บทที่ ๑ สร้างสังคมอริยะ" คำสอนของซัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มีปรีชาญาณ
อันเป็นรากฐานของมนุษย์อยู่ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายปัญหา
ของโลกได้ ปรีชาญาณประการนี้มิได้ เป็นสมบัติเฉพาะ
ของวัฒนธรรมใด หรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจาก
ตะวันตกหรือตะวันออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของ
นักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่าง ๆ
ตลอดช่วงกาลเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ "
เช่นเดียวกับประเทศทางเอเชียหลายประเทศ ในธิเบตก็เช่นกัน มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ
อาณาจักรในฝัน ซึ่งเป็นต้นตอแห่งศิลปศาสตร์และอารยธรรมของสังคมเอเชียปัจจุบัน
ตามตำนานเล่าว่า อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรือง ซึ่งปกครอง
โดยผู้ปกครองทรงสติปัญญาและการุณ ทั้งอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนรอบรู้และเมตตาปราณี
ดังนั้นเองอาณาจักรนี้จึงเป็นสังคมในอุดมคติ สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า ซัมบาลา
เล่ากันว่าพุทธศาสนาได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมซัมบาลา ตามตำนาน
กล่าวว่า ศากยมุณีพุทธได้แสดงธรรมว่าด้วยตันตระขั้นสูงแก่ดาวะ สังโปปฐมกษัตริย์แห่ง
ซัมบาลา บรรดาพระธรรมเหล่านี้ได้สืบทอดกันมาเป็น " กาลจักรตันตระ " ซึ่งถือว่าเป็น
ปรีชาญาณที่ลึกซึ้งที่สุดของพุทธศาสนาแบบธิเบต หลังจากองค์กษัตริย์ได้สดับพระธรรม
เทศนาเหล่านี้แล้ว เล่ากันว่าบรรดาอาณาประชาราษฎร์แห่งซัมบาลาต่างพากันปฏิบัติสมาธิ
ภาวนาและดำเนินชีวิตตามพุทธมรรคา ด้วยการมีเมตตาจิตและเอาใจใส่ทุกข์สุขของสัตว์ทั้ง
หลาย โดยนัยนี้เอง ไม่เพียงผู้ปกครองเท่านั้น แต่บรรดาทวยราษฎร์ในอาณาจักรล้วนแล้วเป็น
อริยบุคคลผู้มีใจสูงทั้งสิ้น
ในหมู่ชาวธิเบต มีความเชื่อว่าอาณาจักรซัมบาลานี้ยังดำรงอยู่ซ่อนเร้นอยู่หุบเขาอันลี้ลับใน
เทือกเขาหิมาลัย ทั้งยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งบรรยายถึงสถานที่ตั้งและทิศทาง
ที่จะไปสู่ซัมบาลา ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเลอะเลือนมาก จนกระทั่งมีผู้สงสัยว่านี่จะถือเป็นจริงหรือ
เป็นเพียงข้อมูลเปรียบเปรยเท่านั้น ทั้งยังมีคัมภีร์หลายฉบับซึ่งบรรยายอย่างละเอียดลออถึง
อาณาจักรแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นตามที่อ้างอิงอยู่ใน " มหาอรรถกถาแห่งกาลจักร " ซึ่งเขียนโดย
มิฟัม คุรุ ผู้มีชื่อเสียงในสมัยศตวรรษที่สิบเก้า ดินแดนซัมบาลานี้อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำสิตะ
ดินแดนแห่งนี้ ถูกแบ่งออกโดยแนวเทือกเขาทั้งแปด พระราชวังของริกเดนหรือราชันผู้ปกครอง
ซัมบาลานั้น สร้างอยู่บนยอดเขาทรงกลมซึ่งตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางดินแดน มิฟัมบอกต่อไปว่า ขุนเขา
ลูกนี้ชื่อไกรลาส พระราชวังซึ่งมีชื่อว่ากัลปะกว้างยาวหลายร้อยเส้น เบื้องหน้าพระราชวังทางทิศ
ใต้มีสวนรุกขชาติอันงดงามที่มีชื่อว่ามาลัย ตรงกึ่งกลางสวนรุกขชาตินี้มีวิหารซึ่งสร้างอุทิศถวาย
แด่กาลจักรโดย ดาวะ สังโป
ตามตำนานอื่นๆ กลับกล่าวว่า อาณาจักรซัมบาลานี้ได้สาปสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว มาถึง
จุดหนึ่งเมื่อทั้งราชอาณาจักรได้บรรลุถึงการตรัสรู้ จึงได้สูญสลายไปดำรงอยู่ในมิติอื่น ตามตำนาน
กล่าวว่า กษัตริย์ริกเดนแห่งซัมบาลายังคงเฝ้าดูกิจกรรมทั้งมวลของมุนษย์โลกอยู่ แล้วสักวันหนึ่ง
จะลงมาช่วยมนุษย์ชาติให้รอดพ้นหายนะ ยังมีชาวธิเบตอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่
กษัตริย์เกซาร์ แห่งหลิง ทรงได้รับแรงบันดาลใจและได้รับการชี้นำจากกษัตริย์ริกเดน และปรีชา
ญาณแห่งซัมบาลานี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่าอาณาจักรซัมบาลาดำรงอยู่ในมิติอื่น เพราะ
เชื่อกันว่าเกซาร์ก็ไม่เคยเดินทางไปซัมบาลา ดังนั้นสายสัมพันธ์แห่งซัมบาลาจึงเป็นเรื่องของ
การเชื่อมโยงทางภาวะธรรม ราชันเกซาร์มีชีวิตอยู่ประมาณศตวรรษที่สิบเอ็ด และได้ปกครอง
แว่นแค้วนหลิง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดคัมธิเบตตะวันออก จากรัชสมัยนี้เอง จึงอุบัติเรื่องราวมากมาย
เกี่ยวกับปรีชาสามารถทั้งในแง่ของการศึกษาและการปกครอง เล่าขานกันไปทั้งธิเบต กลายเป็น
มหากาพย์อันยิ่งใหญ่ของวรรณกรรมธิเบต บางตำนานก็กล่าวว่าเกซาร์จะปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง
จากซัมบาลา นำทัพมาปราบมารและพลังมืดดำของโลก
เมื่อไม่นานมานี้ มีนักวิชาการตะวันตกบางคนได้สันนิษฐานว่า อาณาจักรซัมบาลาอาจจะเป็น
อาณาจักรโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งมีบันทึกอยู่เอกสารทางประวัติศาสตร์ ดังเช่น อาณาจักร
ชางชุงในเอเชียกลาง อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการหลายคนที่เชื่อว่าเรื่องราวเกี่ยวกับซัมบาลา
เป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่ไม่เป็นจริง แต่ในขณะที่อาจสรุปกันง่าย ๆ ว่าอาณาจักรนี้เป็นเรื่อง
โกหกทั้งเพนั้น เราก็อาจเห็นได้ชัดถึงร่องรอยของความปรารถนาของมนุษย์ อันฝังรากแน่น
อยู่ในสิ่งสูงและชีวิตอันดีงาม ซึ่งแสดงออกผ่านตำนานนี้ ที่จริงแล้วในบรรดาคุรุธิเบตหลาย
ท่านมีประเพณีซึ่งถือว่าอาณาจักรซัมบาลามิใช่สถานที่ซึ่งดำรงอยู่ภายนอกหากเป็นรากฐาน
ของสภาวะการหยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน
จากทัศนะนี้เอง จึงไม่สำคัญว่าอาณาจักรณ์ซัมบาลาเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากควรที่เราจะเห็น
คุณค่า และดำเนินตามอุดมคติของสังคมอริยะซึ่งแสดงนัยอยู่
ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่าน ข้าพเจ้าได้นำเสนอข้อเขียนที่ว่า " คำสอนของซัมบาลา " ซึ่งใช้ภาพของอา
ณาจักรซัมบาลาเพื่อแสดงถึงอุดมคติของการตรัสรู้ซึ่งปราศจากลัทธินิกาย นั่นก็คือ เสนอให้
เห็นถึงความเป็นไปได้ ของการยกระดับจิตวิญญาณของตนและของผู้อื่น โดยไม่ต้องอาศัยแนว
ทางหรือญาณทัศนะของศาสนาใด เพราะแม้ว่าสายความคิดของซัมบาลาจะยืนพื้นอยู่บนหลัก
คิดและความนุ่มนวลของวัฒนธรรมแบบพุทธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีรากฐานที่เป็นอิสระ
ของตนเอง ซึ่งมุ่งตรงสู่การขัดเกลาให้เป็นมุนษย์ที่แท้ สังคมมนุษย์ปัจจุบันต้องเผชิญหน้ากับ
ปัญหาอันหนักหน่วงนานับประการ จึงดูยิ่งจำเป็นจะต้องแสวงหาแนวทางอันเรียบง่ายและไร้
ลัทธิ เพื่อนำมาปฏิบัติและแบ่งปันประสบการณ์นั้นร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นเองคำสอนซัมบาลาหรือ
" ญาณทัศนะซัมบาลา " ซึ่งเรียกกันอย่างกว้าง ๆ ตามนัยนี้ จึงเป็นเสมือนความพยายามอันหนึ่ง
ที่จะผลักดันเกื้อหนุนให้ไปสู่ภาวะการดำรงอยู่อันสมบูรณ์สำหรับตัวเราและผู้อื่นด้วย
สภาวะการของโลกปัจจุบันคือต้นตอแห่งความกังวลห่วงใยของเราทุกคน เป็นต้นว่า ความน่า
หวาดเสียวของสงครามปรมาณู ความยากจนที่แผ่ลุกลามออกไป ความไม่มั่นคงทางภาวะเศรษ
ฐกิจ ความปั่นป่วนวุ่นวายของสภาพสังคมและการเมือง และความวิกลวิการทางจิตใจแบบต่าง ๆ
โลกนี้ล้วนตกอยู่ในความปั่นป่วนยุ่งเหยิง คำสอนของซัมบาลาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า มีปรีชาญาณ
อันเป็นรากฐานของมนุษย์อยู่ ซึ่งอาจช่วยคลี่คลายปัญหาทั้งหลายของโลกได้ ปรีชาญาณประการ
นี้มิได้เป็นสมบัติเฉพาะของวัฒนธรรมใดหรือลัทธิศาสนาใด ทั้งมิได้มาจากตะวันตกหรือตะวัน
ออก ทว่ามันสืบสายวัฒนธรรมของนักรบอันเก่าแก่ ซึ่งดำรงอยู่ในกระแสวัฒนธรรมต่าง ๆ
ตลอดช่วงกาลเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์
ความเป็นนักรบในที่นี้มิได้หมายถึงการไปรบรากับผู้อื่น ความก้าวร้าวนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหา
ทั้งหลายแหล่ มิใช่การแก้ไข คำว่านักรบนี้มาจากภาษาธิเบตว่า ปาโว ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้กล้า"
ความเป็นนักรบตามนัยนี้จึงนับเป็นวัฒนธรรมแห่งความกล้าหาญของมุนษย์ หรือเป็นวัฒนธรรม
แห่งความไม่หวาดกลัว ชาวอเมริกันอินเดียนฝ่ายเหนือก็มีวัฒนธรรมดังกล่าว ทั้งในสังคมอเมริ
กันอินเดียนฝ่ายใต้ก็มีอยู่เช่นกัน ซามูไรในอุดมคติของญี่ปุ่นก็แสดงออกถึงปรีชาญาณของนักรบ
ด้วยเช่นกัน ทั้งในสังคมคริสเตียนของชาวตะวันตกก็มีแนวคิดเรื่องนักรบผู้เห็นธรรมอยู่ด้วย
กษัตริย์อาเธอร์นั้นเป็นตำนานซึ่งเป็นแบบฉบับของนักรบที่แท้จริงนวัฒนธรรมตะวันตก และเป็น
ผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ดังเช่นกษัตริย์เดวิด ก็เป็นแบบฉบับของนักรบซึ่งรู้จักกันดีใน
วัฒนธรรมของยิวและคริสเตียน บนโลกของเรานี้มีตัวอย่างของความเป็นนักรบอันเลอเลิศอยู่
มากมาย
กุญแจที่ไขสู่ความเป็นนักรบและหลักการเบื้องต้นของญาณทัศนะซัมบาลาก็คือการไม่กลัวความ
จริงในตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว คำจำกัดความของความกล้าก็คือ "ไม่กลัวตัวเอง"
ญาณทัศนะซัมบาลาสอนดังนั้น เบื้องหน้าปัญหาอันยิ่งใหญ่ของโลกที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ เราก็
อาจหาญกล้าและเมตตาได้ในขณะเดียวกัน ญาณทัศนะซัมบาลาคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความเห็น
แก่ตัว เมื่อเราเริ่มกลัวตัวเองและกลัวภัยคุกคามจากโลกปัจจุบัน เมื่อนั้นเราก็กลับเห็นแก่ตัวอย่าง
ร้ายกาจเราปรารถนาจะสร้างรังเล็ก ๆ ของตนขึ้น สร้างเปลือกขึ้นห่อหุ้มตัวเองเพื่อว่าเราจะได้
อยู่เพียงลำพังอย่างปลอดภัยในนั้น
ทว่าแท้จริงเราอาจกล้าได้มากกว่านั้น เราต้องพยายามคิดให้กว้างไกลออกไปกว่าบ้านของเรา
คิดให้ไกลออกไปกว่าไฟที่ลุกอยู่ในเตา ไกลกว่าการส่งลูกหลานไปเข้าโรงเรียนหริอการตื่นขึ้น
มาทำงานในตอนเช้า เราจะต้องพยายามขบคิดว่าเราจะสามารถช่วยโลกนี้ได้อย่างไรเพราะถ้า
เราไม่ช่วยแล้วก็จะไม่มีใครอื่นช่วยเลย เป็นภารกิจของเราที่จะต้องช่วย ในขณะเดียวกัน การ
ช่วยผู้อื่นก็มิได้หมายถึงการสละชีวิตส่วนตัวไป คุณไม่จำเป็นต้องลนลานรีบไปเป็นนายกเทศ
มนตรีหรือประธานาธิบดีเพื่อที่จะได้ช่วยผู้อื่น แต่คุณสามารถเริ่มต้นจากญาติมิตรและผู้คน
รอบ ๆ ตัว ที่จริงแล้วคุณอาจเริ่มต้นจากญาติมิตรและผู้คนรอบ ๆ ตัว ที่จริงแล้วคุณอาจเริ่มต้น
ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ข้อสำคัญก็คือต้องตระหนักอยุ่เสมอว่าคุณต้องไม่ทอดทิ้งภารกิจของตนเอง
คุณไม่อาจทำเป็นเพิกเฉยอยู่ได้ เพราะเหตุว่าโลกนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง
ในขณะที่ทุก ๆ คนต่างมีภาระรับผิดชอบที่จะต้องช่วยเหลือโลกแต่การณ์กลับจะเป็นว่าเราไป
ก่อกวนให้ยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น หากเราพยายามจะไปยัดเยียดความคิดของเราหรือยัดเยียดความ
ช่วยเหลือแก่ผู้อื่น มีคนไม่น้อยที่รู้ทฤษฎีว่าโลกต้องการสิ่งใดบ้าง คนบางคนคิดว่าโลกต้องการ
คอมมิวนิสต์ บางคนคิดว่าโลกต้องการประชาธิปไตย บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้โลกรอด
บ้างก็คิดว่าเทคโนโลยีจะทำลายล้างโลก คำสอนซัมบาลานั้นมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะปรับเปลี่ยน
โลกให้เข้าไปอยู่ในทฤษฎีใด ๆ รากแก้วของญาณทัศนะซัมบาลามีว่า ในการที่จะสถาปนาสังคม
อริยะสำหรับมนุษย์ เราจำเป็นที่จะต้องค้นให้พบว่าเรามีของจริงสิ่งแท้อะไรอยู่ในตัวบ้าง ซึ่งอาจ
สามารถมอบให้แก่โลก นั่นก็คือเหตุแรกสุด เราจะต้องพยายามพิจารณาดูประสบการณ์ของเรา
ทั้งหมด เพื่อที่จะหยั่งเห็นให้ได้ว่าเรามีสิ่งมีค่าอะไรอยู่ในตัว ซึ่งจะสามารถช่วยยกระดับสภาวะ
ความเป็นอยู่ทั้งของตนเองและผู้อื่น
ถ้าเราตั้งใจมองอย่างปราศจากอคติ เราจะพบว่านอกเหนือจากปัญหาและความสับสนทั้งมวลที่
เรามีอยู่ นอกเหนือจากภาวะจิตและอารมณ์ที่ ขึ้นๆ ลงๆ แล้ว ยังมีบางสิ่งบางอย่างอันเป็นความ
ดีงามรากฐานของการเกิดมาเป็นมนุษย์ นอกเสียจากเราจะสามารถค้นพบถึงรากฐานแห่งความ
ดีงามในชีวิตของเราอันนั้น หาไม่เราก็มิอาจหวังที่จะช่วยเกื้อหนุนชีวิตของผู้อื่นไปในทางสุงได้
เลย ถ้าหากเราเป็นเพียงสัตว์โลกผู้โชคร้ายและน่าสงสาร เรายังจะสามารถฝันถึงสังคมอริยะได้
อยู่อีกหรือ
การค้นพบถึงความดีงามที่แท้จริง ย่อมเกิดจากการแลเห็นถึงคุณค่าความหมายของประสบการณ์
แม้ที่ธรรมดาสามัญที่สุด เรามิได้กำลังพูดถึงความรู้สึกดี ๆ ซึ่งเกิดจากการที่เราหาเงินได้เป็นล้าน
หรือจากการเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือการซื้อบ้านใหม่ได้ แต่เรากำลังพูดถึงความดีงามรากฐาน
ของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือการบรรลุถึงสิ่งที่มุ่งหวัง เราได้สัมผัสถึงความ
ดีงามชั่วแวบหนึ่งอยู่เสมอ แต่เราพลาดที่จะประจักษ์แจ้งอย่างถ่องแท้ เมื่อเราแลเห็นสีสันอันสด
ใสนั้น เราก็กำลังเป็นประจักษ์พยานถึงแก่นสารอันดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวเรา เมื่อเราได้ยินเสียงอัน
ไพเราะ ก็เท่ากับเรากำลังสดับฟังแก่นแท้อันดีงามของเราเอง เมื่อเราก้าวออกไปสู่สายฝนเราย่อม
รู้สึกสะอาดสดชื่น และเมื่อเราเดินออกจากห้องที่อึดอัดปิดล้อม เราย่อมดื่มด่ำในอากาศสดชื่น
ที่พรั่งพรูเข้ามา เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยววินาที แต่มันล้วนเป็นประสบการณ์
ที่แท้จริงของความดีงาม มันอุบัติขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา แต่โดยปกติแล้วเรากลับไม่ใส่ใจ ถือว่า
เป็นเพียงสิ่งดาษ ๆ เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ทว่าตามหลักการซัมบาลาแล้ว กลับถือว่าจำ
เป็นยิ่งที่จะต้อง ตระหนักถึงและหยิบฉวยชั่วขณะเหล่านั้นไว้ ด้วยว่ามันแสดงออกถึงรากฐานแห่ง
อหิงสาและความสดใหม่ในชีวิตของเรา ซึ่งก็คือรากฐานแห่งความดีงามนั่นเอง
มนุษย์ทุกคนมีรากฐานแห่งธรรมชาติอันดีงามนี้อยู่ มันเป็นสิ่งที่เข้มข้นและชัดเจน ความดีงาม
นั้นบรรจุไว้ด้วยความอ่อนโยนและความละเอียดอ่อนอย่างล้นเหลือ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์
เราอาจร่วมเพศทั้งเราอาจสัมผัสใครบางคนอย่างอ่อนโยน เราอาจจุมพิตใครบางคนด้วยความ
รู้สึกเข้าอกเข้าใจอันละเอียดอ่อน เราอาจดื่มด่ำซาบซึ้งในความงาม อาจเห็นคุณค่าของสิ่งดีที่
สุดในโลกนี้ เราอาจชื่นชมในความสดใสกระจ่างของสีสันต่าง ๆ ในความเหลืองใสของสีเหลือง
ในความแดงจ้าของสีแดง ในความเขียวสดของสีเขียวและในความม่วงเข้มของสีม่วง ประสบ
การณ์ของเราล้วนจริงจังยิ่ง ในเมื่อสีเหลืองเป็นสีเหลือง เราจะสามารถบอกได้หรือว่ามันเป็น
สีแดง เพียงเพราะว่าไม่ชอบความเหลืองของมัน ถ้าทำดังนั้นก็เท่ากับบิดเบือนความจริง เมื่อ
เรามีแดดสว่างสดใสเราจะปฏิเสธมันโดยการกล่าวว่าแดดนั้นเป็นสิ่งเลวได้ละหรือ คิดหรือว่า
เราจะสามารถพูดดังนี้ได้ เมื่อใดก็ตามที่มีแดดส่องสว่างหรือมีหิมะตก เราทำได้ก็แต่เพียงตระ
หนักซึ้งถึงคุณค่าของมัน เมื่อเราตระหนักยอมรับได้ถึงความจริง สิ่งนั้นย่อมส่งผลถึงตัวเราด้วย
เราอาจต้องลุกขึ้นมาในยามเช้าหลังจากได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ถ้าหากเรามองออกไปนอก
หน้าต่างและได้เห็นดวงอาทิตย์ฉายแสง สิ่งที่เห็นอาจช่วยให้เรากระปรี้กระเปร่าขึ้น เราอาจเยียว
ยาตนเองให้หายจากความรู้สึกกดดันต่าง ๆ ถ้าเราตระหนักว่าโลกของเรานี้ดีงาม
การที่ว่าโลกนี้ดีงาม มิใช่เป็นเพียงความคิดอย่างผิวเผิน ทว่ามันดีเพราะเหตุที่เราสามารถสัมผัส
ถึงความดีงามของมัน เราอาจสัมผัสได้ว่าโลกของเรานี้สมบูรณ์และเที่ยงตรง ตรงไปตรงมาและ
จริงยิ่ง ด้วยเหตุว่าธรรมชาติพื้นฐานของเราดำเนินร่วมไปกับความดีงามของสถานการณ์ ศักย
ภาพของมนุษย์ ในเชิงภูมิปัญญาและความสง่างาม ย่อมมุ่งสู่การสัมผัสถึงความแจ่มกระจ่างของ
ฟากฟ้าสีครามสดใส สู่ความสดฉ่ำของท้องทุ่งเขียวขจี และความงามของแมกไม้และป่าเขา เรา
มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงอยู่กับความดีซึ่งอาจปลุกเราให้ตื่นขึ้นและทำให้เรารู้สึกดี ๆ อย่างแท้จริง
ญาณทัศนะซัมบาลาจึงมุ่งผสานเข้ากับศักยภาพของเราเพื่อปลุกให้เราตื่นขึ้น และตระหนักถึงสิ่ง
ดี ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งที่จริงมันได้เกิดขึ้นแล้วด้วยซ้ำ
กระนั้นก็ตาม ยังมีสิ่งที่น่ากังขาอยู่อีก คุณอาจจะสร้างสายใยเชื่อมโยงอย่างวิเศษกับโลกของคุณ
ได้ คุณอาจเห็นแสงแดดส่องสว่าง เห็นสีสันอันสดใส ได้ยินดนตรีอันไพเราะ ได้กินอาหารรสดีหรือ
อะไรก็ตามแต่ ทว่าการเห็นชั่วแวบถึงความดีงามเหล่านั้น จะสัมพันธ์กับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง
อยู่อย่างไรเล่า โดยนัยหนึ่ง คุณอาจรู้สึกว่า " ฉันต้องการจะได้ความดีงามซึ่งมีอยู่ในตัวฉันและ
โลกแห่งปรากฎการณ์นั้นมา " ดังนั้นคุณจึงวิ่งพล่านเที่ยวเสาะหาหนทางที่จะครอบครองมันไว้
หรือหยาบยิ่งไปกว่านั้น คุณอาจพูดว่า " ถ้าอยากได้ จะขายเท่าไร ประสบการณ์นั้นงดงามมาก
ฉันอยากจะได้มันไว้ " ปัญหาของวิธีการชนิดนี้ก็คือ คุณจะไม่มีวันพึงพอใจแม้ว่าคุณจะได้สิ่งที่
ต้องการมา เพราะว่าคุณก็ยังคงมีความอยากอย่างรุนแรงอยู่นั่นเอง ถ้าคุณลองเดินไปตามถนน
สายที่ห้า คุณจะเห็นเรื่องน่าเศร้าใจทำนองนี้ คุณอาจจะกล่าวว่าผู้คนที่เดินซื้อของอยู่ตามถนน
สายที่ห้า ล้วนเป็นผู้มีรสนิยม ดังนั้น เขาจึงมีโอกาสที่จะตระหนักได้ถึงศักดิ์ศรีของความเป็น
มนุษย์ แต่อีกนัยหนึ่ง ก็ประหนึ่งว่าคนเหล่านั้นห่อมคลุมอยู่ด้วยหนาม เขาต้องการจะหยิบฉวย
มาครอบครองไว้ได้ให้ได้ มากขึ้นๆ
และแล้ว ก็ยังมีวิธีการอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการยอมหมอบราบคาบแก้ว หรือน้อมตนลงเพื่อเข้าถึง
ความดีงามชนิดนั้น มีใครบางคนบอกว่าเขาอาจทำให้คุณมีความสุขได้ ถ้าคุณเพียงแต่มอบชีวิต
ให้เขาจัดการ ถ้าหากคุณเชื่อเขาก็จะมอบความดีงามที่คุณต้องการให้ คุณอาจจจะเต็มใจยอมโกน
หัว หรือนุ่งห่มจีวร หรือกระทั่งยอมคลานบนพื้น หรือกินอาหารด้วยมือด้วยหวังจะเข้าถึงความดี
งาม คุณพร้อมที่จะแลกด้วยศักดิ์ศรีของตนเองและยอมตนเป็นทาส
สภาพทั้งสองอย่างล้วนเป็นความพยายามเพื่อจะเข้าถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดีงามและจริงแท้ ถ้า
คุณร่ำรวย คุณคงพร้อมที่จะเสียเงินมากมายเพื่อให้ได้มา หรือถ้าคุณจน คุณคงพร้อมที่จะอุทิศ
ชีวิตเพื่อมันแต่ทว่าวิธีการทั้งสองนั้นล้วนผิดพลาด
สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือ เมื่อเราเริ่มประจักษ์แจ้งถึงศักยภาพแห่งความดีงามในตนเอง เรามักจะถือ
เอาอาการค้นพบนี้เป็นจริงเป็นจังเกินไป เราอาจจะฆ่ากันเพื่อความดีงาม แม้กระทั่งยอมตาย
เพื่อความดีงาม เราปรารถมันอย่างสุดจิตสุดใจ แต่สิ่งที่เราขาดก็คืออารมณ์ขัน อารมณ์ขันในที่
นี้มิได้หมายถึงการเล่าเรื่องขำขัน หรือเป็นคนตลก หรือเที่ยววิพากษ์วิจารณ์คนอื่นและหัวเราะ
เยาะ อารมณ์ขันที่แท้จริงนั้นคือการสัมผัสอย่างแผ่วเบา มิใช่การปฏิเสธความจริงโดยสิ้นเชิง
หากแต่หมายถึงการชื่นชมในความจริงด้วยอาการอันนุ่มนวลแผ่วเบา รากฐานของญาณทัศนะ
ซัมบาลาก็คือ การค้นพบถึงอารมณ์ขันอันสมบูรณ์และจริงแท้ ค้นให้พบถึงสัมผัสแผ่วเบาของ
ความชื่นชมนั้น
ถ้าคุณลองมองดูตัวเอง ลองมองดูจิตใจมองดูกิจกรรมของตนเองคุณอาจจะได้อารมณ์ขันซึ่งสูญ
หายไปในอดีตกลับคืนมา จุดเริ่มต้นก็คือ คุณจะต้องเฝ้าดูความจริงอันธรรมดาสามัญในชีวิต
ประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นมีด เป็นส้อม จาน โทรศัพท์ เครื่องล้างจานหรือผ้าเช็ดตัว เฝ้าดูเจ้าสิ่งสามัญ
เหล่านี้แหละ มันไม่มีอะไรที่ดูลึกลับซับซ้อนหรือแปลกประหลาดหรอก แต่ถ้าหากไม่มีจุดเชื่อม
โยงระหว่างตัวคุณกับเหตุการณ์ธรรมดาสามัญในชีวิตเหล่านั้น ถ้าคุณมิได้เฝ้าดูวิถีชีวิตอันต่ำต้อย
สามัญนี้แล้ว คุณจะไม่มีวันได้ค้นพบอารมณ์ขัน หรือศักดิ์ศรี หรือแม้แต่ความจริงใจใด ๆ เลย
ไม่ว่าจะเป็นการหวีผม การแต่งตัว การล้างจาน กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งแห่งสติสัมปชัญญะ
มันล้วนเป็นหนทางที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับความจริง แน่นอน ส้อมคือส้อม คือเครื่องมือพื้น ๆ
สำหรับใช้ในการกิน แต่ในขณะเดียวกัน ในขยายปริมณฑลของสติสัมปชัญญะให้กว้างไกลออกไป
อาจจะขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ส้อมอย่างไรด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือญาณทัศนะซัมบาลานั้นก็คือความพยา
ยามที่จะกระตุ้นให้คุณประจักษ์ว่าคุณมีชีวิตอยู่อย่างไร มีความสัมพันธ์กับชีวิตสามัญอย่างไร
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราจึงมีสภาวะที่ตื่นอยู่เป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีความสามารถที่จะเข้าใจความ
จริงได้ด้วย เรามิใช่ทาสของชีวิต หากเป็นอิสระ การเป็นอิสระในที่นี้มีความหมายง่าย ๆ ว่ามีร่าง
กายและจิตใจ ดังนั้นเราจึงสามารถยกระดับตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะสามารถกระทำร่วมกับความจริง
อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ถ้าเราเริ่มใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เราจะพบว่าจักรวาลทั้ง
หมด รวมถึงฤดูกาลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหิมะน้ำตก น้ำแข็งหรือโคลนตม ต่างก็เต็มไปด้วยพลังอัน
ยิ่งใหญ่ ซึ่งกระทำการร่วมไปกับเรา ชีวิตคือปรากฎการณ์ที่น่าขบขัน แต่มันก็มิได้เยาะเย้ยเรา เรา
จะพบว่าในที่สุดเราจะสามารถจัดการกับโลกของเราได้ จัดการกับจักรวาลของเราอย่างเหมาะสม
และเต็มเปี่ยมด้วยอาการอันแยบยล
การค้นพบถึงความดีงามรากฐานนี้มิใช่ประสบการณ์ทางศาสนาโดยเฉพาะเจาะจง หากแต่เป็น
การประจักษ์ว่าเราสามารถสัมผัสและกระทำการร่วมกับความจริงได้โดยตรง คือโลกซึ่งเป็นจริง
ซึ่งเรามีชีวิตอยู่นั้นเอง การสัมผัสถึงความดีงามรากฐานในชีวิตของเรา ย่อมทำให้เรารู้สึกว่าเรา
เป็นผู้มีสติปัญญาใช้การได้ ทั้งโลกนั้ก้มิใช่ศัตรูของเรา เมื่อเรารู้สึกว่า ชีวิตของเรานั้นดีงามและ
ถูกทำนองคลองธรรม เราก็ไม่จำเป็นจะต้องหลอกตัวเองหรือลวงคนอื่นอีกต่อไป เราอาจแลดู
ชีวิตอันแสนสั้นนี้โดยไม่รู้สึกผิดหรือไร้ค่า และขณะเดียวกันก็อาจแลเห็นถึงศักยภาพที่จะแผ่ขยาย
ความดีงามออกไปยังผู้อื่น เราอาจพูดถึงความจริงใจได้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยหมดจดยิ่ง
ในขณะเดียวกันก็มั่นคงยิ่ง
แก่นแท้ของความเป็นนักรบหรือแก่นแท้ของความกล้าหาญของมนุษย์นั้น ย่อมไม่ยอมสยบพ่าย
แพ้ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เราไม่มีวันพูดว่าเรากำลังจะแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เราไม่อาจพูดว่าคนอื่นก็
จะต้องเป็นเช่นนั้น และโลกด้วยเช่นกัน ชั่วชีวิตของเราอาจจะมีปัญหาอันหนักหน่วงมากมายในโลก
แต่ขอให้เรามั่นใจว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีความหายนะใด ๆ อุบัติขึ้น เราอาจป้องกันได้ ทุกสิ่งสิ่งทุกอย่าง
ขึ้นอยู่กับเรา อย่างน้อยที่สุดเราก็อาจช่วยโลกให้รอดจากหายนะ ญาณทัศนะซัมบาลามีอยู่เพื่อสิ่งนี้
มันอุดมคติเก่าแก่ที่มีมานานนับศตวรรษ นั่นคือ โดยการรับใช้โลกนี้ เราก็อาจช่วยมันให้รอด แต่
การช่วยให้รอดก็ยังไม่เพียงพอ เรายังจะต้องกระทำการเพื่อสร้างสังคมมนุษย์ที่เป้นอริยะขึ้นมาด้วย
ในหนังสือเล่มนี้ เรากำลังพูดถึงรากฐานแห่งสังคมอริยะและหนทางที่นำไปสู่ แทนที่จะมามัวพูดถึง
สังคมอุดมคติว่าควรเป็นเช่นไร ถ้าเราปรารถนาจะช่วยโลกให้รอด เราจะต้องก้าวเดินไปด้วยตัวเอง
แทนที่จะมาขบคิดถึงแต่ทฤษฎีหรือคาดเดาถึงจุดหมายปลายทาง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเราแต่ละคน
ว่าจะสามารถค้นหาความหมายของสังคมอริยะได้อย่างไร และจะบรรลุถึงได้อย่างไร ข้าพเจ้าเพียง
มุ่งหวังว่าการนำเสนอซึ่งเป้นวิถีแห่งนักรบซัมบาลานี้ อาจมีส่วนช่วยเกื้อหนุนให้เกิดการค้นพบได้
อีกโสดหนึ่ง