม่ปรารถนาที่จะสละละความทรงจำดี ๆ เลว ๆ เลว ๆ ดี ๆ นี้ไปเสีย ในรังดัก
แด้นั้นไม่มีการเริงรำ ไม่มีการเดินเหินหรือหายใจ ไม่มีแม้แต่การกระพริบตา มันสุขสบายและง่วงงุน
เป็นบ้านและที่พำนักอันคุ้นเคยอย่างยิ่ง ในโลกของรังดักแด้นั้นสิ่งเช่นการทำความสะอาดในฤดูใบไม้
ผลิก็ไม่เป็นที่รู้จัก เรารู้สึกว่าการทำความสะอาดเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป เป็นงานหนักเกินไป เราอยาก
เพียงจะกลับไปหลับไหลเท่านั้น

ในรังดักแด้นั้นไม่รู้จักแสงสว่างเลย จนกว่าเมื่อไรที่เราเริ่มรู้สึกต้องการความเปิดโล่ง เกิดมีความ
ปรารถนาในบางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือไปจากกลิ่นเหงื่อไคลของตนเอง เมื่อใดที่เราเริ่มพิจารณา
ดูความมืดอันแสนสบายนั้นมองดูมัน ดมและสัมผัสมัน และพบว่าห้วงมืดนั้นน่าหวาดหวั่น แรงกระ
ตุ้นแรกสุดที่ชักนำเราออกห่างจากความมืดดำของรังดักแด้ไปสู่แสงสว่างของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
นั้นก็คือ ความปรารถนาในอากาศสดชื่น ในทันใดที่เราเริ่มรู้สึกถึงความเป็นไปได้ของอากาศสดชื่น
เราก็จะตระหนักว่าแขนขาของเราถูกบังคับให้งองุ้มอยู่ เราอยากที่จะเหยียดมันออกและก้าวเดินไป
เริงรำหรือแม้แต่กระโดดโลดเต้น เราประจักษ์ได้ว่ามีทางเลือกอื่นอีก นอกจากรังดักแด้ เราค้นพบว่า
เราอาจหลุดพ้นจากกับดักนี้ได้ อาศัยแรงปรารถนาในอากาศสดชื่น ในสายลมเย็นฉ่ำแห่งความเบิก
บานใจ เราก็ได้ลืมตาขึ้น เริ่มมองดูค้นหาสภาพแวดล้อมอื่นที่น่าพึงพอใจกว่ารังดักแด้ของเรา และ
เราจะต้องประหลาดใจเมื่อเริ่มแลเห็นแสงสว่าง แม้ว่าหะแรกจะแลดูมืดมัวก็ตามที การเจาะผ่านรัง
ดักแด้เริ่มจากจุดนี้เอง

ครั้นเมื่อเราเริ่มตระหนักได้ว่าเจ้ารังดักแด้อันตนเคยใช้เร้นกายนั้นเริ่มเป็นสถานที่อันไม่น่าอภิรมณ์
เราก็ต้องการที่จะเปิดแสงสว่างให้ส่องเข้าไปลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ แต่โดยแท้จริงแล้ว เราไม่ได้กำลัง
เปิดแสงสว่างเลย เราเพียงแต่เปิดตาให้กว้างขึ้น แลหาแสงที่เจิดจ้าที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงจับไข้ เป็น
ไข้ของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ แต่เราจำเป็นต้องมาทบทวนถึงความมืดในรังดักแด้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เพื่อที่จะเกิดกำลังใจก้าวไปเบื้องหน้า เราต้องมองย้อนกลับไปดูความแตกต่างของสถานที่ที่เราผละ
จากมา

ถ้าเราไม่มองย้อนกลับไป เราก็จะพบอุปสรรคในการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความจริงของฟากฝ่าย
อัสดง เราคงไม่สามารถเพียงแค่ปฏิเสธโลกแห่งรังดักแด้อย่างลอยๆ เท่านั้นกระมัง แม้ว่าโลกนั้น
จะแลดูน่าสะพรึงกลัวและไร้สาระก็ตาม หากเราจะต้องปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงต่อประ
สบการณ์ในด้านที่มืดมิดของเราเช่นเดียวกับของผู้อื่น มิเช่นนั้นแล้วการเดินทางออกจากรังดักแด้
ของเรา จะกลายเป็นเพียงการหยุดพักผ่อนของโลกอาทิตย์อัสดงเท่านั้น หากปราศจากการมองย้อน
กลับเพื่อเปรียบเทียบ เราก็มีแนวโน้มที่จะสร้างรังดักแด้ขึ้นมาใหม่ในโลกอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่เช่น
กัน มาบัดนี้ เมื่อเราได้ละทิ้งความมืดดำไว้เบื้องหลังแล้ว เราย่อมรู้สึกได้ว่าเราอาจนอนอาบแดดอย่าง
นิ่งนอนใจอยู่บนพื้นทรายได้

แต่เมื่อใดที่เรามองย้อนกลับไปดูรังดักแด้และได้แลเห็นถึงความทุกข์ทรมาณซึ่งดำรงอยู่ในโลกของ
คนขลาด การแลเห็นนั้นจะช่วยอุดหนุนเป็นแรงใจให้เราก้าวต่อไปในหนทางของการเป็นนักรบ มัน
มิใช่การเดินทางแบบการเดินทางในทะเลทราย ซึ่งได้แต่จับตามองเส้นขอบฟ้าเบื้องหน้า ทว่ามันคือ
การเดินทางที่ดำเนินภายในตัวเอง ดังนั้นเราจึงเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่
มิใช่ฐานะของสิ่งที่อยู่นอกตัวเรา เหมือนดังเช่นอาทิตย์ในฟากฟ้า หากแต่เป็นอาทิตย์อันยิ่งใหญ่ที่
อยู่ในหัวของเราอยู่นหลังและในไหล่ อยู่ในหน้าในผม ในริมฝีปากและในทรวงอก ถ้าเราพิจารณาดู
ท่าทาง นิสัยใจคอและการดำรงอยู่ของเราให้ดี เราจะพบคุณลักษณ์ของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ สะ
ท้อนอยู่ในทุก ๆ แง่มุมของการดำรงอยู่

จากสิ่งนี้เองก่อเกิดความรู้สึกถึงการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้วยกาย ด้วยจิต ด้วยโลกหรือ
ด้วยธรรม เรารู้สึกได้ว่าเราอาจดำเนินชีวิตได้อย่างเต็มเปี่ยม จะมีความรู้สึกสุขสมบูรณ์เต็มเปี่ยม
อุบัติขึ้นในชีวิต ดังว่าเรากำลังถือทองคำแท่งอยู่ในมือ มันทั้งหนัก ทั้งเต็ม ส่องประกายทองระยิบ
มีบางสิ่งบางอย่างในภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ซึ่งจริงอย่างยิ่งและลุ่มลึกอย่างยิ่ง จากความรู้สึก
อันนี้เอง ความรู้สึกสุขสมบูรณ์อย่างใหญ่หลวงจะหลั่งล้นออกไปสู่ผู้อื่น ความจริงก็คือการสรรสร้าง
ความสุขสมบูรณ์ขึ้นมาในโลกของเรา ได้กลายมาเป็นวินัยรากฐานของความเป็นนักรบ วินัยนี้มิได้
หมายถึงบางสิ่งที่ไม่น่ายินดีหรือฉาบฉวยซึ่งถูกกำหนดมาจากภายนอก หากแต่วินัยนี้คือกระบวน
การอันเกี่ยวเน่องสัมพันธ์ซึ่งแผ่ขยายออกอย่างเป็นธรรมชาติ จากประสบการณ์ของตนเอง เมื่อเรา
รู้สึกสุขสมบูรณ์และเปี่ยมล้น เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการแบ่งปันความสุขสมบูรณ์ให้แก่ผู้อื่นได้

ญาณทัศนะอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ย่อมก่อให้เกิดความสนใจโดยธรรมชาติต่อโลกภายนอก โดย
ปกติแล้ว "ความสนใจ" ย่อมมีขึ้นเมื่อมีสิ่งพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น และเร้าให้คุณรู้สึก "สนใจ" ใน
สิ่งนั้น หรือความสนใจนั้นอาจเกิดขึ้นเพราะความเบื่อหน่ายด้วยเช่นกัน คุณแสวงหาสิ่งที่น่าสนใจ
ก็เพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านพ้น ความสนใจนั้นยังอาจเกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกถูกบีบคั้นด้วย คุณกลายเป็นคน
ช่างซักถามขี้สงสัยและแหลมคมเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อว่าจะได้ไม่มีภัยใด ๆ เกิดขึ้น แต่สำหรับนัก
รบความสนใจเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเหตุว่ามีความสุขสมบูรณ์และความเป็นเอกภาพ
อยู่ในชีวิตของเขาหรือของหล่อนอย่างล้นปรี่ นักรบย่อมรู้สึกได้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจอยู่
โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะในโลกของภาพที่ดวงตามองเห็น โลกของอารมณ์ความรู้สึกหรือโลกใด ๆ
ที่เขามีอยู่ดังนั้นความสนอกสนใจหรือความใคร่รู้ใคร่เห็นจึงสำแดงออกด้วยความร่าเริงอย่างไม่
เสแสร้ง เต็มไปด้วยความร่าเริงเบิกบานพร้อม ๆ กัน กับความไม่เสแสร้ง และความอ่อนโยน

ตามธรรมดาแล้วเมื่อคุณรู้สึกร่าเริงเบิกบานในบางสิ่งบางอย่างคุณก็ได้สร้างหนังหนา ๆ ขึ้นมาห่อ
หุ้มตัวเองและก็รู้สึกพึงพอใจ คุณกล่าวกับตนเองว่า "ผมรุ้สึกเบิกบานที่ได้อยู่ที่นี่" นั่นเป็นเพียงการ
ยืนยันถึงการมีอยู่ของตัวตนเท่านั้น แต่ในกรณีนี้ ความเบิกบานย่อมมีความรู้สึกเจ็บปวดผสานอยู่
ด้วย ด้วยเหตุที่คุณรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกระคายเคืองในความสัมพันธ์ที่คุณมีต่อโลก แท้ที่จริงแล้ว ความ
อ่อนโยนหรือความเศร้าและความนุ่มนวลนี้ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นโดยธรรมชาติ คุณเต็ม
ไปด้วยความเปิดโล่ง จนช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกโลกเข้ามากระทบ มีพลังแห่งการปกปักรักษาบางอย่าง
หรือความสุขุมรอบคอบ ที่ช่วยนักรบไว้มิให้ประสบหายนะหรือต้องสร้างหนังหนา ๆ ขึ้น ที่ใดก็ตาม
ที่มีความสนใจอยู่ นักรบย่อมสะท้อนย้อนกลับไปสู่ความเศร้า ไปสู่ความอ่อนโยน ซึ่งจะเกื้อหนุนให้
เกิดของจริงสิ่งแท้ขึ้น และเป็นตัวจุดประกายความสนอกสนใจขึ้นอีกทีหนึ่ง

ดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ย่อมส่องสว่างหนทางแห่งการฝึกฝนตนเองของนักรบ เปรียบประดุจลำแสง
ที่คุณแลเห็นยามเมื่อดวงอาทิตย์อุทัยไขแสง รัศมีส่องต้องตัวคุณนั้นคล้ายดังหนทางซึ่งคุณอาจเดินไป
บนนั้นได้ ในทำนองเดียวกัน ดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ย่อมสร้างบรรยากาศชนิดหนึ่งขึ้น ซึ่งคุณอาจ
ก้าวล่วงไปเบื้องหน้า เติมพลังให้แก่ตนเองอยู่ตลอดเวลา ชีวิตทั้งหมดของคุณย่อมก้าวไปเบื้องหน้า ถึง
แม้ว่าคุณอาจจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังเช่นการทำงานในโรงงานหรือขายแฮมเบอร์เกอร์
ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งใดก็ตาม แต่ละนาทีก็ล้วนเป็นสิ่งสดใหม่ นักรบไม่จำเป็นต้องมีทีวีสีหรือวีดีโอเกมส์ นัก
รบไม่จำเป็นต้องอ่านเรื่องขำขันเพื่อช่วยให้ตัวเองเพลิดเพลินหรืออารมณ์ดี โลกซึ่งดำเนินไปรอบ ๆ ตัว
นักรบก็ล้วนเป็นอย่างที่เป็น และในโลกนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการแสวงหาความเพลิดเพลินอยู่เลย ดังนั้น
อาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่จึงเอื้อให้เกิดหนทางที่คุณจะหยิบฉวยเอาจากชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อนั้นคุณจะ
พบว่าคุณไม่จำเป้นต้องไปขอให้สถาปิกหรือช่างตัดเสื้อให้มาช่วยออกแบบ ตกแต่งโลกของคุณเสียใหม่
ตรงจุดของการประจักษ์แจ้งนี้เอง ความหมายอันลึกล้ำยิ่งขึ้นของความเป็นนักรบย่อมอุบัติขึ้น นั่นคือ
การเป็นนักรบที่แท้จริง

สำหรับนักรบที่แท้จริงนั้นไม่มีสงครามใด ๆ อยู่เลย นี่คือหลักการของผู้กำชัยชนะตลอดกาล เมื่อคุณ
กลายเป็นผู้กำชัยชนะตลอดกาล ก็ไม่มีสิ่งใดที่คุณจะต้องพิชิตอีก ไม่มีรากฐานหรืออุปสรรคใด ๆ ให้
คุณฝ่าข้ามไปทัศนะอย่างนี้มิได้มีรากฐานอยู่บนการเก็บกดหรือการมองอย่างประมาท เพราะถ้าคุณ
มองย้อนกลับไปตลอดสายชีวิตของตนเอง ถามว่าตัวคุณเองคือใคร กำลังทำอะไรอยู่ และทำไมจึงต้อง
มาอยู่บนโลกนี้ ถ้าคุณมองดูแต่ละขั้นตอนให้ดี คุณจะไม่พบปัญหาพื้นฐานอยู่เลย

นี่มิใช่การหว่านล้อมตัวเองให้เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่มีปัญหาถ้าคุณมองดูจริง ๆ ถ้าคุณเปิดตัวตน
ออกและพิจารณาดู คุณจะพบว่าคุณเป็นสิ่งที่จริงแท้และดีงามดังที่เป็นอยู่ แท้จริงแล้วสภาวะการดำรง
อยู่ทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นมาอย่างดีเยี่ยม จึงมีโอกาสของความผิดพลาดอยู่เพียงน้อยนิด แน่นอนยังมีสิ่ง
ท้าทายอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ความรู้สึกท้าทายนี้แตกต่างกับความรู้สึกในโลกอาทิตย์อัสดง ซึ่งคุณรู้
สึกถูกสาปแช่งให้ต้องตกอยู่นโลก และในปัญหาของตัวเอง บางครั้งผู้คนก็พากันตื่นกลัวต่อญาณทัศนะ
อาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ถ้าคุณไม่ได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของความกลัว แน่นอน คุณย่อมไม่มีทางขึ้น
อยู่เหนือมันได้ หากมีสักครั้งที่คุณได้รู้จักความขลาดของตนเอง ครั้งหนึ่งที่คุณได้รู้ว่าอุปสรรคของคุณอยู่
ตรงใหน เมื่อนั้นคุณก็อาจข้ามพ้นไป บางที แค่อาศัยสามก้าวครึ่งของการป่ายปีนเท่านั้น
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #19 เมื่อ: 25-07-2006, 15:24 »




บทที่ ๘ การตัดทอนและความกล้า

" สิ่งที่นักรบต้องตัดทอนลงก็คือ สิ่งใดก็ตามใน
ประสบการณ์ของเขาซึ่งเป็นเครื่องกั้นขวางระหว่าง
ตัวเขากับผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตัดทอนนี้กลับ
ช่วย ให้ตนสามารถขึ้น อ่อนโยนและเปิดกว้างต่อผู้อื่น
มากยิ่งขึ้น "

สภาพการณ์แห่งความกลัวซึ่งดำรงอยู่นชีวิตของเรา ย่อมคล้ายดังขึ้นบันไดให้เราก้าวขึ้นอยู่เหนือ
ความกลัว อีกด้านหนึ่งของความขลาดก็คือความกล้า ถ้าเราก้าวได้อย่างเหมาะสม เราก็อาจข้าม
พ้นจากขอบเขต ของความขลาดไปสู่ความกล้า เราคงไม่อาจค้นพบความกล้าได้ในทันทีแต่ทว่าเรา
อาจพบความอ่อนโยนอันหวั่นไหว ซึ่งอยู่พ้นจากความกลัวขึ้นไป เราก็ยังคงตัวสั่นระรัวอยู่ แต่ยังมี
ความอ่อนโยนอยู่ แต่ยังมีความอ่อนโยนอยู่ แทนที่จะเป็นความตระหนกตกใจ

ในความอ่อนโยนนั้นมีส่วนผสมของความเศร้ารวมอยู่ด้วย ดังที่เราได้เคยอภิปรายกันมาแล้ว มันมิ
ใช่ความเศร้าอันเกิดจากการสงสารตัวเองหรือความรู้สึกสูญเสีย แต่มันเป็นภาวะการณ์ตามธรรมชาติ
อันเต็มเปี่ยม คุณรู้สึกเต็มเปี่ยมและรุ่มรวยยิ่ง ดังว่าคุณแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาทีเดียว ดวงตาของ
คุณจะเอ่อล้นด้วยอัสสุชล และเมื่อคุณกระพริบ หยาดน้ำตาก็จะหยดไหลลงมาตามแก้ม ในการที่จะ
เป็นนักรบที่ดีได้นั้น เราจำเป็นต้องรู้สึกได้ ถึงดวงใจเศร้าอันแสนอ่อนโยนนี้ ถ้าหากว่าคุณมิได้รู้สึกเดียว
ดายและเศร้าสร้อย เขาก็มิอาจเป็นนักรบได้เลย นักรบนั้นย่อมอ่อนไหวต่อทุกภาวะของปรากฏการณ์
ไม่ว่าจะเป็นภาพ กลิ่น เสียง หรือ ความรู้สึก เขาเป็นผู้ที่เห็นคุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งดำเนินอยู่ใน
โลกของเราดังประหนึ่งที่ศิลปินเป็น ประสบการณ์ของเขาเต็มเปี่ยมและชัดเจนยิ่ง เสียงใบไม้ไหวและ
เสียงฝนตกต้องเสื้อคลุมของเขาล้วนได้ยินชัดเจนยิ่ง ทั้งผีเสื้อที่เผอิญมาบินเวียนว่อนอยู่รอบ ๆ ตัวเขา
ก็แทบจะเป็นสิ่งที่ทนทานไม่ได้ เพราะเหตุที่เขาเป็นอ่อนไหวยิ่ง และในการที่เขาเป็นคนอ่อนไหวนี้เอง
นักรบย่อมอาจก้าวล่วงไปในหนทางแห่งการขัดเกลาตัวเอง เขาเริ่มที่จะเรียนรู้ถึงความหมายของการ
ตัดทอน

ตามความเข้าใจโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การตัดทอนนี้ถูกถือเป็นเรื่องของการบำเพ็ญพรต คุณย่อมสละละ
ความสนุกสนานฝ่ายโลกและหันไปถือพรตบำเพ็ญธรรม เพื่อที่จะเข้าถึงความหมายในด้านสูงของการ
ดำรงอยู่ สิ่งที่นักรบต้องตัดทอนลงก็คือ สิ่งใดก็ตามในประสบการณ์ของเขาซึ่งเป็นเครื่องกั้นขวางระหว่าง
ตัวเขากับผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตัดทอนนี้กลับช่วยให้ตนสามารถขึ้น อ่อนโยนและเปิดกว้างต่อผู้อื่น
มากยิ่งขึ้น ความลังเลใด ๆ ในอันที่จะเปิดตัวเองต่อผู้อื่นได้ถูกขจัดออกไป คุณย่อมตัดทอนความเป็นส่วน
ตัวของคุณเพื่อผู้อื่น

ความจำเป็นที่จะต้องตัดทอนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ คุณเริ่มรู้สึกว่าความดีงามพื้นฐานเป็นสมบัติส่วนตัว แน่
นอน คุณไม่อาจถือเอาความดีงามพื้นฐานมาเป็นสมบัติส่วนตัวได้ ด้วยมันเป็นกฏเกณฑ์ความเป็นไปของ
โลก ซึ่งไม่มีทางครอบครองเป็นส่วนบุคคล มันเป็นญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตหรือแผน
การณ์ส่วนตน ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งคุณก็ยังพยายามที่จะแลหาความดีงามพื้นฐานภายในตน คุณคิดว่า
คุณอาจฉวยเอาความดีงามพื้นฐานมาได้สักหยิบมือหนึ่งและเก็บมันไว้ในกระเป๋าดังนี้เอง ความคิดเรื่อง
ความเป้นส่วนตัวจึงเริ่มคืบคลานเข้ามา ตรงจุดนี้เองที่คุณจำต้องมีการตัดทอน ตัดทอนสิ่งเร้าให้เข้าครอบ
ครองความดีงามพื้นฐาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องละเสียซึ่งความรู้สึกเป็นหมู่เหล่า หากจะต้องยอมรับถึง
ความเป็นสากลแทนที่

การตัดทอนนี้ยังจำเป็นในกรณีที่คุณรู้สึกตกใจจากญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เมื่อคุณประจักษ์
ว่าอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นั้นแผ่กว้างไพศาลและงดงามเพียงใด ในบางครั้งคุณอาจรู้สึกท่วมท้นเกินไป คุณ
รู้สึกว่าต้องการที่หลบซ่อนเล็กๆ จากความตื่นกลัวนั้น คุณต้องการหลังคาคุ้มหัว ต้องการอาหารสามเวลา
คุณพยายามที่จะสร้างรังเล็ก ๆ บ้านเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อบรรจุหรือกำบังคุณไว้จากสิ่งที่ได้เห็น เพราะสิ่งนั้นดู
กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป ดังนั้นคุณจึงอยากจะถ่ายรูปอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เพื่อเก็บไว้เตือนความจำ แทน
ที่จะออกเดินทางเข้าหาแสงสว่างโดยตรง หลักการของการตัดทอนก็คือการปฏิเสธความใจแคบชนิดนั้น

การนั่งสมาธิย่อมเอื้อให้เกิดสภาพแวดล้อมอันวิเศษสุดสำหรับพัฒนาการตัดทอนขึ้นมา ในการทำสมาธิภาวนา
นั้น ในขณะที่คุณเฝ้าดูลมหายใจ คุณย่อมถือเอาความคิดใด ๆ ที่ผุดขึ้นมาว่าเป็นเพียงกระบวนการทางความคิด
ของตนเท่านั้น คุณไม่ได้ติดยึดอยู่กับความคิดใด และคุณก็ไม่ได้ประณามหรือชื่นชมมัน ความคิดซึ่งอุบัติขึ้นใน
ขณะที่นั่งสมาธิถือเป็นเพียงอุบัติการณ์ตามธรรมชาติเท่านั้น และในขณะเดียวกันมันก็มิได้มีคุณค่าพิเศษอย่างใด
คำจำกัดความพื้นฐานของสมาธิก็คือ "การมีจิตใจที่สงบมั่น" ในการปฏิบัติสมาธินั้น เมื่อมีความคิดพุ่งขึ้น คุณก็
มิได้พุ่งขึ้นตามด้วย และก็มิได้ลดต่ำด้วย เมื่อความคิดลดต่ำ คุณเพียงแต่เฝ้ามองยามเมื่อความคิดขึ้นและลง ไม่
ว่าความคิดของคุณจะดีหรือชั่ว ตื่นเต้นหรือน่าเบื่อหน่าย งดงามหรือร้ายกาจ คุณเพียงแต่ปล่อยให้มันเป็นไป คุณ
ไม่จำเป็นต้องยอมรับความคิดบางอย่างและปฏิเสธบางอย่าง คุณมีความรู้สึกถึงพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ซึ่งอาจห่อ
หุ้มความคิดใด ๆ ที่อุบัติขึ้นมาภายในนั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในการปฏิบัติสมาธินั้นคุณอาจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการดำรงอยู่ หรือความเป็น ซึ่งรวมความ
คิดเข้าไว้ด้วย ทว่าไม่ได้ถูกกำหนดหรือจำกัดไว้ด้วยกระบวนการทางความคิด คุณสัมผัสได้ถึงความคิดของคุณ คุณ
เรียกมันว่า "ความคิด" และคุณก็กลับมาสู่ลมหายใจอีก หายใจออก กระจายออกไป และเลือนหายไปในความว่าง
มันธรรมดาสามัญมากแต่ก็ลึกซึ้งมากเช่นกัน คุณได้สัมผัสรับรู้ถึงโลกของตนเองโดยตรง และคุณก็ไม่จำเป็นต้องไป
จำกัดการรับรู้นั้นเอาไว้ คุณอาจเปิดออกโดยสิ้นเชิง โดยไม่มีอะไรต้องขัดขืนหรือต้องกลัว ในทำนองนี้คุณก็ได้พัฒนา
การตัดทอนพรมแดนของความเป็นส่วนตัวและความใจแคบลง

ในขณะเดียวกัน การตัดทอนนี้ได้รวมการแบ่งแยกเอาไว้ด้วยภายใต้ความหมายพื้นฐานของความเปิดกว้าง ก็ยังมี
หลักเกณฑ์แห่งการขจัดออกไปหรือปฏิเสธ และการปลูกฝังขึ้นมาหรือการยอมรับ หากกล่าวถึงแง่มุมด้านบวกของ
การตัดทอน สิ่งที่จะต้องปลูกฝังขึ้นมาก็คือความห่วงใยผู้อื่น แต่ในอันที่จะห่วงใยผู้อื่นได้ จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธ
ความห่วงใยแต่เพียงตัวเอง หรือนิสัยเห็นแก่ตัวลงเสียก่อน คนเห็นแก่ตัวนั้นเหมือนเต่าที่แบกบ้านของมัน ไว้บน
หลังไม่ว่าจะไปใหน มาถึงบางจุดที่คุณจำเป็นจะต้องละทิ้งบ้านนี้ไปและโอบกอดโลกกว้างเอาไว้ นี่คือเงื่อนไขประ
การแรกอันจำเป็นยิ่งในการที่จะสามารถห่วงใยผู้อื่นได้

การที่จะมีชัยเหนือความเห็นแก่ตัวได้ จำเป็นที่จะต้องกล้า กล้าคล้ายดั่งการที่คุณแต่งชุดว่ายน้ำยืนอยู่บนกระดาน
โดด เบื้องหน้าคือสระน้ำและคุณก็ถามตัวเองขึ้นว่า "แล้วไงต่อ" คำตอบก็คือ "โดดลงไป" นั่นแหละคือความกล้า
คุณอาจสงสัยว่าคุณจะจมน้ำหรือไม่ เจ็บหรือไม่ถ้ากระโดดลงไป แน่นอน มีทางเป็นไปได้ ไม่มีใครอาจรับประกันได้
ทว่าก็มีคุณค่าน่าเสี่ยงพอที่จะกระโดดลงไป เพื่อให้รู้แน่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผู้ศึกษาการเป็นนักรบจะต้องกระโดดลงไป
เราคุ้นเคยกับการยอมรับแต่สิ่งเลว และปฏิเสธสิ่งดีสำหรับตัวเอง เราติดพันกับรังดักแด้เกินไป ยึดมั่นอยู่กับความ
เห็นแก่ตัว กลัวการก้าวหลุดพ้นออกจากตัวเองอีกด้วย ดังนั้นในการที่จะบำราบความลังเลใจในการยอมสละละความ
เป็นส่วนตัวลง และนการที่จะเอื้อเฟื้อห่วงใยผู้อื่นได้ จำเป็นจะต้องมีการก้าวกระโดดข้ามไป

ในการปฏิบัติสมาธิซึ่งเป็นหนทางของความกล้า เป็นหนทางของการกระโดด ก็คือการปล่อยความคิดนานาของคุณ
คือการก้าวพ้นความคาดหวังและความกลัว พ้นการขึ้นและลงของกระบวนการทางความคิด คุณเพียงแต่เป็น เพียง
แต่ปล่อยให้ตัวเองเป็น โดยไม่จับยึดอยู่กับข้อเปรียบเทียบซึ่งเป็นผลผลิตของจิตใจ คุณไม่จำเป็นต้องขจัดความคิด
ออกไป มันเป็นกระบวนการตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ดี จงปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนั้นด้วย แต่จงปลดปล่อยตัวเอง
ออกมาพร้อมกับลมหายใจ ปล่อยให้มันกระจายจางไป เฝ้าดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง เมื่อคุณปล่อยให้ตัวเองเป็นไป อย่าง
นั้น คุณก็ได้สร้างความเชื่อมั่นในพลังของการดำรงอยู่ขึ้นมา เสริมความเชื่อมั่นในศักยภาพที่จะเปิดออกและขยาย
ขอบเขตของตนออกไปสู่ผู้อื่น คุณจะตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นรุ่มรวยและเป็นบ่อเกิดที่สามารถแบ่งปันความไม่เห็น
แก่ตัวให้แก่ผู้อื่น คุณจะพบว่าคุณเต็มไปด้วยเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะทำดังนั้น

แต่ครั้นแล้ว ครั้งหนึ่งซึ่งคุณกล้ากระโดดไป คุรก็อาจหลงตัวเอง คุณอาจบอกกับตัวเองว่า "ดูซิ ฉันกระโดดได้แล้ว
ฉันช่างยิ่งใหญ่ ช่างกล้าเสียจริง " ทว่า นักรบซึ่งหลงตัวเองนั้นใช้การไม่ได้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย ดังนั้นการ
ฝึกฝนเพื่อการตัดทอนจึงต้องประกอบด้วยการปลูกฝังความอ่อนโยนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อว่าคุณจะได้นุ่มนวลและ
เปิดกว้างอันจะช่วยชักนำความอ่อนโยนมาสู่ใจ นักรบซึ่งฝึกการตัดทอนสำเร็จ ย่อมปราศจากความเสแสร้ง เปลือย
เปล่าโดยสิ้นเชิง ปราศจากแม้เนื้อเยื่อหรือผิวหนัง เขาย่อมตัดทอนเสียซึ่งเสื้อเกาะชุดใหม่ แม้กระทั่งการมีหนังหนา
เพื่อให้กระดูกและไขข้อเปิดออกสู่โลก เขาไม่มีความปรารถนา ทั้งไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปควบคุมบงการสภาวะ
การณ์ความเป็นไปต่าง ๆ เขาเพียงสามารถที่จะเป็นอย่างที่เขาเป็นโดยปราศจากความกลัว

มาถึงจุดนี้เอง ในการที่เขาสามารถตัดทอนความสะดวกสบายตัดทอนความเป็นส่วนตัวลงได้อย่างสิ้นเชิง โดยนัย
กลับกันนักรบจึงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งขึ้น เขาเป็นเหมือนเกาะแก่งที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวในทะเลสาบ บางครั้งก็มีเรือข้ามฟาก
และนักศึกษาเดินทางข้ามไปมาระหว่างเกาะกับฟากฝั่ง แต่ความเป็นไปนั้นยิ่งเน้นให้เห็นความโดดเดี่ยวของเกาะชัด
ขึ้นเป็นทวีคูณ ถึงแม้ว่าชีวิตของนักรบจะอุทิศเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เขากลับตระหนักได้ว่าเขาไม่มีทางที่จะแบ่ง
ปัน ประสบการณ์ส่วนตนกับผู้อื่น ความเต็มเปี่ยมแห่งประสบการณ์ของเขานั้นเป็นเพียงสมบัติเฉพาะตน และเขา
จำเป็นต้องอยู่กับสัจจะของตนเอง กระนั้นก็ดีเขาก็ยิ่งรักโลกนี้มากขึ้น ความรักและความโดดเดี่ยวซึ่งบรรสานอยู่ด้วย
กันนี้ คือสิ่งที่ทำให้นักรบยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ใหญ่และยิ่งมีดวงใจเจ็บช้ำขึ้นทุกที นี่มิใช่สิ่งที่จะต้องรู้สึกแย่กับมัน
ทว่ามันเป็นเหตุให้รื่นเริงยินดี เพราะมันคือปากทางเข้าสู่โลกของนักรบ
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #20 เมื่อ: 25-07-2006, 15:48 »


อีกสองบท จะจบภาคแรกกกก จ้า
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #21 เมื่อ: 01-08-2006, 10:10 »




บทที่ ๙ เฉลิมฉลองการเดินทาง

"ความเป็นนักรบคือการเดินทางอย่างต่อเนื่อง
การเป็นนักรบคือการเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุก ๆ
ขณะของชีวิต"

จุดมุ่งหมายของการเป็นนักรบก็คือการสำแดงออกซึ่งความดีงามพื้นฐานอย่างเต็มขีดขั้น
อย่างสดฉ่ำและสง่างาม การณ์ทั้งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคุณตระหนักได้ว่าคุณมิได้ครอบ
ครองความดีงามพื้นฐานอยู่ แต่ทว่าตัวคุณได้กลายเป็นความดีงามพื้นฐานเองทีเดียว ดัง
นั้น การฝึกฝนเพื่อเป็นนักรบก็คือ การเรียนรู้ที่จะพำนักอยู่ในความดีงามพื้นฐาน พำนักอยู่
ในสภาวะแห่งความเรียบง่ายอย่างสมบูรณ์ตามแนวพุทธ สภาวะนั้นเรียกว่าความไตัวตน
(อนัตตา) ความไร้ตัวตนนี้เป้นสิ่งสำคัญมากในหลักคำสอนซัมบาลาคุณไม่มีทางจะเป็นนักรบ
ได้เลย เว้นเสียแต่คุณได้ผ่านประสบการณ์ความไร้ตัวตนมาแล้วเท่านั้น หากปราศจากความ
ไร้ตัวตนแล้ว จิตของคุณจะเต็มไปด้วยอัตตา เต็มไปด้วยแผนการณ์และเรื่องราวส่วนตน
แทนที่จะห่วงใยกังวลผู้อื่น คุณกลับอัดแน่นไปด้วยความมีอัตตาของตนเอง สำนวนที่ว่า
" อัดแน่นไปด้วยตนเอง " หมายความถึงความยโส และความหลงตัวเองอย่างผิด ๆ

ดังที่ได้สาธยายมาแล้วในบทก่อนว่า การตัดทอนคืออุบายในการทำลายความเห็นแก่ตัว ผลของ
การตัดทอนจะนำคุณเข้าสู่โลกของนักรบอันเป็นโลกซึ่งคุณสามารถมากขึ้น เปิดกว้างต่อผู้อื่น
ทว่าก็ยังมีดวงใจเศร้าและโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นเช่นกัน คุณเริ่มเข้าใจว่าความเป็นนักรบคือหนทาง
หรือเส้นสายที่ร้อยผ่านตลอดชีวิตของคุณ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่วิธีการหรืออุบายบางอย่าง ซึ่งคุณ
นำมาประยุกต์ใช้เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือเมื่อยามทุกข์ทนกลัดกลุ้ม ความเป็นนักรบคือการ
เดินทางอย่างต่อเนื่อง การเป็นนักรบคือการเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุก ๆ ขณะของชีวิตนี่คือวินัย
ของนักรบ

ทว่าโชคร้ายที่คำว่า "วินัย" ล้วนถูกตีความไปในทางลบ วินัยมักจะประกอบด้วยการลงโทษ รวม
ถึงการใช้อำนาจ การบีบคั้นและบังคับเอาด้วยกฎเกณฑ์เทียม ๆ แต่ในสายวัฒนธรรมซัมบาลา
แล้ว วินัยสัมพันธ์กับคำถามที่ว่าเราจะอ่อนโยนและเป็นจริงได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของการเอา
ชนะความเห็นแก่ตัวและเกื้อหนุนความไร้ตัวตนหรือความดีงามพื้นฐานให้เกิดขึ้น ทั้งกับตัวเอง
และกับผู้อื่น วินัยช่วยชี้ให้คุณแลเห็นว่าจะเดินไปบนเส้นทางของความเป็นนักรบได้อย่างไร มัน
ช่วยนำคุณไปในหนทางนั้น และช่วยบอกว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไรในโลกของนักรบ

วินัยของนักรบนั้นไม่หวั่นไหวคลอนแคลนและแผ่กว้างครอบคลุม ดังนั้นจึงคล้ายกับดวงอาทิตย์
แสงของดวงอาทิตย์ฉานฉายไปทั่ว ณ ที่ใดก็ตามที่อาทิตย์เบิกฟ้า ดวงอาทิตย์ไม่เคยเลือกที่จะส่อง
แสงบนผืนดินใดโดยเฉพาะและละเลยที่แห่งอื่น แสงอาทิตย์นั้นส่องสว่างฉายฉานไปทั่วทุกแห่ง
หน ในทำนองเดียวกันนี้ วินัยของนักรบก็ไม่เลือกที่รักมักที่ชังเช่นกันนักรบไม่เคยทอดทิ้งหรือหลง
ลืมวินับของตน ความสำนึกรู้และความอ่อนไหวของเขาแผ่ขยายออกไปอยู่ทุกขณะ แม้ว่าสถานะ
การณ์จะยากลำบากและบีบคั้นยิ่ง แต่นักรบก็ไม่เคยยอมถดถอยเลย เขาดำรงตนไว้อย่างดียิ่ง เต็ม
ไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ทั้งเขายังคงสัตย์ซื่อต่อส่ำสัตว์ซึ่งยังติดกับอยู่ในโลกแห่งอาทิตย์อัสดง
ภารกิจของนักรบก็คือการเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความอบอุ่นและความกรุณาต่อผู้อื่น เขากระทำกิจ
เหล่านี้อย่างไม่เกียจคร้าน วินัยและการอุทิศตนของเขามาถึงจุดที่หนักแน่นไม่สั่นคลอน

เมื่อนักรบได้มีวินัยอันไม่สั่นคลอนแล้ว เขาย่อมเบิกบานในการเดินทางและมีสุขในการทำงานร่วม
กับผู้อื่น ความเบิกบานนี้เกิดขึ้นตลอดชั่วชีวิตของนักรบ เหตุใดคุณจึงเบิกบานอยู่เสมอ เพราะเหตุ
ว่าคุณได้รับรู้ถึงความดีงามพื้นฐานในตนเอง เพราะเหตุที่คุณไม่มีสิ่งใดจะต้องไปพึ่งพิงและเพราะ
เหตุที่คุณได้สัมผัสรับรู้ถึงความหมายของการตัดทอน ซึ่งเราได้อภิปรายกันมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ ทั้ง
กายและจิตของคุณจึงประสานกันอยู่ตลอดเวลาและเบิกบานอยู่เสมอเช่นกัน ความเบิกบานนี้คล้าย
ดังบทเพลงซึ่งขับขานท่วงทำนองของตนเอง การขับขานนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าชีวิตยังเต็ม
ไปด้วยการขึ้นและลง นี่คือความหมายของการมีใจเบิกบานอยู่เสมอ

อีกแง่มุมหนึ่งของวินัยนักรบก็คือ มันยังประกอบด้วยญาณกำหนดรู้หรืออุบายปัญญา ดังนั้นมันจึง
เป็นเหมือนธนูและลูกศร ลูกศรนั้นแหลมคมและมีพลังทะลุทะลวง แต่การที่จะทำให้มันพุ่งออกไป
ได้ การที่จะใช้ความแหลมคมนั้น คุณจำเป็นต้องใช้คันธนูด้วย ในทำนองเดียวกันนี้ นักรบนั้นเป็น
ผู้ที่สงสัยในสิ่งต่าง ๆ และโลกรอบ ๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา ทว่าเขาจำเป็นต้องมีการกระทำที่แยบยล
ด้วย เพื่อจะสามารถประยุกต์สติปัญญามาใช้งานได้ เมื่อลูกศรแห่งปัญญาถูกนำมาใช้ร่วมกับคันธนู
แห่งอุบายวิธี เมื่อนั้นนักรบก็จะไม่ถูกยั่วยวนให้หลงโดยโลกอาทิตย์อัสดงเลย

แรงยั่วยวนนี้หมายถึงสิ่งใดก็ตามซึ่งช่วยเกื้อหนุนอัตตาและขัดขวางต่อญาณทัศนะอนัตตา รวมถึง
ความดีงามรากฐาน มีแรงยั่วยวนน้อยใหญ่อยู่หลายประการด้วยกัน คุณอาจจะถูกยั่วยวนด้วยคุกกี้
หรือเงินล้าน แต่ด้วยความแหลมคมของลูกศรคุณก็อาจแลเห็นถึงธรรมชาติของอาทิตย์อัสดง และ
เห็นถึงกิจกรรมอย่างเลวซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในตัวคุณก่อน แล้วก็เกิดขึ้นโลกทั้งหมด นี่พูดกันอย่างตรงไป
ตรงมา ครั้นต่อมาในการที่จะหลีกเลี่ยงจากแรงยั่งยวนได้อย่างแท้จริง คุณจำเป็นต้องใช้คันธนู คุณ
จำเป็นต้องเสริมญาณทัศนะนั้นด้วยอุบายวิธีอันทรงประสิทธิภาพ หลักการของธนูและศรนี้ก็คือการ
เรียนรู้ที่จะ " ปฏิเสธ " ต่อสิ่งเท็จเทียมทั้งหลาย " ปฏิเสธ " ต่อความเลินเล่อบกพร่องทั้งหลาย ปฏิเสธ
ต่อความหลับไหลในการที่จะกล่าวคำว่า "ไม่" อย่างเหมาะสม คุณจำเป็นต้องมีคันธนูและลูกศร
จะต้องกระทำด้วยความอ่อนโยนซึ่งก็คือคันธนู และด้วยความแหลมคมซึ่งคือลูกศร การผสานสิ่งทั้ง
สองเข้าด้วยกัน คุณก็ประจักษ์ได้ว่าคุณอาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนระหว่างความหลงกับการแลเห็น
คุณค่า คุณอาจมองดูโลกและแลเห็นถึงวิถีของการดำเนินไปของสรรพสิ่งต่าง ๆ เมื่อนั้นคุณก็อาจมีชัย
เหนือความเชื่อผิด ๆ ของตนเอง ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าคุณไม่อาจกล่าวคำว่า "ไม่" ไม่อาจปฏิเสธกล่าว
ต่อโลกอาทิตย์อัสดงหรือกล่าวปฏิเสธต่อตัวเอง เมื่อคุณเริ่มรู้สึกจมลงสู่ความตึงเครียดหรือดิ่งลงสู่
ความหลัง ดังนั้น ธนูและศรจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้กำหราบแรงยั่วยวนแห่งโลกอาทิตย์อัสดง

เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะมีชัยเหนือแรงยั่วยวน เมื่อนั้นลูกศรแห่งปัญญาและคันธนูแห่งการกระทำย่อมปรากฏ
ขึ้นเป็นความเชื่อมั่นนโลกของคุณ สิ่งนี้จะทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้กว้างไกลออกไป คุณปรารถนาจะแล
ดูและสำรวจตรวจสอบดูในทุกสถานะการณ์ เพื่อว่าคุณจะได้ไม่งมงายอยู่เพียงในความเชื่อเท่านั้น แทนที่
จะเป็นดังนั้น คุณกลับต้องการที่จะค้นหาความจริงโดยอาศัยสติปัญญาและความสามารถของตน ความรู้
สึกเชื่อมั่นนั้นก็คือเมื่อคุณได้ประยุกต์ความสงสัยใคร่รู้มาใช้ เมื่อคุณได้มองลึกเข้าไปในภาวการณ์ คุณก็รู้
ขึ้นว่าคุณจะได้พบคำตอบที่ชัดเจน ถ้าหากว่าคุณกำลังจะเริ่มก่อการอะไรซักอย่าง การกระทำนั้นจะมีผล
ตามมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม เมื่อคุณยิงธนู ถ้าไม่ถูกเป้าก็ต้องพลาด ความเชื่อ
มั่นก็คือการระลึกรู้ว่าจะต้องมีข่าวสารเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เมื่อคุณเชื่อมั่นนข่าวสารเหล่านั้น ซึ่งก็คือภาพสะท้อนของโลกแห่งปรากฏการณ์ เมื่อนั้นโลกก็จะคล้ายกับ
ธนาคาร หรือเป็นอ่างเก็บน้ำของความเต็มเปี่ยม คุณจะรู้สึกได้ว่าคุณมีชีวิตอยู่ในโลกซึ่งเต็มเปี่ยมยิ่ง เป็น
โลกซึ่งไม่เคยขาดแคลนข่าวสารเลย ปัญหาเกิดมีขึ้นเพียงเมื่อคุณพยายามจะเข้าไปบังคับควบคุมสถาน
การณ์ หรือเพิกเฉยต่อมันด้วยผลที่ได้ส่วนตน เมื่อนั้นคุณก็ได้ละเมิดต่อสายสัมพันธ์อันเชื่อมั่นที่ตนเองมี
ต่อโลกแห่งปรากฏการณ์ เมื่อนั้นแหล่งเก็บน้ำจะแห้งเหือดไป แต่โดยปกติแล้วคุณจะได้รับข่าวสารเป็นอัน
ดับแรกทีเดียว ถ้าคุณหยิ่งผยองเกินไปก็จะพบว่าตัวเองถูกกดให้ต่ำลงด้วยฟ้าเบื้องบน และถ้าคุณขี้หวั่น
วิตกเกินไปคุณจะพบว่าตนเองถูกยกให้สูงขึ้นโดยแผ่นดินโลก

โดยทั่ว ๆ ไปแล้วความเชื่อมั่นในโลกของตนนั้นหมายถึงว่า คุณคาดหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองดูแล คุณ
คิดว่าโลกจะให้ในสิ่งที่คุณต้องการหรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ในสิ่งที่คุณคาดหวัง แต่ในฐานะของนักรบคุณต้อง
พร้อมที่จะเสี่ยง คุณต้องพร้อมที่จะเปลือยตัวเองออกสู่โลกแห่งปรากฏการณ์ และคุณก็เชื่อมั่นว่าคุณจะได้
รับข่าวสารจากมัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ข่าวสารเหล่านั้นไม่อาจถือเป็น
การลงทัณฑ์หรือการฉลองชัย คุณเชื่อมั่น มิใช่ในความสำเร็จ แต่ในความจริงคุณเริ่มตระหนักได้ว่าคุณมัก
จะล้มเหลวเมื่อการกระทำและสติปัญญาไม่ได้รับการขัดเกลาหรือขาดความบรรสานสอดคล้อง คุณจะพบ
อีกว่าคุณมักจะสำเร็จเมื่อสติปัญญาและการกระทำสอดคล้องต้องกัน แต่ไม่ว่าผลจากการกระทำจะเป็นเช่น
ไรก็ตาม ผลลัพธ์นั้นมิใช่บทสรุปในตัวของมันเอง คุณอาจขึ้นเหนือผลกรรมนั้นได้เสมอ มันเป็นเสมือนหนึ่ง
เมล็ดพันธ์สำหรับการเดินทางสืบต่อไป ดังนี้เอง ความรู้สึกในเรื่องของการรุดไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง และ
การเฉลิมฉลองการเดินทางจึงเกิดขึ้นจากการขัดเกลาตนเองด้วยวินัยนักรบตามแนวคันธนูและลูกศรนี้

แง่มุมสุดท้ายของวินัยนักรบก็คือสมาธิกำหนดรู้ หลักการของวินัยข้อนี้เกี่ยวพันกับการที่จะดำรงตนอยู่ในโลก
ของนักรบได้อย่างไร ดวงตะวันอันหนักแน่นแห่งวินัยย่อมเอื้อให้เกิดมรรคาแห่งชีวิตชีวาและความเบิกบานเพื่อ
ให้คุณก้าวเดินไป ในขณะที่หลักการธนูและศรกลายเป็นอาวุธสำหรับพิฆาตแรงยั่วยวน และเจาะผ่านเข้าสู่แหล่ง
กำเนิดอันเต็มเปี่ยมในโลกแห่งปรากฏการณ์ แต่หลักการณ์เหล่านี้ไม่อาจบรรลุถึงความสมบูรณ์ในตัวเองได้ นอก
จากว่านักรบจะมีจุดยืนอันมั่นคงหรือมีความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ในโลกของเขาเอง สมาธิกำหนดรู้ย่อมช่วยให้นัก
รบตั้งมั่นอยู่ ณ จุดยืนอันนี้มันแสดงให้เห็นว่าจะแสวงหาสมดุลได้อย่างไรในยามที่พลาดพลั้ง มันบอกเขาว่าจะใช้
ข่าวสารในโลกแห่งปรากฏการณ์เพื่อผลักดันการขัดเกลาตนเองสืบไปเบื้องหน้าได้อย่างไร แทนที่จะเลอะเลือนแฉ
ไฉออกนอกทางหรือถูกกลืนกลบอยู่ด้วยผลสะท้อนอันนั้น

หลักการของสมาธิกำหนดรู้ย่อมคล้ายเสียงสะท้อนซึ่งดำรงอยู่ในโลกของนักรบ เสียงสะท้อนนี้รับรู้ได้เป็นครั้งแรก
ในการปฏิบัติสมาธิในขณะที่ความคิดของคุณร่อนเร่เข้ามาในภวังค์สมาธิหรือในขณะที่คุณ "จมอยู่ในความคิด"
เสียงสะท้อนของการกำหนดรู้นี้ย่อมช่วยเตือนคุณให้หมายรู้ถึงความคิดนั้นและดึงกลับมาสู่ลมหายใจ หวนกลับ
มาสู่สำนึกรู้ถึงการดำรงอยู่ ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อนักรบหลงออกนอกทางแห่งการขัดเกลาตนเอง โดยการหยุด
พักหรือมัวเมาอยู่ในภาวะจิตแห่งอาทิตย์อัสดง การกำหนดรู้ของเขาย่อมคล้ายดั่งเสียงสะท้อนซึ่งก้องกลับมาหา

ในตอนแรก ๆ เสียงสะท้อนนี้แผ่วเบามาก แต่ครั้นแล้วมันก็ยิ่งดังขึ้นดังขึ้นทุกขณะ นักรบย่อมถูกเตือนให้ดำรง
อยู่ ณ จุดนั้นเสมอ เพราะว่าเขาได้เลือกที่จะมาอยู่ในโลกไม่มีแนวคิดตามแบบอาสทิตย์อัสดงเรื่องการหยุดพัก
อยู่เลย บางครั้งบางคราวคุณอาจรู้สึกว่าในโลกอาทิตย์อัสดงนั้นจะช่วยผ่อนคลายได้อย่างใหญ่หลวง คุณไม่จำ
เป็นต้องทำงานหนักในโลกนั้น คุณเพียงแต่โลดเต้นโครมครามไปและลืมเสียงสะท้อนเสีย แต่ครั้นแล้วคุณจะ
พบว่าตัวเองพร้อมที่จะกลับไปรับฟังเสียงสะท้อนนั้นอีกครั้ง ด้วยเหตุที่ว่าโลกอาทิตย์อัสดงนั้นจะเป็นทางตันและ
จุดอับ ในโลกนั้นไม่มีแม้แต่เสียงสะท้อน

จากเสียงสะท้อนของสมาชิกกำหนดรู้ คุณก็ได้พัฒนาความรู้สึกในเรื่องสมดุลขึ้น ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งเพื่อขึ้น
ไปบัญชาโลกของคุณเอง คุณรู้สึกว่าคุณกำลังนั่งอยู่บนอานม้า ขี่ม้าพยศแห่งจิต ไม่ว่าม้านั้นมันจะโลดเต้นไป
อย่างไร คุณก็ยังทรงกายอยู่ได้ ตราบใดที่คุณยังหยัดกายได้อย่างมั่นคงบนอาน คุณก็สามารถทนต่อแรงโลดโผน
โจนทะยานของมันได้เสมอ และเมื่อใดก็ตามที่คุณลื่นไถลเสียหลักเพราะนั่งไม่มั่นคงพอ คุณก็เพียงแต่จัดท่วงท่า
เสียใหม่ คุณจะไม่ตกม้า ในกระบวนการสูญเสียการกำหนดรู้นั้น คุณได้มันกลับคืนมาด้วยเหตุที่คุณได้สูญเสียมัน
ไป การลื่นไถลในตัวของมันเองก็คือ การปรับเปลี่ยนท่วงท่าอยู่ในตัว มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ คุณจะเริ่มรู้สึกเชี่ยว
ชาญขึ้นชำนาญมากขึ้น

การกำหนดรู้ของนักรบนั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนการฝึกฝนโรคจิตหลอนขั้นสูง ทว่ามันมีพื้นฐานอยู่บนการฝึกความ
มั่นคงอย่างยิ่งยวด ซึ่งก็คือความเชื่อมั่นในความดีงามพื้นฐาน นี่มิได้หมายความว่าคุณจำต้องเป็นคนเคร่งเครียด
หรือน่าเบื่อหน่าย หากเพียงคุณรู้สึกหยั่งรากลึกและมั่นคง คุณมีความเชื่อมั่นและคุณก็มีความเบิกบานอยู่เป็นนิจ
ด้วยเหตุนี้เองคุณจึงไม่ตื่นตกใจง่าย จะไม่มีอาการตื่นตูมหรือผลุนผลันเกิดขึ้นนระดับจิตแบบนี้ คุณได้ดำรงอยู่ใน
โลกของนักรบแล้ว เมื่อมีเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ อุบัติขึ้นไม่ว่าจะเป็นดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด คุณก็ไม่ได้ขยายมันให้เป็น
เรื่องใหญ่โต คุณก็กลับมาทรงตัวอยู่บนอานได้ในทันใด นักรบนั้นย่อมไม่ตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อมีใครบางคนเดิน
เข้ามาหาและบอกว่า "ฉันจะฆ่าแกเสียเดี๋ยวนี้" หรือพูดว่า "ฉันมีเงินล้านเหรียญจะมอบให้เป็นของขวัญ" คุณก็จะ
ไม่ตกตะลึงเลย คุณเพียงแต่ดำรงตนมั่นอยู่บนอานม้า

หลักการของสมาธิกำหนดรู้ ย่อมเอื้ออำนวยที่ทางอันเหมาะสมให้แก่คุณในโลกนี้ เมื่อคุณดำรงอยู่ในโลกได้อย่าง
เหมาะสม ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยประจักษ์พยานมาช่วยยืนยันความหนักแน่นมั่นคงของคุณเลย จากเรื่องราวในพุทธ
ประวัติ เมื่อพุทธองค์ได้ตรัสรู้ มีคนหนึ่งกล่าวถามขึ้นว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านได้ตรัสรู้แล้ว" พุทธองค์ตอบว่า
"ธรณีย่อมเป็นพยานยืนยัน" ท่านได้แตะสัมผัสผืนธรณีด้วยหัตถ์ ท่วงท่านี้ ภายหลังรู้จักกันในนามว่าปางสัมผัสพระ
ธรณี นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับการดำรงรักษาดุลยภาพบนอานม้า คุณได้ดำรงอยู่แนบชิดในความจริงอย่างเต็มเปี่ยม
อาจมีคนกล่าวว่า "ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้กระทำการอย่างเกินเลย" คุณก็เพียงแต่ตอบว่า "ท่านั่งบนอานม้า
จะบ่งบอกด้วยตัวมันเอง"

ตรงจุดนี้เองที่คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึงรากฐานของความไม่หวาดหวั่น คุณพร้อมที่จะตื่นขึ้นเผชิญหน้ากับทุก ๆ สถาน
การณ์ที่เข้ามา และในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าตนเองสามารถจัดการกับชีวิตของตนได้อย่างดีเพราะเหตุที่คุณไม่ได้
กังวลถึงเรื่องสำเร็จหรือล้มเหลว ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวล้วนเป็นการเดินทางเช่นกัน แน่นอน คุณยังอาจ
รู้สึกได้ถึงความกลัวซึ่งซุกซ่อนอยู่นความไม่หวาดหวั่นนั้น อาจมีบางขณะของการเดินทางซึ่งคุณอาจกลัวจนตัวแข็ง
หรือสั่นสะท้านตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่บนอานม้า จนแทบไม่อาจยืนหยัดทรงกายอยู่บนหลังม้าได้อีก ย่อมมีบางเวลาที่
คุณท่วมท้นอยู่ด้วยความกลัว แต่ประสบการณ์นี้ก็เช่นเดียวกัน อาจถือเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของความไม่หวาดหวั่น
ได้ด้วยถ้าคุณยังมีสายใยเชื่อมโยงอยู่กับโลกแห่งความดีงามพื้นฐานของตน
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #22 เมื่อ: 01-08-2006, 12:20 »

อ้างถึง
ความเป็นนักรบคือการเดินทางอย่างต่อเนื่อง
การเป็นนักรบคือการเรียนรู้ที่จะเป็นจริงในทุก ๆ
ขณะของชีวิต"

จุดมุ่งหมายของการเป็นนักรบก็คือการสำแดงออกซึ่งความดีงามพื้นฐานอย่างเต็มขีดขั้น
อย่างสดฉ่ำและสง่างาม การณ์ทั้งนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคุณตระหนักได้ว่าคุณมิได้ครอบ
ครองความดีงามพื้นฐานอยู่


ขอบคุณ ค่ะ
ประกายดาว ชอบมานั่งอ่าน ประทับใจมาก
ขอ บังคับ ให้คุณโอสถ เดินทางไป ตอบกระทู้อื่นๆ บ้าง
หนูจะ ดีใจมากๆ
Wink
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #23 เมื่อ: 11-08-2006, 10:42 »



บทที่ ๑o ปล่อยให้เป็นไป

"เมื่อคุณใช้ชีวิตสอดคล้องกับความดีงามพื้นฐาน
เมื่อนั้นคุณก็ได้สั่งสมความผุดผ่องตามธรรมชาติขึ้น
ชีวิตของคุณก็อาจว่างและผ่อนคลายโดยไม่จำเป็น
ต้องกลายเป็นคนมักง่าย คุณอาจปล่อยวางความรู้สึก
กดดันหรือเคอะเขินในการที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์และ
ก็อาจรู้สึกมีกำลังใจขึ้น"



ผลของการขัดเกลาตนเองตามแนวทางของนักรบก็คือ คนย่อมเรียนรู้ที่จะขจัดความทะเยอ
ทะยานและความเกร็ง และจากนี้เอง คุณย่อมพัฒนาสมดุลภายในขึ้น ดุลยภาพนี้เกิดขึ้นมิใช่
จากการถือมั่นอยู่กับสถานการณ์หากเกิดขึ้นจากการผูกมิตรกับฟ้าและดิน ดินก็คือธาตุมูล
หรือความเป็นจริง ฟ้าก็คือญาณทัศนะหรือประสบการณ์ของความกว้างโล่งซึ่งคุณสามารถ
ยืดกายขึ้น เหยียดหลังและตั้งคอตรง ดุลยภาพอุบัติขึ้นจากการเชื่อมโยงความเป็นจริงเข้ากับ
ญาณทัศนะ หรืออาจกล่าวได้ว่าคือการประสานความชำนาญเข้ากับความเป็นธรรมชาติ

ก่อนอื่นคุณจะต้องเชื่อมั่นในตนเอง ต่อจากนั้นคุณจึงอาจเชื่อมั่นในดินหรือในธาตุมูลของ
สถานการณ์ และด้วยเหตุนี้เองคุณจึงอาจยกระดับตนเองขึ้น จากจุดนั้นที่การขัดเกลาตนเอง
จะกลายเป็นสิ่งที่แช่มชื่น แทนที่จะเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดหรือเป็นภาระหนัก เมื่อคุณขี่ม้า สมดุล
ย่อมเกิดขึ้นมิใช่จากอาการเกร็งตัวแข็งอยู่บนอาน แต่จากการเรียนรู้ที่จะดำเนินร่วมไปกับลีลา
ของม้าขณะที่มันวิ่ง ทุก ๆ ย่างก้าวคือการเริงรำ ผู้ขับขี่ก็เริงรำไปไปเช่นเดียวกับอาการเริงรำ
ของม้า

เมื่อการขัดเกลาตนเองเริ่มเป็นธรรมชาติ กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะ
ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ สำหรับนักรบแล้ว การปล่อยให้เป็นธรรมชาตินั้น
สัมพันธ์อยู่กับการผ่อนคลายในวินัย เพราะนั่นจะนำไปสู่เสรีภาพ เสรีภาพในที่นี้มิได้หมายถึงการ
เป็นคนขาดการยับยั้งหรือเป็นคนละเลยใส่ใจ หากแต่เป็นเพียงการปล่อยให้ตนเองเป็นไปตาม
ธรรมชาติ เพื่อว่าคุณจะได้สัมผัสถึงการดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์อย่างเต็มที่ การปล่อยให้เป็นไป
ตามธรรมชาติย่อมช่วยบำราบความคิดที่ว่า วินัยและการขัดเกลาตนคือการลงโทษต่อความผิด
พลาดหรือสิ่งเลวที่คุณได้กระทำหรืออยากจะกระทำ คุณจะต้องเอาชัยต่อความคิดที่ว่ามีบางสิ่ง
บางอย่างที่ผิดพลาดอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งทำให้จำต้องมีวินัยมาช่วยขัดเกลาพฤติกรรม
ตราบใดที่คุณรู้สึกว่าวินัยเป็นสิ่งที่มาแต่ภายนอก ก็จะเกิดความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าภายในของ
คุณขาดอะไรไปบางอย่าง ดังนั้น การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจึงสัมพันธ์กับการปล่อยไปซึ่ง
ร่องรอยของความสงสัย ความลังเล หรือความเคอะเขินในฐานะที่คุณเป็นคุณ คุณจำเป็นต้องผ่อน
คลายกับตนเอง เพื่อจะได้ตระหนักอย่างเต็มที่ว่าวินัยก็คือการสำแดงออกของความดีงามพื้นฐาน
คุณจำเป็นต้องตระหนักเห็นคุณค่าของตัวเอง เคารพตนเองและปลดปล่อยความสงสัย ความกระ
ดากกระเดื่องไป เพื่อว่าคุณจะได้ใช้ความดีงามและสติปัญญาพื้นฐานเพื่อผลประโยชน์ต่อผู้อื่น

ในการปลดปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ ก่อนอื่นคุณจำต้องฝึกฝนตนเองในวินัยแห่งการตัด
ทอน เช่นเดียวกับแง่มุมบางอย่างของการขัดเกลาตนเองดังที่เราได้พูดกันมาแล้วในบทก่อน นี่
เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพื่อว่าคุณจะได้ไม่ไขว้เขวระหว่างการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติกับความ
ก้าวร้าวหรือความหยิ่งยโส หากปราศจากการฝึกฝนอย่างถูกต้อง การปล่อยให้เป็นไปตามธรรม
ชาติอาจจะกลายเป็นการผลักดันตนเองไปจนถึงจุดแตกหัก เพื่อพิสูจน์กับตัวคุณเองว่าคุณเป็น
คนกล้าและไม่หวาดหวั่น นี่นับว่าก้าวร้าวเกินไป การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาตินี้ไม่เกี่ยวกับ
การมีสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เพื่อเพิ่มความอหังการให้แก่ตนเองและ "เหยียบหลังเหยียบไหล่"
คนอื่น ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม ความอหังการชนิดนั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนการปล่อยให้เป็นไปตามธรรม
ชาติ มันมีพื้นฐานอยู่บนความรู้สึกไม่มั่นคงภายในตนเอง ซึ่งทำให้คุณกลายเป็นคนกระด้างเฉื่อย
ชาแทนที่จะนิ่มนวลและอ่อนโยน

ยกตัวอย่างเช่น นักขับรถแข่งอาชีพอาจขับรถด้วยความเร็วถึงสองร้อยไมล์ต่อชั่วโมงในสนามแข่ง
เพราะว่าเขาได้ฝึกฝนมาก่อน เขาถึงรู้ถึงข้อจำกัดของเครื่องยนต์ รู้ถึงพวงมาลัยและยาง เขารู้น้ำ
หนัก สภาพทางวิ่งและสภาพอากาศ ดังนั้น เขาจึงอาจขับได้เร็วโดยไม่กลายเป็นการฆ่าตัวตาย ทว่า
กลับกลายเป็นประหนึ่งการเริงรำ แต่ถ้าหากว่าคุณไปเล่นกับการปล่อยให้เป็นไป ก่อนที่คุณจะสามา
รถสร้างจุดเชื่อมโยงกับวินัยได้อย่างเหมาะสมเมื่อนั้นก็จะกลับอันตรายมาก ถ้าหากคุณเรียนที่จะเล่น
สกีและพยายามที่จะปล่อยให้เป็นธรรมชาติและผ่อนคลายในช่วงแรก ๆ ของการฝึกแล้วละก็ก็อาจ
แข้งขาหักได้โดยง่าย ดังนั้น ถ้าหากคุณพยายามที่จะลอกเลียนการปล่อยไปตามธรรมชาติ คุณก็อาจ
ต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน

จากข้อถกเถียงอันนี้ คุณอาจคิดว่าคุณไม่มีทางที่จะขัดเกลาตนเองจนถึงขั้นที่อาจปล่อยไปตามธรรม
ชาติและผ่อนคลายอยู่ในวินัยได้เลย คุณอาจรู้สึกว่าคุณไม่มีวันที่จะกลายเป็นคนกล้าได้ แต่เมื่อใดที่
คุณได้ดำรงอยู่ในพื้นฐานของการขัดเกลาตนเอง ก็ถึงเวลาที่จะเลิกกังวลสงสัยได้ถ้าคุณมัวแต่รอคอย
ให้การฝึกปรือนั้นดำเนินมาถึงขั้นหนักแน่นไม่หวั่นไหวนั่นไม่มีวัจะมาถึง เว้นเสียแต่คุณจะปล่อยตาม
ธรรมชาติ เมื่อคุณเริ่มรู้สึกรื่นเริงอยู่ในวินัยของนักรบ เมื่อเริ่มรู้สึกเป็นธรรมชาติ ถึงแม้ว่ายังรู้สึกไม่
สมบูรณ์นัก นั่นแหละก็ถึงเวลาที่จะปล่อยตามธรรมชาติ

แน่นอนทีเดียว การปล่อยตามธรรมชาตินั้นมีอะไรมากกว่าการผ่อนคลาย มันคือการผ่อนคลาย
ที่มีพื้นฐานอยู่บนการปรับสมดุลกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมดกับโลก หลักการที่สำคัญยิ่งอันหนึ่งของ
การปล่อยตามธรรมชาติก็คือการดำเนินชีวิตอย่างท้าทาย แต่นี่มิได้หมายถึงการดำเนินชีวิตอยู่
ในวิกฤตการร์ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าธนาคารโทรมาและแจ้งให้ทราบว่าเงินฝากของ
คุณถอนเกินบัญชี และวันเดียวกันนั้นเจ้าของบ้านเช่าก็บอกว่าคุณจะต้องย้ายออกไป หากยังไม่
ยอมชำระค่าเช่าบ้าน ในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์นี้ คุณก็โทรไปหาเพื่อนทุกคนลองดูว่าคุณ
จะยืมเงินได้พอเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้ใหม การดำเนินชีวิตอย่างท้าทายมิได้มีพื้นฐานอยู่บนการ
ตอบสนองต่อปัญหาหนัก ๆ ซึ่งคุณได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตนเองเพราะพลาดที่จะสัมพันธ์กับรายละ
เอียดของชีวิตอย่างเหมาะสม สำหรับนักรบแล้ว ทุก ๆ ขณะก็คือการท้าทายเพื่อเป็นสิ่งแท้ และการ
ท้าทายทุก ๆ ประการล้วนน่าเบิกบาน เมื่อคุณได้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอย่างเหมาะสม
คุณก็อาจผ่อนคลายและรื่นเริงอยู่ในการท้าทายได้

การปล่อยให้เป็นไปตามธรมชาติในโลกอาทิตย์อัสดงนั้นก็คือ การลาหยุดพักหรือการไปดื่มให้เมา
มายกลายเป็นคนปล่อยตัว หลงระเริงและการกระทำหยาบช้าต่าง ๆ ซึ่งในภาวะจิตปกติแล้วคุณ
แทบจะไม่กล้าคิดถึงมันทีเดียว แต่ในความเข้าใจของชัมบาลาแล้วต่างจากนี้มาก สำหรับนักรบแล้ว
การปล่อยตามธรรมชาติมิได้ตั้งอยู่บนการหลบหนีไปจากแรงบีบคั้นของชีวิตประจำวัน หากตรงกัน
ข้ามกันทีเดียว มันคือการก้าวรุดล่วงเข้าไปในชีวิตของคุณเอง เพราะเหตุที่คุณเข้าใจได้ว่าชีวิตโดย
ตัวของมันเองนั้นได้บรรจุไว้แล้วซึ่งหนทางแห่งความเบิกบาน และการเยียวยาบำบัดความกดดัน
และความกังวลสงสัยทั้งมวล

ความเบิกบานตามความเข้าใจของแนวทางอาทิตย์อัสดงก็คือการให้กำลังใจตนเองเพื่อช่วยให้รู้สึก
ดีขึ้น มากกว่าที่จะเป็นความเบิกบานจริง ๆ เมื่อคุณตื่นขึ้นมาในยามเช้าและลุกจากเตียง คุณเข้า
ห้องน้ำดูแลตัวเองในกระจก ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตายังง่วงงุน ขอบตายังบวมอยู่ ในโลกของอาทิตย์
อัสดงนั้นคุณกล่าวกับตัวเองพร้อมกับถอนหายใจใหญ่ "นี่จะต้องผ่านไปอีกวันหนึ่ง" คุณรู้สึกว่าคุณ
จะต้องรวบรวมพลังเพื่อให้ผ่านไปอีกวัน ลองยกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อกองกำลังปฏิวัติของอิหร่านไปเฝ้า
คุมอยู่ที่หน้าสถานทูตอเมริกัน ยากนักที่คนข้างในจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบิกบาน "ดีจริง เรามี
หน่วยรักษาความปลอดภัยอยู่หน้าประตู" เพราะนั่นคือความเบิกบานในโลกอาทิตย์อัสดง

ความเบิกบานนี้มิได้มีพื้นฐานอยู่บนความมุ่งมั่นอย่างฉาบฉวยหรือการสมมุติสร้างศัตรูขึ้นมา และ
ก็พยายามเอาชนะเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น มนุษย์มีความดีงามพื้นฐานอยู่ในตนเอง มิใช่อยู่ข้าง
นอกแต่มีอยู่ในตนแล้ว เมื่อคุณมองดูตัวเองในกระจกคุณก็อาจชื่นชมในสิ่งที่คุณเห็นโดยไม่จำเป็น
ต้องกังวลว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ คุณอาจหยิบเอาความเป็นไปได้ของความดี
งามพื้นฐานมาช่วยทำให้เบิกบาน ถ้าหากว่าคุณเพียงแต่ผ่อนคลายอยู่ในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการลุก
จากเตียง เดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ กินอาหารเช้า คุณอาจชื่นชมในทุกสิ่งที่ทำ โดยไม่จำต้องหมกมุ่น
กังวลว่ามันไปกันได้กับวินัยหรือแผนการในแต่ละวันหรือไม่คุณอาจมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
และนั่นก็อาจช่วยให้คุณสามารถขัดเกลาตนเองได้อย่างถ่องแท้ขึ้น ยิ่งเสียกว่าความหมกมุ่นกังวล
และพยายามที่จะตรวจสอบดูว่าตนได้ทำอะไรลงไปบ้าง

คุณอาจชื่นชมเห็นคุณค่าในชีวิต แม้ว่าจะเต็มไปด้วยสิ่งบกพร่องก็ตาม บางทีห้องเช่าที่คุณอยู่จะ
ทรุดโทรม ทั้งเครื่องเรือนก็เก่าแก่ไม่หรูหราคุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในรั้วในวัง คุณอาจผ่อนคลาย
และปล่อยให้เป็นไปอย่างที่เป็น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใหนก็ตาม ที่นั้นก็คือเวียงวัง ถ้าคุณย้ายเข้าไป
อยู่ในห้องเช่าที่แสนสกปรก คุณก็อาจใช้เวลาทำความสะอาด มิใช่เพราะคุณรู้สึกแย่หรือรู้สึกทน
ไม่ไหวกับความสกปรก แต่เพราะคุณรู้สึกดี ถ้าคุณให้เวลาในการทำความสะอาดและย้ายเข้ามา
อยู่อย่างเหมาะสม คุณก็อาจเปลี่ยนห้องเช่าแสนโสโครกให้กลายเป็นบ้านอันแสนสบาย

ศักดิ์ศรีของมนุษย์มิได้ดำรงอยู่บนพื้นฐานความมั่งคั่งของทางวัตถุ คนมั่งคั่งอาจใช้จ่ายเงินมหาศาล
เพื่อเนรมิตบ้านให้โอ่อ่าหรูหรา แต่นั่นอาจเป็นเพียงความภูมิฐานอย่างฉาบฉวย ศักดิ์ศรีนั้นอุบัติขึ้น
จากการใช้สอยสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์แล้ว โดยการกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยน้ำมือของตนเอง ทำขึ้นอย่าง
งดงามและเหมาะสมที่นั่น คุณอาจทำสิ่งนี้ได้ แม้ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด คุณก็อาจทำ
ชีวิตให้งามสง่าขึ้นมา

ร่างกายของคุณคือภาคขยายของความดีงามพื้นฐาน มันเป็นสิ่งที่อยู่ไกล้ชิดที่สุดหรือเป็นเครื่องมือซึ่ง
คุณจะแสดงความดีงามพื้นฐานผ่านออกมา ดังนั้นการให้คุณค่าแก่ร่างกายของตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ
มาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่คุณกิน น้ำที่คุณดื่ม เสื้อผ้าที่คุณใส่และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็
เป็นเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณอาจไม่จำเป็นต้องวิ่งหรือวิดพื้นทุก ๆ วัน ทว่าจำเป็นที่จะต้องระวังรักษาสุข
ภาพ แม้ว่าคุณจะมีร่างกายพิการก็ไม่ต้องไปรู้สึกว่าตัวเองถูกพันธนาการอยู่ด้วยสิ่งนั้น คุณยังอาจเคา
รพร่างกายและชีวิตของตนเอง คุณค่าศักดิ์ศรีของชีวิตอยู่เหนือกว่าความพิการมากนัก ในนามของฟ้า
และดิน คุณจำต้องรักตัวเองให้มากขึ้น

ญานทัศนะชัมบาลามิใช่เป็นเพียงปรัชญาล้วน ๆ หากเป็นปฏิบัติการฝึกฝนขัดเกลาตนเพื่อเป็นนักรบ
มันเป็นการเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อตนเองให้ดีขึ้น เพื่อว่าคุณจะสามารถช่วยสรางสรรค์สังคมอริยะขึ้น
ในกระบวนการดังกล่าว ความเคารพต่อตนเองเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งยังมหัศจรรย์และเลอเลิศ คุณ
ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าราคาแพง แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกว่าปัญหาทางเศรษฐกิจผลักดันคุณให้ตก
เข้าไปอยู่ในโลกมืดอันบีบคั้น คุณยังเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและความดีงาม คุณอาจสวมใส่เพียงกางเกง
ยีนส์และเสื้อเชิร์ต แต่คุณก็ยังคงเป็นผู้มีศักดิ์ศรีผู้สวมใส่เสื้อเชิร์ตและกางเกงยีนส์จะมีปัญหาเกิดขึ้น
ก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้เคารพตัวเองอย่างเหมาะสม ทั้งไม่ได้เคารพเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ด้วย ถ้าหากคุณต้อง
เข้านอนอย่างกลัดกลุ้มและถอดเสื้อผ้ากองทิ้งไว้เรี่ยราดบนพื้น นี่เองคือปัญหา

จุดหลักก็คือเมื่อคุณใช้ชีวิตสอดคล้องกับความดีงามพื้นฐานเมื่อนั้นคุณก็ได้สั่งสมความผุดผ่องตาม
ธรรมชาติขึ้น ชีวิตของคุณก็อาจจว่างและผ่อนคลาย โดยไม่จำเป็นต้องกลายเป็นคนมักง่าย คุณอาจ
ปล่อยวางความรู้สีกกดดันหรือเคอะเขินในการที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ และอาจรู้สึกมีกำลังใจขึ้น
คุณไม่จำเป็นไปตำหนิติเตียนโลกที่สร้างปัญหาให้คุณ คุณอาจผ่อนคลายและเล็งเห็นคุณค่าของโลก

ขั้นตอนต่อไปของการปล่อยตามธรรมชาติก็คือการพูดความจริง เมื่อคุณเกิดความลังเลสงสัยในตน
เองหรือเกิดความสงสัยในความน่าเชื่อถือของโลก เมื่อนั้นคุณอาจรู้สึกว่าคุณจำเป็นต้องพลิกแพลง
ความจริงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณต้องสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน
คุณอาจไม่ได้พูดถึงความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดต่อนายจ้าง คุณอาจรู้สึกว่าจำต้องบิดเบือนความ
จริงเพื่อให้ได้งานทำ คุณคิดว่าคุณจำเป็นต้องทำตัวให้ดูดีกว่าที่เป็นจริง จากทัศนะชัมบาลาแล้ว
ความสัตย์ซื่อเป็นกุศโลบายที่ดีที่สุด แต่การพูดความจริงมิได้หมายความว่าคุณจำเป็นต้องเปิดเผย
ความลี้ลับจนถึงแก่นใน เปลือยทุกสิ่งทุกอย่างที่นาอับอายออกมา ที่จริงคุณไม่มีสิ่งใดจะต้องอับอาย
เลย นั่นคือรากฐานแห่งการกล่าวความจริง คุณอาจไม่ใช่นักวิชาการ ช่างเครื่อง ศิลปินหรือนักรักที่
ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่สิ่งที่คุณเป็นอยู่ก็เป็นสิ่งที่แท้จริง เป็นสิ่งดีงามโดยพื้นฐาน ถ้าคุณรู้สึกดังนั้นได้
คุณก็อาจปล่อยวางซึ่งความพะว้าพะวังและอัตตา และอาจกล่าวความจริงได้โดยไม่โอ้อวดหรือดู
แคลนตนเองเกินไป

เมื่อนั้นคุณก็เริ่มจะเข้าใจถึงความสำคัญของการสื่อสารอย่างเปิดเผยต่อผู้อื่น ถ้าคุณพูดความจริง
กับผู้อื่น เมื่อนั้นเขาก็อาจเปิดเผยต่อคุณด้วย อาจจะไม่ใช่ในทันทีทันใด แต่คุณก็ได้เปิดโอกาสให้
เขาแสดงตนออกอย่างสัตย์ซื่อเช่นเช่นเดียวกัน เมื่อคุณไม่ได้พูดอย่างที่คุณรู้สึก คุณก็ได้ก่อเกิด
ความสับสนขึ้นกับตัวเองและกับผู้อื่นด้วย การหลีกเลี่ยงความจริงได้ทำลายเป้าประสงค์ของการ
พูดในฐานะที่เป็นการสื่อสารลง

การพูดความจริงยังเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วยกับความอ่อนโยน คนแห่งชัมบาลาย่อมพูดจาอ่อนโยน เขา
ย่อมไม่กระโชกโฮกฮาก การพูดจาอ่อนโยนนั้นแสดงออกถึงสง่าราศรี ดังผู้ที่มีศรีษะและหลังไหล่
ได้สัดส่วน คงเป็นเรื่องแปลกมากถ้าใครมีไหล่และศรีษะงดงาม ทว่าเมื่อพูดจากลับเห่าหอนนั่นดู
ขัดตาเสียจริง ๆ บ่อยครั้งเมื่อคุณพูดกับคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ คุณก็พบว่าตัวเองกำลังตะคอก ดัง
ประหนึ่งว่าต้องตะโกนเพื่อให้เขาเข้าใจ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำเลย ถ้าคุณต้องการที่จะสื่อสารกับ
ใคร คุณไม่จำเป็นต้องตะโกนและตบโต๊ะเพื่อเรียกร้องให้เขาฟัง ถ้าคุณพูดความจริงเมื่อนั้นคุณก็
อาจพูดจาอย่างอ่อนโยนและถ้อยคำของคุณก็จะเต็มไปด้วยพลัง

ขั้นตอนสุดท้ายของการปล่อยตามธรรมชาติก็คือการไม่หลอกลวง การหลอกลวงในที่นี้มิได้หมาย
ถึงการหลอกลวงผู้อื่นอย่างจงใจ หากแต่เป็นการหลอกตัวเองเสียมากกว่า เป็นความลังเลไม่แน่ใจ
เป็นความสงสัยในตนเอง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้อื่นสับสนหรือกระทั่งเป็นการหลอกลวงเขาด้วย คุณ
อาจขอให้ใครบางคนมาช่วยคุณตัดสินใจ "ผมควรจะขอคน ๆ นี้แต่งงานด้วยดีใหม" "ผมควรจะบ่น
ว่าอย่างนี้อย่างนั้นกับคนที่หยาบคายต่อผมดีใหม" "จะทำงานนี้ดีใหม" "จะหยุดพักต่อไปดีใหม"
คุณกำลังหลอกลวงผู้อื่นถ้าคำถามของคุณมิได้เป็นการขอความช่วยเหลืออย่างที่ถูกที่ควร ทว่าเป็น
เพียงการแสดงออกถึงการขาดความมั่นใจในตน การอยู่ในภาวะที่ปราศจากการหลอกลวงจึงเป็น
สิ่งหนึ่งที่ช่วยขยายขอบเขตของการพูดความจริงให้กว้างไกลขึ้น เพราะมันมีพื้นฐานอยู่บนการซื่อ
สัตย์ต่อตนเอง เมื่อคุณมีความรู้สึกเชื่อมั่นในการดำรงอยู่เกิดขึ้น เมื่อนั้นสิ่งที่คุณสื่อสารกับคนอื่น ๆ
ก็ย่อมเป็นของแท้และเชื่อถือได้

การหลอกลวงตัวเองนั้นเกิดขึ้นบ่อย ๆ เพราะเหตุที่คุณไม่แน่ใจในสติปัญญาของตนเอง และกลัวว่า
ตนไม่สามารถจะเผชิญชีวิตได้อย่างที่ควรจะเป็น คุณไม่สามารถที่จะประจักษ์ในปรีชาญาณแต่แรก
เริ่มได้ ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังมองปรีชาญาณว่าเป็นดังอนุสาวรีย์ที่อยู่ภายนอกตัวเอง ทัศนะเช่นนี้จะต้อง
แก้ไขเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ในการที่จะปราศจากความหลอกลวงได้ จุดเชื่อมโยงอันเดียวที่คุณอาจ
ยึดถือได้คือความรู้ที่ว่าความดีงามพื้นฐานนั้นดำรงอยู่ในตัวคุณแล้ว ความมั่นใจยิ่งขึ้นในความรู้นี้
อาจสัมผัสได้ในการปฏิบัติสมาธิ ในการภาวนา คุณอาจสัมผัสได้ถึงสภาวะจิตซึ่งปราศจากความคิด
ที่สอง ปราศจากความกลัวและความลังเลสงสัย สภาวะของจิตใจอันตั้งมั่นนั้นย่อมไม่หวั่นไหวไปกับ
การขึ้นและลงชั่วครั้งชั่วคราวของความคิดและอารมณ์ความรู้สึก ในตอนแรกคุณอาจจะเห็นได้เพียง
ชั่วแวบเท่านั้น ผ่านการปฏิบัติสมาธิ คุณก็อาจแลเห็นได้ชั่วแวบถึงประกายหรือจุดของความดีงาม
พื้นฐานอันปราศจากเงื่อนไข เมื่อคุณสัมผัสได้ถึงจุดนั้น คุณก็อาจไม่ได้รู้สึกดีหรืออิสระโดยสิ้นเชิง
หากแต่คุณจะตระหนักได้ว่าสภาวะของการตื่นขึ้นนั้น ความดีงามพื้นฐานอันนั้นดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว
คุณอาจสละละเสียซึ่งความลังเลไม่แน่ใจ ดังนี้เอง คุณก็อาจถึงซึ่งการไม่หลอกลวง ผลจากการปล่อย
ให้เป็นไปตามธรรมชาติก็คือการเชื่อมโยงพลังทางจิตวิญญาณ ซึ่งอาจช่วยหนุนคุณให้สามารถเชื่อม
โยงการขัดเกลาตนเองและความเบิกบานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อว่าการขัดเกลาตนเองจะได้
เป็นไปโดยปราศจากอาการฝืนทั้งยังเป็นสิ่งวิเศษสุดอีกด้วย

ทุก ๆ คนล้วนเคยสัมผัสได้ถึงกระแสของพลังในชีวิตของตนเอง ตัวอย่างเช่น นักกรีฑารู้สึกได้ถึงกระ
แสพลังเช่นว่านี้เพื่อเข้าร่วมอยู่ในการแข่งขัน หรือบางคนอาจรู้สึกถึงกระแสแห่งความรักความปรารถ
นาที่มีต่อมนุษย์อีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาหรือหล่อนหลงไหล ในบางครั้ง เรารู้สึกถึงพลังดังประหนึ่งลมเฉื่อยฉ่ำ
แห่งความปิติแทนที่จะเป็นลมแรงกล้า เช่นว่า เมื่อคุณรู้สึกร้อนและเหงื่อไหลไคลย้อย ถ้าคุณไปอาบน้ำ
คุณจะรู้สึกสดฉ่ำและมีพลังด้วยในขณะเดียวกัน

ตามธรรมดาแล้ว เราคิดว่าพลังดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดแห่งใดแห่งหนึ่งหรือมีสาเหตุที่แน่
นอน เพราะเราได้ร่วมอยู่ในสถานการณ์บางอย่างซึ่งทำให้เราพลังดังนั้น นักกรีฑาอาจกลายเป็นคน
ติดกีฬาเพราะเหตุแห่ง "ความซาบซ่าน" ซึ่งเขาได้สัมผัสมา คนบางคนอาจจะเสพติดความรัก เขามัก
จะตกหลุมรักครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเขารู้สึกดียิ่งและมีชีวิตชีวาเมื่อมีความรัก ผลของการปล่อยให้
เป็นไปตามธรรมชาติก็คือคุณจะค้นพบถึงแหล่งกำเนิดแห่งพลังงานซึ่งดำรงอยู่ด้วยตนเอง ซึ่งมีให้แก่
คุณเสมอ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ มันถือกำเนิดขึ้นจากที่ใดที่หนึ่ง ทว่ามันดำรงอยู่ที่นั่นเสมอ มันคือพลังของ
ของความดีงามพื้นฐาน

พลังการดำรงอยู่ด้วยตนเองนี้เรียกว่าอาชาวายุในคำสอนซัมบาลาหลักการของลมก็คือ เป็นพลังของ
ความดีงามพื้นฐานที่มีคุณสมบัติแรงกล้าเนื่องอนันต์และรุ่งโรจน์ มันอาจฉายฉานพลังมหาศาลในชีวิต
ของคุณแต่ในขณะเดียวกันความดีงามพื้นฐานก็อาจขับขี่ได้ด้วย นั่นคือหลักการของม้าจากการดำเนิน
วินัยของนักรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกฝนตามแนวทางปล่อยให้เป็นไป คุณก็อาจควบคุมลมแห่งความ
ดีงามได้ในบางแง่มุม แต่ม้านี้ไม่มีทางทำให้เชื่องได้ ความดีงามพื้นฐานไม่มีทางเป็นสมบัติส่วนตัวของ
คุณได้ แต่คุณอาจกระตุ้นและปลุกเร้าพลังของความดีงามพื้นฐานขึ้นมาในชีวิตของคุณได้ คุณเริ่มแลเห็น
ว่าคุณอาจส้รางความดีงามพื้นฐานสำหรับตนเองและผู้อื่นขึ้นมา ณ ที่ได้อย่างไร สร้างขึ้นมาอย่างเต็ม
เปี่ยมและสมบูรณ์ มิใช่ในมิติของปรัชญา แต่ในมิติของความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรม เมื่อคุณติดต่อและสัม
พันธ์กับพลังของอาชาวายุ คุณก็อาจปล่อยวางความกังวลเกี่ยวกับสภาวะจิตของตนเองได้โดยธรรมชาติ
และเริ่มที่จะคิดถึงผู้อื่นมากขึ้น คุณเริ่มรู้สึกปรารถนาที่จะแบ่งปันการค้นพบซึ่งความดีงามนี้กับพี่น้อง พ่อ
แม่และมิตรสหายทุกผู้ ซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากข่าวสารแห่งความดีงามพื้นฐานนี้ ดังนั้นเอง การค้นพบ
ถึงอาชาวายุนี้แรกสุดจึงเป็นการประจักษ์ในพลังอำนาจของความดีงามพื้นฐานในตนเอง และถัดมาจึงแผ่
สภาวะจิตดังกล่าวออกไปสู่ผู้อื่นโดยปราศจากความกลัว

การได้สัมผัสถึงภาวะความเป็นอยู่ที่สูงขึ้นของโลกนั้นเป็นสภาวะที่เบิกบานมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็
นำความเศร้ามาด้วย นี่คล้ายกับความรัก เมื่อคุณรักครสักคน การอยู่กับคนรักนั้นเป็นสิ่งเบิกบานและ
เจ็บปวดในขณะเดียวกัน คุณจะรู้สึกทั้งสุขและทุกข์ แต่นี่มิใช่ปัญหา ทว่ากลับเป็นเรื่องวิเศษยิ่งเพราะนี่
คืออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ในอุดมคติทีเดียว นักรบซึ่งได้เข้าถึงอาชาวายุแล้วย่อมรู้สึกได้ถึงความ
เบิกบานและความเศร้าโศกแห่งความรักในทุก ๆ สิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เขาย่อมรู้ร้อนรู้หนาวหวานชื่น
และขื่นขมในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะราบเรียบเป็นปกติหรือคับขัน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เขาย่อมรู้
สึกเศร้าและก็ร่าเริงในขณะเดียวกัน

ในทำนองนี้เอง ที่นักรบจะเริ่มเข้าใจถึงความหมายของความมั่นใจที่ปราศจากเงื่อนไข ความมั่นใจในภาษา
ธิเบตก็คือ ซิจิ ซิหมายถึง "ส่องสว่าง" หรือ "เป็นประกาย" จิหมายถึง "ยอดเยี่ยม" หรือ "สูงส่ง" และบางครั้ง
ก็มีความหมายในทำนอง "แข็งแกร่ง" ดังนั้นซิจิจึงหมายถึงการส่องสว่าง หมายถึงความเบิกบานในขณะเดียว
กันก็สูงส่ง

ในบางครั้งความมั่นใจหมายถึงการตกอยู่ในภาวการณ์ที่ปราศจากทางเลือก คุณก็เชื่อมั่นในตนเองและใช้พลัง
ข้อมูลและความทรงจำที่กักตุนไว้ในการเข้าเผชิญกับปัญหา คุณเม้มปากปลุกเร้าความก้าวร้าวขึ้นและบอก
กับตนเองว่าว่าคุณจะทำให้ได้ นั่นคือวิถีทางของนักรบที่ยังไม่เติบใหญ่ ในกรณีนี้ความมั่นใจมิได้หมายความว่า
คุณมีความมั่นใจในบางสิ่งบางอย่าง หากแต่หมายถึงการดำรงอยู่ในภาวะของความมั่นใจนั้นเองทีเดียว เป็น
อิสระจากการแก่งแย่งแข่งขันหรือความอยากเด่นอยากดัง ทว่านี่คือภาวะที่ไปพ้นจากเงื่อนไขใด ๆ คุณเพียง
แต่ครอบครองสภาวะจิตที่ตั้งมั่นโดยไม่จำเป็นต้องหาสิ่งเกื้อหนุนรองรับ ไม่มีความกังวลสงสัยใด ๆ หลงเหลือ
อยู่ แม้ข้อกังขาน้อยหนึ่งก็ไม่เคยอุบัติขึ้น ความมั่นใจชนิดนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนโยน-ด้วยเหตุที่ไม่มีความ
กลัวอุบัติขึ้น แขงแกร่ง-ด้วยเหตุที่ในภาวะแห่งความมั่นใจนี้รุ่มรวยด้วยทรัพยากรภายในและเบิกบาน-ด้วยเหตุ
ที่ความเชื่อมั่นในหัวใจนั้นย่อมก่อให้เกิดอามรมณ์ขัน ความมั่นใจนี้อาจเผยตัวออกอย่างสง่างามและเปี่ยมล้นใน
ชีวิตคน ทำอย่างไรจึงจะประจักษ์ถึงคุณสมบัติดังกล่าวในชีวิตของคุณ จึงเป็นหัวข้าสำคัญในภาคที่สองของหนังสือ
เล่มนี้
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #24 เมื่อ: 11-08-2006, 10:48 »



จิตซึ่งเต็มไปด้วยความหาดหวั่นนั้น
จักต้องประคองใส่ไว้ในเปลแห่งความเมตตา
และให้ดูดดื่มน้ำนมอันรุ่งโรจน์ลึกซึ้ง
แห่งความสิ้นสงสัยอันเป็นอมตะ
ให้อยู่ในร่มเงาเย็นฉ่ำแห่งความไม่หวาดหวั่น
พัดวีด้วยพัดแห่งความเบิกบานและความสุข
เมื่อดวงจิตนั้นเติบใหญ่ขึ้น
พร้อม ๆ กับสำแดงออกมาซึ่งปรากฎการณ์ต่าง ๆ
จงนำมันไปสู่สถานแห่งการพึ่งพิงตัวเอง
เมื่อมันเติบโตขึ้นอีก
เพื่อจะเกื้อหนุนให้เกิดความเชื่อมั่นแต่ปฐมกาล
จงนำไปสู่สนามยิงธนูของนักรบ
และเมื่อมันยิ่งเติบใหญ่ขึ้น
เพื่อที่จะปลุกธรรมชาติดั้งเดิมให้ตื่นขึ้น
จงพามันไปสัมผัสสังคมมนุษย์
ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด่วยความงามและศักดิ์ศรี
เมื่อนั้นดวงจิตซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว
จึงอาจกลับกลายมาเป็นดวงจิตของนักรบ
และความมั่นใจอันหนุ่มแน่นเป็นอมตะนั้น
จึงอาจแผ่ออกกว้างสู่ห้วงมหรรณพอันไร้จุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุด
ณ จุดนี้เองที่ดวงจิตนั้นจะแลเห็นดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่


ภาค ๒ ความศักดิ์สิทธิ์ : โลกของนักรบ
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #25 เมื่อ: 11-08-2006, 10:54 »

อ้างถึง
ขอบคุณ ค่ะ
ประกายดาว ชอบมานั่งอ่าน ประทับใจมาก
ขอ บังคับ ให้คุณโอสถ เดินทางไป ตอบกระทู้อื่นๆ บ้าง
หนูจะ ดีใจมากๆ
Wink



ได้ยินแว้วววววว   Tongue out
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #26 เมื่อ: 11-08-2006, 11:11 »

อ้างถึง
เมื่อดวงจิตนั้นเติบใหญ่ขึ้น
พร้อม ๆ กับสำแดงออกมาซึ่งปรากฎการณ์ต่าง ๆ
จงนำมันไปสู่สถานแห่งการพึ่งพิงตัวเอง
เมื่อมันเติบโตขึ้นอีก
เพื่อจะเกื้อหนุนให้เกิดความเชื่อมั่นแต่ปฐมกาล
จงนำไปสู่สนามยิงธนูของนักรบ
และเมื่อมันยิ่งเติบใหญ่ขึ้น
เพื่อที่จะปลุกธรรมชาติดั้งเดิมให้ตื่นขึ้น
จงพามันไปสัมผัสสังคมมนุษย์
ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด่วยความงามและศักดิ์ศรี
เมื่อนั้นดวงจิตซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว
จึงอาจกลับกลายมาเป็นดวงจิตของนักรบ
และความมั่นใจอันหนุ่มแน่นเป็นอมตะนั้น
จึงอาจแผ่ออกกว้างสู่ห้วงมหรรณพอันไร้จุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุด
ณ จุดนี้เองที่ดวงจิตนั้นจะแลเห็นดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่


รูป สวยมากๆๆๆ....
คำ และ ความหมาย เกินบรรยาย
หนูจะ พรินต์ มาอ่าน
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
เพนกวินน้อยนักอ่าน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 866



« ตอบ #27 เมื่อ: 14-08-2006, 16:34 »

ตอนอ่านแรกๆ งงๆครับ เพราะยังเด็ก
ต่อเมื่อเราผ่านประสบการณ์ชีวิตมาได้สักพัก

เราจะเข้าใจครับ

ผมชอบ บทสาม ใจเศร้าที่แท้จริง ครับ
เพราะว่าตอนกลับมาอ่านอีกครั้ง เปิดบทนี้ก่อน
แล้วช่วยปลุกให้ใจตนเอง ตื่นจากหลับใหลขึ้นมาได้

มีงานที่แปลโดย คุณ อนุสรณ์ ตติปยานนท์
เรื่อง คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต อีกอันครับ
ของท่านเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช
เช่นกัน

บันทึกการเข้า
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #28 เมื่อ: 17-08-2006, 11:19 »




บทที่ ๑๑ ปัจจุบันขณะ

"เราจำเป็นต้องค้นหาสายใยเชื่อมโยงระหว่างสาย
วัฒนธรรมของเรากับประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบัน
ปัจจุบันขณะหรืออำนาจวิเศษแห่งปัจจุบันกาล  คือ
สิ่งที่เชื่อมโยงปรีชาญาณแห่งอดีตเข้ากับปัจจุบัน"


ในขณะแรกที่คุณถือกำเนิดขึ้น เมื่อคุณเปล่งเสียงรำไห้ออกมาเป็นครั้งแรกและมีลมหายใจ
เป็นอิสระจากครรภ์มารดา   คุณก็ได้กลายเป็นปัจเจกชนเป็นอีกชีวิตหนึ่งต่างหาก  แน่นอน
ยังคงมีความรู้สึกผูกพัน  หรือมีสายสะดือของความรู้สึกเชื่อมโยงคุณไว้กับบิดามารดา  แต่
ในขณะที่คุณเติบโตมากขึ้น ผ่านวัยทารกเข้าสู่วัยรุ่นและบรรลุนิติภาวะ ในขณะที่แต่ละปีผ่าน
ไป  ความรู้สึกผูกพันนั้นก็ค่อย ๆ จางคลายลง คุณกลายเป็นปัจเจกผู้สามารถที่จะจัดการกับ
ชีวิตของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่

ในการเดินทางผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ของชีวิต มนุษย์จะต้องเอาชนะความรู้สึกติดหรือยึดมั่น
พันผูกว่าตนเป็นลูกของใครบางคน หลักการของนักรบซึ่งเราพูดกันมาแล้วในภาคแรก สัม
พันธ์อยู่กับเรื่องที่ว่าปัจเจกชนจะสามารถพัฒนาวินัยในตนขึ้นมาได้อย่างไร  เพื่อว่าเขาจะได้
เติบใหญ่โดยไม่พึ่งพิงและเข้าถึงอิสระภาพส่วนตน แต่ครั้นเมื่อเราได้บรรลุถึงพัฒนาการระดับ
นั้นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ามาร่วมแบ่งปันทุกข์-สุขกับเพื่อนมนุษย์ในสังคม นี่คือบท
บาทแห่งการเกื้อหนุนกันของชีวิตในญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่ของนักรบ มันมีพื้นฐานอยู่บนการ
ตระหนักเห็นคุณค่าความสำคัญของโลกโดยส่วนรวม ในกระบวนการที่มุ่งสู่การเป็นนักรบนี้
คุณจะเริ่มรู้สึกผูกพันธ์เป็นเพื่อนกับมนุษย์อย่างลึกซึ้งโดยธรรมชาติ  นั่นคือรากฐานอันแท้จริง
ของการที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และอุดมคติสูงสุดก็คือการร่วมแบ่งปันทุกข์-สุขกับสังคม

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของคุณกับมนุษย์คนอื่นและความเอื้ออาทรที่คุณมอบให้จะต้อง
สำแดงออกเป็นส่วนตัว และอย่างเป็นจริงความห่วงใยผู้อื่นอย่างเป็นนามธรรมนั้นไม่เพียงพอ
หนทางที่เป็นจริงและฉับพลันที่สุดการเริ่มแบ่งปันกับผู้อื่น และการกระเพื่อความสุขของเขา
ก็คือ การกระทำการร่วมกับสถานการณ์จริง ๆ ในชีวิต และแผ่ขยายออกไปจากจุดนั้น ดังนั้น
ก้าวที่สำคัญยิ่งของการเป็นนักรบก็คือ การเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน เป็นใครคนหนึ่งซึ่งมีความ
เคารพต่อชีวิตครอบครัวของตนเอง และปวารณาตนที่จะเข้าช่วยยกหรือแก้ไขสถานการณ์นั้น

คุณไม่อาจช่วยเหลือสังคมได้เพียงอาศัยพื้นฐานทัศนะอุดมคติที่มีต่อสังคมหรือต่อโลก มีแนว
คิดอยู่หลายประการในการที่จะจัดการแก้ไขสังคมเสียใหม่เพื่อสนองความต้องการของประชา
ชน อาทิเช่น ความคิดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปกครองโดยประชาชน
อีกสายหนึ่งก็คือการปกครองโดยชนชั้นผู้ปกครอง ซึ่งจะก่อให้เกิดสังคมซึ่งเจริญรุดหน้า แนว
คิดสุดท้ายคือการปกครองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อทรัพยากรณ์ธรรมชาติจะได้ถูกกระจาย
อย่างเท่าเทียม ซึ่งจะก่อให้เกิดสมดุลย์ทางนิเวศวิทยาอย่างสมบูรณ์ ความคิดเหล่านี้และอื่น ๆ
อาจจะมีคุณค่าอยู่บ้าง ทว่ามันจะต้องนำมาผสานรวมเข้ากับประสบการณ์ทางด้านครอบครัว
ของมนุษย์ด้วย มิฉะนั้นคุณก็จะมีช่องว่างมหาศาลระหว่างความคิดอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับสังคม
ของคุณกับข้อเท็จจริงในชีวิตประจำวัน จะลองยกชีวิตครอบครัวมาให้ดูสักตัวอย่างหนึ่ง ชาย
และหญิงมาพบกัน เขาตกหลุมรักและแต่งงานกัน เขาหาเรือนหอและต่อไปก็อาจมีลูกด้วยกัน
ครั้นแล้ว เขาก็ต้องเป็นกังวลเรื่องว่าเครื่องล้างจานทำงานใหม เรื่องว่าเขามีเงินจะซื้อเตาใหม
ครั้นพอเด็กๆ โตขึ้น พวกเด็กๆ ก็ไปโรงเรียนไปเรียนอ่านเขียน ลูกบางคนอาจจะมีความสัมพัน
ดียิ่งกับพ่อแม่ ทว่าครอบครัวกลับมีปัญหาความสัมพันธ์นนครอบครัวอย่างหนัก เราต้องเผชิญ
กับปัญหาเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา เราจะต้องเคารพชีวิตในระดับพื้น ๆ เช่นนี้ด้วย เพราะวิถีทาง
เดียวที่จะนำทัศนะของเราให้ก่อเกิดผลขึ้นมาในสังคมก็คือ    การนำมันลงมาสู่สถานการณ์ใน
ครอบครัวแต่ละครอบครัวนั้นเอง

การเป็นผู้ครองเรือนนั้นยังหมายถึงการมีความภาคภูมิใจในปรีชาญาณแห่งบรรพชนของคุณ
ด้วย จากทัศนะของชัมบาลาแล้ว การเคารพครอบครัวและรากกำเนิดของตนนั้นไม่เกี่ยวกับ
ตัดขาดตนเองออกจากผู้อื่น หรือกลายเป็นคนผยองลำพองในบรรพบุรุษของตนเอง หากแต่
ทัศนะนี้มีพื้นฐานอยู่บนการประจักษ์ว่าโครงสร้างและประสบการณ์ในชีวิตครอบครัวนั้น ย่อม
สะท้อนให้เห็นถึงปรีชาญาณของวัฒนธรรมอันฝังรากลึก ปรีชาญาณนั้นได้ส่งทอดมายังคุณ
และยังดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ในการแลเห็นคุณค่าของประเพณีแห่งตระกูล ก็เท่า
กับคุณได้เปิดตัวเองออกไปสู่ความรุ่มรวยลึกซึ้งของโลก

ข้าพเจ้ายังจำได้อย่างชัดเจนถึงประสบการณ์แห่งการค้นพบสายใยซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ตระกูล
ตัวเอง ข้าพเจ้าเกิดในคอกวัวทางธิเบตตะวันออก อันเป็นดินแดนซึ่งผู้คนซึ่งไม่เคยได้เห็น
ต้นไม้เลย  ผู้คนในดินแดนแห่งนั้นใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าซึ่งไม่มีต้นไม้หรือแม้แต่ไม้พุ่ม  เขา
เลี้ยงชีวิตด้วยอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์และนมตลอดทั้งปี ข้าพเจ้าถือกำเนิดมาเป็นบุตรของ
แผ่นดินอันงดงามแห่งนี้ เป็นลูกชาวนา ในช่วงปฐมวัยข้าพเจ้าได้ถูกถือเป็นทัลกุหรือเป็นลามะ
ผู้กลับชาติมาเกิด และถูกนำตัวมายังอารามเชอรืมังเพื่ออบรมบ่มเพาะให้เป็นพระ ดังนั้นตั้ง
แต่เกิดมา ข้าพเจ้าก็ได้ถูกนำออกจากสภาพแวดล้อมของครอบครัวและถูกนำมาอยู่นสภาพ
แวดล้อมของวัด ข้าพเจ้าถูกเรียกชื่อทางศาสนาว่าตรุงปะ รินโปเช อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าหา
ได้ลืมชาติกำเนิดตนไม่

เมื่อย้ายมาอยู่ที่วัด แม่ได้ติดตามมาอยู่ด้วยเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งข้าพเจ้าเติบใหญ่พอ
ที่จะเริ่มรับการศึกษาอบรม ครั้งหนึ่งเมื่อมีอายุได้สี่ห้าขวบ ข้าพเจ้าถามแม่ว่า "แม่ ชื่อของเรา
เรียกว่าอะไร" ท่านอายมากตอบว่า "เธอหมายถึงอะไร เมื่อพูดว่าชื่อของเรา เธอก็รู้แล้วมิใช่
หรือว่าชื่อของเธอคือตรุงปะ รินโปเช " แต่ข้าพเจ้ากลับรบเร้าสืบไป "เราชื่ออะไร นามสกุลของ
เราน่ะ เรามาจากที่ใหน" ท่านตอบว่า " เธอควรจะลืมสิ่งเหล่านั้นเสีย นั่นเป็นชื่อที่ต่ำต้อยมาก
เธอควรจะละอายในชื่อนั้น" แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงยืนกรานรบเร้าสืบไปอีก "เรานามสกุลอะไรนะ
อะไระนะ"

ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังเล่นหัวผักกาดดองซึ่งใช้เลี้ยงม้าอยู่ ข้าพเจ้าหยิบเจ้าหัวผักกาดดองเล็ก ๆ
นี้ขึ้นมาจากพื้นอกห้องครัวของอารามปกติแล้วทัลกุไม่ควรจะกินหัวผักกาดดองนี้ แต่ข้าพเจ้า
กลับกัดกินเคี้ยวและพร่ำถามต่อไป "แม่ฮะ เรานามสกุลอะไร ชื่อสกุลเราเรียกว่าอะไร " ข้าพเจ้า
กำลังจะกัดกินหัวผักกาดดองอีกหัวหนึ่งซึ่งซึ่งสกปรกมาก แม่รู้สึกกังวลมากและอายมากเช่นกัน
ทว่าท่านกำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ข้าพเจ้าถาม เรากำลังตกอยู่ในช่วงเวลาอันดื่มด่ำของการสื่อ
สารสัมพันธ์

ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันซึ่งแสงแดดอบอุ่น ดวงอาทิตย์ฉายแสงจากหน้าต่างบนหลังคา
ตกลงต้องใบหน้าของแม่ ท่านแลดูแก่ชราและอ่อนเยาว์ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้ายังคงรบเร้า
ถามสืบไป  "เรามีนามสกุลอะไร"  ในที่สุดแม่จึงตอบว่า "มุกโป นามสกุลมุกโป แต่อย่ากินหัว
ผักกาดนั้นเลยลูก นั่นมันอาหารม้า"  ข้าพเจ้าจำได้ว่ายังคงกัดกินมันต่อไป มันฉ่ำกรอบและ
มีรสเหมือนกับสเกโมโน ผักดองของญี่ปุ่น ข้าพเจ้าชอบมันมาก ข้าพเจ้ามองดูแม่และถามขึ้น
" นั่นหมายความว่าลูกเองก็เป็นมุกโปด้วยใช่ใหม  " ท่านดูลังเลไม่แน่ใจ ท่านตอบว่า "อย่างไร
เสียเธอก็เป็นรินโปเช"  ต่อจากนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ว่าตนพร่ำถามถึงว่า  ตนเป็นลูกซึ่งกำเนิด
ออกมาจากกายของท่านใช่หรือไม่  ในตอนแรกท่านตอบว่า "ใช่" แต่แล้วกลับพูดว่า "เออ บาง
ทีแม่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงสัตว์ครึ่งคน แม่มีกายเป็นหญิงมีชาติกำเนิดต่ำต้อย กลับห้อง
พักของลูกเสียเถิด " แล้วท่านก็อุ้มข้าพเจ้ากลับไปห้องซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อกับครัว อย่างไรก็
ตามข้าพเจ้าก็คงใช้มุกโปเป็นนามสกุล เป็นสิ่งบ่งบอกชาติกำเนิดและเป็นความภาคภูมิใจ

แม่เป็นคนอ่อนโยนมาก เท่าที่ทราบท่านไม่เคยแสดงอะไรรุนแรงก้าวร้าวเลย และท่านมักจะ
กังวลห่วงใยและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นเสมอ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มากมายถึงหลักการดำรงอยู่
ร่วมกันในสังคมมนุษย์จากปรีชาญาณของแม่

ในสมัยปัจจุบันนี้ ความสำคัญของครอบครัวในฐานะจุดรวมทางสังคมได้ลดบทบาทลงไป ใน
สมัยก่อน  การที่ครอบครัวเป็นจุดศูนย์กลาง  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสาเหตุการดำรงชีวิตด้วย
ดังตัวอย่างเช่นก่อนที่จะมีโรงพยาบาลและหมอ ผู้หญิงมักจะต้องพึ่งแม่ช่วยทำคลอดให้และ
ช่วยเลี้ยงหลาน ทว่าเดี๋ยวนี้ความรู้ทางการแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทร่วมกับความรู้ของคุณ
ยาย และเด็ก ๆ ได้ถูกมอบไว้ในความดูแลของแพทย์ในแผนกกุมารเวชหลายแห่งนปัจจุบัน
ซึ่งความรู้ของคุณย่าคุณยายไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้วและท่านก้ไม่ได้มีบทบาทร่วมใด ๆ อีก
ท่านต้องไปพำนักอยู่ในบ้านพักคนชราหรือในสถานพักฟื้น  และมาเยี่ยมหลาน ๆ  เป็นครั้ง
คราว มาเฝ้าดูความน่ารักของเด็ก ๆ เวลาเล่น

ในสังคมบางแห่ง ผู้คนมักจะตั้งศาลเล็ก ๆ ไว้สำหรับบูชาบรรพบุรุษแม้ในทุกวันนี้ในสังคม
สมัยใหม่เช่นญี่ปุ่น   ก็ยังมีประเพณีอันเคร่งครัดในการบูชาบรรพบุรุษ   คุณอาจคิดว่าการ
ปฏิบัติดังกล่าวเป็นความเชื่อแบบบุพกาลหือเป็นไสยศาสตร์ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การ
บูชาบรรพบุรุษหมายแสดงถึงความเคารพในปรีชาญาณซึ่งสั่งสมมาในวัฒนธรรมของตนเอง
ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหวังให้เราหันมาบูชาบรรพบุรุษกันอย่างเอาเป็นเอาตายมากขึ้น แต่จำเป็นที่
เราจะต้องเล็งเห็นคุณค่าของสิ่งนี้ เป็นเวลาหลายพันปีทีเดียวที่มนุษย์ได้สั่งสมปรีชาญาณมา
เราควรจะยกย่องผลสำเร็จเหล่านี้ของบรรพบุรุษของเรา ในการที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะประดิษฐ์
เครื่องมือ  ในการประดิษฐ์มีดขึ้นมาสร้างธนูและศรขึ้นมา  ในการเรียนรู้ที่จะตัดต้นไม้ลงหุง
หาอาหารและเรียนรู้ที่จะใส่เครื่องเทศลงไปในอาหาร   เราไม่ควรที่จะเพิกเฉยต่อการสั่งสม
วัฒนธรรมของอดีต

กว่าที่จะเรียนรู้จนสร้างอาคารขึ้นได้  ย่อมมีประวัติศาสตร์ยาวนานนนับพัน ๆ  ปีรองรับอยู่
เบื้องหลัง แรกเริ่มเดิมทีนั้นมนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำครั้งต่อมาก็ค่อยเรียนรู้ที่จะปลูกทับกระท่อม
ถัดมาอีกก็เรียนรู้ที่จะก่อสร้างตึกรามค้ำยันด้วยเสา และท้ายที่สุดก็เรียนรู้ที่จะสร้างตึกโดย
ปราศจากเสาค้ำยันตรงกลาง โดยใช้ความโค้งของเพดานรับน้ำหนักไว้ อันเป็นการค้นพบที่
ยิ่งใหญ่อันหนึ่ง ความรอบรู้เหล่านี้ควรที่จะได้รับความเคารพ เราไม่อาจถือว่ามันเป็นวิธีการ
ของโลกอาทิตย์อัสดง   มีคนมากมายได้ตกตายไปเมื่อเขาพยายามที่จะสร้างโครงสร้างโดย
ปราศจากเสาค้ำยันตรงกลางและมันได้พังทลายลงมา มีคนไม่น้อยที่ได้สละชีวิตไม่น้อยไปกว่า
ที่แบบแผนของการก่อสร้างดังกล่าวจะพัฒนาขึ้นจนใช้การได้ คุณอาจจะกล่าวว่าความสำเร็จ
ผลดังกล่าวไร้ความสำคัญใด ๆ แต่อีกนัยหนึ่ง การพลาดที่จะมองเห็นคุณค่าของความเปี่ยม
ล้นแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ ซึ่งเราเรียกว่าความดีงามพื้นฐาน ความผิดพลาดทำนองนี้ได้
กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของโลก

อย่างไรก็ตาม การยกย่องอดีตในตัวของมันมันไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาของโลกได้  เราจำ
เป็นต้องค้นหาสายใยเชื่อมโยงระหว่างสายวัฒนธรรมของเรากับประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบัน
ปัจจุบันขณะหรืออำนาจวิเศษแห่งปัจจุบันกาลคือสิ่งที่เชื่อมโยงปรีชาญาณแห่งอดีตเข้ากับปัจ
จุบัน เมื่อคุณกำลังชื่นชมในภาพเขียน บทเพลงหรือวรรณกรรม ไม่ว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นมานาน
เพียงใดแล้วก็ตาม แต่คุณก็กำลังชื่นชมมันอยู่ "เดี๋ยวนี้" คุณได้ประสบกับปัจจุบันกาลซึ่งมันได้
ถูกสร้างสรรค์ขึ้น มันเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

หนทางที่นำไปสู่ปัจจุบันขณะก็คือการประจักษ์แจ้งว่า นาทีขณะนี้เองในชีวิตคือโอกาสที่เปิดให้
แก่เรา ดังนั้นการตริตรองว่าคุณอยู่ที่ใหนและกำลังทำอะไรอยู่ ณ ที่นั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นั่น
เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสถานการณ์ภายในครอบครัวและชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งมีความหมายยิ่ง
คุณควรจะถือว่าบ้านเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นโอกาสทองที่จะทำให้คุณได้สัมผัสถึงปัจุบันขณะ
การแลเห็นคุณค่าของความศักดิ์สิทธิ์นั้นเริ่มขึ้นได้อย่างง่าย ๆ โดยการใส่ใจกับรายละเอียดทุก
อย่างในชีวิต การใส่ใจก็คือการนำสติมาสอดใส่ไว้ในกิจกรรมชีวิต มีสติขณะกำลังหุงหาอาหาร
มีสติขณะกำลังขับรถ มีสติขณะเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก มีสติแม้ขณะกำลังถกเถียงกัน สตินี้อาจช่วย
คุณให้เป็นอิสระจากความเร่งรีบ จากความวุ่นวาย จากความเครียด จากความเศร้าโศกทุกประ
การ   มันอาจช่วยคุณให้เป็นอิสระจากอุปสรรคของปัจจุบันขณะ   เพื่อช่วยคุณให้เบิกบานอยู่ใน
ปัจจุบัน

หลักการปัจจุบันขณะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในความพยายามเพื่อสร้างสรรค์สังคมอริยะ คุณอาจ
สงสัยว่ามีหนทางใดที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือสังคม   และคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณทำนั้นถูก
ต้องแล้วหรือดีแล้ว คำตอบเพียงหนึ่งเดียวก็คือปัจจุบันขณะ "ปัจจุบันกาล"  ถ้าคุณไม่อาจเข้าถึง
"ขณะนี้" ได้ ก็นับว่าบิดเบือนเฉไฉ เพราะเหตุที่คุณกำลังแสวงหา "ขณะนี้" อันอื่น ซึ่งไม่มีทางจะ
หาได้พบ ถ้าคุณทำดังนั้นก็จะมีเพียงอดีตและอนาคตเท่านั้น

เมื่อความฉ้อฉลบังเกิดขึ้นมาในวัฒนธรรม นั่นก็เป็นเพราะว่าวัฒนธรรมนั้นไม่ได้เป็นปัจจุบันอีก
ต่อไป     มันได้กลายเป็นอดีตหรือกลายเป็นอนาคตไป    บรรดาช่วงเวลาในประวัติศาสตร์เมื่อ
นฤมิตรกรรมอันยิ่งใหญ่ได้ถูกรังสรรค์ขึ้น   เมื่อวิชาความรู้ได้พอกพูนก้าวไกล   หรือในยามเมื่อ
สันติภาพได้แผ่ขยายครอบคลุม บรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนอุบัติขึ้นในปัจจุบันกาลของมันทั้ง
สิ้น แต่หลังจากที่ปัจจุบันได้บังเกิดขึ้นแล้ว ครั้นแล้ววัฒนธรรมเหล่านั้นก็ได้สูญเสียปัจจุบันของ
มันไปสิ้น

คุณจำเป็นต้องดำรงรักษาปัจจุบันขณะนี้ไว้  เพื่อจะได้ไม่ต้องไปลอกเลียนความฉ้อฉลเหล่านั้น
มา เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องไปบิดเบือนปัจจุบันขณะและจะได้ไม่ต้องเข้าใจความหมายของปัจจุบัน
ขณะอย่างผิด ๆ ญาณทัศนะของสังคมอริยะก็คือการที่วัฒนธรรมและประเพณี ทั้งปรีชาญาณ
และความรุ่งโรจน์ เป็นสิ่งที่อาจประสบพบได้ในปัจจุบันโดยคนทุกคน โดยวิธีนี้เท่านั้นซึ่งจะทำ
ให้ไม่เกิดความบิดเบือนฉ้อฉลขึ้นในสายวัฒนธรรมนั้นๆ

สังคมอริยะจะต้องตั้งอยู่บนรากฐานอันดีงาม  ปัจจุบันขณะของสถานการณ์ภายในครอบครัว
ของคุณนั้นเองคือรากฐานดังกล่าว  จากจุดนั้นเองที่คุณอาจแผ่ขยายออกไป  โดยการถือเอา
บ้านประดุจดังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คุณก็อาจเข้าไปสู่เหตุการณ์ต่าง ๆ ในครอบครัวอย่างเต็มไป
ด้วยสติและความเบิกบาน แทนที่จะรู้สึกว่าคุณกำลังตกเป็นทาสของความสับสนวุ่นวายการ
ล้างจานและทำครัวนั้นอาจดูเสมือนว่าเป็นของต่ำ เป็นการงานสามัญแต่ถ้าหากคุณดำรงสติ
ร่วมไปกับงาน  นี้เท่ากับว่าคุณกำลังฝึกฝนตัวตนทั้งหมด   เพื่อเปิดออกสู่สิ่งกว้างไกลไพศาล
แทนที่จะปิดกั้นภาวะการดำรงอยู่ไว้ในกรอบแคบ ๆ

คุณอาจรู้สึกว่าคุณมีแนวคิดดี ๆ เกี่ยวกับสังคม หากทว่าชีวิตของคุณมากไปด้วยเรื่องเดือด
เนื้อร้อนใจ เต็มไปด้วยปัญหาเศรษฐกิจ เต็มไปด้วยปัญหาเกี่ยวกับคู่ครองหรือปัญหาการเอา
ใจใส่ลูก ๆ และปัญหาที่แนวคิดและชีวิตจริงขัดแย้งกันอยู่  ทว่าที่จริงแล้ว ทั้งแนวคิดและชีวิต
จริงอาจเชื่อมโยงเข้ากันได้ด้วยปัจจุบันขณะ

มีอยู่บ่อยครั้ง  ที่ผู้คนพากันคิดว่าการแก้ไขปัญหาของโลกนั้นจำเป็นต้องพิชิตโลกทั้งโลกให้มา
อยู่ในกำมือ แทนที่จะไปสัมผัสโลกสัมผัสพื้นดิน นี่เป็นข้อสรุปของจิตใจแบบโลกอาทิตย์อัสดง
คือพยายามที่จะพิชิตโลกเพื่อขจัดความเป็นจริงออกไป มีสเปรย์ดับกลิ่นหลายชนิดที่อาจป้อง
กันคุณมิให้สูดดมได้กลิ่นของโลกที่เป็นจริง   และมีอาหารสำเร็จหลายชนิดที่อาจกีดกันคุณไว้
จากการลิ้มรสอาหารธรรมชาติ ญาณทัศนะชัมบาลามิใช่ความพยายามที่จะสร้างโลกในจินต
นาการขึ้นมา อันเป็นโลกซึ่งไม่มีใครต้องฝันร้ายหรือแลเห็นเลือด ญาณทัศนะชัมบาลาเน้นหนัก
อยู่บนการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้  ในโลกที่เป็นจริง โลกซึ่งใช้เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร โลกซึ่ง
หล่อเลี้ยงการดำรงอยู่ของคุณ  คุณอาจเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้  เรียนรู้ที่จะพักค้างแรม
ที่จะกางเต๊นท์ ที่จะขี่ม้า รีดนมวัวและก่อไฟ และแม้ว่าคุณจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่แห่งศตวรรษ
ที่ยี่สิบก็ตาม คุณก็อาจเรียนรู้ที่จะเข้าถึงปัจจุบันขณะ เข้าถึงความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้
แหละคือรากฐานในการสร้างสรรค์สังคมอริยะ
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #29 เมื่อ: 17-08-2006, 12:37 »

อ้างถึง
"เราจำเป็นต้องค้นหาสายใยเชื่อมโยงระหว่างสาย
วัฒนธรรมของเรากับประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบัน
ปัจจุบันขณะหรืออำนาจวิเศษแห่งปัจจุบันกาล  คือ
สิ่งที่เชื่อมโยงปรีชาญาณแห่งอดีตเข้ากับปัจจุบัน"


เมื่อวาน ประกายดาวไปกราบท่านปราโมทย์ ปราโมชโช มาค่ะ
ที่ สวนสันติธรรม ....

ท่านเทศน์เรื่องนี้ เลย ปัจจุบันขณะ

เอาบุญ มาฝาก คุณโอสถ ...ที่จริงมีหนังสือ ชื่อ ทางเอก มาฝากค่ะ
ควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
แนวสกา
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 633



« ตอบ #30 เมื่อ: 17-08-2006, 13:00 »

ขอบคุณครับที่นำมาลงให้อ่าน ผมก็จะค่อยละเมียดอ่านอย่างที่คุณ"โอสถ"กล่าวไว้นะครับ Razz
บันทึกการเข้า

ทุกคนล้วนมักมีอำนาจวาสนา ตัวข้าต้องการเพียงเสพดื่มกิน
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #31 เมื่อ: 17-08-2006, 16:00 »

ขอบคุณครับที่นำมาลงให้อ่าน ผมก็จะค่อยละเมียดอ่านอย่างที่คุณ"โอสถ"กล่าวไว้นะครับ Razz

มีคนละเมียดอ่าน เราก็ละเมียดพิมพ์ ไป อ่านไป ถ้าจบเล่มแรกแล้ว
อาจบ้าจี้ พิมเล่มสองของท่านตรุงปะ ให้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-08-2006, 16:09 โดย โอสถ » บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
โอสถ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 273



« ตอบ #32 เมื่อ: 17-08-2006, 16:01 »


อ้างถึง


เมื่อวาน ประกายดาวไปกราบท่านปราโมทย์ ปราโมชโช มาค่ะ
ที่ สวนสันติธรรม ....

ท่านเทศน์เรื่องนี้ เลย ปัจจุบันขณะ

เอาบุญ มาฝาก คุณโอสถ ...ที่จริงมีหนังสือ ชื่อ ทางเอก มาฝากค่ะ
ควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง




สาธุครับ เอามาฝากเช่นกัน ปัจจุบันประเสริฐสุด ของท่าน ติช นัท ฮัน

http://asia.pg.photos.yahoo.com/ph/nongdum_y/album?.dir=f1b2&.src=ph&store=&prodid=&.done=http%3a//asia.pg.photos.yahoo.com/ph/nongdum_y/my_photos

แถม ศิษย์โง่ไปเรียนเซน
http://zen.nongdum.com/
บันทึกการเข้า


เจ้าขอทาน
ฟ้าและดิน 
คืออาภรณ์ในฤดูร้อนของเขา


ทดสอบ ลิ้ง คุณภาพ
http://www.jitwiwat.org/docs/articles/index_2548.htm
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #33 เมื่อ: 18-08-2006, 06:09 »

ว้าว

ไป ดู หนังสือที่ เอามาแปะ ฝากแล้วค่ะ
ด้วยความขอบคุณ อย่างยิ่ง ....อยากเอารูป ที่เวียดนามมาแปะให้ดูบ้างค่ะ
ถึงการปฏิบัติ ที่งดงาม

สาธุค่ะ 
Smile
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
anuroj_007
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #34 เมื่อ: 07-01-2008, 19:35 »

จะมีโอกาสอ่านบทที่เหลือไหมครับ.................. Question
บันทึกการเข้า
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #35 เมื่อ: 12-01-2008, 18:32 »

จะมีโอกาสอ่านบทที่เหลือไหมครับ.................. Question

ยินดีต้อนรับน้องใหม่ค่ะ และขอบคุณมาก ๆ ที่ช่วยดึงกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะไม่ผ่านตามาก่อน

อ่านไปได้ส่วนหนึ่ง  ก็พอจะสัมผัสและเข้าใจวิถีงดงามแบบตะวันออก แม้มีความเชื่อบางอย่างที่ยากจะเข้าใจก็ตาม 

ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่กรุณาพิมพ์เล่มหนึ่งให้อ่าน จะตามอ่านจนจบค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2008, 18:41 โดย aiwen^mei » บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
หน้า: [1]
    กระโดดไป: