ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
14-03-2025, 20:13
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ==ความจริงคือ...การปลดหนี้ IMF เป็นผลงานคุณทักษิณ: จริงแท้แน่นอน OKติดแก๊ส== 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 2 3 [4]
==ความจริงคือ...การปลดหนี้ IMF เป็นผลงานคุณทักษิณ: จริงแท้แน่นอน OKติดแก๊ส==  (อ่าน 26845 ครั้ง)
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #150 เมื่อ: 24-09-2007, 09:48 »

 

มันจะเอาอะไรกะเราวะเนี่ย บอกแล้วไม่ชอบจินตนาการน้ำแตก
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #151 เมื่อ: 24-09-2007, 09:50 »

ฮ่า ๆ ๆ แถ ไม่ไป ก็บอกแล้ว จะคุยเรื่องจริง ไม่ ใช่ จินตนาการไง......5555
บันทึกการเข้า
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #152 เมื่อ: 24-09-2007, 09:52 »

เอาอีกและมะเคยเปลี่ยน
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #153 เมื่อ: 24-09-2007, 10:05 »

เศรษฐกิจไทยวันนี้ไม่ดิ่งเหว ผลบวกยาแรงยุค "ธารินทร์"
วัชรา จรูญสันติกุล  กรุงเทพธุรกิจ  วันจันทร์ที่ 02 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีคลังในยุคแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินไทยปี 2540 ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง จากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ และนักธุรกิจไทยตลอดเวลาที่รับตำแหน่งสามปี ว่า "ล้มเหลว" ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจขณะนั้น เพราะเดินหลงทางตามก้นไอเอ็มเอฟจนให้ "ยาแรง" เกินขนาด ซึ่งถือว่าเป็นการให้ยาผิด ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อีกทั้งทำให้ขาดความเป็น "อิสระ" ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นของประเทศไทยเอง ท่ามกลางภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น

วันเวลาได้ผ่านมาสิบปี แต่บนเวทีวิพากษ์ยังคงพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินการคลัง ในยุคของธารินทร์ทั้งแง่มุมบวกมุมลบ

หลังจากเหตุการณ์เงินบาทถูกโจมตีเป็นระลอกใหญ่จากภายนอกประเทศ ในช่วงวันวาเลนไทน์ 14-15 กุมภาพันธ์ 2540 ห่างจากระลอกแรกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2539 ราวคลื่นมรสุมสงบนิ่ง แต่เมฆฝนก็ตั้งเค้าอีกนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม

โดยในเช้าวันหนึ่ง นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในขณะนั้น หอบแฟ้มเอกสาร เพื่อรายงานรัฐมนตรีคลัง ดร.อำนวย วีรวรรณ เกี่ยวกับความอ่อนแอของสถาบันการเงิน 18 แห่ง กับอีก 3 ธนาคารพาณิชย์ จำเป็นที่ทางการเองงัดเอาแผนควบกิจการมาใช้กัน โดยให้รัฐเข้าถือหุ้นใหญ่คล้ายกับจะจัดตั้งเป็นธนาคารกรุงไทยแห่งที่สอง

ในที่สุดมีคำสั่งปิดแค่ 16 สถาบันการเงิน ในเดือนมีนาคม 2540 นั้นเอง โดยมีรัฐค้ำประกันเงินฝาก แต่เมื่อไม่ปรากฏชื่อของสองบริษัทเงินทุนใหญ่ เช่น เอกธนกิจของนายปิ่น จักกะพาก และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ ทั้งที่เป็นความข้องใจของนักลงทุนในตลาด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เส้นแบ่งความเชื่อมั่นได้ขาดสะบั้นลง เกิดปรากฏการณ์ข่าวลือเป็นระลอกหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยการถอนเงินจากสถาบันการเงินใหญ่ๆ จนขาดสภาพคล่อง และลุกลามสู่การแห่ถอนเงินครั้งใหญ่ ในระบบสถาบันการเงิน จนกระทั่งคลอนแคลน และนำไปสู่การต้องปิดสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก 42 แห่ง รวมเป็น 58 แห่ง ในเดือนสิงหาคมต่อมา ตามข้อเสนอของไอเอ็มเอฟ เพื่อตัดทิ้งเนื้อร้ายและเพื่อหยุดการแห่ถอนเงิน Deposit Run ในระบบสถาบันการเงินไทย

โดยที่รัฐบาลไทยต้องรับประกันเงินฝาก และกองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินให้ความคุ้มครอง กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างชาติทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์

ในเวลานั้น อาณาจักรของ "เอกธนกิจ" ขยายตัวใหญ่จนเกือบจะก้าวกระโดดขึ้นเป็น "Mega Finance Company" กลับต้องล่มสลายลงไป กับสินทรัพย์ที่เสียหายกว่าแสนล้านบาท รวมทั้งความล้มเหลวของแผนการควบกิจการ กับธนาคารไทยทนุ ต่อมาได้ส่งผลเป็นโดมิโน ให้การหาผู้ร่วมทุนจากธนาคารต่างชาติของธนาคารไทยอีก 4 แห่ง ถึงกับล้มเหลวตามไปด้วย

เกือบจะเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยตกอยู่ในสภาพนักวิ่งผลัดที่ส่งไม้ต่อจากวิกฤติสถาบันการเงินในระลอกแรกนั้น มาถึงการโจมตีค่าเงินบาทจากเฮดจ์ฟันด์ ที่เป็นกองทุนเก็งกำไรภายนอกประเทศได้เกิดขึ้นระลอกใหม่เป็นครั้งที่สาม ซึ่งนับเป็นระลอกที่ใหญ่ที่สุดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทย เฮดจ์ฟันด์มีอำนาจเงินนับหลายแสนล้านดอลลาร์ ทุ่มโจมตีเงินบาทสุดตัวเพื่อเอาชนะ ธปท.ในขณะนั้น จนทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่สะสมมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ได้ไหลทะลักออกจาก ธปท.วันละหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่อง นับจากวันที่ 12-16 พฤษภาคม โดยหนักหน่วงที่สุดในช่วงวันที่ 13-14 พฤษภาคม ทุนสำรองเงินตราได้ไหลออกจำนวนมหาศาลไม่ต่ำกว่าวันละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จนกระทั่งทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีอยู่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2539 ลดลงแทบไม่เหลือหลอ ทำให้วิกฤตการณ์เงินบาทที่ถูกซ่อนเร้นไว้ กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ถล่มภาวะเศรษฐกิจไทย และฐานะการเงินของประเทศจนซวนเซแทบล้มทั้งยืน ประกอบกับคนไทยเริ่มขาดความเชื่อมั่นในประเทศกันเอง มีการนำเงินออกนอกประเทศในเดือนมิถุนายน จนทุนสำรองเกือบกลายเป็นเลขศูนย์

ในที่สุด ธปท.ก็หมดทางเลือกต้องลดค่าเงินบาท และประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน จากการบริหารในระบบตะกร้าเงิน มาเป็นระบบลอยตัวแบบจัดการเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ทำให้เงินบาท มีค่าลดฮวบฮาบลงจากอัตรา 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 27-28 บาท และไถลลงหนักที่สุดในปลายเดือนมกราคม 2541 ที่ 56 บาท

ย้อนเวลากลับไปในวันที่ 21 สิงหาคม 2540 ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินไทย ก่อนที่จะลุกลามไปสู่วิกฤติระดับภูมิภาคในเอเชีย ประเทศไทยต้องเข้าโปรแกรมการขอรับความช่วยเหลือทางการเงิน จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดยได้รับเงินกู้เป็นจำนวน 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นเงิน Stand By Credit ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจะสามารถชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ต่างชาติที่รุมขอคืนเงินกู้จากภาคธุรกิจของไทย ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องยืนยันพันธกรณี (Letter Of Intent) ถึง 7 ฉบับ ที่ทำให้รัฐบาลไทย ต้องปฏิบัติตามในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบรัดเข็มขัดอย่างรุนแรง รักษาวินัยการคลังเคร่งครัด โดยเข้มงวดการใช้เงินงบประมาณของภาครัฐทุกบาททุกสตางค์ และดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มข้น กำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อบีบรัดการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจเกิดเสถียรภาพ และเรียกความเชื่อมั่นกลับมา

เดือนพฤศจิกายนในปีนั้น รัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศลาออก รัฐบาลใหม่โดยการนำของนายชวน หลีกภัย ในสมัยที่สอง เข้ารับงานบริหารประเทศ โดยมีนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีคลัง ร่วมกอบกู้วิกฤติ ซึ่งเขาได้กล่าวล่าสุดว่า เศรษฐกิจไทยขณะนั้นถูกบีบรัดอย่างรุนแรง แต่ต่อมาไอเอ็มเอฟยอมรับว่า ใช้โปรแกรมที่ไม่ตรงกับประเทศไทย จึงยอมผ่อนคลายนโยบายการคลังลงภายหลัง จากรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ ได้พยายามต่อรองในเรื่องการกำหนดแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ผ่อนปรนมากขึ้น เพราะฐานะการคลังของไทยไม่ได้มีปัญหาใดๆ โดยที่ตัว "G" คือ Government Spending เป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่มีเงินพอที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติเท่านั้น แต่ ไอเอ็มเอฟยืนยันที่จะไม่ผ่อนคลายนโยบายการเงินหากมีผลกระทบต่อการตกรูดของเงินบาท และการพุ่งกระฉูดของเงินเฟ้อ ซึ่งในตอนนั้นเป็นปัญหาจากทางด้านต้นทุนสูง โดยที่ปัญหาเงินเฟ้อจากความต้องการในประเทศได้ตายไปหมดแล้ว จากผลพวงของภาวะวิกฤติ

ธารินทร์ เล่าให้ฟังว่า ปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นกับระบบสถาบันการเงินไทย ยังไม่ได้จบลงไปพร้อมกับการสั่งปิด 58 สถาบันการเงิน (ต่อมาเหลือ 56 ไฟแนนซ์ โดยคืนใบอนุญาตให้กับเกียรตินาคิน และบางกอกอินเวสต์เมนท์) โดยไอเอ็มเอฟดึงธนาคารโลก เข้ามาช่วยฟื้นฟูสินทรัพย์ที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิด เพราะเห็นว่าจะต้องใช้ผู้ชำนาญการ มาดำเนินการอย่างรวดเร็ว หากปล่อยไว้นานก็จะกลายเป็นหนี้เสียมากเพิ่มขึ้น โดยจะจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งไม่ให้กระทรวงการคลังและ ธปท.เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กรนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่โปร่งใส หรือมีการเตะถ่วงการทำงาน ถึงแม้ว่าทั้งสองหน่วยงานจะเป็นเจ้าของก็ตาม

องค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. ถูกจัดตั้งขึ้นมาให้มีหน้าที่ทำการฟื้นฟูสถาบันการเงิน ไม่ใช่ฟื้นฟูสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน

ในเดือนพฤศจิกายน 2540 ธารินทร์ขอให้สมาคมธนาคารไทย ละธนาคารออมสินเข้ามาช่วยกันฟื้นฟูสถาบันการเงิน มีบรรษัทเงินทุนสากล หรือ ไอเอฟซี (International Finance Corporation) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือของธนาคารโลก และเคยเป็นเจ้าหนี้ใหญ่ของกลุ่มเอกธนกิจ เสนอแผนฟื้นฟูพร้อมใส่เงินเข้ามา โดยร่วมมือกับธนาคารดอยช์แบงก์ของเยอรมนี "แต่ไอเอฟซีมักจะบ่นว่า ไม่ได้รับความสะดวกจาก ปรส." ซึ่งในเวลานั้น กองทุนฟื้นฟูประกาศให้เอกธนกิจ ควบกิจการกับธนาคารไทยทนุโดยใช้เงินราว 8 พันล้านบาท

"ผมบอกให้ไอเอฟซีวิ่งไปหา ปรส.เพื่อเสนอแผนฟื้นฟูเอกธนกิจ แต่ ปรส.กลับบอกว่าปิดเวลารับการพิจารณา ทั้งที่ยังมีเวลาเหลืออีกสองวัน" ธารินทร์กล่าวในที่สุด ทางการก็สั่งปิดเอกธนกิจเป็นการถาวรในวันที่ 8 ธันวาคม 2540

ปรส.ได้ตกปากรับคำกับ "5 เสือ" ซึ่งบริษัทผู้สอบบัญชีระดับโลก อาทิเช่น อาเธอร์แอนเดอร์สัน เอิร์นสแอนด์ยัง คูเปอร์ส & ไลแบรนด์ ดีลอยด์ & โทมัสซึ และเคพีเอ็มจี ว่าจะให้เข้ามาร่วมทำงาน แต่ทั้ง "5 เสือ" ได้เสนอแผนร่วมงานกันมาเป็น joint package โดยต้องการค่าตอบแทน 1.6 พันล้านบาทในการเข้ามาบริหารสินทรัพย์ นอกจากเงินค่าบริหารที่แพงมากแล้ว "เขายังเสนอสิ่งที่ผมรับไม่ได้ คือ ถ้าทำงานไปแล้ว เกิดภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นในอนาคต (Future Liabilities) รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบ เมื่อขอให้ตัดเงื่อนไขนี้ออก เขาบอกว่าไม่ได้ ผมก็เลยให้เลิก" แต่ต่อมา ได้มีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญในการบริหารสินทรัพย์จากสถาบันการเงินเข้ามาดูแลแทน โดยมีการว่าจ้างด้วยผลตอบแทน 200 ล้านบาท

ธารินทร์กล่าวว่า นี่เป็นวิกฤติสถาบันการเงินไทยในภาคพิสดาร มีปัญหาหนี้สินที่อาจเสียหายสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท เป็นหนี้สินรวมทั้งภาระดอกเบี้ยในอนาคตที่นำไปฝากไว้กับธนาคารกรุงไทย และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ รวม 1 ล้านล้านบาท ถึงแม้ว่าต่อมาจะมีการดำเนินคดีทางศาล โดยชนะคดีก็ตาม แต่ได้เงินคืนมาเพียงกว่าพันล้านบาท ส่วนหนี้สินที่โผล่มาอยู่กับ ปรส.ยังมีอีก 6 แสนล้านบาทนั้น ซึ่งหนี้ทั้งหมดมีตัวเลขโผล่มาทาง ธปท.ว่า เป็นหนี้เอ็นพีแอลที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ถึง 46.7% ของสินเชื่อทั้งระบบ

การหารือกอบกู้วิกฤติการเงินไทยในปี 2540 ที่ฝรั่งเรียกว่า "หมิ่นเหม่ต่อการเจ๊ง แต่ผมได้คุยกับชัยวัฒน์ (ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธปท.ต่อจากนายเริงชัย) ว่า กองทุนฟื้นฟูพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงเป็นรายแบงก์ ซึ่งตอนนั้นเกิดปัญหากับอีก 5 แบงก์"

"เราตั้งแบงก์รัตนสิน เพื่อให้เป็น Bridge Bank ช่วยให้สภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้นกับแบงก์ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งไอเอ็มเอฟก็เห็นด้วย โดยให้ถ่ายโอนสินทรัพย์ที่ไม่ต้องมีการประมูล จากนั้นก็ให้ประเมินหนี้ของกองทุนฟื้นฟูใน ปรส.ว่ามีเท่าไร ปรากฏว่า มีหนี้เป็นเอ็นพีแอล 99%" ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงรับภาระความเสียหายออกพันธบัตรรัฐบาล 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นภาระภาษีของประชาชนในอนาคต

ธารินทร์ ยอมรับว่า แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจที่แท้จริงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง แล้วยังมาเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาค จากไทยสู่เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง ซึ่งอยู่ๆ ก็มาถึงรัสเซีย ตุรกี รวมถึงอาร์เจนตินาในรอบที่สอง "ปัญหาไทยแก้ยาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นอินโดนีเชีย โดยไอเอ็มเอฟให้ตัดเงินอุดหนุนในการซื้อน้ำมัน และอาหารของประชาชน ซึ่งถ้าเราไม่มีภาคเกษตรช่วยไว้ อาจแย่กว่านี้ก็ได้"

"นับแต่วันแรก ผมเห็นปัญหาขาดสถาพคล่องทางการเงิน ท่อน้ำเลี้ยงที่จะไปภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ถูกปิดหมด แต่ทำอะไรไม่ได้ และที่แย่ก็คือ ธนาคารไทยถูกตัดเครดิตไลน์จากธนาคารต่างชาติหมด จน ธปท.ต้องเข้ามาประกันให้ แต่ทำได้แค่วงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ เท่านั้น ที่ยอมรับไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่เพียงแบงก์เล็กแบงก์กลาง แม้แต่แบงก์ใหญ่ก็เปิดแอลซีไม่ได้ ทำให้ต้องออกแผนแม่บทแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินไทย 14 สิงหาคม 2541 และต้องปรับโครงสร้างให้ได้ ก็เพราะฐานะตอนนั้นความเสี่ยงของไทย ตกไปอยู่ที่อันดับสามจากท้ายตารางของ 160 ประเทศ"

ตั้งแต่ ธารินทร์ เข้ากุมบังเหียนเศรษฐกิจไทย มีการติดลบไปถึง 12% โดยในปีแรก 2540 ติดลบ 1.8% และปีที่สอง 2541 ติดลบอีก 10.8% แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจก็ค่อยกระเตื้องขึ้น จนรัฐบาลทักษิณเข้ามารับผลบวกมีอัตราเติบโตถึง 4.5% ต่อปี "ช่วงวิกฤติ คนจนช่วยคนรวย จากนี้ไปเศรษฐกิจต้องปรับโครงสร้างแล้วค่อยๆ ตั้งหลักต่อไป การปล่อยให้มหาเศรษฐีรวยแล้วรวยอีก หรือปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตบิดเบือน มันจะมั่นคงได้อย่างไร ประเทศไทยยังต้องเดินในแนวทางสมัยใหม่ ผมถูกต่อต้านในตอนนั้น เพราะไม่เน้นชาตินิยม แต่ตอนที่ผมส่งมอบงานนั้น ทุนสำรองประเทศมีฐานะสุทธิ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้ว ที่สำคัญเศรษฐกิจไทยต้องเดินไปอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาว โดยไม่ต้องใช้นโยบายประชานิยม"

"ผมยอมรับว่า ทำได้แค่กู้วิกฤติ เพื่อเศรษฐกิจลุกขึ้นมาตั้งหลัก ไม่สามารถทำให้ลุกขึ้นวิ่งอย่างที่หลายคนต้องการ" ธารินทร์ กล่าวในที่สุด


เอากะเค้าหน่อยวะ ไหนๆ ลากเรื่องไปไกล 58 ไฟแนนซ์ คงถึง ปรส. จนได้
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #154 เมื่อ: 24-09-2007, 10:10 »

ฮ่า ๆ มาแปะ อีกแล้ว.....เหมือนตอนแปะ....บทความวีระพงษ์

 
บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #155 เมื่อ: 24-09-2007, 10:19 »

สถานการณ์ตอนนั้นมันไม่ปิดไม่ได้หรอก อ่านดูก็รู้แล้ว ยังต้องให้วิเคราะห์ให้ฟังอีกเหรอ
ถ้าไฟแนนซ์นั่นเจ๋งจริง เค้าก็คืนใบอนุญาตให้หรอก กระบวนการมันก็ไปได้ตามที่วางไว้
ถ้าไม่ติดเรื่อง ปรส. ที่มีงุบงิบจนทำให้ ขายหนี้เน่าได้เงินน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ฝรั่งที่มี
เงิน(หรือมาตัวเปล่าหว่า) สามารถทำกำไรจากความหายนะของประเทศไทยได้เป็น
หมื่นๆ ล้าน แต่บางทีก็ช่วยไม่ได้เพราะเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของความอยู่รอด ถ้าไม่ให้
เค้ากระซวกมั่ง เราอาจจะไม่รอดเลย คิดซะว่าลุกขึ้นมาได้พร้อมกับเห็นฝรั่งกินอิ่มนั่งยิ้ม
เผล่อยู่ ก็ดีกว่านอนพะงาบเป็นผักทำอะไรไม่ได้ จริงๆ ที่ตัดแปะนี้ก็มาจากกระทู้เก่าใน
นี้แหละ อ่านดูข้อความสุดท้ายก็รู้แล้วว่า นายธารินทร์ก็ทำได้แค่นี้ ถ้าจะมากกว่านี้ต้อง
ทักษิณ คงจะชัดเจนแล้วนะว่าใครที่เป็นคนปลดหนี้ IMF ได้ 
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #156 เมื่อ: 24-09-2007, 10:24 »


ขี้เกียจตอบแระ

ในบรรดา ไฟแนนซ์ ต่าง ๆ ถึงแม้ จะมีหนี้เน่า....แต่มีจำนวนไม่น้อย ที่ เป็นลูกค้าที่ดี.....พอปิดปุ๊บ....เงินก็หมุนเวียนไม่ได้.....แล้ว ลูกค้าที่ดี ๆ ไม่ได้เกี่ยว กับ ค่าเงิน ก็ซวยไปด้วย วงเงินสินเชื่อก็ปิดไปโดยปริยาย....ทีนี้ เลยเน่าทั้งเข่งไงจ๊ะ แล้วไม่ใช่ ไฟแนนซ์ เดียว โห 58 เลย...มันมั๊ยล่ะ เจ๋งจริง ๆ......เป็นไงวิสัยทัศน์ พระเอกทนงค์...ยอดม่ะ......ไม่ต้องหาหลักฐานน๊ะ...อย่างรู้สอบถามไฟแนนซ์ ข้างบ้าน..แต่น่าจะรู้น่า...ยกเว้น ตอนนั้นคุณแก๊ส จะยังเป็นวุ้นอยู่ ....5555 

ผลกระทบมันเป็นลูกโซ่.......ตอนหลัง ปี ไหนจำไม่ได้แล้ว เค้าเปิดคืนมาอีก 2  ไฟแนนซ์

 
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #157 เมื่อ: 24-09-2007, 19:04 »


อ้างถึง
"ธารินทร์ เล่าให้ฟังว่า ปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นกับระบบสถาบันการเงินไทย ยังไม่ได้จบลงไปพร้อมกับการสั่งปิด 58 สถาบันการเงิน (ต่อมาเหลือ 56 ไฟแนนซ์ โดยคืนใบอนุญาตให้กับเกียรตินาคิน และบางกอกอินเวสต์เมนท์) โดยไอเอ็มเอฟดึงธนาคารโลก เข้ามาช่วยฟื้นฟูสินทรัพย์ที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิด เพราะเห็นว่าจะต้องใช้ผู้ชำนาญการ มาดำเนินการอย่างรวดเร็ว หากปล่อยไว้นานก็จะกลายเป็นหนี้เสียมากเพิ่มขึ้น โดยจะจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งไม่ให้กระทรวงการคลังและ ธปท.เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กรนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่โปร่งใส หรือมีการเตะถ่วงการทำงาน ถึงแม้ว่าทั้งสองหน่วยงานจะเป็นเจ้าของก็ตาม"


อ้างถึง

ในที่สุดมีคำสั่งปิดแค่ 16 สถาบันการเงิน ในเดือนมีนาคม 2540 นั้นเอง โดยมีรัฐค้ำประกันเงินฝาก แต่เมื่อไม่ปรากฏชื่อของสองบริษัทเงินทุนใหญ่ เช่น เอกธนกิจของนายปิ่น จักกะพาก และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์จีเอฟ ทั้งที่เป็นความข้องใจของนักลงทุนในตลาด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เส้นแบ่งความเชื่อมั่นได้ขาดสะบั้นลง เกิดปรากฏการณ์ข่าวลือเป็นระลอกหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยการถอนเงินจากสถาบันการเงินใหญ่ๆ จนขาดสภาพคล่อง และลุกลามสู่การแห่ถอนเงินครั้งใหญ่ ในระบบสถาบันการเงิน จนกระทั่งคลอนแคลน และนำไปสู่การต้องปิดสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก 42 แห่ง รวมเป็น 58 แห่งในเดือนสิงหาคมต่อมา  ตามข้อเสนอของไอเอ็มเอฟ เพื่อตัดทิ้งเนื้อร้ายและเพื่อหยุดการแห่ถอนเงิน Deposit Run ในระบบสถาบันการเงินไทย

ความเป็นจริง หลัง ปิดเพิ่มอีก 42 แห่ง ความเชื่อมั่น ก็ขาดลงทันที....คนยิ่งแห่ถอนเงิน กันหนักกว่าเก่า.....มีคนตกงานอีกจำนวนมหาศาล หลังจากปิดสถาบันการเงิน


อ้างถึง
ส่วนเรื่องการปิด 56 ไฟแนนซ์นั้น ความตั้งใจของผมคือปิดชั่วคราว เพื่อหยุดการถอนเงินออกจากแบงก์เพราะตอนนั้นเงินไหลออกจากแบงก์วันละ 2 หมื่นล้านบาท ถ้าไม่ทำอะไรแย่แน่ ตอนนั้นเราตั้งใจว่าจะแยกสินทรัพย์ดี สินทรัพย์เสียออกจากกัน ออกเป็น Good Bank กับ Bad Bank แล้วเอา Good Bank มารวมกัน อาจจะตั้งเป็นธนาคารขึ้นก็ได้ ก็ให้คุณบันเทิง(นายบันเทิง ตันติวิทย์) เป็นคนไปศึกษา .......บทสัมภาษณ์ ทนงค์ ...ที่ คห.97

ความเป็นจริง...ก็คือ บิ๊กจิ๋ว ลาออก ตอนเดือนพฤศจิกายน........16 ไฟแนนซ์ แรก ปิด ไป 8 เดือน ...นี่ คือชั่วคราวที่ทนงค์ว่า.....หลังจากนั้น บิ๊กจิ๋ว ประกาศเสียงดังหลายครั้ง ว่า จะไม่มีไฟแนนซ์ ถูกปิดอีกต่อไป...แล้ว ทนงค์ ก็ปีด อีก 42 แห่ง เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนรัฐบาลจิ๋วจะหมดสภาพไป...แค่นี้ ก็นานเกินพอแล้วครับ

ขณะนั้นมีบริษัทเงินทุนกว่า 30 แห่งธนาคาร 5 แห่งมีปัญหา ตามธรรมเนียมไอเอ็มเอฟก็จะให้ปิดท่าเดียว (เป็นเหตุการณ์ในยุคป๋าเปรม) ......ดร.โกร่ง เล่าให้ฟัง ที่ คห.42

นโยบายที่ไอเอ็มเอฟบังคับให้เราทำในเวลาต่อมาจึงไม่ใช่มุ่งประเด็นประคับประคองสถานการณ์ซึ่งอย่างไรก็ต้องแย่อยู่แล้ว ไม่ได้มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่บีบให้ทุกอย่างหดตัวลงทุกทาง ทั้งในด้านการเงินการคลัง ทั้งสถาบันการเงินให้ปิดสถาบันการเงิน ประฌามประเทศไทยว่ามีแต่ผู้บริหารที่คดโกงทั้งในภาครัฐบาลและภาคเอกชน ไม่โปร่งใส ไม่มีธรรมาภิบาลในบริษัท (bad governance) ทั้งๆ ที่เจ้าหนี้ฝรั่งทั้งหลายเวลาปล่อยเงินกู้ก็ปล่อย เพราะผู้บริหารที่เขาประฌามนั่นเอง........ดร.โกร่ง เล่าให้ฟัง...ที่ คห.42 อีกเช่นกัน

นั่นหละ ที่ผมพูดไว้หลายครั้ง ในกระทู้นี้ ....การปิดสถาบันการเงิน.ไม่ว่าจะเป็นชัวคราว หรือ ถาวร....ยิ่งปิดนาน..ยิ่งหนี้เสียเพิ่ม......เพราะ ลูกค้า ที่ดี ๆ ก็จะเริ่มกลายเป็น NPL......อย่างที่ไม่ควรจะเป็น เนื่องจาก ไม่สามารถใช้วงเงิน ทีมีอยู่ตามสถาบันการเงินได้...สภาพคล่องก็ติดขัด ทำให้เกิด การโดมิโน่ ทางเศรษฐกิจ

จริง ๆ แล้ว หลังจาก เปลี่ยนผู้ว่า ฯ มาเป็น หม่อมเต่า....ก็ยังมีไฟแนนซ์ ที่ เกิดอาการไม่ดี อีก 3-4 แห่ง.....แล้ว ก็แบ็งค์ อีก หลายแห่ง......หม่อมเต่าไม่ได้แก้ด้วยการปิด สถาบันการเงินเหล่านั้น....แต่ใช้วิธี ส่งคนเข้าไปควบคุม...แล้ว ปล่อยให้ดำเนินการ ต่อไปแบบเข้มงวด....วิธีการนี้ จะทำให้ ลูกค้า ดี ๆ ส่วนหนึ่ง ได้ใช้วงเงินต่อไป...ธุรกิจ ก็ยังดำเนินต่อไปได้..ไม่ต้องกลายเป็นหนี้เสียแบบไม่มีทางแก้ไข....เราจะเห็นได้ จากการแก้ ปัญหา ธนาคารศรีนคร ธนาคารนครธน...หรือ ธนาคาร นครหลวง ก็ไม่ได้ปิดตัวลงแบบ กิจกรรม ทุกอย่าง หยุดชะงักไปหมด แต่ให้มีการควบรวม โอนถ่ายลูกค้า..เพื่อดูแลต่อไป


 
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #158 เมื่อ: 24-09-2007, 19:18 »

สถานการณ์ตอนนั้นมันไม่ปิดไม่ได้หรอก อ่านดูก็รู้แล้ว ยังต้องให้วิเคราะห์ให้ฟังอีกเหรอ
ถ้าไฟแนนซ์นั่นเจ๋งจริง เค้าก็คืนใบอนุญาตให้หรอก กระบวนการมันก็ไปได้ตามที่วางไว้
ถ้าไม่ติดเรื่อง ปรส. ที่มีงุบงิบจนทำให้ ขายหนี้เน่าได้เงินน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ฝรั่งที่มี
เงิน(หรือมาตัวเปล่าหว่า) สามารถทำกำไรจากความหายนะของประเทศไทยได้เป็น
หมื่นๆ ล้าน แต่บางทีก็ช่วยไม่ได้เพราะเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของความอยู่รอด ถ้าไม่ให้
เค้ากระซวกมั่ง เราอาจจะไม่รอดเลย คิดซะว่าลุกขึ้นมาได้พร้อมกับเห็นฝรั่งกินอิ่มนั่งยิ้ม
เผล่อยู่ ก็ดีกว่านอนพะงาบเป็นผักทำอะไรไม่ได้ จริงๆ ที่ตัดแปะนี้ก็มาจากกระทู้เก่าใน
นี้แหละ อ่านดูข้อความสุดท้ายก็รู้แล้วว่า นายธารินทร์ก็ทำได้แค่นี้ ถ้าจะมากกว่านี้ต้อง
ทักษิณ คงจะชัดเจนแล้วนะว่าใครที่เป็นคนปลดหนี้ IMF ได้ 

"นับแต่วันแรก ผมเห็นปัญหาขาดสถาพคล่องทางการเงิน ท่อน้ำเลี้ยงที่จะไปภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ถูกปิดหมด
แต่ทำอะไรไม่ได้ และที่แย่ก็คือ ธนาคารไทยถูกตัดเครดิตไลน์จากธนาคารต่างชาติหมด จน ธปท.ต้องเข้ามาประกันให้
แต่ทำได้แค่วงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ เท่านั้น ที่ยอมรับไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่เพียงแบงก์เล็กแบงก์กลาง แม้แต่
แบงก์ใหญ่ก็เปิดแอลซีไม่ได้ ทำให้ต้องออกแผนแม่บทแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินไทย 14 สิงหาคม 2541 และต้อง
ปรับโครงสร้างให้ได้ ก็เพราะฐานะตอนนั้นความเสี่ยงของไทย ตกไปอยู่ที่อันดับสามจากท้ายตารางของ 160 ประเทศ"

ตั้งแต่ ธารินทร์ เข้ากุมบังเหียนเศรษฐกิจไทย มีการติดลบไปถึง 12% โดยในปีแรก 2540 ติดลบ 1.8% และปีที่สอง
2541 ติดลบอีก 10.8% แต่หลังจากนั้นเศรษฐกิจก็ค่อยกระเตื้องขึ้น จนรัฐบาลทักษิณเข้ามารับผลบวกมีอัตราเติบโต
ถึง 4.5% ต่อปี
"ช่วงวิกฤติ คนจนช่วยคนรวย จากนี้ไปเศรษฐกิจต้องปรับโครงสร้างแล้วค่อยๆ ตั้งหลักต่อไป การปล่อย
ให้มหาเศรษฐีรวยแล้วรวยอีก หรือปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตบิดเบือน มันจะมั่นคงได้อย่างไร ประเทศไทยยังต้อง
เดินในแนวทางสมัยใหม่ ผมถูกต่อต้านในตอนนั้น เพราะไม่เน้นชาตินิยม แต่ตอนที่ผมส่งมอบงานนั้น ทุนสำรองประเทศ
มีฐานะสุทธิ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้ว ที่สำคัญเศรษฐกิจไทยต้องเดินไปอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาว
โดยไม่ต้องใช้นโยบายประชานิยม"

"ผมยอมรับว่า ทำได้แค่กู้วิกฤติ เพื่อเศรษฐกิจลุกขึ้นมาตั้งหลัก ไม่สามารถทำให้ลุกขึ้นวิ่งอย่างที่หลายคนต้องการ"
ธารินทร์ กล่าวในที่สุด


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีข้อบ่งชี้อะไรทั้งนั้นเหมือนกันว่า ถ้าทักษิณมาบริหารงานในภาวะวิกฤติแทนธารินทร์แล้วจะทำอะไรได้ดีกว่า

ความจริงมีเพียงอย่างเดียวว่าทักษิณเข้ามารับผลบวก ในขณะที่ภาวะวิกฤติได้รับการแก้ไขจนสามารถตั้งหลักได้แล้ว
ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกัปตันเรือที่เข้ามารับช่วงหลังจากเรือหยุดจม แล้วมาคุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองเป็นคนกู้เรือจมเพราะ
เป็นคนที่ขับเรือไปถึงฝั่งสำเร็จ ทำให้ผู้โดยสารที่ไม่รู้เรื่องตื่นมาฟังประกาศตอนถึงฝั่งก็ชื่มชมหลงไหลเป็นการใหญ่

แถมยังโทษกัปตันสมัย 4 รุ่นก่อน (คือ นายชวน1/ปชป.) ว่าเป็นคนทำให้เรือรั่ว แต่ไม่เคยแตะต้องกัปตัน 3 รุ่นก่อน
(คือ บรรหาร/ชาติไทย) ว่าทำไมเรือรั่วแล้วไม่อุดรู และไม่เคยแตะต้องกัปตัน 2 รุ่นก่อน (คือ ชวลิต/ความหวังใหม่)
ที่ตัวเองเข้าไปมีส่วนอยู่ใน ครม. ว่าทำไมเรือรั่วแล้วบริหารจนเรือล่มคามือ


ส่วนผลงานการกู้เรือของกัปตันรุ่นก่อน (คือ นายชวน2/ปชป.) ที่มากู้เรือล่ม จนสามารถแล่นได้นั้นไม่เคยพูดถึงเลย
แถมยังโจมตีว่าบริหารไม่ดี และคุยโม้โอ้อวดฝีมือตัวเองว่าเก่งกาจ นอกจากขับเรือเข้าฝั่งได้แล้ว ยังแอบอ้างผลงาน
ว่าเป็นผู้กู้เรือเสียเองอีกด้วย

แค่ขับเรือที่ซ่อมแล้วเข้าฝั่งได้มันเป็นผลงานอะไรให้คุยนักหนา .. ยังไม่นับเรื่องแอบอ้างว่าเป็นคนกู้เรืออีกนะครับ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2007, 19:28 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #159 เมื่อ: 24-09-2007, 20:14 »

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เส้นแบ่งความเชื่อมั่นได้ขาดสะบั้นลง เกิดปรากฏการณ์ข่าวลือเป็นระลอกหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยการถอนเงินจากสถาบันการเงินใหญ่ๆ จนขาดสภาพคล่อง และลุกลามสู่การแห่ถอนเงินครั้งใหญ่ ในระบบสถาบันการเงิน จนกระทั่งคลอนแคลน และนำไปสู่การต้องปิดสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก 42 แห่ง รวมเป็น 58 แห่ง ในเดือนสิงหาคมต่อมา ตามข้อเสนอของไอเอ็มเอฟ เพื่อตัดทิ้งเนื้อร้ายและเพื่อหยุดการแห่ถอนเงิน Deposit Run ในระบบสถาบันการเงินไทย

ตรงนี้เป็นคำตอบชัดเจนว่าทำไมต้องปิดไฟแนนซ์ ถ้าเปิดต่อไปเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรคงคาดเดาไม่ได้
เพราะเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิด แต่จากการป้องกันการล่มสลายในตอนนั้นจากการแห่ถอนเงิน วิธีนี้คงเป็น
สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถึงตอนนี้บอกได้แค่ว่าเป็น destiny ที่ทำให้ต้องทำอย่างงั้น ไม่เกี่ยวกับฝีมือดีหรือห่วย

ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิ ถูกใช้ไปในการปกป้องค่าเงินบาทของประเทศเกือบหมด ภาคเอกชนขาดความเชื่อมั่นในระบบการเงินของประเทศ ที่ต่างพากันขนเงินลงทุนย้ายออกไปนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อค่าเงินบาท และสภาพคล่องภายในประเทศ จนทำให้ผู้ฝากถอนเงินฝากออกจากสถาบันการเงินหลายแห่ง และท้ายที่สุดรัฐบาล ได้มีการปิดกิจการสถาบันการเงิน 56 แห่ง เนื่องจากสถาบันการเงินเหล่านี้ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง และมีระดับของสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ต่อมาเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจ ให้กับผู้ฝากเงินและนักลงทุน ตลอดจนหยุดยั้งความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นและเพื่อหยุดการไหลของเงิน

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2540 รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการออกพระราชกำหนด แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 ด้วยการรับประกันผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้ที่สุจริตของสถาบันการเงินทั้งระบบ โดยมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ในฐานะที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้เข้าไปทำหน้าที่รับประกันเงินฝากและเจ้าหนี้ ซึ่งในขณะนั้นมียอดหนี้สินรวมทั้งสิ้น 1,004,000 ล้านบาทที่กองทุนฟื้นฟูฯจะต้องเข้าไปรับผิดชอบ

ณ สิ้นปี 2540 กองทุนฟื้นฟูฯมีหนี้สินเพิ่มขึ้นทันที 893,111 ล้านบาท โดยหนี้สินดังกล่าวเกิดจากการจัดหาสภาพคล่อง ให้กับสถาบันการเงิน 56 แห่ง ที่ถูกปิดกิจการ และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่กองทุนฟื้นฟูฯเข้าไปแทรกแซงในเวลาต่อมา โดยสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการทั้งหมดไม่มีดอกเบี้ยรับเพราะที่มีอยู่ในสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในขณะที่กองทุนฟื้นฟูฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายจากการออกพันธบัตรระยะสั้นในอัตรา 20% ต่อปี และในบางช่วงต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือพันธบัตรในอัตรา 24% เพื่อนำเงินที่ระดมได้จากการออกพันธบัตร ขายให้กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ ที่มีสภาพคล่องเหลือมาปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินเกิดการบิดเบือนผิดปกติ และท้ายที่สุดได้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน ของกองทุนฟื้นฟูฯเองจนกระทั่งเงินกองทุนติดลบ ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเข้าไปช่วยสถาบันการเงินอื่นๆ

ต่อมาในยุคสมัยของรัฐบาลชวน หลีกภัย ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้ตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นด้วยการออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังออกพันธบัตรกู้เงิน เพื่อชดเชยความเสียหายให้กองทุนฟื้นฟูฯ พ.ศ.2541 ในวงเงิน 500,000 ล้านบาท หรือที่เรียกว่า FIDF 1 โดยกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องนำส่งเงินเข้ามาใช้หนี้ที่เป็นเงินต้นประมาณ 90% ของกำไรสุทธิของ ธปท. รวมทั้งเงินรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้วย โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดภายใน 30 ปี ส่วนภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการออกพันธบัตร ทางกระทรวงการคลังจะเป็นผู้รับผิดชอบด้วยการจัดงบประมาณมาจ่าย

จากนั้นกระบวนการของการโอนหนี้ภาคเอกชนมาเป็นหนี้สินของรัฐบาลได้เริ่มขึ้น ณ สิ้นปี 2543 มียอดหนี้สินหรือที่เรียกว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลจากการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯรวมทั้งสิ้น 2,613,336 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2539 ยอดหนี้สาธารณะอยู่ในระดับ 685,234 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2539 ประมาณ 282% ต่อมาในสมัยของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 1 ฐานะการเงินของตัวกองทุนฟื้นฟูฯ เอง ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งในฝั่งของหนี้สินที่ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้สูญ และฝั่งเงินกองทุนก็ยังติดลบอยู่เป็นจำนวนมาก ทางรัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯ ด้วยการทยอยดึงหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ เข้ามาเป็นหนี้สินของรัฐบาลโดยตรง โดยการออกพันธบัตรชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนฟื้นฟูฯเป็นครั้งที่ 2 หรือที่เรียกว่า FIDF 2 ในวงเงิน 112,000 ล้านบาท และพันธบัตร FIDF 3 อีกเป็นจำนวน 780,000 ล้านบาทในเวลาต่อมา

เมื่อรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินทั้ง 3 กองคือ FIDF 1, FIDF 2 และ FIDF 3 กองทุนฟื้นฟูฯมีความเสียหายจากการเข้าไปแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจรวมแล้วเกือบ 1.4 ล้านล้านบาท


สำหรับนายธารินทร์นั่นมาแก้ปัญหาสถาบันการเงิน ส่วนหนึ่งก็ต้องทำตามกรอบไอเอ็มเอฟ ก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง
ซึ่งรัฐบาลต่อมาก็ไม่ได้แถลงว่าแย่ซ้ำยังมีการชมเหมือนกับการห้ามเลือด เพียงแต่ที่มีข้อน่าสงสัยคือการขายหนี้
เน่าให้ต่างชาติเป็นล็อตใหญ่ ในราคาที่รวมกันแล้วต่ำ โดยข้อเท็จจริงการขายลักษณะทอดตลาดก็ไม่สามารถระบุ
ราคาที่แท้จริงควรจะเป็นได้ คาดคะเนเพียงแต่ว่าควรจะได้มากกว่านี้ จะเอาผิดกันจริงๆ ก็เป็นเรื่องยาก คล้ายๆ กับ
การหาราคาที่แท้จริงของที่ดินรัชดา ก็จะเกิดอคติจากราคาปัจจุบันที่ผ่านยุคเน่ามาแล้ว โดยลืมความรู้สึกในยุคเน่า
ว่าราคาในยุคนั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ เมื่อหาใครโทษตรงๆ ไม่ได้ก็ต้องยอมรับว่าเป็น destiny อีกเช่นเคย

นายกทักษิณมารับหน้าที่แตกต่างจากนายธารินทร์แก้ปัญหา เพราะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งและขยายระบบ
เศรษฐกิจให้กว้างขวางออกไปจากแค่คนกลุ่มเดิมๆ ที่จะมีปัญญาทำรายได้เข้าประเทศได้ ไม่มีรูเทียบได้ว่าทักษิณ
ไปบริหารงานแทนนายธารินทร์แล้วจะเป็นเช่นไร จินตนาการน้ำแตกไปเปล่าๆ ไร้คำตอบ ต้องยอมรับความจริงว่า
หลังจากตั้งหลักได้แล้ว จะเดินต่อแบบวิ่งต้องนโยบายของทักษิณเท่านั้นและนโยบายนั้นเองก็ก่อให้เกิดความแข็ง
แกร่งจนสามารถชำระหนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด หัวข้อกระทู้ก็บอกไว้อย่างงั้น ไม่ได้มีกู้เรือหรือกัปตันอะไรบ้าบอ
คอแตกมาเกี่ยวเล้ย เพ้อเจ้อน่า
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #160 เมื่อ: 25-09-2007, 09:11 »

เข้ามาขอบคุณ คุณ แก๊ส ฯ ที่ช่วยสนับสนุน ที่ผมกล่าวหา คุณ ทนงค์ พิทยะ...รัฐมนตรี คลังคนโปรด ของคุณทักษิณ  ด้วยการตัดแปะ บทสัมภาษณ์ และ แสดงบางความเห็น.......

ผมได้กล่าวหา คุณทนงค์ ไว้ หลายเรื่อง ในความเห็นที่ 99.....ไว้ดังนี้ครับ

1. นายทนงค์ พิทยะ เป็นผู้ ตัดสินใจเรื่องลอยตัวค่าเงินบาท.........


คุณแก๊ส ได้ กรุณา นำบทสัมภาษณ์ คุณทนงค์ ใน คห.ที่ 97........

 "บิ๊กจิ๋ว ถามว่า จริงหรือน้อง?

ผมก็บอกว่า เรื่องนี้ผมรับผิดชอบเองถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง"
......นายทนงค์รับผิดชอบด้วยการกลับมาเป็นรัฐมนตรี อีกครั้ง ในรัฐบาล ทักษิณ 1 และ 2.......ช่างรับผิดชอบดีจริง ๆ

2.บอกว่า นายทนงค์ และ รัฐบาล บิ๊กจิ๋ว ในขณะนั้นเดิน ตามก้น IMF โดย มิได้เจรจาต่อรองอย่างไร ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อ ประเทศชาติจนทุกวันนี้

คุณแก๊ส สนับสนุน ข้อกล่าวหา โดยการ นำบทความ ดร.โกร่ง..ในคห.ที่ 42.....ผมอธิบายเพิ่มเติมไว้ใน คห.ที่ 130 .......

ผมบอกว่า การลอยค่าเงินบาท มันจะเป็น เหตุให้ เศรษฐกิจ ไทย วอดวาย....ล้มเป็นโดมิโน....เกิด ความเสียหาย แบบ ไม่มีขีดจำกัด......ทำให้เกิด หนี้เสียเป็นจำนวนมหาศาล

คุณแก๊ส สนับสนุนด้วยการตัดแปะ บทความ ในความเห็น ที่ 153 .......
การหารือกอบกู้วิกฤติการเงินไทยในปี 2540 ที่ฝรั่งเรียกว่า "หมิ่นเหม่ต่อการเจ๊ง แต่ผมได้คุยกับชัยวัฒน์ (ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้ว่าการ ธปท.ต่อจากนายเริงชัย) ว่า กองทุนฟื้นฟูพร้อมที่จะเข้าแทรกแซงเป็นรายแบงก์ ซึ่งตอนนั้นเกิดปัญหากับอีก 5 แบงก์....ธารินทร์ เล่าไว้ ในบทความที่ตัดแปะ
สังเกตุดูน๊ะครับ....ธารินทร์ ไม่ได้บอกให้ปิดแบ็งค์ แต่ใช้วิธีแทรกแซงการบริหาร....แบบนี้ ลูกค้าที่ดี ก็ยังดำเนินธุรกิจต่อไปได้...วงเงินที่มีอยู่ก็ยังเบิกใช้ได้ตามปรกติ อาจมีความเข้มงวดบ้าง แต่ ก็ยังพอไปได้ครับ

แล้ว อธิบายต่อ หรือ ตัดแปะ จากที่ไหนไม่รู้ ที่ คห .159 ไว้ดังนี้

"ณ สิ้นปี 2540 กองทุนฟื้นฟูฯมีหนี้สินเพิ่มขึ้นทันที 893,111 ล้านบาท โดยหนี้สินดังกล่าวเกิดจากการจัดหาสภาพคล่อง ให้กับสถาบันการเงิน 56 แห่ง ที่ถูกปิดกิจการ และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่กองทุนฟื้นฟูฯเข้าไปแทรกแซงในเวลาต่อมา โดยสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการทั้งหมดไม่มีดอกเบี้ยรับเพราะที่มีอยู่ในสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในขณะที่กองทุนฟื้นฟูฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายจากการออกพันธบัตรระยะสั้นในอัตรา 20% ต่อปี และในบางช่วงต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือพันธบัตรในอัตรา 24% เพื่อนำเงินที่ระดมได้จากการออกพันธบัตร ขายให้กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ ที่มีสภาพคล่องเหลือมาปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินเกิดการบิดเบือนผิดปกติ และท้ายที่สุดได้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน ของกองทุนฟื้นฟูฯเองจนกระทั่งเงินกองทุนติดลบ ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเข้าไปช่วยสถาบันการเงินอื่นๆ"


เนื้อหาดังกล่าวข้างต้น....อาจไม่ได้ อธิบาย หรือ ตอบคำถาม ในเนื้อ กระทู้ แต่ผมอยาก ให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ จู่ ๆ ทักษิณ ก็มาชุบมือเปิบ..แล้วส่งลูกน้องมาป้ายสี คนอื่น แบบ " เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น "

แต่ ผมก็ไม่ได้เอาเปรียบคุณแก๊ส น๊ะ ครับ.....ผม เปิดหน้า ให้ชก หลายครั้งในกระทู้นี้.....และ ก็ได้ตอบ คำถามในกระทู้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วด้วย ในความเห็นที่ 15 ดังนี้ครับ


อ้างถึง
...หลังจาก รัฐบาลชวน หยุดกู้เงินโครงการ IMF  เค้า ก็เลิกเดินตามตูด IMF แล้วจ้า.....ตอนนั้นเราไม่ได้มีความจำเป็นต้องจ่ายหนี้ก่อนกำหนดแล้ว.เพราะมีทุนสำรองเพียงพอ ไม่ต้องไปกราบเท้า เหมือนตอนทนง คลาน เข้ามาหา IMF แล้ว......ไม่รู้ทักษิณ มันโง่ หรือ ฉลาด ที่ดัน ออกพันธบัตรจ่ายดอกเบี้ย ร้อยละ 5 ร้อยละ 7 ไปใช้ในโครงการประชานิยม แทนที่จะเอาเงินที่จ่าย IMF ก่อนเวลาไปใช้ ขณะที่ดอกเบี้ยจากโครงการ IMF ร้อยละ 2 หรือ ต่ำกว่า ...จำไม่ได้แล้ว..แต่ต่ำกว่าเยอะ....บวกกับค่าเงินบาท ที่แข็งขึ้น ไม่รู้เสียหายไปเท่าไหร่แล้วจ้า.....มีแต่พวกมีความรู้ แต่ แกล้งโง่ เท่านั้นแหละที่ไม่เข้าจาย..........................เอ้ย..ไม่ใช่ ไม่เข้าใจ แต่ ทักษิณ อยากเป็นฮีโร่ ...ข้านี่แหละกู้ชาติ.....555   แต่ข้าไม่บอกใคร ข้าขายเอาเงินเข้าเป๋าก่อน แล้ว เอาเงินหลวง มากู้ชาติ..เอาหน้า.....โห ฉลาดว่ะ
[/b]



 
บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #161 เมื่อ: 25-09-2007, 09:29 »

การที่ดร.ทนงตัดสินใจแบบนั้น อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้หนัก
จนแก้ไขไม่ได้ นายธารินทร์เองก็ไม่ได้ทำอะไรเกินกรอบของไอเอ็มเอฟมากนัก ก็สามารถ
หยุดปัญหาของสถาบันการเงินได้ ไม่รู้ว่าคุณ ห้า จะพยายามบอกว่า ถ้าไม่ตัดสินใจแบบที่
ดร.ทนงทำจะดีกว่านี้ แล้วมันจะได้คำตอบอะไร ไม่มีสิ่งใดพิสูจน์ได้ว่า ตัดสินใจแบบอื่นแล้ว
ผลมันจะออกมาดีกว่านี้ นอกจากเป็นจินตนาการน้ำแตกด้านเดียวของตัวเอง ไม่สนใจแม้แต่
บทสรุปของ ศปร. ยึดเอาแค่บทสัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ มาตีความเป็นตุเป็นตะ ทำไมไม่คุยใน
ข้อเท็จจริงที่ว่า ปรส. ถ้าขายสินทรัพย์ได้มูลค่ามากกว่านี้ในขณะนั้น จะแก้ไขความเน่าได้เร็ว
กว่านี้ แบบนี้ยังเป็นการจินตนาการอยู่ในขอบเขตของเหตุผลมากกว่าที่จะบอกว่า ถ้าไม่ปิด
ไฟแนนซ์ตอนนั้นจะเสียหายน้อยกว่านี้ จินตนาการให้น้ำแตกตายก็พิสูจน์ไม่ได้ กิ๊ว กิ๊ว เลิก
เหอะ จะยกเมฆเรื่องแทรกแซงการบริหารมันก็เกินไป เมืองไทยมีบุคคลากรแค่ไหนกันที่จะ
แทรกแซงได้หลายองค์กรขนาดนั้น เพ้อเจ้อ ตอนนี้ก็เห็นอยู่แค่จะเอารัฐมนตรีบริสุทธิ์ผุดผ่อง
จริยธรรมเต็มตัวคณะเดียวยังหลงมีพวกกระดำกระด่างติดมาสามคนเลย
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #162 เมื่อ: 26-09-2007, 09:34 »

ไม่ได้ว่าอะไรครับ...ผม ก็แค่ขอบคุณเฉย ๆ ลองกลับไปอ่านดูซิครับ...ผมไม่ว่า คุณ แก๊ส ซักคำ...ทำไมต้องหลุดหงิดด้วยครับ....

อ้อ วันนี้ ไปเจอข่าวเก่า มาเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริง.......เค้าตั้งข้อสงสัยไว้


อ้างถึง

ลับ (ไม่) ที่สุด" วันลอยค่าเงิน
สำหรับการลงทุนและการเก็งกำไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดเงิน หากใครก็ตามได้มีโอกาสรู้ข่าวสารก่อนเพราะเป็นคนรู้ไส้ (Inside) แล้ว หากคนผู้นั้นขาดจรรยาบรรณในวิชาชีพก็สามารถที่จะนำข่าวสารที่รู้ก่อนคนอื่นไปแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองหรือพวกพ้อง และทำกำไรได้อย่างมหาศาล สามารถทำให้เศรษฐีกลายเป็นมหาเศรษฐี และมหาเศรษฐีก็กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีได้เพียงชั่วข้ามคืน

ว่ากันว่าเรื่องที่ว่าลับที่สุดในวงราชการ บ่อยครั้งก็สามารถที่จะรั่วไหลออกมาสู่สื่อสารมวลชนได้อย่างไม่ยากเย็น บางครั้งข่าวสารมาจากคนส่งหนังสือ คนพิมพ์เอกสาร ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง หรือแม้กระทั่งการถูกดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ข่าวสารลับ จึงมีโอกาสรั่วได้เสมอ หากไม่มีความระมัดระวังพูดเรื่องสำคัญๆ ว่า "หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง"

เพราะโดยธรรมชาติหากมีคนวงในที่รู้ข่าวสาร (Inside) ไปทำให้คนนอกวงกลายเป็นคนรู้ไส้เพิ่มขึ้นไปอีก คนนอกวงที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับข่าวสารนั้น ก็ย่อมต้องรักษาผลประโยชน์ส่วนตนหรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ให้ได้มากที่สุดตามสัญชาตญาณของปุถุชน และนักธุรกิจทั่วไป

ประชาชนจำนวนไม่น้อยเมื่อรู้ว่า ราคาน้ำมันวันพรุ่งนี้จะเพิ่มขึ้นก็คงจะรีบเติมน้ำมันเสียตั้งแต่วันนี้ให้เต็มถัง ในทางกลับกันหากประชาชนกลุ่มเดียวกันเมื่อรู้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงในวันพรุ่งนี้ก็คงจะอดใจเอาไว้เติมในวันรุ่งขึ้น แม้ว่าในบางครั้งน้ำมันใกล้จะหมดถังเต็มทีแล้วก็ตาม

แต่ถ้าเป็นเรื่องค่าเงินจะเป็นคนละเรื่อง เพราะหากประชาชนรู้ก่อน ก็จะทำให้ซื้อเงินเหรียญสหรัฐกันยกใหญ่จนหมดทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่จะมาหนุนมูลค่าของเงินบาท และเงินบาทก็จะไร้ค่าไปโดยปริยาย

การลดค่าเงินบาทจึงให้คนทั่วไปรู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถควบคุมจนทำให้คนทั้งประเทศไม่รู้เรื่องลดค่าเงินบาทก่อนแม้แต่คนเดียว!!

อันที่จริงแล้วในวันลดค่าเงินในสมัยนายสมหมาย ฮุนตระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อปี 2527 แม้ดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการเก็บความลับได้ดีเยี่ยมแล้วก็ตาม แต่ในยุคนั้นก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งได้กว้านซื้อเงินเหรียญสหรัฐเก็งกำไรล่วงหน้าก่อนมีการลดค่าเงินเพียง 1 วันเท่านั้น

 ค่าเงินที่แข็งและไม่สะท้อนความเป็นจริงย่อมมีการเก็งกำไรเสมอ!!

 เพราะนอกจากการรั่วไหลข่าวเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนจากคนภายใน ที่อาจทำให้คนบางกลุ่มรู้เป็นการล่วงหน้า จะสามารถเกิดขึ้นได้แล้ว การประเมินจากตัวเลขทางเศรษฐกิจจากผู้รู้ และมีความเข้าใจก็สามารถที่จะทำให้วิเคราะห์ได้ว่า สุดท้ายค่าเงินบาทจะเป็นไปในทิศทางใด ใครอ่านเกมนี้ออกบ้าง ก็สามารถอ่านได้ในบทที่ 9 เรื่อง ใครหนุน ใครต้าน ลดค่าเงิน?

 กรณีอย่างปี พ.ศ. 2539 และปี พ.ศ. 2540 ก็มีผู้ที่รู้ว่าค่าเงินบาทต้องลดค่าเงินอย่างแน่นอน เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดติดต่อกันมาเป็นเวลานานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 จึงไม่มีศักยภาพไปคืนหนี้ต่างประเทศที่มีอยู่สูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีผลมาจากความผิดพลาดการเปิดเสรีการเงิน ระบบอัตราแลกเปลี่ยน และการเปิดสินเชื่อวิเทศธนกิจกรุงเทพ BIBF มาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ชุดที่ 1 และที่สำคัญหนี้ต่างประเทศระยะสั้นต้องคืนในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปียังมีสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศเสียอีกด้วย

 เพราะรู้ว่าฐานะการเงินระหว่างประเทศของไทยอ่อนแอมาก ทุนสำรองอาจจะหมดประเทศไปเพราะถูกทวงหนี้ระยะสั้นจนหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ค่าเงินบาทต้องอ่อนลง และเป็นที่มาของการเก็งกำไรโจมตีค่าเงินบาท

 เมื่อรู้ว่าค่าเงินบาทจะต้องอ่อนลง ก็อาจจะทำให้มีนักธุรกิจภาคเอกชนเทขายเงินบาทซื้อเงินเหรียญสหรัฐ หรืออาจจะเลือกคืนหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด ก็ยิ่งทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว ยังไม่นับประชาชนทั่วไปที่มีความตื่นตระหนกอยู่แล้วท่ามกลางกระแสข่าวว่า ประเทศไทยถูกโจมตีค่าเงินบาท หรือจะมีการลดค่าเงินบาทในอนาคต

 ยิ่งถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีการประชุมกันอยู่เป็นประจำเพื่อทำหน้าที่ดูแลเรื่องการปกป้องค่าเงินบาท ฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศและฐานะทุนสำรองสุทธิ (ที่ปิดเป็นความลับในเวลานั้น) ก็ยิ่งสมควรจะต้องรู้ก่อนคนอื่นเสียด้วยซ้ำ

 เพียงแต่ประชาชนและนักธุรกิจทั่วไปไม่ควรจะทราบก่อนว่า เมื่อไหร่และเวลาใดจะลดค่าเงิน? ดังนั้น เมื่อคิดจะลดค่าเงินหรือลอยค่าเงินบาทต้องทำให้เร็วและต้องประกาศให้เร็วที่สุด เมื่อมีการตัดสินใจเพื่อไม่ให้ข่าวสารรั่วออกไปได้

 เกริ่นมาพอสมควรเพื่อจะมาตั้งคำถามที่หลายคนอาจเคยเข้าใจว่า การที่ประเทศไทยได้ประกาศลอยค่าเงินบาทตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นมานั้น เป็นการประกาศโดยฉับพลันหลังจากตัดสินใจว่าจะลอยค่าเงินเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่มีใครแม้แต่คนเดียวได้รับรู้ข่าวสารมาก่อนเลยใช่หรือไม่?

 และคำตอบคือ ไม่ใช่!!

 ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายสังเกตช่วงระยะเวลาต่อไปนี้ให้ดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น? และมีคนที่รู้ว่าค่าเงินบาทจะลดลงเป็นการล่วงหน้ากี่คน? และมีอะไรผิดปกติหรือไม่?

 วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2540 นายอำนวย วีรวรรณ ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสารมวลชนโดยทั่วไปว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2540 วันเดียวกันนั้นเองท่ามกลางกระแสที่มีความสับสนว่าใครจะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ปรากฏว่า นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี เพื่อยืนยันว่าจะไม่ลาออก และธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ลดค่าเงินบาทอย่างแน่นอน และประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มากเพียงพอ และขอให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ออกแถลงข่าวยืนยันในประเด็นดังกล่าวด้วย

 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีที่เหลือ และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ ได้ออกแถลงข้อเท็จจริง โดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้พูดถึงสาเหตุการลาออกของ นายอำนวย วีรวรรณ และนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ว่า

 "ไม่ได้มาจากความขัดแย้งแต่อย่างใด เป็นการแสดงสปิริตของ ดร.อำนวยและทีมงานเพื่อเปิดโอกาสให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ตามความเหมาะสม และภายหลังที่ทีมของ ดร.อำนวยลาออกแล้ว สิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปก็คือ ตั้งผู้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผมเองได้เข้าไปดูแลงานกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ในเมื่อยังไม่มีรองนายกเศรษฐกิจ กระทรวงการคลังจึงต้องรายงานต่อผมโดยตรง"

 "และที่สำคัญการดำเนินนโยบายต่างๆ ของหน่วยงานสำคัญๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งผมได้หารือกับผู้ว่าการฯ และรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วย้ำว่า จะรักษามาตรการที่ดำเนินไปแล้วไม่ปรับเปลี่ยนแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องของการรักษาค่าเงิน"

 และนี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากว่า เป็นการยืนยันจากนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยว่า จะรักษาค่าเงินบาทต่อไปโดยการยืนยันจากผู้ว่าการฯ และรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

 ต่อมาวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ นายทนง พิทยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 จากรายงานของ ศปร.ระบุว่า วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540 วันเดียวกันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ นายทนง พิทยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีการประชุมเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย 6 คน (โดยไม่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งประกอบไปด้วย

 1. นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าการฯ

 2. นางธัญญา ศิริเวคิน ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ

 3. นายศิริ การเจริญดี ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ

 4. นายบัณฑิต นิจถาวร ผู้อำนวยการฝ่ายการธนาคาร

 5. นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน หัวหน้าส่วนวิเคราะห์และธุรกิจตลาดเงิน

 6. นางเกลียวทอง เหตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ

 มีการประชุมเรื่องระบบค่าเงิน ที่ประชุมได้มีความเห็นว่าระบบที่ดำเนินการอยู่นี้คงอยู่ไม่ได้ เนื่องจากทุนสำรองสุทธิเหลืออยู่น้อยมาก ที่ประชุมทั้งหมดจึงเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ เปลี่ยนระบบค่าเงินเป็นแบบลอยตัว (การแลกเปลี่ยนเงินตราปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งดำเนินการกันเอง ตามกลไกของตลาดแทนธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเดิมเป็นผู้ดูแลอยู่) ซึ่งก่อนหน้านี้มีการหารือกันกับ นายสแตนลีย์ ฟิชเชอร์ แห่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็เห็นชอบกับแนวทางดังกล่าวนี้เช่นกัน

 หลังจากประชุมกันทั้งวัน นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ได้โทรศัพท์ไปเรียกนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการฯ ว่าที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบบลอยค่าเงินและได้มีการเตรียมการกันอยู่แล้ว

 ในวันเดียวกันนั้นเองที่ นายทนง พิทยะ ได้รับเข้าตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็ยังได้ย้ำอีกครั้งตามคำยืนยันของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท โดยธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่ได้แจ้งให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ทราบอยู่ดี

2 วันเท่านั้นหลังจากที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้แถลงข้อเท็จจริงผ่านสื่อสารมวลชน ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มาประชุมแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดค่าเงินบาท ทั้งๆ ที่เป็นคนยืนยันว่าจะไม่ลดค่าเงินและยังให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ออกไปแถลงข่าวอีก

 น่าสังเกตมากขึ้นไปอีกเมื่อมีการหารือกันก่อนหน้านี้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศมาเป็นเวลาพอสมควรแล้วว่า การลอยค่าเงินบาทคือทางเลือกที่ดีที่สุด แล้วเหตุใดผู้บริหารสูงสุดทั้งสองคนจึงยังให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ไปยืนยันว่าจะไม่ลดค่าเงินบาทอีก?

 ในวันนั้นผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย รู้มตินี้ 7 คน!! โดยที่ฝ่ายการเมืองยังไม่มีใครรู้ทั้ง 7 คนรู้ว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องเป็นแบบลอยค่าเงินบาทอย่างไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นแล้ว เพราะเป็นมติเอกฉันท์ไปแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540

 ทิ้งช่วงไปอีก 3 วัน (วันเสาร์ที่ 31 ถึงวันพุธที่ 25 มิถุนายน 2540) ฝ่ายการเมืองยังคงไม่มีใครทราบแม้แต่คนเดียว โดยธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงกับ ศปร.ว่าในช่วงที่นายทนง พิทยะ เข้ามารับตำแหน่งได้ใช้เวลา 3 ถึง 4 วันแรก ทำหน้าที่ดูแลให้ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณผ่านสภาผู้แทนราษฎร และไม่มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย

 ไม่มีใครทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด วันพุธที่ 25 มิถุนายน 2540 และวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2540 มีกระแสการเทขายเงินบาทและซื้อเงินเหรียญสหรัฐแรงมากขึ้น และหลังจากนั้นเงินทุนสำรองสุทธิลดลงอย่างมากทันที คงไม่มีใครตอบแทนผู้ซื้อเงินเหรียญสหรัฐทุกคนได้ว่าเกิดจากความตื่นตระหนกเพราะนายอำนวย วีรวรรณ ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือเกิดจากการปล่อยข่าวลือ หรือมีคนคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่าจะมีการลดหรือลอยค่าเงินบาท หรือเป็นเพราะข่าวรั่ว!!

 จากรายงานของ ศปร.ระบุว่าวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยมี นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการฯ และนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าการฯ ได้มีโอกาสประชุมร่วมกับ นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทนง พิทยะ ได้ขอให้ฝ่ายธนาคารแห่งประเทศไทย รายงานสถานะของเงินสุทธิ เมื่อทราบสถานะแล้ว นายทนง ก็ตัดสินใจในการประชุมครั้งนั้นเลยว่า "จะต้องเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน"

 ตามหลักแล้วเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้รู้สถานภาพเป็นอย่างดี และได้มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ในระดับผู้บริหารแล้วว่า ต้องลอยค่าเงินบาทตั้งแต่วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540 และรู้ดีอยู่ว่าไม่ได้มีทางเลือกอื่นที่ดีว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรจะสนองแนวคิดของนายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยทันทีไม่ชักช้า เพราะหากต้องการมีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินต้องรีบดำเนินการโดยทันที อย่างน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วออกไป

 แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น!!

 นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการฯ กลับตอบ นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า จะขอไปปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน (นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเคยชี้แจงต่อ ศปร.เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2541)

 จึงนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่ปล่อยเวลาทอดออกไปอีก!!

 หลังจากวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2540 เงินสำรองสุทธิลดลงมากกว่าเดิมจาก 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ มาเหลือเพียง 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในวันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2540

 จากวันพฤหัสบดีผ่านมาอีกประมาณ 2 วัน นายทนง พิทยะ ได้ตกลงกับ นายเริงชัย มะระกานนท์ และนายชัยวัฒน์ ว่าจะไปเรียนนายกรัฐมนตรีใช้เช้าวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2540 ซึ่งเมื่อถึงวันดังกล่าวปรากฏว่า มีนายโภคิน พลกุล ร่วมประชุมอยู่ด้วย

นายเริงชัย มะระกานนท์ ได้เคยชี้แจงต่อ ศปร.ว่า นายเริงชัย ได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีในเช้าวันนั้นว่า

"จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบ managed float โดยเร็วที่สุด โดยขอเสนอให้เปลี่ยนทันทีเมื่อปิดงวดบัญชี 30 มิถุนายน 2540 และกระผมได้นำมติดังกล่าวมาแจ้งให้ท่านรองผู้ว่าการฯ (ดร.ชัยวัฒน์) ที่มาทำงานล่วงเวลาร่วมกับผู้บริหารอื่นๆ ในวันนั้น โดยขอให้เตรียมการทุกอย่างให้พร้อมโดยเร็วที่สุด"

แต่นายเริงชัย มะระกานนท์ ได้ให้สัมภาษณ์อยู่ในหนังสือโลกสีขาวของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ว่า "ท่านก็ตัดสินใจให้ดำเนินการเลย ทั้งๆ ที่ก็บอกว่าคืนนี้จะต้องไปออกทีวี ผมบอกว่าไม่มีทางเลือกเลย ท่านต้องยืนยันเพราะเรื่องระบบอัตราแลกเปลี่ยนจนนาทีสุดท้ายก็ต้องยืนยัน ถามผมก็ต้องยืนยันว่าเรารักษาระบบเดิม"

 นายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ยกตัวอย่างว่า นายกรัฐมนตรีวิลสัน (Harold Wilson) ของอังกฤษก็ยืนยันจนคืนสุดท้ายพอวันรุ่งขึ้นก็ประกาศลดค่าเงินปอนด์ (ปี ค.ศ. 1967) ไม่มีประเทศไหนที่ไปออกทีวีแล้วบอกผมกำลังพิจารณาเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งหากพูดอย่างนั้นคนนั้นก็จะถูกข้อหาประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้ประเทศเสียหายแน่นอน

 วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2540 นั้นเอง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องออกอากาศทางโทรทัศน์เพื่อยืนยันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปิดสถาบันการเงิน 16 แห่งว่า จะไม่มีการปิดเพิ่มเติม รัฐบาลจะรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทเงินทุนทุกแห่งที่ไม่ได้สั่งให้หยุดดำเนินการ และย้ำว่าจะดูแลสภาพคล่องในระบบการเงินให้ดีขึ้น ตลอดจนแจ้งต่อประชาชนว่าการลดค่าเงินบาทเป็นเรื่องง่าย แต่จะมีผลกระทบตามมาอย่างมากเพราะประเทศมีหนี้สินอยู่ถึง 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

 อย่างไรก็ดี มีข้อน่าสังเกตว่า ทำไมธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องให้เปลี่ยนระบบเป็นการลอยค่าเงินบาทในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ทำไมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นไม่แนะนำให้ประกาศลอยค่าเงินบาทเสียตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2540 แทนที่จะประกาศว่า ไม่ลดค่าเงินบาทซึ่งน่าจะอยู่ในวิสัยที่จะทำได้!!?

 วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2540 นายเริงชัย มะระกานนท์ ก็เอาเอกสารรายละเอียดการลดค่าเงินบาทไปมอบให้ท่านที่ตึกบัญชาการ เพื่อให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลงนาม พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เห็นนายเริงชัย มะระกานนท์ เดินเข้ามาถือกระดาษใบหนึ่งจึงถามว่า กระดาษอะไร ก็บอกว่ามาให้ท่านนายกฯ เซ็นลดค่าเงินบาทที พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ จึงกล่าวเอาไว้ในหนังสือโลกสีขาวของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ว่า

 "คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร? ผมถามคุณแล้วนะไม่ลด เสร็จแล้วคุณก็มาลด นั่นแสดงว่าคุณมีเจตนาจะทำลายเกียรติยศชื่อเสียงผม"

 และจุดนี้เองคือเหตุผลอันสำคัญที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ตัดสินใจลาออกในเวลาต่อมา หลังจากที่ได้คลี่คลายสถานภาพความปั่นป่วนจนอยู่นิ่งได้ระดับหนึ่งแล้ว

 แต่เรื่องนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้เพราะแทนที่จะประกาศวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่ได้ประกาศลอยค่าเงินบาทในวันนั้น หรือแม้ในคืนนั้นโดยทันที

 วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่ประกาศอีก โดยให้เหตุผลว่า วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เป็นวันหยุดของธนาคารแห่งประเทศไทย

 วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นวันทำงานแรกหลังปิดงวดบัญชี

 03.00 น. ที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย สี่แยกวังบางขุนพรหม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปิดประตูสำนักงานใหญ่รับผู้มาเยือนก่อนเวลาทำงานปกติ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบสถาบันการเงินที่ถูกสั่งให้เข้ามาประจำการในเวลาดังกล่าว โดยที่เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ทราบว่า ถูกเรียกตัวมาด้วยเรื่องใด

04.00 น. ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ได้รับการติดต่อสายตรงจากเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และเป็นการเรียกตัวผู้บริหารอย่างเร่งด่วนอย่างที่ไม่เคยปรากฏว่า ทางธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกตัวประชุมด่วนในเวลา 06.00 น. เป็นเรื่องสำคัญมากพลาดไม่ได้

การเรียกตัวครั้งนี้ต้องเป็นผู้บริหารหมายเลขหนึ่งคือ กรรมการผู้จัดการธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ถ้าไม่มีต้องเป็นเบอร์สองรองลงมา เพื่อไม่ให้ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์เหล่านั้น ตื่นตระหนกกับการเรียกประชุมอย่างกะทันหัน ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบ ที่มีความคุ้นเคยกับผู้บริหารธนาคารพาณิชย์เหล่านั้น เป็นคนสายตรงเข้าไปเรียก

 ผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 70 ชีวิต ได้รับการชี้แจงจากนายเริงชัย และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนระบบแลกเปลี่ยนเงินตราจากระบบตะกร้ามาเป็นระบบค่าเงินบาทแบบลอยตัว

 จึงได้มีการประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัวเป็นครั้งแรก เช้าวันนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศมีอยู่ประมาณ 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีทุนสำรองสุทธิที่ไม่ติดภาระผูกพันในการส่งมอบเงินตราต่างประเทศในอนาคตอยู่เพียง 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

รวมเวลานับแต่วันที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลงนามให้ลอยค่าเงินบาทจนถึงวันประกาศจริงใช้เวลาประมาณ 2 วันหรือ 48 ชั่วโมง แต่หากนับเวลาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายทนง พิทยะ ได้ประชุมกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 26 มิถุนายน 2540 จนถึงวันลอยค่าเงินบาทรวม 6 วัน หรือประมาณ 144 ชั่วโมง และหากนับวันที่ผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าต้องลอยค่าเงินบาทตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2540 จนถึงวันที่ลอยค่าเงินบาทจริงใช้เวลารวม 11 วัน หรือ 264 ชั่วโมง

ถ้าใครอยากรู้ว่าอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคิดอย่างไรกับเรื่องของเวลากับอัตราแลกเปลี่ยน ต้องมาดูคำสัมภาษณ์ของนายเริงชัย มะระกานนท์ ในหนังสือโลกสีขาว ของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในหน้าที่ 313 ว่า

"การทำงานในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนต้องเป็นความลับสุดยอด เพราะหากใครรู้เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพียง 1-2 ชั่วโมง ก็สามารถหาผลประโยชน์ได้แล้ว เพราะซื้อขายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งนั้น ในเรื่องนี้เราได้ศึกษาและกำหนดเลยว่าเจ้าหน้าที่ที่จะศึกษาวางระบบนี้ต้องเป็นความลับสุดยอด ต้องรู้เลยว่ามีใครบ้างและหากรั่วไหลมีกี่คนที่จะต้องรับผิดชอบ"

 นายเริงชัย มะระกานนท์ มีความเข้าใจในเรื่องเวลากับการประกาศการลอยค่าเงิน และการเก็บรักษาความลับเป็นอย่างดีว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร!!?




ผมก็ไม่รู้น๊ะว่ามันจริงป่าว........ค่อย ๆ คิด อย่าเพิ่งหงุดหงิด

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2007, 09:37 โดย 55555 » บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #163 เมื่อ: 26-09-2007, 15:31 »

เลิกจินตนาการย้อนอดีตกันเหอะ ยังไงก็เปลี่ยนประวัติศาสตร์ไม่ได้
หาเหตุผลมาล้านแปด ทักษิณก็เป็นคนจ่ายอยู่ดี ค่าเงินก็ลอยมาแล้ว
ไฟแนนซ์ก็ปิดไปแล้ว ปรส.ก็ขายถูกๆ ไปแล้ว กู้ไอเอ็มเอฟก็จบแล้ว
แต่กฎหมายเจ้าปัญหากับหนี้กองทุนฟื้นฟูยังอยู่่ เอาเวลามาคิดดีกว่า
ว่าปีหน้าถ้าเน่าจะปฏิบัติตัวยังไง อย่างไรเสียรัฐก็ต้องกระซวกภาษี
เพิ่มอยู่ดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เตรียมพร้อมจะเป็นคนดี จ่ายภาษีเพิ่ม
ให้ครบถ้วนหรือยัง เริ่มจากภาษีใบปลิวรวมเล่มของเสรีไทยนั่นไง
คิดจะจ่ายมั่งยัง หรือทำไม่รู้ไม่ชี้กะเบี้ยวรัฐเฉยๆ ไม่เอาน่า น่าเกลียด
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #164 เมื่อ: 26-09-2007, 18:27 »

ก็ไม่เห็นไปไรนี่......เอามาแปะให้อ่าน...ทำใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องอ่านครับ.....ผมเห็น แถวราชดำเนิน ยังเพ้อเจ้อกันอยู่ ลองไปบอกพวกนั้นบ้างก็ดีน๊ะครับ

อ้อ !  ส่วนเรื่องภาษี เนี่ย...เด๋ว ผมว่าง ๆ จะลองไปถามหุ้นส่วนดูว่า ปี นี้ จ่ายไปถึงล้านยัง....


 

แวะกลับมาแก้ไขอีกหน่อย เพราะลืมโพสต์ อันนี้ไปครับ.....

'ถึงรู้ว่าจะมีวันนี้ ผมก็ต้องรับเป็นประธาน ปรส.' อมเรศ ศิลาอ่อน

อ้างถึง
** แม้จะพ้นจากตำแหน่ง และองค์การเพื่อการปฏิรูปสถาบันการเงิน( ปรส.)จะปิดไปนานแล้ว แต่คดีหรือข้อกล่าวหาต่าง ๆที่เกี่ยวพันกับ ปรส. ก็ยังไม่ได้จบตามไปด้วย เช่นในขณะนี้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ ) อยู่ระหว่างการสรุปสำนวนว่าจะส่งอัยการเพื่อสั่งฟ้อง อดีตประธานกรรมการปรส. นายอมเรศ ศิลาอ่อน หรือไม่
เขาได้ชี้แจงผ่านฐานเศรษฐกิจ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าทำไม รัฐบาลในชุดที่ผ่านมาจึงหยิบประเด็นนี้มาโจมตี,บทสรุปของเรื่องนี้ และหากย้อนเวลาไปได้เขายังอยากจะเป็น ประธานกรรมการปรส. หรือไม่ ,ความจำเป็นในขณะนั้น และภาพมุมมองการเมืองไทยหลังเลือกตั้งที่จะมาถึง.....

**ขั้นตอนขณะนี้ใกล้จบหรือยัง ?

สำหรับผมแล้ว ได้เข้าชี้แจงกับดีเอสไอจบแล้ว ถ้าดีเอสไอยังยืนยันข้อกล่าวหาก็จะส่งสำนวนฟ้องไปยังอัยการ

**ข้อเท็จจริง

ผมได้ชี้แจงกับดีเอสไอ โดยสรุปอย่างนี้ คือหลังจากที่ปรส.ได้ผู้ประมูลสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากปรส. คือ เลห์แมน บราเดอร์ส โฮลดิ้งส์ อิงค์ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2541 ในราคาประมูลซื้อที่ 11,520 ล้านบาทหรือคิดเป็น 46.8% ของยอดเงินต้นคงค้าง หลังจากนั้น 7 วันกำหนดว่าจะต้องมีการทำเซ็นสัญญาครั้งแรกคือในวันที่ 20 สิงหาคม 2541 โดยครั้งแรกนั้นเขาจะต้องจ่ายเงิน 20% ของราคาประมูลซื้อ จากนั้นจึงจะเซ็นสัญญาขั้นสุดท้าย (closing)

แต่ทางดีเอสไอ ได้ตั้งข้อหาว่าการที่ปรส.ไม่ให้เลห์แมน ฯเซ็นสัญญาตัวจริง ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2541 ทำให้เลห์แมนฯมีโอกาสไปตั้งกองทุนรวมโกลบอลไทย พร๊อพเพอร์ตี้ ซึ่งเลห์แมน ฯแล้วนำกองทุนรวม ฯนั้นมาทำเซ็นสัญญาแทน ทำให้ผู้ซื้อไม่ต้องเสียภาษี ตามประกาศของกลต. ที่ออกมาในเรื่องของการตั้งกองทุน 12 ประเภท ระบุว่า หากเป็นการขายสินทรัพย์โดยกองทุนรวมแล้วมีกำไร จะได้รับการยกเว้นภาษี

โดยข้อเท็จจริง จึงเป็นว่ากองทุนรวมได้ตั้งขึ้นตามประกาศของกลต.เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2541 และออกมาก่อนที่ปรส.จะทำการประมูลขายสินทรัพย์ในวันที่ 13 สิงหาคม 2541 และให้ทำสัญญา closing ในเดือนตุลาคม 2541 เมื่อกฎหมายให้สิทธิเขาตั้งกองทุนได้ และก่อนที่จะมีการประมูล ฉะนั้นจะกล่าวหาว่าเราเอื้อประโยชน์ได้อย่างไร

และในเงื่อนไขของปรส. ยังได้ระบุว่า ผู้ที่ประมูลได้ ยังมีสิทธิที่จะโอนสิทธิให้ใครก็ได้ พูดง่าย ๆเมื่อเลห์แมนฯซื้อไป และได้สิทธิการเรียกหนี้จากลูกหนี้ ที่โอนมาจาก 56 บริษัทไฟแนนซ์ที่เป็นเจ้าของสัญญา เลห์แมนฯก็มี สิทธิที่จะโอนสัญญาต่อไปให้ใครเพื่อไปเรียกหนี้ต่อได้ เป็นสิทธิที่จะโอนไปให้บริษัทลูก ( กองทุนรวมโกลบอลไทย ) ผมจึงไม่เข้าใจว่าเราเข้าไปเอื้อประโยชน์ให้ตรงไหน อย่างไร

*เรื่องการโอนสิทธิ

ในเรื่องการโอนสิทธิมีอยู่ 2 อย่างคือ 1. โอนในลักษณะเกณฑ์สิทธิ์ และ 2.โอนในลักษณะเกณฑ์เงินสด ซึ่งหากเป็นการโอนในลักษณะเกณฑ์สิทธิ จะต้องตั้งบัญชีเลยว่ามีกำไร สมมติว่าราคาสินทรัพย์ปรส.อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ผู้ซื้อๆไป 10,000 ล้านบาท เมื่อเกิดการโอนสิทธิแล้ว การลงบัญชีตามประมวลรัษฏากร จะต้องลงบัญชีว่าได้กำไร 10,000 ล้านบาท ตามส่วนต่างของราคาสินทรัพย์กับต้นทุนขายที่เกิดขึ้น

แต่เนื่องจากกรมสรรพากรขณะนั้น ไม่อนุมัติกับวิธีแรก เพราะเห็นว่าเป็นการขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จึงให้ปรส.ใช้ในเกณฑ์เงินสด เช่นสินทรัพย์มูลค่า 20,000 ล้านบาท และผู้ซื้อ ๆไปด้วยต้นทุน 10,000 ล้านบาท ก็จะลงบัญชี 10,000 ล้านบาทตามที่จ่ายเป็นเงินสดออกมา แต่เมื่อขายสินทรัพย์นั้นออกไปในวงเงิน 12,000 ล้านบาท ส่วนต่างกำไร 2,000 ล้านบาท จึงจะเสียภาษี กล่าวคือมีการขายจริงเกิดขึ้นและมีกำไรจึงจะเสียภาษี

ดังนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ว่า การโอนสิทธิ์แบบเกณฑ์เงินสด ในขั้นตอนของปรส.ที่โอนไปยังเลห์แมน ฯ ยังไม่มีกำไร หรือในกรณีที่เลห์แมนฯโอนสิทธิไปยังบริษัทลูกก็ยังไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าบริษัทลูกขายต่อให้นายก. ซึ่งเป็นคนไปเรียกหนี้ต่ออีกทอดหนึ่ง กำไรที่เกิดขึ้นถือเป็นเงินได้ที่ผู้ซื้อจะต้องเสียภาษี จึงเป็นเรื่องของเขาแล้วไม่ใช่ ปรส. ผมจึงไม่เข้าใจว่า หาเรื่องมาเล่นปรส. ไม่ได้แล้วหรือ ถึงมาหาเรื่องตรงเอื้อประโยชน์ภาษี.

*เป็นความจริงว่ารัฐบาลที่แล้วเอื้อให้จริง

อันนี้เป็นเรื่องนโยบายรัฐบาลขณะนั้น การตั้งกองทุนรวมโดย กลต. ก็เพื่อการนี้ มันก็ต้องเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว คล้าย ๆกับว่ารัฐบาลไม่ต้องการที่จะเก็บภาษี เพราะอยากให้สินทรัพย์เสื่อมคุณภาพเหล่านี้ เกิดการเคลื่อนไหวซื้อขายคล่อง และถึงแม้ไม่มีกฎหมายเหล่านี้ เรา(ปรส.) ก็ยังทำหน้าที่ขาย ส่วนใครจะไปเสียภาษีอย่างไร เป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องที่เขาจะต้องไปเสียภาษีเอง ไม่ใช่หน้าที่ของปรส.ที่จะไปตามเก็บ ,ปรส.ไม่มีอำนาจเกี่ยวกับการประเมินภาษี หน้าที่ของเราคือขาย เพื่อให้สินทรัพย์ 700,000-800,000 ล้านบาทที่เน่าอยู่ออกไปอยู่ในมือคนที่จะสร้างทำอะไรต่อ เพราะเก็บไว้เฉย ๆในที่สุดมันก็ยิ่งเสื่อมไวขึ้น

*เล่นงานรัฐบาลชุดก่อน?

มันเป็นนโยบายรัฐบาล ออกมาเป็นกฎหมายแล้ว จะบอกได้อย่างไรว่าใครทำผิด คือถ้าตราบใดรัฐบาลออกเป็นกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน หรือภาครัฐ ก็ต้องทำตามกรอบของกฎหมายจะว่าเขาทำผิดได้อย่างไง ผมไม่เข้าใจ

หรือถ้ากรมสรรพากรเห็นว่าเขา (จากผู้ซื้อขายต่อไปยังบุคคลที่ 3 .)ขายแล้วมีกำไร ก็ตามไปเก็บภาษีเขาซิ ไม่เกี่ยวกับปรส.เลย

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะเขาต้องการหาเรื่อง คุณรู้หรือเปล่า รัฐบาลที่แล้ว ( รัฐบาลทักษิณ ) ตั้งคณะทำงานขึ้นมามากกว่า 10 คณะ เพื่อจะหาเรื่องปรส. แต่ก็หาหลักฐานเอาผิดไม่ได้ จนคณะทำงานเหล่านี้ต้องสลายกันไปเอง เรื่องมันถึงถูกส่งมายังดีเอสไอ เขามีความสามารถในการหาเรื่อง ตั้งข้อหา แต่ข้อหาเหล่านี้มันมีฐานของข้อเท็จจริงอยู่ มีฐานของข้อกฎหมายหรือเปล่า ?

*คิดว่าเรื่องท่านจะลงเอยอย่างไร

ผมไม่มีความเป็นห่วงเรื่องนี้เลย รอดไม่รอดไม่สำคัญสำหรับผมนะ แต่ผมยังเชื่อในพื้นฐานของความยุติธรรมในเมืองไทยว่าจะมี กระบวนการยุติธรรมน่าจะมี เพราะ1.ข้อเท็จจริงไม่มี 2. กระบวนการยุติธรรมมันต้องเห็น ต้องตัดสินออกมาว่าเอออันนี้ไม่น่าจะหาความผิดได้ อย่างที่ผมอธิบายให้ฟังเนี่ยมันมีข้อเท็จจริงอะไรหรือเปล่า ปรส. ไปเกี่ยวข้องอะไรกับภาระภาษี ข้อกฎหมายว่าเรื่องของการที่เลห์แมนเอาบริษัทลูกมาเซ็นสัญญาแทน ก็เป็นสิทธิของเค้า กฎหมายให้สิทธิไว้แล้ว

หรือข้อกล่าวหาที่ว่า ผมไม่ยอมเซ็นสัญญาซื้อขายในวันที่ 20 สิงหาคม 2541 ผมถามหน่อยว่าในการทำสัญญาเนี่ยมีรัฐวิสาหกิจที่ไหนที่ให้ประธานกรรมการเป็นคนเซ็นสัญญา อย่างคุณสะพรั่ง กัลยาณมิตร ( ประธานบอร์ดบริษัทการท่าอากาศยานไทย (ทอท) ) ไปเซ็นสัญญากับใครที่ไหน แล้วท่านทำผิดหรือไม่ ไม่มีประธาน ฯที่ไหนเขาทำสัญญาซื้อของเป็นหมื่นๆล้าน กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ) ประธานเขาไม่เกี่ยวข้อง เพราะมันเป็นหน้าที่ของเลขาธิการหรือกรรมการผู้จัดการ ที่จะต้องเป็นคนไปทำสัญญา แล้วมาฟ้องประธานได้ไง

*คิดว่าทำไมเป็นเรา

เรื่องนี้ต้องใช้หลักธรรมเข้ามาอธิบาย เป็นกรรมเก่าของผม ทั้ง ๆที่เราทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง แล้วมาถูกหาเรื่อง ผมจึงอธิบายอย่างนี้ . แต่ถ้ามองในแง่การเมือง .ผมก็เดาเอาเอง โดยมองว่าฝ่ายตรงข้ามพรรคประชาธิปัตย์ (พรรคไทยรักไทย ) เป็นห่วงว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ จะหยิบยกเรื่องปรส. เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเพราะแก้ปัญหาให้บ้านเมืองหรือไม่ ก็ต้องตีเสียก่อนว่าปรส. มีปัญหา ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็จะนำมายกเป็นผลงานตัวไม่ได้ เป็นวิธีการเมืองซึ่งก็ได้ผลนะ

**ใครทาบเป็นประธานปรส..

คือคุณธานินท์(ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.คลังในรัฐบาลชวน หลีกภัย ) อ้างว่า ผมมีแบล็คกราวด์มากกว่าคนอื่น เพราะผมเคยเป็นประธานในชุดของคณะกรรมการกำกับควบโอน 56 ไฟแนนซ์มาก่อน ๆที่มาเป็นปรส. และที่สำคัญตอนที่ผมรับปาก รับเพราะแต่แรก ดร.โกร่ง ( ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ) มาพูดกับผม เพราะ 56 ไฟแนนซ์มันล้มหมดแล้ว เค้าหาคนที่เก่งและที่ไม่เกี่ยวข้องกับ 56 ไฟแนนซ์เกือบไม่ได้ คนที่รู้เรื่องการเงินไม่เหลือแปดเปื้อนไปหมดและคุณรู้ไหมว่าตอนนั้น เรามีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 5,000-6,000 ล้านดอลลาร์ ฯ เท่ากับการนำเข้าเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น เขา(ดร.โกร่ง) บอกว่าทุนสำรองเหลือแค่อาทิตย์เดียว นั่นหมายความว่าประเทศเจ๊งแล้ว จะเปิดแอลซียังไม่ได้ ถ้าเกิดต่างประเทศ แบงค์เมืองนอกรู้ขึ้น ทุกอย่างจบแน่ ผมจึงได้รับไว้ ไม่อย่างงั้นก็ไปอังกฤษแล้ว[/b]

*คิดไหมว่าจะมีวันนี้

ไม่คิด แต่ถึงรู้ว่ามีวันนี้ ก็ต้องรับเพราะว่าในขณะนั้นสถานการณ์บ้านเมืองมันวิกฤติจริง

-มองภาพการเมืองหลังเลือกตั้งอย่างไร

ผมไม่ตามเรื่องการเมือง แม้ผมจะเคยสัมผัสมาบ้าง แต่การเมืองเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่มีอะไรต่างกับปัจจุบัน อีกอย่างการเมืองหลังการเลือกตั้ง ผู้นำ จะส่งผลต่อบ้านเมืองหรือไม่นั้น ถ้าในภาวะที่วิกฤติ การได้ผู้นำที่ดี ก็น่าจะทำให้บ้านเมืองก้าวกระโดดพุ่งไปข้างหน้าได้ แก้ปํญหาให้ประเทศชาติได้ หรือถ้าได้ผู้นำไม่ดีมันก็อาจทรงไปเรื่อยๆ หรือเลวลง แต่ถ้าสถานการณ์บ้านเมืองยังไปแบบเรื่อยๆ เช่นนี้ ใครจะมาเป็นผู้นำผมว่ามีค่าเท่ากัน และหากจะหาทางแก้ไข ต้องแก้ที่คน ไม่ต้องไปแก้ที่ไหน เรื่องกฎหมาย เรื่องรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย แม้แต่พุทธศาสนาที่จะให้เข้าไปบรรจุในรัฐธรรมนูญ มันไม่มีความหมาย ถ้าเผื่อคน 95% บอกว่าเป็นพุทธ แต่ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอะไรมันก็จบแล้ว ไปถามเด็กดูสิว่ากี่เปอร์เซอร์ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร

*ปัจจุบันทำไรอยู่

ตอนนี้ผมก็ช่วยการศึกษาอย่างเดียว ไม่เอาเรื่องอุตสาหกรรม เรื่องการเมือง เรื่องธุรกิจเรื่องอะไรต่างๆไม่ตามไม่สนใจเลย เรียกว่าปล่อยวาง แล้วมาช่วยเรื่องการศึกษา ผมเป็นกรรมการอยู่ที่สภาการศึกษา กรรมการอยู่ 2 มหาวิทยาลัย และเป็นกรรมการกลุ่มต่างๆที่เขาขอให้มาช่วยเรื่องการศึกษา

แล้วก็มีอาชีพใหม่คือเรียนอภิธรรม ซึ่งก็คือพระโตรปิฎก ที่มีอยู่ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือวินัยปิฎก สองสุตันตปิฎก เป็นเรื่องที่พระอานนท์เล่าว่าพระพุทธเจ้าไปที่ไหนสอนใคร สอนว่าอะไร เป็นธรรมมะสำหรับคนธรรมดา เรื่องสามเรียกว่าอภิธรรมปิฎก ธรรมมะขั้นสูง ซึ่งป็นเรื่องรากฐานของคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดในเชิงทฤษฎี ผมฝึกกรรมฐานมา 20 กว่าปีแล้ว แล้วก็อภิธรรมเพิ่งไปเรียนเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา อภิธรรมนี่เป็นเรื่องของการปฏิบัติเรื่องกรรมฐาน โดยศาสนาพุทธต้องมี 2 อย่างคือทางทฤษฏี และปฏิบัติ


ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียด และไม่ค่อยได้ติดตาม...เรื่อง ปรส.เท่าไหร่นัก...แต่แปลกใจ ว่า นายอมเรศ ศิลาอ่อน พูดเหมือน..กับเคยทำงานในรัฐบาลชวลิต...ดร.โกร่งเป็นคนชวนเข้ามาซะด้วย

 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-09-2007, 18:48 โดย 55555 » บันทึกการเข้า
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #165 เมื่อ: 08-10-2007, 22:33 »

*  ขุด .............  กระทู้ นี้ขึ้นมาอีกรอบ

    ตายแล้วววววววว ....  ทำไม  ชอบแถ  ไม่ตอบคำถามพี่เค๊าละนั้น  !!!
   


บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #166 เมื่อ: 08-10-2007, 22:40 »

*  ขุด .............  กระทู้ นี้ขึ้นมาอีกรอบ

    ตายแล้วววววววว ....  ทำไม  ชอบแถ  ไม่ตอบคำถามพี่เค๊าละนั้น  !!!
   





ก็ที่ ไอแก๊สมันหายไปพักนึง เพราะโดนพักงานจากเรื่องนี้ไง  โดนหักเงินตั้งหลายปอนแหนะ วันนี้มันเลยมาทำOT
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #167 เมื่อ: 11-10-2007, 01:27 »

ขุดมาให้แถ
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
sanskritshower
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 245



« ตอบ #168 เมื่อ: 11-10-2007, 09:40 »

มาช่วยขุด
บันทึกการเข้า
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #169 เมื่อ: 20-11-2007, 17:41 »

เห็นบอกว่าชอบไอ้เหลี่ยม

เห็นชอบบอกว่าไอ้เหลี่ยมปลดหนี้ IMF

ก็เลย ขอขุด ขึ้นมาให้ไอ้แก๊ส มันแถ อีกรอบ


รีบๆ แถ นะแก๊สนะ รีบๆทำแต้ม จะเลือกตั้งแล้ว
 


 
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
stromman
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 526



« ตอบ #170 เมื่อ: 20-11-2007, 22:16 »

จขกท ล้าหลังเหมือนเดิม เดี๋ยวนี้เค้าจะมาเล่นไฮโดรเจนแล้ว เติมน้ำเอา 
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #171 เมื่อ: 20-11-2007, 22:50 »

เห็นบอกว่าชอบไอ้เหลี่ยม

เห็นชอบบอกว่าไอ้เหลี่ยมปลดหนี้ IMF

ก็เลย ขอขุด ขึ้นมาให้ไอ้แก๊ส มันแถ อีกรอบ


รีบๆ แถ นะแก๊สนะ รีบๆทำแต้ม จะเลือกตั้งแล้ว
 


 



ถ้าจะทำบุญให้เขามากกว่านี้.....
ต้องนำไปตั้งเป็นกระทู้ที่ห้องราชดำเนิน หรือ ห้องสังคมและการเมือง...
พรรคพวกของเขา จะได้อ่านประโลมใจด้วย......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #172 เมื่อ: 21-11-2007, 01:58 »

นาย "แก๊ส" "แถ" 2 หน้าแล้วยังไม่ยอมเข้ามุม

ผมรอคุณ "จี" มาปิด "กระทู้ อยู่ครับ

แต่ขอให้นาย "แถ" ตอบคุณ "จี" ให้ครบทุก "เม็ด" หน่อย

ที่เอามา "แปะ" ไม่เห็นจะตรงประเด็นเลยว่ะ

ขนาดตามไปอ่านใน "ลิงค์" มันก็คนละเรื่องเดียวกัน

เสียเวลา ฉิบห่ะ..

เอาเป็นว่านาย "แก๊ส" ช่วย "แก" กับคุณ "จี"

สดๆได้เปล่า เอามาแปะ "มั่ว" เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น

แล้วให้ชาวบ้านตามไปอ่านใน "ลิ้งค์" (ไร้สาระ)

เหมือนที่ไอ้ "หมากปาก***"

ที่ไม่ยอมตอบคำถามนักข่าว

แต่กลับไล่ให้ไป "เสพเมถุณ"

ทำตัวแบบนี้ก็สมควรแล้วที่ใครๆ

ในนี้เขาเรียกนายว่า...
   







"แถ"




     
บันทึกการเข้า

 
aoporadio
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 404


« ตอบ #173 เมื่อ: 21-11-2007, 20:05 »

ถามจริงๆเถอะนะ

ใบบอกนี่ เขียนใว้ว่า 2 อาทิตย์ที

 ให้ตั้งกระทู้เรื่องนี้ 1 กระทู้ใช่ป่าว



ไอ้แผ่นเสียงตกร่อง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4]
    กระโดดไป: