SKRPT
น้องใหม่
ออฟไลน์
กระทู้: 2
|
|
« เมื่อ: 25-07-2007, 22:45 » |
|
จากข่าว- นายฉลองภพ กล่าวยอมรับว่า การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. อาจมีผลขาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาขาดทุนไปแล้ว 170,000 ล้านบาท แต่ถือเป็นการดูแลไม่ให้ภาพรวมเศรษฐกิจมีปัญหา โดยจะต้องดูต้นทุนภาพรวมของประเทศมากกว่าต้นทุนของ ธปท. http://www.innnews.co.th/biz.php?nid=51072 ความเห็นเจ้าของกระทู้ - เงิน 1.7 แสนล้านขาดทุนมากเกินไป รมต.คลังและผู้ว่าการ ธปท.ดูเหมือนขาดประสพการณ์ ในการแก้ปัญหาของประเทศ เนื่องจากมาจากระบบราชการ โดยเฉพาะขาดวิสัยทัศน์ที่จะคิดหาวิธีการใหม่ๆที่จะป้องกันความเสียหายของประเทศชาติ ทำให้กลับตามแก้ไขซึ่งอาจจะถูกกองทุนนอกประเทศลวงให้เปิดช่องว่างโจมตีค่าเงินบาทประเทศเราได้อีกเหมือนในอดีต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jrr.
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 26-07-2007, 00:46 » |
|
แหะ แหะ.....อย่าหลงลมปากนักการเมือง เขามีวิธีพูด....ให้คนคิดเข้าใจตามที่เขาต้องการ พูดจากหนัก ให้เป็นเบา...ยังไงก็ได้ 170,000 ล้านที่ว่าน่ะ....เป็นเงินที่ปิ๋วไปแล้วจริงๆ ตามที่ใช้ไป แต่....ที่ยังขาดทุนตามเงินดอลล์ที่แบกอยู่น่ะ....ยังม่ายด้ายบอกน่ะ !!! ก็ที่ชอบพูดเก๋ๆว่า....ขาดทุนเพียงตัวเลขตามบัญชีไง !!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kman
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 26-07-2007, 01:22 » |
|
ถ้าจำไม่ผิดตอนที่รัฐบานนี้ตั้งได้สักพักมันยังคุยว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ไม่ใชรึ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 26-07-2007, 08:27 » |
|
ถ้าจำไม่ผิดตอนที่รัฐบานนี้ตั้งได้สักพักมันยังคุยว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ไม่ใชรึ
จำผิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 26-07-2007, 08:34 » |
|
อาทิตย์ที่แล้ว ดร.โกร่ง กับ ดร.โอฬาร ขวัญใจ ของคุณทักษิณ .....ยังออกมาบอกให้สู้ค่าเงินอยู่ไม่ใช่รึ .....
แบ็งค์ชาติ ชุดนี้ ยังไม่เลวร้ายจนเกินไปหรอก เมื่อ สู้จนถึงจุดหนึ่ง ก็หยุด แล้ว ใช้ มาตรการ 30 % ออกมาหยุดการโจมตี เพื่อให้ผู้ส่งออก และผุ้ที่ได้รับผลกระทบได้ปรับตัว แต่แปลกจัง 2 ดร. ข้างบน ยังอยากให้ลุยต่อ........... ผมเผอิญ ได้ฟังสนธิ (ลิ้ม)พูดถึงเงินบาท จำไม่ได้ว่าวันไหน พอดียุ่งอยู่เลยไม่ได้ฟังแบบเต็ม ๆ .......คราวนี้ ไอเดีย สนธิ น่าสนใจทีเดียวครับ ใครได้ฟังลองเอามาเล่ากันฟังซิครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 26-07-2007, 08:44 » |
|
อาทิตย์ที่แล้ว ดร.โกร่ง กับ ดร.โอฬาร ขวัญใจ ของคุณทักษิณ .....ยังออกมาบอกให้สู้ค่าเงินอยู่ไม่ใช่รึ .....
แบ็งค์ชาติ ชุดนี้ ยังไม่เลวร้ายจนเกินไปหรอก เมื่อ สู้จนถึงจุดหนึ่ง ก็หยุด แล้ว ใช้ มาตรการ 30 % ออกมาหยุดการโจมตี เพื่อให้ผู้ส่งออก และผุ้ที่ได้รับผลกระทบได้ปรับตัว แต่แปลกจัง 2 ดร. ข้างบน ยังอยากให้ลุยต่อ........... ผมเผอิญ ได้ฟังสนธิ (ลิ้ม)พูดถึงเงินบาท จำไม่ได้ว่าวันไหน พอดียุ่งอยู่เลยไม่ได้ฟังแบบเต็ม ๆ .......คราวนี้ ไอเดีย สนธิ น่าสนใจทีเดียวครับ ใครได้ฟังลองเอามาเล่ากันฟังซิครับ ในปี 2540 ประเทศไทยเราขาดทุนจากการใช้เงินในการดูแลค่าเงินบาทไป 83,417.9 ล้านบาท หรือเทียบเท่ากับ 49% ของจำนวนยอดขาดทุน 1.7 แสนล้านบาทที่กำลังขาดทุน ณ ปัจจุบัน
พอจะมองออกหรือไม่ว่าหายนะของประเทศกวักมือเรียกหวอยๆข้างหน้านี่แล้วพี่น้อง!!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 26-07-2007, 09:02 » |
|
ตัวเลขท่านท้าว ฯ ไม่น่าผิด........แต่คิดแบบนั้นไม่น่าถูก........บรรดา ผู้ส่งออกได้เห็นข่าวนี้ แล้ว ก็น่าจะเลิกด่า แบ็งค์ชาติกันซะที เพราะเค้าลงทุนไปเยอะแล้ว เพื่อให้ผู้ส่งออกปรับตัว........ถ้าคิดว่า มันจะเหมือน ปี 40 คงไม่น่าใช่.....สถานการณ์ ตอนนั้น มันคนละฝั่งกับตอนนี้ครับ.....ตอนนั้นเราไม่มีดอลล่าห์ เพื่อหนุนหลังเงินบาท แล้ว ทุนสำรองในช่วงนั้น ก็น้อยกว่านี้ มาก..........ตอนนี้เรามีดอลล่าห์ อยู่มาก ...ท่านท้าว ฯ ลองนึกภาพดู สมมุติ น๊ะ ...เงินบาท ตีกลับ ต่างชาติ กลับมารุมขายเงินบาท ตอนนี้ เรามีทุนสำรองขนาดนั้น แล้ว จะเดือดร้อนตรงไหน......แล้วหากมารุมซื้อดอลล่าห์ ตอนนี้ มีคนรอขายกันอื้อ....จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งยุโรป กำลังจะลดการถือครองดอลล่าห์
ผมนั่งรออย่างเดียว เมื่อไหร่ แบ็งค์ชาติจะประกาศ พิมพ์ธนบัตรเพิ่ม.....อย่าไปกลัว เงินเฟ้อ ไม่ต้องไปลดดอกเบี้ย เด๋วดอกเบี้ย ก็ลดไปเองตามธรรมชาติ ...ต่างชาติมันอยากได้เงินบาทกันนัก ก็เอาให้มันไปเยอะ ๆ เอาไปให้พอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 26-07-2007, 09:16 » |
|
ตัวเลขท่านท้าว ฯ ไม่น่าผิด........แต่คิดแบบนั้นไม่น่าถูก........บรรดา ผู้ส่งออกได้เห็นข่าวนี้ แล้ว ก็น่าจะเลิกด่า แบ็งค์ชาติกันซะที เพราะเค้าลงทุนไปเยอะแล้ว เพื่อให้ผู้ส่งออกปรับตัว........ถ้าคิดว่า มันจะเหมือน ปี 40 คงไม่น่าใช่.....สถานการณ์ ตอนนั้น มันคนละฝั่งกับตอนนี้ครับ.....ตอนนั้นเราไม่มีดอลล่าห์ เพื่อหนุนหลังเงินบาท แล้ว ทุนสำรองในช่วงนั้น ก็น้อยกว่านี้ มาก..........ตอนนี้เรามีดอลล่าห์ อยู่มาก ...ท่านท้าว ฯ ลองนึกภาพดู สมมุติ น๊ะ ...เงินบาท ตีกลับ ต่างชาติ กลับมารุมขายเงินบาท ตอนนี้ เรามีทุนสำรองขนาดนั้น แล้ว จะเดือดร้อนตรงไหน......แล้วหากมารุมซื้อดอลล่าห์ ตอนนี้ มีคนรอขายกันอื้อ....จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งยุโรป กำลังจะลดการถือครองดอลล่าห์
ผมนั่งรออย่างเดียว เมื่อไหร่ แบ็งค์ชาติจะประกาศ พิมพ์ธนบัตรเพิ่ม.....อย่าไปกลัว เงินเฟ้อ ไม่ต้องไปลดดอกเบี้ย เด๋วดอกเบี้ย ก็ลดไปเองตามธรรมชาติ ...ต่างชาติมันอยากได้เงินบาทกันนัก ก็เอาให้มันไปเยอะ ๆ เอาไปให้พอ
อิ อิ อิ อยู่ๆท่าน 55555 จะยุให้ไทยกลับไปสู่ยุคญี่ปุ่นขึ้นบกเมืองไทยซะแล้ว ที่ช่วงสมัยนั้นญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรไทยใช้กันมันส์เลย จนทำให้ค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อของไทยสูงลิ่ว เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง
"นายสนธิ ย้ำว่า เวลาดูค่าเงินต้องดูภาพรวม และไม่ต้องเล่นตามเกมฝรั่ง ที่มักจะบอกว่าอัตราเงินเฟ้อต้องต่ำ ซึ่งตอนนี้เพียง 1.9 % แต่ราคาสินค้าก็ไม่ต่างจากที่เงินเฟ้อ 4 % เท่าไหร่ เราควรจะยอมให้เงินเฟ้อเพิ่ม ด้วยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม เพื่อไปซื้อดอลลาร์ โดยไม่ต้องไปกู้เงินบาทมาให้ขาดทุน"......ที่แท้เจ้าของแนวความคิดเรื่องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็มาจากแป๊ะลิ้มนี่เอง ท่านเก่งจริงๆที่บริหารธุรกิจซะล้มละลายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้แบบนั้น ฮ่าๆๆๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kj 2nd
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 26-07-2007, 09:20 » |
|
การขาดทุนดังกล่าวเป็นเพียงค่าของเงินที่หายไปครับ
เพราะเมื่อทำธุรกรรม ได้เงินตราต่างประเทศมา ยังไงซะสุดท้ายคนไทยก็ต้องเอาไปแลกเป็นเงินบาท และเงินที่รับแลกนั้นสุดท้ายก็จะไปอยู่ใน ธปท. ในรูปของทุนสำรองระหว่างประเทศ
การขาดทุนนั้นจากการที่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น แต่ ธปท. จำเป็นต้องถือเงินตราต่างประเทศ (คงไม่มีคนไทยคนไหนถือเงินต่างประเทศไว้เป็นหมื่นล้านในสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทสูงขึ้นแน่นอน)
ดังนั้น ที่เป็นสถานกาณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ธปท. จำเป็นต้องรับซื้อไว้ทั้งหมด ถ้า ธปท. ไม่แทรกแซงเงินบาท ตอนนี้ค่าของเงินอาจจะพุ่งสูงแตะ 31-32 บาท/$ ก็ได้ แล้วปัญหาจะยิ่งแรงกว่านี้ (แค่นี้ก็ร้องกันจะตายอยู่แล้ว)
----คำว่าแทรกแซงมีหลายวิธีนะครับ มาตรการ30% การ swop100% เป็นการแทรกแซงทั้งนั้น ไม่ใช้แค่การอุ้มหรือช้อนซื้อบาทเท่านั้น----
ตอนนี้ต้องคิดก่อนว่า บาทแข็ง เป็นจุดอ่อน ทีสำคัญขนาดจำเป็นใช้มาตรการแรงๆหรือเปล่า (อย่างน้อยคนที่มีหนี้ต่างประเทศคงอยากให้เงินบาทแข็งค่าเรื่อยๆ) และหลายๆคนสามารถคิดช่องทางใหม่ๆจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นคราวนี้ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ # $ %
|
|
|
Coolly_Jade
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 26-07-2007, 09:32 » |
|
อืม....ไหนคนที่คอยถล่มและพูดจาทับถม แสนรุ้อย่างท่านท้าวจ๊ะและพวกพ้อง
ลองบอกหน่อยสิ ในสภาพเช่นนี้ ธปท ควรทำอย่างไร
ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำอย่างไร
อย่าตอบแบบประชดประชันนะ เอาสาระหน่อย ไอประเภทด่าๆแต่คิดทางออกยังไม่ได้นี่ มันน่าเบื่อ
ตอบแบบที่ผ่านๆมาเดะอนุบาลมานอ่านยังเบื่อเลยนะ ไอคุณท่านท้าวจ๊ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทักษิณาธิปไตย เสรีทางความคิด เผด็จการต่อการแสดงออก ใครเห็นด้วยเป็นคนดี ใครคัดค้านเป็นกุ๊ย
|
|
|
The Last Emperor
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 26-07-2007, 09:33 » |
|
การขาดทุนดังกล่าวเป็นเพียงค่าของเงินที่หายไปครับ
เพราะเมื่อทำธุรกรรม ได้เงินตราต่างประเทศมา ยังไงซะสุดท้ายคนไทยก็ต้องเอาไปแลกเป็นเงินบาท และเงินที่รับแลกนั้นสุดท้ายก็จะไปอยู่ใน ธปท. ในรูปของทุนสำรองระหว่างประเทศ
การขาดทุนนั้นจากการที่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น แต่ ธปท. จำเป็นต้องถือเงินตราต่างประเทศ (คงไม่มีคนไทยคนไหนถือเงินต่างประเทศไว้เป็นหมื่นล้านในสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทสูงขึ้นแน่นอน)
ดังนั้น ที่เป็นสถานกาณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ธปท. จำเป็นต้องรับซื้อไว้ทั้งหมด ถ้า ธปท. ไม่แทรกแซงเงินบาท ตอนนี้ค่าของเงินอาจจะพุ่งสูงแตะ 31-32 บาท/$ ก็ได้ แล้วปัญหาจะยิ่งแรงกว่านี้ (แค่นี้ก็ร้องกันจะตายอยู่แล้ว)
----คำว่าแทรกแซงมีหลายวิธีนะครับ มาตรการ30% การ swop100% เป็นการแทรกแซงทั้งนั้น ไม่ใช้แค่การอุ้มหรือช้อนซื้อบาทเท่านั้น----
ตอนนี้ต้องคิดก่อนว่า บาทแข็ง เป็นจุดอ่อน ทีสำคัญขนาดจำเป็นใช้มาตรการแรงๆหรือเปล่า (อย่างน้อยคนที่มีหนี้ต่างประเทศคงอยากให้เงินบาทแข็งค่าเรื่อยๆ) และหลายๆคนสามารถคิดช่องทางใหม่ๆจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นคราวนี้ได้
ขาดทุนทางบัญชี ขาดทุนทางค่าเงิน ......ต่อไปจะใช้คำอะไรเพื่อให้ดูsoftไม่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยดีเอ่ย!?!
"นายฉลองภพ กล่าวยอมรับว่า การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจมีผลขาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาขาดทุนไปแล้ว 170,000 ล้านบาท แต่ถือเป็นการดูแลไม่ให้ภาพรวมเศรษฐกิจมีปัญหา โดยจะต้องดูต้นทุนภาพรวมของประเทศมากกว่าต้นทุนของ ธปท.เพราะขณะนี้ประเทศส่วนใหญ่ใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศอ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนตัวลงส่วนใหญ่จะมีผลจากการแทรกแซงค่าเงินเหมือนกัน ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อลดความผันผวน ภาคเอกชนควรแก้ไขสัญญาเปลี่ยนเป็นสกุลอื่น เช่น หากจะส่งออกสินค้าไปสหภาพยุโรป (อียู) ก็ควรทำสัญญาซื้อขายสินค้าเป็นสกุลยูโรแทน เพื่อลดความผันผวนจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 26-07-2007, 09:38 » |
|
อืม....ไหนคนที่คอยถล่มและพูดจาทับถม แสนรุ้อย่างท่านท้าวจ๊ะและพวกพ้อง
ลองบอกหน่อยสิ ในสภาพเช่นนี้ ธปท ควรทำอย่างไร
ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำอย่างไร
อย่าตอบแบบประชดประชันนะ เอาสาระหน่อย ไอประเภทด่าๆแต่คิดทางออกยังไม่ได้นี่ มันน่าเบื่อ
ตอบแบบที่ผ่านๆมาเดะอนุบาลมานอ่านยังเบื่อเลยนะ ไอคุณท่านท้าวจ๊ะ
ในเมื่อมีผู้ไม่รู้(โง่)อยากจะรู้(ฉลาดขึ้นมาบ้าง)....ภารกิจของท้าวฯจึงต้องทำให้ความใฝ่ดีของท่านนี้เป็นจริง อ่ะ..ไปอ่านดูให้ตกผลึกน๊ะท่านน๊ะ http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/16/WW10_WW10_news.php?newsid=84250
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 26-07-2007, 09:46 » |
|
อิ อิ อิ อยู่ๆท่าน 55555 จะยุให้ไทยกลับไปสู่ยุคญี่ปุ่นขึ้นบกเมืองไทยซะแล้ว ที่ช่วงสมัยนั้นญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรไทยใช้กันมันส์เลย จนทำให้ค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อของไทยสูงลิ่ว เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง
"นายสนธิ ย้ำว่า เวลาดูค่าเงินต้องดูภาพรวม และไม่ต้องเล่นตามเกมฝรั่ง ที่มักจะบอกว่าอัตราเงินเฟ้อต้องต่ำ ซึ่งตอนนี้เพียง 1.9 % แต่ราคาสินค้าก็ไม่ต่างจากที่เงินเฟ้อ 4 % เท่าไหร่ เราควรจะยอมให้เงินเฟ้อเพิ่ม ด้วยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม เพื่อไปซื้อดอลลาร์ โดยไม่ต้องไปกู้เงินบาทมาให้ขาดทุน"......ที่แท้เจ้าของแนวความคิดเรื่องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็มาจากแป๊ะลิ้มนี่เอง ท่านเก่งจริงๆที่บริหารธุรกิจซะล้มละลายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้แบบนั้น ฮ่าๆๆๆ
บังเอิญ ไม่ได้ฟังตอนสนธิ ฯ พูด เรื่องพิมพ์ ธนบัตร เพราะ ฟังไม่จบ ...หรือ ถึงสนธิจะพูด ก็ไม่เห็นจะเป็นไร สนธิ ฯ พูด ก็เก็บมาคิดกัน ไร้สาระ ก็ทิ้งไป มีประโยชน์ ก็เก็บไปใช้ ...เอ๊ะ ชักสงสัยแล้วสิ ที่แบ็งค์ชาติ ไม่ใช้นโยบายพิมพ์เงินบาท เพราะสนธิ พูดหรือปล่าวน๊อ.............
เรื่องการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม บังเอิญไปได้ยินมาจากที่อื่น เมื่อ เดือนก่อน แล้วลองกลับมาคิดเล่น ๆ .....แทรกแซง ค่าเงินก็ จะขาดทุน ซะเป็นส่วนใหญ่..... ลดดอกเบี้ย ก็ช่วยได้แป๊บเดียว.......ก็เลยคิดว่า การพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม น่าจะช่วยลดเรื่อง ดีมานต์เงินบาท......
ท่านท้าว ฯ จะไปเทียบ ญี่ปุ่นในยุคนั้นได้ไงครับ.......ยุคนั้น ญี่ปุ่น มันพิมพ์ ไปเรื่อย เงินมันก็แค่เศษกระดาษ แต่ ยุคนี้ จะพิมพ์ธนบัตรออกมา เค้ามีกติกาอยู่ ว่า จะพิมพ์ได้จำนวนเท่าไหร่ ต้องมี สินทรัพย์ที่เชื่อถือได้ อย่าง เงินดอลล่าห์ หรือ สกุล เงินตราอื่น ๆ และทอง หนุนหลังอยู่ ระดับทุนสำรองที่เรามี อยู่ตอนนี้ ยังเพิ่มปริมาณเงินได้อีกเยอะครับ .....
พอดีแหงะมาเห็น ท่านท้าว ฯ อีกความเห็น.........คุณ kj 2nd ก็พูดถูกครับ เป็นการขาดทุนทางบัญชี ตัวเลขที่นำมาแถลง เป็นการขาดทุนทางบัญชี ณ วันที่ ตรวจสอบ........แต่ผมคิดว่า แบ็งค์ชาติ อาจจะขาดทุนมากกว่านี้อีก เพราะ ผมประเมินว่า เงินบาทจะแข็งค่าต่อไป ยกเว้น ว่า หลังจากวันนี้ แบ็งค์ชาติจะมีทีเด็ด อะไรออกมา แล้ว ทำให้ค่าเงินบาทตีกลับ........เรื่องแบบนี้แบ็งค์ชาติ เสียเปรียบเรื่องข่าวสารอยู่แล้ว เพราะในความเป็นจริง การอธิบายความให้คนส่วนใหญ่มันยากจริง ๆ นั่นไง เห็นมั๊ย โอฬาร แนะ แบ็งค์ชาติ ให้กู้บาทซื้อดอลล่าห์อีกแล้ว........เจ๊งแค่นี้ ท่านท้าว ฯ ก็ เอามากระแนะ กระแหนแล้ว ......ส่วนอันอื่น ก็เห็น เค้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่ดอกรึ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2007, 09:56 โดย 55555 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
best
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 26-07-2007, 09:49 » |
|
เอาเถอะ ตอนนี้ก็ปลอบใจกันไป รู้ว่าการยอมรับความจริงมันยาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Coolly_Jade
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 26-07-2007, 09:50 » |
|
เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่นะครับ ต้องขอออกตัวไว้ก่อน แต่การทำตามแบบที่โอฬารเสนอนั้น ผมมองยังไงๆมันก็กลายไปเป็นการเพิ่มให้ค่าเงินบาทมันแข็งขึ้นอยุ่ดี อันนี้ในสายตาผมนะ เป็นการดูดเงินบาท กลับเข้าไปซะมากกว่า ถ้าจะให้สวยผมกลับชอบวิธีที่กรุงไทยเสนอมากกว่า คือการเพิ่มยอดบัญชีฝากดอลล่าในระยะหนึ่ง และที่สำคัญ กับโอฬารคนนี้ผมไม่ให้เครดิตตั้งกรณีscibแล้วครับ ไม่รุ้ว่าเสนอหน้าอยู่ในสังคมมาได้อย่างไรตั้งนาน(อันนี้ส่วนตัวนะ) ว่าแต่ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำตามที่โอฬารบอกมาทั้งหมดหรือ อันนี้ถามจริงๆนะ ไม่ได้ลองภูมิ แล้วที่ท่านท้าวคิดเองละ ผมขอความคิดของท่านและพวก ไม่ใช่การไปเอาความคิดใครมาแปะ แบบนั้นมานไม่ใช่การคิด แต่เป็นการลอกเลียนแบบ หวังว่าคงเข้าใจภาษาไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทักษิณาธิปไตย เสรีทางความคิด เผด็จการต่อการแสดงออก ใครเห็นด้วยเป็นคนดี ใครคัดค้านเป็นกุ๊ย
|
|
|
|
********Q********
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 26-07-2007, 10:05 » |
|
ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรประชุมหาแนวทางกับผู้ส่งออกรายใหญ่และธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยครับ..
มีวิธีสร้างสรรค์มากมาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
The Last Emperor
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 26-07-2007, 10:11 » |
|
เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่นะครับ ต้องขอออกตัวไว้ก่อน
แต่การทำตามแบบที่โอฬารเสนอนั้น ผมมองยังไงๆมันก็กลายไปเป็นการเพิ่มให้ค่าเงินบาทมันแข็งขึ้นอยุ่ดี อันนี้ในสายตาผมนะ
เป็นการดูดเงินบาท กลับเข้าไปซะมากกว่า
ถ้าจะให้สวยผมกลับชอบวิธีที่กรุงไทยเสนอมากกว่า คือการเพิ่มยอดบัญชีฝากดอลล่าในระยะหนึ่ง
และที่สำคัญ กับโอฬารคนนี้ผมไม่ให้เครดิตตั้งกรณีscibแล้วครับ
ไม่รุ้ว่าเสนอหน้าอยู่ในสังคมมาได้อย่างไรตั้งนาน(อันนี้ส่วนตัวนะ)
ว่าแต่ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำตามที่โอฬารบอกมาทั้งหมดหรือ อันนี้ถามจริงๆนะ ไม่ได้ลองภูมิ
แล้วที่ท่านท้าวคิดเองละ ผมขอความคิดของท่านและพวก ไม่ใช่การไปเอาความคิดใครมาแปะ
แบบนั้นมานไม่ใช่การคิด แต่เป็นการลอกเลียนแบบ หวังว่าคงเข้าใจภาษาไทย
ท้าวฯคงไม่อาจแบกรับภาวะดังกล่าวได้ที่จะเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้จริงๆ ทราบแต่เพียงว่าสมัยรัฐบาลทักษิณไม่มีปัญหาเลวร้ายแบบนี้ เพราะช่วงทักษิณเรืองอำนาจ...เงินลงทุนจากตปท.ไหลเข้ามา การใช้จ่ายของปชช.มีการขยายตัว การส่งออกมีอัตราสูงเกือบ 20% อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอยู่ในอัตราที่สูง สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกประเทศ
ปัญหาค่าเงินบาทแข็งของไทย ณ ปัจจุบันจึงน่าจะเป็นปัญหาปลายเหตุหลังจากที่ปัจจัยหลักด้านเศรษฐกิจดังที่กล่าวมาของไทยหยุดชะงักลงมิใช่หรือ!?!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Coolly_Jade
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 26-07-2007, 10:41 » |
|
ผมจะไม่โต้แย้งในสิ่งที่ท่านพูด เพราะถ้าโต้แย้งก็คงจะไหลไปเป็นเรื่องอื่นนอกประเด็นไป
สิ่งที่ท่านว่ามาผมยอมรับประเด็นเดียวการไหลเข้าของเงินทุน
ซึ่งการไหลเข้าของทุนจำนวนมากนี่เองที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปัญหาค่าเงินนี้ด้วย
ค่าเงินที่แข็งขึ้นมานผิดกว่ามูลค่าที่แท้จริงมานผิดปกติอยู่แล้ว
สิ่งที่สมควรด่า ธปท ไม่ว่าสมัยไหนก็คือ
การหลอกลวงประชาชนว่าการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากๆเป็นส่งที่ดีโดยไม่มีข้อเสีย
โดยปราศจากการควบคุมอย่างจริงจัง
จนถึงปัญหาปัจจุบัน ไม่ว่าทักษิณหรือคมช ก้ไม่มีใครกล้าแตะเลยว่า ปัญหาที่ทำให้ค่าเงินแข็งจริงๆมาจากพวกนี้
พวกที่นำเงินทุนเข้ามาเพียงเพราะส่วนต่างของค่าเงิน ดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ
เป้นการเก็งกำไร ไม่ใช่การลงทุนที่แท้จริง ที่ส่งผลในทางที่ดีต่อประเทศไทยอย่างแท้จริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ทักษิณาธิปไตย เสรีทางความคิด เผด็จการต่อการแสดงออก ใครเห็นด้วยเป็นคนดี ใครคัดค้านเป็นกุ๊ย
|
|
|
The Last Emperor
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 26-07-2007, 11:15 » |
|
ผมจะไม่โต้แย้งในสิ่งที่ท่านพูด เพราะถ้าโต้แย้งก็คงจะไหลไปเป็นเรื่องอื่นนอกประเด็นไป
สิ่งที่ท่านว่ามาผมยอมรับประเด็นเดียวการไหลเข้าของเงินทุน
ซึ่งการไหลเข้าของทุนจำนวนมากนี่เองที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปัญหาค่าเงินนี้ด้วย
ค่าเงินที่แข็งขึ้นมานผิดกว่ามูลค่าที่แท้จริงมานผิดปกติอยู่แล้ว
สิ่งที่สมควรด่า ธปท ไม่ว่าสมัยไหนก็คือ
การหลอกลวงประชาชนว่าการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากๆเป็นส่งที่ดีโดยไม่มีข้อเสีย
โดยปราศจากการควบคุมอย่างจริงจัง
จนถึงปัญหาปัจจุบัน ไม่ว่าทักษิณหรือคมช ก้ไม่มีใครกล้าแตะเลยว่า ปัญหาที่ทำให้ค่าเงินแข็งจริงๆมาจากพวกนี้
พวกที่นำเงินทุนเข้ามาเพียงเพราะส่วนต่างของค่าเงิน ดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ
เป้นการเก็งกำไร ไม่ใช่การลงทุนที่แท้จริง ที่ส่งผลในทางที่ดีต่อประเทศไทยอย่างแท้จริง
การไหลเข้าของเงินตปท.สมัยทักษิณเป็นเงินลงทุนระยะยาว แต่สมัยนี้เป็นเงินเข้ามาระยะสั้นในตลาดเงิน จึงทำให้ค่าบาทแข็ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
samepong(ยุ่งแฮะ)
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 26-07-2007, 11:37 » |
|
การไหลเข้าของเงินตปท.สมัยทักษิณเป็นเงินลงทุนระยะยาว แต่สมัยนี้เป็นเงินเข้ามาระยะสั้นในตลาดเงิน จึงทำให้ค่าบาทแข็ง
ระยะยาวตรงไหน ขอคำอธิบายหน่อย อย่ามองแต่ว่าเงินทุนเข้าหรือออก อย่ามองว่าเราแย่แล้วคนอื่นไม่แย่หรือ การมองของเท้า มองด้านเดียว ไม่ได้มองภาวะเศษฐกิจโลก ไม่ได้มองทำไมดอลลาร์ถึงอ่อนค่าลง เหตุผลมันมีในตัวแต่คุณเท้าไม่ได้เอามาพูดในด้านนั้นแต่พยายามสร้างให้มันเป้นในทางลบของการทำงานของรัฐบาลด้านเดียว เงินดอลลาร์มันอ่อนค่าของตัวมันเองอยู่แล้ว+กับการส่งออกที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยมีเงินสำรองในรูปดอลลาร์มากเป็นพิเศษ ตอนนี้หลายประเทศไม่อยากค้าขายกับสหรัฐ เท่าไหร่แล้วโดยเฉพาะจีน เพราะจีนค้าขายกับ สหรัฐทีไรก็ได้พันธบัตร มามากมายไม่รู้เท่าไหร่ จนสหรัฐเป็นลูกหนี้จีนจนต้องออกมาขอร้องมั้งบังคับบ้างให้จีนปรับอัตตราเงินหยวนของจีน ถ้าเรายังไปยึดติดกับการค้าขายเป็นรูปดอลลาร์สหรัฐ อย่างเดียว ต่อไป ค่าเงินมันก้อ่อนลงไป บาทก็แข็งเรื่อยๆ ต่อไป และตัวสหรัฐเองก็อ่อนแอลงไปตามเวลาไม่งั้นจีนคงไม่ไปเอา บ.IBM มาเป้นของคนจีนได้หรอก การเสียบ.IBM เหมือนเสียเอกราชด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ไปเหมือนกันอย่านึกว่าเราแย่ เค้าแย่กว่าเราแต่เค้าปิดบังเก่งกว่าเรา และคนในชาติช่วยกันปิดบังความอัปยศไว้ ไม่เหมือนบ้านเราที่พยายามประจานตัวเองให้โลกรู้ และในเมื่อตัวเจ้าของเงิอนดอลลาร์เองมีปัญหาแล้วจะให้ผู้ที่ทำการค้าด้วยเงินสกุลนี้เป็นหลักไม่มีปัญหาคงไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
|
|
|
::วิญญาณห้อง2::
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 26-07-2007, 12:07 » |
|
เงินสำรองในรูปดอลล่าร์ ยังคงอยู่ดี เพียงแต่ค่าเงินดอลล่าร์ในรูปเงินสำรองมันด้อยลงๆ เพราะบาทแข็ง
ซึ่งตอนนี้ยังถือว่าเป็น unrealized loss เท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
--------this is the world-------
|
|
|
kj 2nd
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 26-07-2007, 13:23 » |
|
^ ^ ^เอ่อ จะบอกว่า สมัยทักษิณ มันก็เป็นเงินทุนระยะสั้นเหมือนกันแหละครับ ผ่านตลาดหุ้นไง เล่น short ทำกำไรกันสนุก
การลงทุนในภาคเอกชนมันไม่ได้โตขึ้นเท่าไหร่นะครับ น่าจะหดตัวลงด้วยซ้ำ แต่ได้การบริโภค กับการส่งออกที่ช่วยเศรษฐกิจในสมัยเหลี่ยมได้
การบริโภคก็กลับมาสะดุดเพราะหนี้สิน ความจริงมันเริ่มมาตั้งแต่ยุคกลางๆของเหลี่ยมแล้วล่ัะ แต่ภาพมันยังไม่ชัด ว่าการบริโภคของเรามันบวมพึลึกๆ
แล้วการส่งออกที่โตต่อเนื่องก็ทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้นจนถึงปัจจุบันไงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
@ # $ %
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 26-07-2007, 20:06 » |
|
การไหลเข้าของเงินตปท.สมัยทักษิณเป็นเงินลงทุนระยะยาว แต่สมัยนี้เป็นเงินเข้ามาระยะสั้นในตลาดเงิน จึงทำให้ค่าบาทแข็ง
ระยะยาว ระยะสั้น ถ้ามันเข้ามาเยอะ ๆ บาทก็แข็งทั้งนั้นล่ะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 28-07-2007, 19:55 » |
|
ไอเอ็มเอฟหนุนธปท.แทรกแซงค่าบาท เชื่อไทยไม่เจอวิกฤติ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 18:42:00 ไอเอ็มเอฟหนุนแบงก์ชาติแทรกแซงค่าเงินบาท ยอมรับกระแสโลกาภิวัตน์การเงินโลกขณะนี้มีทั้งผลดีและความเสี่ยงควบคู่กัน เชื่อมั่นไทยไม่เจอวิกฤติเหมือนปี"40
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : Mr.Rodrigo de Rato กรรมการจัดการไอเอ็มเอฟ ซึ่งเข้าร่วมสัมมนาสภาผู้ว่าการธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถลงว่า จากการเข้าร่วมสัมมนากับผู้ว่าการธนาคารกลางในภูมิภาคนี้ ได้มีการพูดถึงหัวข้อการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายในสถานการณ์ผันผวน ซึ่งยอมรับว่า การเคลื่อนย้ายของเงินทุนและการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนในสถานการณ์ปัจจุบันมีความผันผวนเพิ่มขึ้นมาก สะท้อนให้เห็นโลกาภิวัตน์ด้านการเงินที่สถาบันและบุคคลต่าง ๆ ทั่วโลกมีความต้องการและความสามารถที่จะถือสินทรัพย์นอกประเทศมากขึ้น และตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ประเทศในเอเชียต้องเผชิญกับภาวะการเคลื่อนย้ายเงินทุนไหลเข้า-ออกในปริมาณมาก
ทั้งนี้ กระแสของโลกาภิวัตน์ด้านการเงินดังกล่าว ก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ เช่น การที่ธุรกิจเข้าถึงตลาดเงินมากขึ้น การถ่ายทอดเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ความสามารถในการหางาน อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้เพิ่มความเสี่ยงของนักลงทุนด้วย อาทิ การเกิดความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจจากการปกป้องการค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกรรมการเก็งกำไรค่าเงินจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยไอเอ็มเอฟมีข้อเสนอแนะที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ สามารถดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงของการไหลเข้าของเงินทุน ประกอบด้วย การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ดี การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น การลดอัตราดอกเบี้ย การเข้าแทรกแซงตลาดเงินต่างประเทศเพื่อลดความผันผวน ซึ่งไอเอ็มเอฟเห็นว่าธนาคารกลางแต่ละประเทศสามารถดำเนินการได้ การเปิดเสรีเงินทุนไหลให้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนในประเทศไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นด้วย ซึ่งมาตรการเหล่านี้ต้องทำไปพร้อมกับการพัฒนาตลาดการเงินในประเทศ
สำหรับประเด็นที่มีคำถามว่า ความผันผวนทางด้านการเงินและการเคลื่อนย้ายเงินทุนของโลกในปัจจุบัน จะทำให้ประเทศไทยและประเทศภูมิภาคต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่หรือไม่ Mr.Rodrigo กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันแตกต่างจาก 10 ปีที่ผ่านมา และปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี และอัตราแลกเปลี่ยนมีความยืดหยุ่น ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้เชื่อว่า จะไม่ทำให้ไทยต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่แน่นอน
นอกจากนี้ Mr.Rodrigo ระบุถึงการที่ ธปท.เข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน และส่งผลให้ ธปท.ต้องขาดทุนประมาณ 170,000 ล้านบาท ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของ ธปท. โดยปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาตรวจสอบการทำงานของ ธปท. คือความโปร่งใสในการทำงาน และการผลักดันนโยบายที่สร้างเสถียรภาพทางด้านการเงินมากกว่า สำหรับข้อสงสัยว่า จากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา แต่ ธปท. กลับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.25 นั้น ไอเอ็มเอฟเห็นว่า การมุ่งแต่จะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละมาก ๆ จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางมากกว่ามีผลดี
ส่วนข้อซักถามว่า จากปัญหาวิกฤติทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน ไทยควรกลับไปใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ หรือ Fix Rate อีกครั้งหรือไม่ Mr.Rodrigo กล่าวว่า การกลับไปใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่จะไม่ส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางด้านการเงิน เนื่องจากในทางกลับกัน การแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนก็มีผลดี เช่น การช่วยลดภาระการนำเข้าพลังงาน และทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แต่สิ่งสำคัญที่ไอเอ็มเอฟเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริหารอัตราแลกเปลี่ยนควรทำ คือ การกำหนดเป้าหมายและดำเนินการรักษาให้เสถียรภาพระดับราคาหรือเงินเฟ้อในประเทศให้มีเสถียรภาพมากกว่า ส่วนมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เห็นว่าเป็นมาตรการที่ได้ผลในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะมีผลเสียมากกว่า และเห็นด้วยกับแนวทางที่ ธปท. จะผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวหรือยกเลิกในอนาคต
เอามาแปะไว้ เพื่อ เติมข่าวสาร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sleepless
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 28-07-2007, 21:42 » |
|
ใครเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ช่วยตอบหน่อยได้ไหมครับว่าถ้าแทนที่ ธปท. จะเข้าแทรกแซงไม่ให้บาทแข็ง แต่ทิ่มตามน้ำให้ค้างไว้ที่ 30 บาท ซักหนึ่งปี จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเก็งกำไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|