GM : คุณเห็นด้วยไหมว่าความรักของหนุ่มสาวยุคนี้มีอายุเพียงสั้นๆ แตกร้าวเร็ว
พจนา : ผมไม่ค่อยรู้นัก แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องวิธีมองคือหวังเกินไป มองแค่เรื่องทางโลกเท่านั้น เรื่องทำมาหากิน ฉันบริการเธอ เธอบริการฉัน ความรักแบบนี้ก็ย่อมจบเร็ว ผมว่าความรักต้องมองเป็นเรื่องทางธรรมด้วย สปิริตแล้วมีพัฒนาการไม่สิ้นสุด โดยทางโลกเซนส์ของครอบครัวหมายถึงสั่งสม แต่ทางธรรมคือคลี่คลาย ไม่คาดหวัง ค้นหาชีวิตที่ดีร่วมกัน ชีวิตครอบครัวของคนขาดตรงนี้ ถ้ามี คนเราจะลึกซึ้งมากขึ้น เรื่องทางธรรมต้องมองให้ผ่านบอดี้ และแบ่งปันเรื่องความรู้สึกเอื้ออาทรต่อกัน เป็น spiritual sharing ไม่งั้นมองฝ่ายตรงข้ามมีค่าแค่มาเสริฟ์ตนเอง พอใจแค่มีเมียสวย หรือเรื่องเซ็กซ์แค่นั้น แต่นั่นแหละ ..นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ ๒ เพศนี่เป็นพลังดึงดูดซึ่งกันและกัน ต้องใช้ความเพียรสติปัญญาอย่างมาก
GM : ความรักเป็นทางหนึ่งที่สามารถเข้าถึงธรรมได้ใช่ไหม
พจนา : โดยตรงเลย ศาสนามี ๒ ทาง คือใช้ความรักเป็นทาง เช่น ศาสนาคริสต์
GM : โดยวิธีการของคุณคือเขียนงานออกมาแบ่งปันให้ผู้คน คำถามคือเมื่อสังคมเปลี่ยนไป คุณปรับเปลี่ยนวิธิการนำเสนอเพื่อให้งานนั้นๆ เข้าถึงผู้คนได้มากที่สุดหรือเปล่า
พจนา : ผมแบ่งปันเท่าที่ตัวเองมีใจแต่ละช่วง ถามว่าผมปรับตามสังคมที่เปลี่ยนไปไหม ผมปรับตามตัวเอง แชร์ในสิ่งที่ตัวเองมี ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ ผมว่าคนเราควรแบ่งปันทุกอย่างที่มีอยู่ ยิ่งพวกความรู้ ความเข้าใจ ถ้าเราเก็บมันจะกลายเป็นความตีบตัน การแบ่งจะเกิดกระแสการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ดีมาก ยิ่งแบ่งปันเรายิ่งได้มากขึ้น แม้กระทั้งข้าวของเงินทอง มีก็ใช้ไป ถ้าเหลือก็ควรแบ่งปัน
GM : ยุคสมัยและสังคมเปลี่ยนไป วิธีการหาเงินของคุณเปลี่ยนไปไหม หรือยังเขียนและแปลหนังสือที่อยากจะทำอยู่เหมือนเดิม
พจนา : ใช่ เหมือนเดิม ไม่เคยมีวิธีหาเงินแบบอื่น ก็ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ โชคดีผมมีบ้าน อยู่กับพ่อแม่ บ้านไม่ต้องเช่า ตัดไปเรื่องหนึ่ง รายจ่านหลักๆ ก็มีแค่เวลาออกไปข้างนอก ก็พออยู่ไป
GM: แต่ละเดือน คุณใช้จ่ายเท่าไหร่
พจนา : น่าจะต้องประมาณ ๖,๐๐๐ บาท คือวันละ ๒๐๐ บาท ถึงอยู่ได้ แต่โดยความจริงแล้วก็หาไม่ได้ บางเดือนผมไม่มีรายได้เลย เพราะหนังสือมันนานๆออกที ไม่ได้ออกทุกเดือน ถ้าออกมาก็ได้เป็นก้อนเล็กๆ เฉลี่ยใช้ไป คนทำหนังสือเล่มก็แบบนี้ ผมทำมาทั้งงานเขียน แปล ประมาณ ๘๐ เล่ม ก็ยังอยู่ไม่ค่อยได้ เคยบอกรุ่นน้องบางคนเหมือนกันว่า ถ้าจะเขียนหนังสือก็อาจต้องเจอสภาพแบบนี้ ให้ทำใจและเข้าใจ เพราะไม่งั้นก็ไปหาอย่างอื่นทำ เว้นแต่พวกบอร์น ทู บี ไม่เขียนหนังสือแล้วมันจะเป็นจะตาย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็ต้องยอมรับสภาพนี้ให้ได้
GM : ถ้าคิดว่าเราก็ทำงานด้วยจิตบริสุทธิ์ มีความรู้ ความคิดอะไรก็แบ่งให้ผู้คน แต่ผลตอบแทนหรือรางวัลของมันแค่นี้หรือ
พจนา : ก็อย่าไปคิดแบบนั้นสิ คิดว่ามีอะไรทำฆ่าเวลาก็พอ อย่าคิดว่าทำอันนี้แล้วต้องได้อันนั้น หรือคิดเป็นค่าตอบแทน รักจะทำก็ทำไปให้เต็มที่ ผลตอบแทนแค่ไหนนั้นก็เป็นอีกเรื่อง หรือไม่มีเลยก็อีกเรื่อง อย่าคิดถึงมัน
GM : มันจะง่ายอย่างนั้นเลยหรือ แค่บอกตัวเองว่าอย่าคิด คือเปรียบเทียบแล้วมันก็เหมือนเรื่องความทุกข์ สมมุติว่าทุกข์มากก็บอกตัวเองว่าอย่าทุกข์ ทุกคนพูดได้ แต่ความจริงมันจะเป็นไปได้ยังไง
พจนา : แต่มันจะมีวิธีไหนล่ะ นอกจากไม่คิด ผมไม่คิดจริงๆ อาจจะชินด้วย ทำอะไรก็ทำไปเพียวไปเลย มีผลตอบแทนหรือไม่ ช่างมัน ถ้ามันเพียว โอเค ผลตอบแทนอาจจะไม่ใช่ตัวเงินก็ได้ ผมคิดว่าบางทีสิ่งที่เราทำ รางวัลของมันอาจเป็นนามธรรมกับคนอื่น หรือกับอะไรก็ไม่รู้ อาจเป็นแค่พลังงานหรือคลื่นดีๆ ที่เปล่งออกไปโดยไม่มีผลตอบแทนเลยก็ได้ เป็นแค่บรรยากาศ ดูแสงแดดซิ พระอาทิตย์ไม่ได้ค่าจ้าง ทั้งที่ทำงานทุกวัน เราเป็นไม่ได้เท่าเขา
... ..ฉะนั้น อย่าคิด พยายามดูสิ่งอื่น ลมพัดให้เราเย็นสบาย ลมก็ไม่ได้ค่าจ้าง ผมว่าถ้าเราทำอะไรแล้วได้เงินนิดหน่อยก็น่าจะดีใจแล้ว เพราะโลกให้เรามากพอแล้วจริงๆ เรารับจากโลกเยอะแล้ว ที่เราเอื้อเฟื้อไปบ้างมันเล็กน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราได้ เรายังเป็นหนี้แบงค์ธรรมชาติอยู่เยอะมาก และแบงค์ก็ไม่เคยมาเร่งรัด ไม่ทวงคืนด้วย บางคนเกิดมาทั้งชีวิตแม่งทำแต่ความชั่ว เขายังไม่มาทวงเลย ตายไปก็จบเท่านั้น ธรรมชาติไม่เคยทวง เขายิ่งใหญ่ขนาดไหน ฉะนั้น ถ้าเราเรียนรู้จากธรรมชาติ เราจะเห็น
..... ผมว่าทำอะไรก็ช่าง สำคัญที่สุดคือขอให้ทำด้วยความรักเมื่อเราได้ทำ ผลตอบแทนอยู่ในสิ่งนั้นแล้ว โดยเฉพาะความปิติของงาน นั่นคือผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นอกนั้นไม่มีอะไร อย่าหวัง เพราะมันจบแค่ตัวการกระทำของเรา ส่วนการส่งต่อไปให้กระบวนการอื่น แล้วใครจะเห็นคุณค่าหรือไม่ เป็นเรื่องของทางโลกแล้วล่ะ
..... การทำงานของผมเป็นเหมือนบทกวีเล็กๆ เห็นความงอกงามของมัน เราก็เขียนการตีพิมพ์เป็นเรื่องทีหลังมาก ณ ตรงนี้งดงามมาก งามจนกระทั่งเราไม่สามารถถอดใจที่จะเก็บรูปนี้ไว้ได้ จบ นี่คือความรัก เป็นสิ่งเล็กๆของเรา ผมเขียนบทกวีเป็นแค่บันทึกเล็กๆ ไว้ โอเค ถ้าเราจะแบ่งปันคนอื่นด้วยก็ดี หรือไม่แบ่งปันก็ไม่เป็นไร แบ่งได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่เงื่อนไข ถ้ามีเงื่อนไขแบ่งได้ แบ่ง
GM : แม้ว่ายุคหนึ่งจะขายดี และยุคหลังๆ ขายได้น้อยมาก มันก็ไม่มีผลต่อคุณเลย ยังงั้นหรือ
พจนา : ใช่ ผมว่าดีด้วยที่ขายไม่ได้เพราะให้เห็นว่าคนที่อ่าน เขาซื้อจริงๆ ไม่ได้ซื้อเพราะกระแส มีคนคนหนึ่งที่อ่านอย่างจริงๆ กับการที่คนอ่านเยอะแยะเพราะกระแส ผมเลือกคนหนึ่งที่อ่านจริงๆ ดีกว่า มันมีความหมายกว่า ผมคิดว่าจำนวนไม่ได้ไม่ได้พิสูจน์อะไร ปริมาณไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งทีสำคัญที่สุดคนเราต้องชัดเจนในตัวเอง ถ้าไม่ชัดเจนจะไหวง่าย ถ้าชัดแล้วไม่มีอะไร จะเข้าใจว่ามันเป็นไปยังไง ขึ้นสูงหรือลงต่ำ ไม่มีความหมายอะไร บอกตรงๆผมเคยรุ่งเรืองถึงที่สุดมาแล้ว รู้แล้วว่าความรุ่งเรืองไม่มีอะไร ไม่มีแก่นสาร ไร้สาระทั้งหมด โกหก เมื่อเราตก เราจึงไม่รู้สึกอะไร เรื่องขึ้น ตก เป็นเรื่องทางโลกหมด หัวเราะกับมันได้ คนเราไม่ได้อยู่เพื่อเรื่องขึ้นหรือตก หากอยู่เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ สิ่งที่เราต้องการจะทำ เพื่อสิ่งที่เรารัก
..... ไม่มีอะไรจริง ชื่อเสียงก็แค่มายาภาพเท่านั้น ทำไมเราต้องให้คนอื่นมายอมรับ หรือมาคอนเฟิร์มว่าเราเป็นคนแบบไหน ทำไมเราไม่ค้นหาตัวเอง และรู้ให้ได้ว่าคุณค่าของเราอยู่ที่ไหน ทำไมต้องรอให้คนอื่นมาให้คุณค่า ถ้าวันหนึ่งคนอื่นเลิกให้คุณค่ากับเรา มันหมดความมั่นใจในตัวเองงั้นหรือ ผมว่าค่อนข้างเป็นคำตอบที่ง่ายเกินไป
GM : แต่ใครๆ ต่างก็วิ่งไปสู่การมีชื่อเสียงและสะสมทรัพย์สินเงินทอง เพื่อความสุขสบาย เพื่อเกียรติยศในวันหน้าด้วยกันทั้งนั้น
พจนา : แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นสิ่งชั่วคราว เดี๋ยวก็ตาย คิดแบบนี้จะสบายไม่ต้องการอะไรมาก
GM : ระยะนี้คุณเดินทางบ้างหรือเปล่า
พจนา : น้อยมาก เพราะไม่มีตังค์ แต่หลังๆ ผมว่าการเดินทางข้างในสำคัญกว่าข้างนอก พักนี้มันเป็นเรื่องการเดินทางข้างในมากกว่า ข้างนอกเป็นแค่ที่ สถานที่เอื้อให้เราคิด
GM : คุณเคยเขียนว่าในชีวิตคนเรามีสิ่งที่เป็นอัปมงคลอยู่ ๓ สิ่งคือความมั่งมี ความมั่นคง และความสุขสบายจนเกินการ ณ วันนี้ยังรู้สึกอย่างนี้อยู่ไหม
พจนา : อัปมงคงแน่ๆ ถ้ามันทำให้เราเป็นเนื้อเยื่อยุ่ยๆ เป็น soft tissue เพราะจะทำให้เราไม่แกร่ง ไม่โต จิ้มแล้วยุบ แต่ ๓ สิ่งนี้ก็สามารถเป็นมงคลได้ ถ้าใช้มันเป็นปัญหาคืออยู่ที่เราใช้ยังไงมากกว่า สมมุติว่าถ้าเรามีเงินมากและใช้เป็น เราก็สามารถเกื้อกูลคนอื่นได้ ช่วงสังคมได้ ความร่ำรวยไม่ใช่สิ่งผิด แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ใช้เพื่อบำเรอตัวเอง ก็เป็นแค่เสพ ไม่มีอะไร ผมคิดว่าทุกอย่างเป็นมงคลและอัปมงคลในตัวมันเอง ทุกๆเรื่อง เขียนหนังสือก็เช่นกัน ถ้าใช้ไม่เป็นก็เป็นอัปมงคล เขียนเหยียบย่ำคนอื่น เห็นแก่ตัว ทุกอย่างเป็นดาบสองคม ธรรมะก็เป็นดาบสองคม บางคนค้นหาทางธรรมและทำประหนึ่งว่าเข้าใจ แต่จริงๆ ไม่เข้าใจและพลาดตกหลุมพลาง ยึดติดใจศีลธรรมสำเร็จรูป คิดว่าตัวเองประเสริฐว่าคนอื่น
GM : คนจำนวนมากมักบ่นว่าจิตใจแห้งแล้ง เพราะทำแต่งานหาเงินกันตัวเป็นเกลียว เมื่อเจอเพลงดีๆ หนังสือดีๆ ก็รีบถลาเข้ามา มันคล้ายๆ เป็นการต่อเติมความฝันที่หายไป ที่จริงวิธีนี้ช่วยได้มากแค่ไหน
พจนา : การเติมเป็นแค่ขนมหวาน ไม่ช่วยอะไรมากนัก เหมือนยากล่อมประสาทที่ช่วยให้คลายเคลียดชั่วคราว ของจริงต้องเจอหนัก ชัด หลุดทะลุในตัวเอง แล้วพลิกกลับ ต้องชัดเจนว่าต้องการมากกว่าขนมหวาน เพื่อนผมหลายคนทำโฆษณา บ่นกันเสมอว่าข้างในแห้งมาก เหมือนตายซาก ก็ลำบาก ผมรู้สึกว่าไอ้สิ่งที่เสพไป หนังสือหรือหนังดีๆ ก็พอช่วยได้แต่มันน้อยมาก
..... คนมักง่ายด้วย ต้องการแม้กระทั่งความสุขสำเร็จรูป คิดว่ามีเงินซื้อได้จริงๆ ราคาที่จ่ายบางทีไม่ใช่เงิน คุณต้องจ่ายไป แต่จ่ายอะไร ความทุ่มเท ความเพียร ความจริงใจ ต้องจ่ายไป ไม่มีอะไรได้ฟรี บางคนไม่พร้อมจะจ่ายก็เลยซื้อเอาอย่างกรณีธรรมกาย คนต้องการธรรมะแบบ instant ทางวัดก็เลยขายดี หรือช่วงหนึ่งก็มีข่าวการใช้เงินเปิดจักร จักรหนึ่งเสียเท่านี้
..... จักรชั้นสูงต้องเสียแพง เป็นการแหกตาที่สยดสยองมาก คนสมัยก่อนทำสมาธิ ๒๐ ปี กว่าจะเปิดจักรได้ ไอ้นี่ใช้เงินซื้อ นี่คือภาพสะท้อนสังคมยุคใหม่ คิดว่ามีเงินก็ซื้อได้หมด คนไม่เข้าในว่าเรื่องธรรมะคุณต้องจ่ายเป็นชีวิตของคุณเอง ในอนาคต ธรรมะในรูปธุรกิจจะเยอะขึ้น เพราะคนมันขาด จะมีกลยุทธ์แปลกๆมาแหกตาชาวบ้าน
... .. ..มีเสียงเพลงดังขึ้นมา ได้ยินแต่เสียงกลองกระฉึกกระฉัก ฟังไม่ได้ศัพท์
..... " นี่ไง เสียงที่หยาบกระด้าง เพลงแบบนี้ทำให้คนหยาบ " พจนาชี้ให้เห็น
......" ไม่ใช่เพลง มันเป็นเครื่องมือทำลายล้าง มีแต่ฉุดคนลงนรก เพลงในเธคมักเป็นแบบนี้ คนไม่ค่อยรู้ว่า เสียงกลองกับจังหวะการเต้นของหัวใจนั้นเป็นจังหวะเดียวกัน และกลองสามารถเปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจได้ ฉะนั้น จึงเปลี่ยนอารมณ์คนได้ ขณะที่เพลงดีๆนั้นก็เป็นถึง spiritual มีความละเอียดลึกซึ้ง
....... ผมถามทรรศนะเขาต่อถึงเรื่องหนังและเพลงในยุคนี้พจนาตอบว่ามันก็เป็นอิทธิพลตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ ไอ้ที่ดีๆ ก็มี ไม่ดีก็แยะ เท่าที่เห็น เนื้อหาของหนังจำกัดอยู่กับเซ็กซ์และความรุนแรง หนีเรื่องนี้ไม่ค่อยพ้น
GM : บางคนบอกว่ากิเลสเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะวันหนุ่มสาว สมมุติว่าอยากเป็นช่างภาพที่ดีก็มุ่งไป อย่าปลงกับทุกอย่าง คุณเห็นด้วยหรือเปล่า
พจนา : บางทีอาจใช้คำผิด ผมไม่อยากใช้คำว่ากิเลส ผมคิดว่าคนเรามีความใฝ่ฝันอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นมันไม่ใช่เนกาทีฟ หรือทำลายล้าง ผมว่าดีควรให้เขาทำไป เพราะว่าวิถีนั้นจะทำให้เข้าใจด้วยตัวเองด้วย มันนำไปสู่การเข้าใจอะไรบางอย่างที่ลึก คนที่มีความใฝ่ฝันก็เหมือนคนเราเกิดมาเป็นหน่ออ่อนใช่ไหม และจากหน่ออ่อน เราอยากโต อยากเป็นไม้ใหญ่สูงขึ้นไป หายใจข้างบน รับแดด นี่เป็นความใฝ่ฝันที่ดีงาม แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่จงให้และเอื้อเฟื้อกัน ต่อไปจะเป็นไม้ใหญ่ที่งดงาม
GM : คุณว่าอัตตามีข้อดีบ้างไหม อย่างมีอัตตาในเรื่องาน
พจนา : คนเราต้องมีไฟ อุทิศงานนั้นให้ไร้ตัวตน สิ่งนี้จะทำให้เราลึกซึ้ง ไฟสร้างสรรค์ต้องมี ศิลปินจำนวนมากเข้าใจผิดเพราะเราเลียนแบบตะวันตก ลองสังเกตดู งานในโลกตะวันออกมักจะเป็นงานนิรนาม ไม่มีลายเซ็นผู้สร้าง เพราะเขาอุทิศให้ความไร้ตัวตนและธรรมะ ธรรมะมีตัวตนไม่ได้ เป็นแค่เครื่องมือ ผลงานไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เป็นจอมพลัง ศิลปะเป็นภาวะธรรม การสร้างสรรค์ระดับลึก ถ้าไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ นี่เป็นเรื่องอนัตตาโดยตรง วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ยิงหัวตัวเองเพราะอะไร ก็เพราะเจอพลังมหาศาล บ้า รุนแรงมาก เขาจีเนียสมาก แต่ไม่สามารถคอนโทรลพลังสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่นั้นได้ ศิลปินตะวันตกหลายคนบ้าเพราะเขาเข้าถึง energy ที่ยิ่งใหญ่ แหล่งกำเนิดพลังเจอแล้วหลุด ดิลไม่ได้
..... เรื่องธรรมะหรือสัจจะมีพลังมาก แรง ฉะนั้น การฝึกแต่ละขั้นตอนเป็นการฝึก energy เพื่อให้รับความจริงในแต่ละระดับได้โดยไม่เสียสติ ถ้าข้ามขั้นไม่มีเบสิก พื้นฐานรองรับ เจอธรรมะขั้นสูงมากอาจช๊อกหรือบ้าได้ โดยเฉพาะการเข้าถึงอริยสัจ ถ้าไม่มีพื้นฐานพอ มีสิทธิ์ไหม้เป็นจุล แรงมากเป็น energy จักรวาล ขณะที่ energy ของเล็กมาก คนนึกว่าสัจจะเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่ใช่ แรงมาก อาจเทียบเท่าไฟเป็นแสนโวลด์
GM : คุณเชื่อเรื่องภพหน้าหรือเปล่า
พจนา : อย่าคิดเรื่องพวกนี้ ไม่มีประโยชน์ การเข้าถึงธรรมไม่มีผล เหมือนอย่างวันหนึ่งสามารถระลึกชาติได้ เห็นขึ้นมา อำนาจนั้นมีอยู่จริงนะเป็นหลุมพรางด้วย หลายคนติด พอเห็นมากกว่าคนอื่นติด หยุด ไม่ไปต่อ อำนาจพวกนี้อันตราย เหมือนเล่นกับไฟ พลังอำนาจของเรามีร้อยแต่ทุกวันนี้ยังใช้ไม่ถึง ๑% ต่อให้เป็นนักวิชาการแหลมคมแค่ไหนก็ช่าง ยังใช้ศักยภาพในตัวน้อยมาก ใช้แค่หากิน หาเงิน แค่นั้น จริงๆ ความรู้ของจิตยิ่งใหญ่ เพราะเป็นธาตุของจักรวาล
GM : คุณมักพูดอยู่เสมอว่าเสมอว่าค้นหาสัจจะ หรือกำลังเดินเส้นทางของการแสวงหา ถ้าเปรียบเทียบในทางพุทธแล้ว คุณหมายถึงการมุ่งสู่หนทางแห่งการบรรลุธรรม หรือมีจุดมุ่งหมายนิพพานอย่างนั้นหรือเปล่า
พจนา : ทุกคนอยากค้นพบ อย่างแสวงหาเพื่อบรรลุธรรม แต่จะพบไหม ก็เป็นอีกเรื่อง เป็นใฝ่ฝันอันเดียวกันไหม ตอบตอนนี้ ผมคงพูดแค่ว่าไม่รู้ ถึงแล้วคงรู้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าทำให้เป็นเรื่องสูงส่ง พยายามทำให้เป็นเรื่องธรรมดาดีกว่า พูดเป็นเรื่องสูงส่งมากจะไม่มีใครกล้าเดิน จริงๆธรรมดามาก หลักการทางพุทธก็คือกินดื่มอย่างมีสติ ทำงานด้วยสติ เพราะขณะที่เดือนอยู่ในโลกก็เป็นเรื่องทางธรรมด้วย พลิกอีกนิดหนึ่งเป็นเรื่องทางธรรม
........ทุกวันนี้มันแยกให้เป็นเรื่องสูงส่งกับต่ำต้อย จริงๆเราเดินอยู่แล้วมีสติอีกนิดอาจเข้าใจมากขึ้น คนทุกวันนี้กระด้างเยอะ แต่แก้ไม่ยาก แค่ใส่ใจอีกนิดก็ละเอียดอ่อนมากขึ้น ก็เท่านั้น 