๑ กันยายน ๒๕๕๐
ขอคารวะแด่ดวงวิญญาณของนักต่อสู้เพื่อพงไพร "สืบ นาคะเสถียร"
วันนี้ข้าน้อยมีภารกิจด้านการศึกษาที่ต้องดั้นด้นมาหาบรมครูถึงกรุงเทพฯ ก็เลยต้องตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่
นั่นคือ ตั้งแต่ตี ๒ กว่าๆ เพื่อจะออกเดินทางจากสุรินทร์ตอนตี ๓
เดินทางมากัน ๒ คนโดยพาหนะของเพื่อนข้าน้อย เดินทางได้สักพักใหญ่ๆ ข้าน้อย ก็เกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมา ขออนุญาตหลับก่อน โดยปล่อยให้โชเฟอร์ทำงานตามลำพัง
มาตื่นเอาอีกทีก็เกือบถึงสระบุรี ถึงเวลาเปลี่ยนสารถี
๘ นาฬิกาเศษๆ ข้าน้อย ได้นำพายานพาหนะเข้าสู่เมืองหลวงโดยสะดวกโยธิน ผ่านทางลอยฟ้า เลาะลงมาย่านสะพานควาย เข้าสู่ที่พักซึ่งมีชื่อเหมือนดาราดาวค้างฟ้าของฮอลลีวู้ด
เช็คอินเรียบร้อย ถึงห้องข้าพเจ้าก็ผลอยหลับไปอีกงีบหนึ่งเพราะยังมีเวลาเหลือ ซึ่งเวลาที่ต้องไปพบบรมครูคือ ๑๐.๐๐ น.
๙.๓๐ เพื่อนข้าน้อย ก็ปลุกให้ข้าพเจ้าตื่นจากการกำลังจะเข้าสู่ภวังค์พอดี เข้าห้องน้ำจัดแจงแต่งตัว ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาทีก็ถึงบ้านบรมครู อยู่ใกล้ๆ ที่ทำการพรรคการเมือง
แห่งหนึ่งแถวๆ สามเสนใน แวะกินข้าวแถวๆ นั้นก่อนเข้ารับความรู้
๑๐.๒๐ พบบรมครู รับความรู้และแลกเปลี่ยนกันพอหอมปากหอมคอ โดยอาการของเราทั้งสองยังมึนๆ อยู่ จากการตื่นเช้าเกินเหตุและเดินทางไกลมาถึงนี้ ท่านเลยให้เราพักผ่อนกลางวันยาวเป็นพิเศษ ๒ ชั่วโมง
อะฮ่า ที่ไหนได้ นักเรียนโข่ง ๒ คนกลับใช้เวลานั้น ไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว โดยข้าน้อย นำฟิล์มเก่าเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่เพิ่งหาเจอ ไปอัดแถวๆ นั้น เพราะที่สุรินทร์บ้านข้าน้อย ราคาแพงเหลือหลาย
๑๓.๓๐ หลังจากเตร็ดๆ เดินด้อมๆ มองๆ ในห้าง ดูความหลากหลายที่ไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้ว พอได้เจริญตาเจริญหู ก็เดินทางไปรับความรู้ต่อ นักเรียนโข่ง ๒ คน ลองแวะกินอาหารที่บริเวณพรรคการเมืองนั้น ขนมจีน ๒ จาน กาแฟ ๒ แก้ว น้ำ ๑ ขวด น้ำแข็งเปล่า ๒ แก้ว ๑๖๐ บาท แพงแท้หนอ สงสัยข้าน้อยจะไม่เลือกพรรคนี้แน่ๆ สมัยหน้า เพราะอาหารแพงเกินไป ขืนเลือกเข้าไปชาวบ้านเดือดร้อนแน่ (ฮา)
๑๔.๒๐ รับความรู้ แลกเปลี่ยนจนกระทั่ง ๑๖ นาฬิกา บรมครูเห็นว่าพวกเราเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับรู้แล้ว ก็ปล่อยให้พวกเราไปพักผ่อน แต่ยังไม่วายให้หนังสือเรามาอ่านเป็น การบ้านเพื่อจะไปแลกเปลี่ยนอีกในวันพรุ่งนี้ ให้อ่านเรื่องของ มหาตมะ คานธี
๑๖.๓๐ กลับถึงที่พัก นอนให้หายเพลีย ก่อนที่เราทั้งสองจะแยกกันไปปล่อยแก่ โดยเพื่อนข้าน้อย ขอไปดูคอนเสิร์ตวงโปงลางสะออนที่เปิดการแสดงวันนี้พอดี ส่วนข้าน้อย ขอไปด้อมๆ มองแถวพันทิพย์พลาซ่า ก่อนไป โทรไปหาเพื่อนเก่าสมัยมัธยมว่าจะนัดกินข้าวเย็นกัน คนหนึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ อีกคนเป็นหมอ แต่วันนี้ดันติดราชการไปนครพนมเลยไม่เจอกัน และก็คาดว่าจะไม่เจอกันอีกสักปี เพราะเพื่อนจะไปรับหน้าที่ที่องค์การอนามัยโลกที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ นู้น
๑๗.๐๐ เดินเท้าราว ๑ ก.ม.จากที่พักไปสถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย ใช้เวลาไม่มากนักก็ถึงสถานีราชเทวี เพื่อจะเดินเท้ามาราธอนไปที่พันทิพย์ รับรู้ถึงภาวะมลพิษ ข้าน้อย หายใจไม่ค่อยสะดวกนัก กว่าจะปรับสภาพได้ ก็เกือบถึงพอดี
พูดถึงความเจริญด้านเทคโนโลยีแล้วเมืองกรุงฯ ได้เปรียบบ้านนอกเสมอ แต่ว่ามีบางอย่างที่ข้าน้อยเพิ่งรู้ว่า เทคโนโลยีบางอย่างที่ข้าน้อยใช้อยู่ในตอนนี้ คนในกรุงฯ ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
ข้าน้อย ซื้อสินค้า ๒-๓ ชิ้น ซึ่งสนนราคาถูกกว่าที่บ้านข้าน้อย กว่าครึ่ง เดินจนเหนื่อยและหิว หมดแรงขนมจีนราคาแพง แวะซื้อคูปองเพื่อแลกอาหาร จ่ายไป ๔๐ บาท ไม่ได้ดูให้ละเอียด เขาให้มา ๓๕ บาท จะไปต่อว่าก็คงโดนแน่ เพราะดันไม่ดูตอนรับมา...
๑๘ นาฬิกาเศษ โทรไปบอกเพื่อนว่า ปวดหัว คงพักผ่อนไม่พอ เลื่อนนัดโดยไม่มีกำหนด มาคราวหน้าค่อยเจอกัน ออกมาจากพันทิพย์เพื่อจะมาต่อรถเมล์ไปแถวๆ อโศกเพื่อลงรถไฟฟ้าใต้ดินไปรับรูปที่อัดไว้แถวๆ หน้าเซ็นทรัล
ไม่คิดว่าความจำตัวเองจะเสื่อมหรือเลอะเลือนขนาดจำสายรถเมล์ผิด ไปขึ้นสาย ๖๒ นะสิ มันไม่ผ่าน ต้องขอบคุณกระปี๋ที่ใจดีไม่เก็บค่ารถ แต่กว่าจะผ่านสะพานข้ามแยกได้ก็นานพอสมควร ในรถได้เห็นและไม่เห็นน้ำใจของผู้โดยสาร บนรถมีผู้โดยสารหญิงยืนอยู่ด้านหน้ารถ ๒ คน ทั้งรถมีคนยืนอยู่ ๓ คนรวมข้าน้อย สักพักผู้หญิงที่ยืนถัดจากข้าน้อย ไป ตะโกนบอกผู้โดยสารหญิงที่ยืนหน้าสุดว่ามีที่นั่งว่าง ข้าน้อย แปลกใจว่าทำไมเธอถึงตะโกนบอก จากนั้นกระปี๋ก็เดินไปประคองผู้หญิงที่ยืนข้างหน้าเพื่อไปนั่งข้างหลัง
เธอเป็นโปลิโอครับ ส่วนผู้โดยสารที่นั่งตรงที่เธอยืนนั้น หันหน้าออกไปทางหน้าต่างตลอด แต่ก็เดินไม่ถึงแถวหลังหรอกครับ มีผู้โดยสารที่นั่งตรงกลางลุกให้ก่อน
นี่แหละที่ข้าน้อย เห็นและไม่เห็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาโลก
พอข้ามสะพานมาลงอีกฝั่งหนึ่ง ข้าน้อย ก็ลงมาต่อรถอีกครั้ง รถเมล์เล็กสาย ๑๑ มาพอดี คนไม่แน่นมากนัก มีผู้โดยสารที่นั่งอยู่ยื่นมือมาช่วยถือของข้าน้อย แต่ข้าน้อย ปฏิเสธพร้อมกล่าวขอบคุณเพราะยืนไม่นานนัก
ว่าแต่ก็มีเรื่องตื่นเต้นอีกจนได้....
เมื่อบนถนนมีรถเข็นคันหนึ่งที่ไม่รู้สึกรู้สากับการจราจรในเมืองหลวง ก็เข็นอย่างสบายใจละครับ ตามหลังรถเข็นมีรถเก่งคันงามที่ยักแย่ยักยันไม่ยอมแซงเสียที คราวนี้ โชเฟอร์รถเมล์ก็เปิดไฟไล่สิ และเร่งเครื่องจะแซง เป็นเรื่องครับ รถเก่งคันนั้นทำท่าไม่ยอม ก็ขับเบียดออกมา รถเมล์ก็ยิ่งโมโห เร่งเครื่องจะแซง ขับไล่กันกันพี่น้องบองปะโอน ผู้โดยสารมองหน้ากันเลิ่กลัก
กระปี๋ที่ยืนข้างๆ ข้าน้อยตะโกนด่าครับ หลายคำ เต็มหูข้าน้อยเลยครับ ไม่สามารถออกอากาศได้ โชเฟอร์ดูเหมือนไม่ได้ยิน ยิ่งเร่งความเร็วเข้าไปอีก รถเก่งก็ดูเหมือนจะรู้ว่าโชเฟอร์รถเมล์มีอารมณ์ก็ยิ่งขับปาดอีก
โห...ข้าน้อยละยอมใจคนกรุงบางส่วนจริงๆ
สุดท้ายมีผู้โดยสารลง รถเมล์จึงจอด อารมณ์ก็เย็นลงเนื่องจากคู่กรณีก็หายไปแล้วตอนรถจอด ส่วนข้าน้อยไปลงที่ป้ายตรงข้าม มศว. และเดินย้อนกลับมาสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สังเกตเห็นว่าสถานบันเทิงแห่งหนึ่งที่อยู่ป้ายรถเมล์ปิดไปแล้ว และมีร้านเนื้อย่างที่คนกินเยอะพอสมควรเปิดอยู่แถวๆ นั้นแทน
ทุ่มเศษๆ หลงซ้ำสอง
ข้าน้อยจะไปแถวลาดพร้าว ก็เลยดูราคาค่าโดยสารตรงสถานีที่เขียนว่าลาดพร้าวครับ พอรถออกได้สักพัก อ่านดูป้ายสถานีที่ติดตรงประตู มีลาดพร้าว--พหลโยธิน เอาละสิ ซื้อตั๋วผิดอีกแล้ว พอถึงสถานีลาดพร้าวก็ไม่ลง ที่ถูกต้องคือข้าน้อยต้องไปลงสถานีพหลโยธิน ต้องไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ออกตั๋ว เขาแนะนำให้เอาเหรียญไปหยอดก่อนเพื่อให้แจ้งราคาที่ต้องจ่ายเพิ่ม ข้าน้อยต้องจ่ายเพิ่มอีก ๒ บาท จึงออกจากสถานีได้ เฮ้อออออออ
ต้องเดินข้ามสะพานลอยไปร้านถ่ายรูป เป็นภาพเมื่อครั้งข้าน้อยรับปริญญามหาบัณฑิตที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและภาพที่ข้าน้อยเคยไปเป็นครูอยู่สหรัฐอเมริกาเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว, ภาพมุมสูงจากประตูชัยเมืองเวียงจันทน์ สปป.ลาว เมื่อ ๑๕ ปี มีโอกาสไปอีกล่าสุดเมื่อปีกลาย บรรยากาศเปลี่ยนไปมาก ก็เลยกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ไปแล้วเช่นดียวกันกับภาพตลาดสดที่ศีขรภูมิบ้านข้าอน้อยเมื่อ ๑๘ ปี ภาพเลยดูไม่ค่อยสดใสนัก เป็นฟิล์มสไลด์และฟิล์มสีที่ข้าน้อยเพิ่งหาเจอ
ราวๆ ๒๐ นาฬิกา ก็เสร็จภารกิจย่านลาดพร้าว นั่งรถเมล์สาย ๓๙ มาลงสะพานควาย ซื้อแตงโมกับสับปะรดที่คนเข็นขายแถวๆ บิ๊กซี ไหนๆ มาถึงนี้แล้วก็เลยเดินเข้าไปดู อาการปวดหัวก็ยังอยู่ เดินหาร้านขายยาจนเจอ ได้ยาแก้ปวดมาแผงหนึ่ง
ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามเพื่อกลับที่พัก เจอแผงหนังสือเก่า เจอหนังสือถูกใจ ๓ เล่มที่มีไว้เพื่อข้าน้อยโดยเฉพาะ
กอล์ฟกีฬาอ่านสันดานคน ของ สุจินต์ จันทร์นวล ข้าน้อย กำลังหัดเล่นแบบงูๆ ปลาๆ อยู่พอดี
โจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวล ของ ริชาร์ด บาก แปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยอ่านและมีเก็บไว้ตั้งแต่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว เสียดายหนังสือที่เห็นก็ซื้อมาเก็บไว้อีก และอ่านด้วย
คิดนอกรีต Creativity กำลังใจสำหรับผู้คิดแตกแถว โดย Osho ข้าน้อย เป็นคนที่ชอบคิดนอกรีตอยู่เป็นนิตย์
หนังสือ ๓ เล่มนี้ วางไว้สำหรับข้าน้อย จริงๆ สนนรวม ๑๐๐ บาท
๒๐.๔๐ มาถึงห้อง ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่อง
"หนึ่งวันในบางกอก" หรือ
"One day in Bangkok" เพราะนึกถึงเพลง
Night in Bangkok ของน้าแหลม มอริสัน และโพสต์ลงใน blog ปรากฏว่า เทคโนโลยีที่กรุงเทพฯ ยังไม่ทันสมัยเท่าที่สุรินทร์ นั่นคือระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายของ CatCDMA ที่ข้าน้อย ใช้อยู่เป็นประจำอยู่บ้านนอก แต่ที่กรุงเทพฯ ใช้ไม่ได้ ข้าน้อย อุตส่าห์หอบหิ้วมาด้วย สุดท้ายก็ต้องมาพึ่งเทคโนโลยียีมือถือแบบเดิมๆ
๒๒.๓๐ เขียนเสร็จพอดี ง่วงด้วย พิมพ์ผิดพิมพ์ถูก ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ขอรับ
ด้วยจิตคารวะ