โกง 500 ล้าน ติดคุกตลอดชีวิต...ถ้าโกงเป็นหมื่นล้าน...? 18 กันยายน พ.ศ. 2550 00:00:00
ก่อนศาลตัดสิน โจเซฟ เอสตราดา อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ จำคุกตลอดชีวิตในข้อหา "ปล้นชาติ" (plunder) นั้น วงการเมืองหวั่นเกรงกันว่าชนชั้นกลางและคนยากไร้ที่เคยเห็นเขาเป็น "ขวัญใจคนจน" จะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านคำพิพากษาของศาล
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สื่อที่นั่นเรียกกรณีนี้ว่าเป็น "คดีแห่งศตวรรษ" และเจ้าหน้าที่ต้องส่งทหาร และตำรวจกว่า 6 พันนายไปประจำการตามท้องถนน เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้น
ประธานาธิบดี กลอเรีย อาร์โรโย เตรียมรับมือสถานการณ์รุนแรงด้วยการยกเลิกภารกิจทั้งหมดของเมื่อวันพุธที่แล้วอันเป็นวันพิพากษา โดยที่ตัวเธอเองปักหลักอยู่ที่ทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อคอยรับฟังความเคลื่อนไหวทุกนาที
โดยที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้นำของประเทศอย่างเข้มแข็งกว่าปกติ เพราะหวั่นว่าจะเกิดเหตุร้ายที่รัฐบาลอาจจะต้องรับมืออย่างฉับพลันทันที
แต่แล้วเมื่อคณะผู้พิพากษาตัดสินให้จำคุกอดีตประธานาธิบดีคนนี้ เพราะมีหลักฐานมัดแน่นว่าได้ "ปล้น" ประเทศชาติไปไม่น้อยกว่า 735 ล้านเปโซ หรือประมาณ 550 ล้านบาทในรูปของการโกงกินเงินหลวง และรีดไถเงินจากคนวงการต่างๆ ก็หาได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นตามที่รัฐบาลหรือสื่อคาดการณ์ล่วงหน้าแต่อย่างไรไม่
คนกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้สนับสนุนเอสตราดา ไปรวมตัวกันอยู่ที่หน้าศาล เมื่อมีการอ่านคำพิพากษาแล้วก็แสดงความเสียใจตามฟอร์ม เสร็จแล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากชาวบ้านร้านถิ่นโดยเฉพาะในหมู่คนยากจนตามสลัมของกรุงมะนิลา ที่เคยประกาศว่า เอสตราดา คือ "วีรบุรุษ" ของพวกเขา นักการเมืองที่เคยอยู่ในค่ายของ เอสตราดา และแม้แต่ที่เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของเขาต่างก็ได้กระโจนหนีออกไปไกลแสนไกลแล้ว ไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มการเมืองหรือไม่ก็ไปร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่อยู่คนละข้างกับเอสตราดา
เพราะฟิลิปปินส์ กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอีกสามปีข้างหน้า...และไม่มีนักการเมืองคนไหนต้องการจะมีรอยแปดเปื้อน ด้วยการแสดงจุดยืนอยู่ข้างอดีตผู้นำที่ได้ชื่อว่า ปล้นชาติปล้นแผ่นดิน อย่าแปลกใจที่ปฏิกิริยาของ เอสตราดา คือ "
คำตัดสินที่ออกมาอย่างนี้ เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะข้าพเจ้ายืนยันว่า บริสุทธิ์และไม่เคยกระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงแต่ประการใด "
ผมคงไม่ต้องบอกว่า กรณีของเอสตราดาทำให้คนไทยนำเอามาเปรียบเทียบกับการเมืองไทยในยามนี้อย่างน่าทึ่ง...เกือบจะเป็น "สำเนา" เดียวกัน..
และถ้าหากคำว่า rule of law หรือหลักการ นิติรัฐ ดำเนินไปตามอย่างที่ควรจะเป็น ตอนจบก็ควรจะต้องเหมือนกันเช่นกัน ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยมีใครในฟิลิปปินส์เชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมที่นั่น จะสามารถลงโทษเอสตราดาได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ เพราะกรณีของอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่ "ปล้นชาติ" อย่างหนักหน่วงและรุนแรงกว่านี้หลายร้อยเท่า (ทุกวันนี้ ยังตามไล่ล่าสมบัติของชาติที่ตระกูลมาร์กอสฉ้อฉลไป)
ที่สอบสวนและขึ้นศาลกันมากว่า 20 ปี ก็ยังไม่สามารถจับใคร ในกลุ่ม "อำนาจเก่า" นั้น ติดคุกได้แม้แต่คนเดียว ทุกวันนี้ อีเมลดา มาร์กอส ภรรยาของมาร์กอส ก็ยังเป็น "ไฮโซ" ทางการเมือง ที่สามารถกรีดกรายไปมาในสังคมได้อย่างหน้าตาเฉย และลูกๆ หลายคนของเธอก็ได้รับเลือกเข้าไปในสภาด้วยซ้ำ ดังนั้น คำพิพากษาของศาลฟิลิปปินส์ที่ให้จำคุกเอสตราดา (ปีนี้อายุ 70) ตลอดชีวิตครั้งนี้จึงทำให้เกิดความหวังว่าการเมืองของประเทศนี้ จะเริ่มต้นเดินหน้าใหม่ด้วยกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระ กล้าหาญ และแข็งแกร่งกว่าเดิม เพราะไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและการเงินของผู้มีอำนาจในประเทศอย่างที่เป็นมาตลอด วันนี้ เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ ฟื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่า การเมืองมีความสะอาดสะอ้านสมบูรณ์แล้ว แต่เขาก็มีความมั่นใจพอสมควรว่า การกระทำใดๆ ของนักการเมืองที่จะใช้อำนาจเพื่อเบียดเบียนงบประมาณแผ่นดินเข้ากระเป๋าตัวเอง หรือของพรรคพวกนั้นจะต้องได้รับการลงโทษที่สาสม แม้จะต้องใช้เวลาในการสืบสวน สอบสวน และไต่สวนตามกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ใช่ศาลเตี้ยก็ตาม
ความจริงไทยเราก้าวล้ำนำหน้าฟิลิปปินส์ในเกือบทุกด้านมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ความฟอนเฟะของระบอบทักษิณ ซึ่งทำให้เกิดการปฏิวัติที่ตามมานั้น ทำให้ไทยสะดุดไปจนกำลังเห็นชัดว่า อาจจะตามหลังฟิลิปปินส์ด้วยซ้ำไป ประวัติศาสตร์ยืนยันเสมอว่า ประเทศใดที่มีการปกครองตามหลักการนิติรัฐ หรือ rule of law อันหมายความว่า กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์และไม่เลือกปฏิบัติ เศรษฐกิจและสังคมของประเทศนั้น ก็จะเจริญรุดหน้าอย่างแน่นอน
เมื่อการเมืองของเราเน่าเหม็น และคอร์รัปชันครองเมือง เศรษฐกิจ และสังคม (ที่เราถูกหลอกว่าเยี่ยมยอดเหนือเพื่อนบ้านสมัยประชานิยม) ก็เสื่อมทรุดอย่างหลีกหนีไม่พ้นอย่างที่เห็นกัน
เอสตราดา "ปล้น" ชาติปล้นประชาชนของเขาน้อยกว่าที่เป็นคดีในเมืองไทยหลายร้อยเท่ายังติดคุกตลอดชีวิตเลย...ใช่หรือไม่? (เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ blog ของผมที่
www.oknation.net/blog/black ตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/18/WW12_1238_news.php?newsid=102981 1. "
คำตัดสินที่ออกมาอย่างนี้ เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะข้าพเจ้ายืนยันว่า บริสุทธิ์และไม่เคยกระทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงแต่ประการใด "
2.
ทุกวันนี้ อีเมลดา มาร์กอส ภรรยาของมาร์กอส ก็ยังเป็น "ไฮโซ" ทางการเมือง ที่สามารถกรีดกรายไปมาในสังคมได้อย่างหน้าตาเฉย และลูกๆ หลายคนของเธอก็ได้รับเลือกเข้าไปในสภาด้วยซ้ำ 3.
ความจริงไทยเราก้าวล้ำนำหน้าฟิลิปปินส์ในเกือบทุกด้านมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ความฟอนเฟะของระบอบทักษิณ ซึ่งทำให้เกิดการปฏิวัติที่ตามมานั้น ทำให้ไทยสะดุดไปจนกำลังเห็นชัดว่า อาจจะตามหลังฟิลิปปินส์ด้วยซ้ำไป 4.
เอสตราดา "ปล้น" ชาติปล้นประชาชนของเขาน้อยกว่าที่เป็นคดีในเมืองไทยหลายร้อยเท่ายังติดคุกตลอดชีวิตเลย...ใช่หรือไม่? คนรักทักษิณ จำเลยหนี"หมายจับ"ของศาลฏีกา ศาลยุติธรรมไทย อ่านแล้วรู้สึกสับสน งงงวย
เพราะคุณ"กาแฟดำ" แสดงความคิดเห็นแตกต่างกับ"ใบบอก"ของทักษิณ กลุ่มอำนาจเก่าอย่าง"ขาวกับดำ"......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่าปล. 5.
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากชาวบ้านร้านถิ่นโดยเฉพาะในหมู่คนยากจนตามสลัมของกรุงมะนิลา
ที่เคยประกาศว่า เอสตราดา คือ "วีรบุรุษ" ของพวกเขาข้อนี้ทักษิณอาจจะแตกต่างกับเอสตราดา เพราะทักษิณยังมีเงินจากการคอร์รั่ปชั่น
ผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตทางนโยบาย ฯลฯ ที่จะจ่ายให้"รากหญ้า" และ "บริวาร" อีกหลายก๊อก หลายท่อ.....