ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
03-02-2025, 06:01
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ธปท.ขาดทุนแทรกแซงค่าบาท แค่ 170,000 ล้านบาทเอง 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ธปท.ขาดทุนแทรกแซงค่าบาท แค่ 170,000 ล้านบาทเอง  (อ่าน 2607 ครั้ง)
SKRPT
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2


« เมื่อ: 25-07-2007, 22:45 »

จากข่าว- นายฉลองภพ กล่าวยอมรับว่า การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. อาจมีผลขาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาขาดทุนไปแล้ว 170,000 ล้านบาท แต่ถือเป็นการดูแลไม่ให้ภาพรวมเศรษฐกิจมีปัญหา โดยจะต้องดูต้นทุนภาพรวมของประเทศมากกว่าต้นทุนของ ธปท.

http://www.innnews.co.th/biz.php?nid=51072

ความเห็นเจ้าของกระทู้ - เงิน 1.7 แสนล้านขาดทุนมากเกินไป รมต.คลังและผู้ว่าการ ธปท.ดูเหมือนขาดประสพการณ์ ในการแก้ปัญหาของประเทศ เนื่องจากมาจากระบบราชการ โดยเฉพาะขาดวิสัยทัศน์ที่จะคิดหาวิธีการใหม่ๆที่จะป้องกันความเสียหายของประเทศชาติ  ทำให้กลับตามแก้ไขซึ่งอาจจะถูกกองทุนนอกประเทศลวงให้เปิดช่องว่างโจมตีค่าเงินบาทประเทศเราได้อีกเหมือนในอดีต 
บันทึกการเข้า
jrr.
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 670


« ตอบ #1 เมื่อ: 26-07-2007, 00:46 »

แหะ แหะ.....อย่าหลงลมปากนักการเมือง
เขามีวิธีพูด....ให้คนคิดเข้าใจตามที่เขาต้องการ
พูดจากหนัก ให้เป็นเบา...ยังไงก็ได้

170,000 ล้านที่ว่าน่ะ....เป็นเงินที่ปิ๋วไปแล้วจริงๆ ตามที่ใช้ไป
แต่....ที่ยังขาดทุนตามเงินดอลล์ที่แบกอยู่น่ะ....ยังม่ายด้ายบอกน่ะ !!!

ก็ที่ชอบพูดเก๋ๆว่า....ขาดทุนเพียงตัวเลขตามบัญชีไง !!!      
บันทึกการเข้า
kman
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 102


« ตอบ #2 เมื่อ: 26-07-2007, 01:22 »

ถ้าจำไม่ผิดตอนที่รัฐบานนี้ตั้งได้สักพักมันยังคุยว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ไม่ใชรึ
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #3 เมื่อ: 26-07-2007, 08:27 »

ถ้าจำไม่ผิดตอนที่รัฐบานนี้ตั้งได้สักพักมันยังคุยว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ไม่ใชรึ

จำผิด
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #4 เมื่อ: 26-07-2007, 08:34 »

อาทิตย์ที่แล้ว ดร.โกร่ง กับ ดร.โอฬาร ขวัญใจ ของคุณทักษิณ  .....ยังออกมาบอกให้สู้ค่าเงินอยู่ไม่ใช่รึ .....

แบ็งค์ชาติ ชุดนี้ ยังไม่เลวร้ายจนเกินไปหรอก เมื่อ สู้จนถึงจุดหนึ่ง ก็หยุด แล้ว ใช้ มาตรการ 30 % ออกมาหยุดการโจมตี เพื่อให้ผู้ส่งออก และผุ้ที่ได้รับผลกระทบได้ปรับตัว  แต่แปลกจัง 2 ดร. ข้างบน ยังอยากให้ลุยต่อ...........


 

ผมเผอิญ ได้ฟังสนธิ (ลิ้ม)พูดถึงเงินบาท จำไม่ได้ว่าวันไหน พอดียุ่งอยู่เลยไม่ได้ฟังแบบเต็ม ๆ  .......คราวนี้ ไอเดีย สนธิ น่าสนใจทีเดียวครับ ใครได้ฟังลองเอามาเล่ากันฟังซิครับ
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #5 เมื่อ: 26-07-2007, 08:44 »

อาทิตย์ที่แล้ว ดร.โกร่ง กับ ดร.โอฬาร ขวัญใจ ของคุณทักษิณ  .....ยังออกมาบอกให้สู้ค่าเงินอยู่ไม่ใช่รึ .....

แบ็งค์ชาติ ชุดนี้ ยังไม่เลวร้ายจนเกินไปหรอก เมื่อ สู้จนถึงจุดหนึ่ง ก็หยุด แล้ว ใช้ มาตรการ 30 % ออกมาหยุดการโจมตี เพื่อให้ผู้ส่งออก และผุ้ที่ได้รับผลกระทบได้ปรับตัว  แต่แปลกจัง 2 ดร. ข้างบน ยังอยากให้ลุยต่อ...........


 

ผมเผอิญ ได้ฟังสนธิ (ลิ้ม)พูดถึงเงินบาท จำไม่ได้ว่าวันไหน พอดียุ่งอยู่เลยไม่ได้ฟังแบบเต็ม ๆ  .......คราวนี้ ไอเดีย สนธิ น่าสนใจทีเดียวครับ ใครได้ฟังลองเอามาเล่ากันฟังซิครับ


ในปี 2540 ประเทศไทยเราขาดทุนจากการใช้เงินในการดูแลค่าเงินบาทไป 83,417.9 ล้านบาท หรือเทียบเท่ากับ 49% ของจำนวนยอดขาดทุน 1.7 แสนล้านบาทที่กำลังขาดทุน ณ ปัจจุบัน

พอจะมองออกหรือไม่ว่าหายนะของประเทศกวักมือเรียกหวอยๆข้างหน้านี่แล้วพี่น้อง!!
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #6 เมื่อ: 26-07-2007, 09:02 »

ตัวเลขท่านท้าว ฯ ไม่น่าผิด........แต่คิดแบบนั้นไม่น่าถูก........บรรดา ผู้ส่งออกได้เห็นข่าวนี้ แล้ว ก็น่าจะเลิกด่า แบ็งค์ชาติกันซะที เพราะเค้าลงทุนไปเยอะแล้ว เพื่อให้ผู้ส่งออกปรับตัว........ถ้าคิดว่า มันจะเหมือน ปี 40 คงไม่น่าใช่.....สถานการณ์ ตอนนั้น มันคนละฝั่งกับตอนนี้ครับ.....ตอนนั้นเราไม่มีดอลล่าห์ เพื่อหนุนหลังเงินบาท แล้ว ทุนสำรองในช่วงนั้น ก็น้อยกว่านี้ มาก..........ตอนนี้เรามีดอลล่าห์ อยู่มาก ...ท่านท้าว ฯ ลองนึกภาพดู สมมุติ น๊ะ ...เงินบาท ตีกลับ ต่างชาติ กลับมารุมขายเงินบาท ตอนนี้ เรามีทุนสำรองขนาดนั้น แล้ว จะเดือดร้อนตรงไหน......แล้วหากมารุมซื้อดอลล่าห์ ตอนนี้ มีคนรอขายกันอื้อ....จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งยุโรป กำลังจะลดการถือครองดอลล่าห์

ผมนั่งรออย่างเดียว เมื่อไหร่ แบ็งค์ชาติจะประกาศ พิมพ์ธนบัตรเพิ่ม.....อย่าไปกลัว เงินเฟ้อ ไม่ต้องไปลดดอกเบี้ย เด๋วดอกเบี้ย ก็ลดไปเองตามธรรมชาติ ...ต่างชาติมันอยากได้เงินบาทกันนัก ก็เอาให้มันไปเยอะ ๆ เอาไปให้พอ
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #7 เมื่อ: 26-07-2007, 09:16 »

ตัวเลขท่านท้าว ฯ ไม่น่าผิด........แต่คิดแบบนั้นไม่น่าถูก........บรรดา ผู้ส่งออกได้เห็นข่าวนี้ แล้ว ก็น่าจะเลิกด่า แบ็งค์ชาติกันซะที เพราะเค้าลงทุนไปเยอะแล้ว เพื่อให้ผู้ส่งออกปรับตัว........ถ้าคิดว่า มันจะเหมือน ปี 40 คงไม่น่าใช่.....สถานการณ์ ตอนนั้น มันคนละฝั่งกับตอนนี้ครับ.....ตอนนั้นเราไม่มีดอลล่าห์ เพื่อหนุนหลังเงินบาท แล้ว ทุนสำรองในช่วงนั้น ก็น้อยกว่านี้ มาก..........ตอนนี้เรามีดอลล่าห์ อยู่มาก ...ท่านท้าว ฯ ลองนึกภาพดู สมมุติ น๊ะ ...เงินบาท ตีกลับ ต่างชาติ กลับมารุมขายเงินบาท ตอนนี้ เรามีทุนสำรองขนาดนั้น แล้ว จะเดือดร้อนตรงไหน......แล้วหากมารุมซื้อดอลล่าห์ ตอนนี้ มีคนรอขายกันอื้อ....จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งยุโรป กำลังจะลดการถือครองดอลล่าห์

ผมนั่งรออย่างเดียว เมื่อไหร่ แบ็งค์ชาติจะประกาศ พิมพ์ธนบัตรเพิ่ม.....อย่าไปกลัว เงินเฟ้อ ไม่ต้องไปลดดอกเบี้ย เด๋วดอกเบี้ย ก็ลดไปเองตามธรรมชาติ ...ต่างชาติมันอยากได้เงินบาทกันนัก ก็เอาให้มันไปเยอะ ๆ เอาไปให้พอ



อิ อิ อิ อยู่ๆท่าน 55555 จะยุให้ไทยกลับไปสู่ยุคญี่ปุ่นขึ้นบกเมืองไทยซะแล้ว ที่ช่วงสมัยนั้นญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรไทยใช้กันมันส์เลย จนทำให้ค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อของไทยสูงลิ่ว เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง

"นายสนธิ ย้ำว่า เวลาดูค่าเงินต้องดูภาพรวม และไม่ต้องเล่นตามเกมฝรั่ง ที่มักจะบอกว่าอัตราเงินเฟ้อต้องต่ำ ซึ่งตอนนี้เพียง 1.9 % แต่ราคาสินค้าก็ไม่ต่างจากที่เงินเฟ้อ 4 % เท่าไหร่ เราควรจะยอมให้เงินเฟ้อเพิ่ม ด้วยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม เพื่อไปซื้อดอลลาร์ โดยไม่ต้องไปกู้เงินบาทมาให้ขาดทุน"......ที่แท้เจ้าของแนวความคิดเรื่องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็มาจากแป๊ะลิ้มนี่เอง ท่านเก่งจริงๆที่บริหารธุรกิจซะล้มละลายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้แบบนั้น  ฮ่าๆๆๆ
บันทึกการเข้า
kj 2nd
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74


« ตอบ #8 เมื่อ: 26-07-2007, 09:20 »

การขาดทุนดังกล่าวเป็นเพียงค่าของเงินที่หายไปครับ

เพราะเมื่อทำธุรกรรม ได้เงินตราต่างประเทศมา ยังไงซะสุดท้ายคนไทยก็ต้องเอาไปแลกเป็นเงินบาท  และเงินที่รับแลกนั้นสุดท้ายก็จะไปอยู่ใน ธปท. ในรูปของทุนสำรองระหว่างประเทศ

การขาดทุนนั้นจากการที่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น  แต่ ธปท. จำเป็นต้องถือเงินตราต่างประเทศ (คงไม่มีคนไทยคนไหนถือเงินต่างประเทศไว้เป็นหมื่นล้านในสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทสูงขึ้นแน่นอน)

ดังนั้น ที่เป็นสถานกาณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ธปท. จำเป็นต้องรับซื้อไว้ทั้งหมด
ถ้า ธปท. ไม่แทรกแซงเงินบาท  ตอนนี้ค่าของเงินอาจจะพุ่งสูงแตะ 31-32 บาท/$ ก็ได้
แล้วปัญหาจะยิ่งแรงกว่านี้ (แค่นี้ก็ร้องกันจะตายอยู่แล้ว)

----คำว่าแทรกแซงมีหลายวิธีนะครับ มาตรการ30% การ swop100% เป็นการแทรกแซงทั้งนั้น ไม่ใช้แค่การอุ้มหรือช้อนซื้อบาทเท่านั้น----


ตอนนี้ต้องคิดก่อนว่า บาทแข็ง เป็นจุดอ่อน ทีสำคัญขนาดจำเป็นใช้มาตรการแรงๆหรือเปล่า  (อย่างน้อยคนที่มีหนี้ต่างประเทศคงอยากให้เงินบาทแข็งค่าเรื่อยๆ)
และหลายๆคนสามารถคิดช่องทางใหม่ๆจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นคราวนี้ได้
บันทึกการเข้า

@ # $ %
Coolly_Jade
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 318


ฉันจะบิน บิน บิน สู่เสรีภาพอันยิ่งใหญ่


« ตอบ #9 เมื่อ: 26-07-2007, 09:32 »

อืม....ไหนคนที่คอยถล่มและพูดจาทับถม แสนรุ้อย่างท่านท้าวจ๊ะและพวกพ้อง

ลองบอกหน่อยสิ ในสภาพเช่นนี้ ธปท ควรทำอย่างไร

ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำอย่างไร

อย่าตอบแบบประชดประชันนะ เอาสาระหน่อย ไอประเภทด่าๆแต่คิดทางออกยังไม่ได้นี่ มันน่าเบื่อ

ตอบแบบที่ผ่านๆมาเดะอนุบาลมานอ่านยังเบื่อเลยนะ ไอคุณท่านท้าวจ๊ะ
บันทึกการเข้า

ทักษิณาธิปไตย เสรีทางความคิด เผด็จการต่อการแสดงออก ใครเห็นด้วยเป็นคนดี ใครคัดค้านเป็นกุ๊ย
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #10 เมื่อ: 26-07-2007, 09:33 »

การขาดทุนดังกล่าวเป็นเพียงค่าของเงินที่หายไปครับ

เพราะเมื่อทำธุรกรรม ได้เงินตราต่างประเทศมา ยังไงซะสุดท้ายคนไทยก็ต้องเอาไปแลกเป็นเงินบาท  และเงินที่รับแลกนั้นสุดท้ายก็จะไปอยู่ใน ธปท. ในรูปของทุนสำรองระหว่างประเทศ

การขาดทุนนั้นจากการที่ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น  แต่ ธปท. จำเป็นต้องถือเงินตราต่างประเทศ (คงไม่มีคนไทยคนไหนถือเงินต่างประเทศไว้เป็นหมื่นล้านในสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทสูงขึ้นแน่นอน)

ดังนั้น ที่เป็นสถานกาณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ธปท. จำเป็นต้องรับซื้อไว้ทั้งหมด
ถ้า ธปท. ไม่แทรกแซงเงินบาท  ตอนนี้ค่าของเงินอาจจะพุ่งสูงแตะ 31-32 บาท/$ ก็ได้
แล้วปัญหาจะยิ่งแรงกว่านี้ (แค่นี้ก็ร้องกันจะตายอยู่แล้ว)

----คำว่าแทรกแซงมีหลายวิธีนะครับ มาตรการ30% การ swop100% เป็นการแทรกแซงทั้งนั้น ไม่ใช้แค่การอุ้มหรือช้อนซื้อบาทเท่านั้น----


ตอนนี้ต้องคิดก่อนว่า บาทแข็ง เป็นจุดอ่อน ทีสำคัญขนาดจำเป็นใช้มาตรการแรงๆหรือเปล่า  (อย่างน้อยคนที่มีหนี้ต่างประเทศคงอยากให้เงินบาทแข็งค่าเรื่อยๆ)
และหลายๆคนสามารถคิดช่องทางใหม่ๆจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นคราวนี้ได้




ขาดทุนทางบัญชี ขาดทุนทางค่าเงิน ......ต่อไปจะใช้คำอะไรเพื่อให้ดูsoftไม่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยดีเอ่ย!?!


"นายฉลองภพ กล่าวยอมรับว่า การเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจมีผลขาดทุน ซึ่งที่ผ่านมาขาดทุนไปแล้ว 170,000 ล้านบาท แต่ถือเป็นการดูแลไม่ให้ภาพรวมเศรษฐกิจมีปัญหา โดยจะต้องดูต้นทุนภาพรวมของประเทศมากกว่าต้นทุนของ ธปท.เพราะขณะนี้ประเทศส่วนใหญ่ใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศอ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนตัวลงส่วนใหญ่จะมีผลจากการแทรกแซงค่าเงินเหมือนกัน ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อลดความผันผวน ภาคเอกชนควรแก้ไขสัญญาเปลี่ยนเป็นสกุลอื่น เช่น หากจะส่งออกสินค้าไปสหภาพยุโรป (อียู) ก็ควรทำสัญญาซื้อขายสินค้าเป็นสกุลยูโรแทน เพื่อลดความผันผวนจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ"
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #11 เมื่อ: 26-07-2007, 09:38 »

อืม....ไหนคนที่คอยถล่มและพูดจาทับถม แสนรุ้อย่างท่านท้าวจ๊ะและพวกพ้อง

ลองบอกหน่อยสิ ในสภาพเช่นนี้ ธปท ควรทำอย่างไร

ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำอย่างไร

อย่าตอบแบบประชดประชันนะ เอาสาระหน่อย ไอประเภทด่าๆแต่คิดทางออกยังไม่ได้นี่ มันน่าเบื่อ

ตอบแบบที่ผ่านๆมาเดะอนุบาลมานอ่านยังเบื่อเลยนะ ไอคุณท่านท้าวจ๊ะ



ในเมื่อมีผู้ไม่รู้(โง่)อยากจะรู้(ฉลาดขึ้นมาบ้าง)....ภารกิจของท้าวฯจึงต้องทำให้ความใฝ่ดีของท่านนี้เป็นจริง  อ่ะ..ไปอ่านดูให้ตกผลึกน๊ะท่านน๊ะ http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/16/WW10_WW10_news.php?newsid=84250
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #12 เมื่อ: 26-07-2007, 09:46 »


อิ อิ อิ อยู่ๆท่าน 55555 จะยุให้ไทยกลับไปสู่ยุคญี่ปุ่นขึ้นบกเมืองไทยซะแล้ว ที่ช่วงสมัยนั้นญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรไทยใช้กันมันส์เลย จนทำให้ค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อของไทยสูงลิ่ว เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง

"นายสนธิ ย้ำว่า เวลาดูค่าเงินต้องดูภาพรวม และไม่ต้องเล่นตามเกมฝรั่ง ที่มักจะบอกว่าอัตราเงินเฟ้อต้องต่ำ ซึ่งตอนนี้เพียง 1.9 % แต่ราคาสินค้าก็ไม่ต่างจากที่เงินเฟ้อ 4 % เท่าไหร่ เราควรจะยอมให้เงินเฟ้อเพิ่ม ด้วยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม เพื่อไปซื้อดอลลาร์ โดยไม่ต้องไปกู้เงินบาทมาให้ขาดทุน"......ที่แท้เจ้าของแนวความคิดเรื่องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มก็มาจากแป๊ะลิ้มนี่เอง ท่านเก่งจริงๆที่บริหารธุรกิจซะล้มละลายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้แบบนั้น  ฮ่าๆๆๆ


บังเอิญ ไม่ได้ฟังตอนสนธิ ฯ พูด เรื่องพิมพ์ ธนบัตร เพราะ ฟังไม่จบ ...หรือ ถึงสนธิจะพูด ก็ไม่เห็นจะเป็นไร สนธิ ฯ พูด ก็เก็บมาคิดกัน ไร้สาระ ก็ทิ้งไป มีประโยชน์ ก็เก็บไปใช้ ...เอ๊ะ ชักสงสัยแล้วสิ ที่แบ็งค์ชาติ ไม่ใช้นโยบายพิมพ์เงินบาท เพราะสนธิ พูดหรือปล่าวน๊อ.............

เรื่องการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม บังเอิญไปได้ยินมาจากที่อื่น เมื่อ เดือนก่อน แล้วลองกลับมาคิดเล่น ๆ .....แทรกแซง ค่าเงินก็ จะขาดทุน ซะเป็นส่วนใหญ่..... ลดดอกเบี้ย ก็ช่วยได้แป๊บเดียว.......ก็เลยคิดว่า การพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม น่าจะช่วยลดเรื่อง ดีมานต์เงินบาท......

ท่านท้าว ฯ จะไปเทียบ ญี่ปุ่นในยุคนั้นได้ไงครับ.......ยุคนั้น ญี่ปุ่น มันพิมพ์ ไปเรื่อย เงินมันก็แค่เศษกระดาษ แต่ ยุคนี้ จะพิมพ์ธนบัตรออกมา เค้ามีกติกาอยู่ ว่า จะพิมพ์ได้จำนวนเท่าไหร่ ต้องมี สินทรัพย์ที่เชื่อถือได้ อย่าง เงินดอลล่าห์ หรือ สกุล เงินตราอื่น ๆ และทอง หนุนหลังอยู่  ระดับทุนสำรองที่เรามี อยู่ตอนนี้ ยังเพิ่มปริมาณเงินได้อีกเยอะครับ .....

พอดีแหงะมาเห็น ท่านท้าว ฯ อีกความเห็น.........คุณ kj 2nd  ก็พูดถูกครับ เป็นการขาดทุนทางบัญชี ตัวเลขที่นำมาแถลง เป็นการขาดทุนทางบัญชี ณ วันที่ ตรวจสอบ........แต่ผมคิดว่า แบ็งค์ชาติ อาจจะขาดทุนมากกว่านี้อีก เพราะ ผมประเมินว่า เงินบาทจะแข็งค่าต่อไป ยกเว้น ว่า หลังจากวันนี้ แบ็งค์ชาติจะมีทีเด็ด อะไรออกมา แล้ว ทำให้ค่าเงินบาทตีกลับ........เรื่องแบบนี้แบ็งค์ชาติ เสียเปรียบเรื่องข่าวสารอยู่แล้ว เพราะในความเป็นจริง การอธิบายความให้คนส่วนใหญ่มันยากจริง ๆ


 


ในเมื่อมีผู้ไม่รู้(โง่)อยากจะรู้(ฉลาดขึ้นมาบ้าง)....ภารกิจของท้าวฯจึงต้องทำให้ความใฝ่ดีของท่านนี้เป็นจริง  อ่ะ..ไปอ่านดูให้ตกผลึกน๊ะท่านน๊ะ http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/16/WW10_WW10_news.php?newsid=84250

นั่นไง เห็นมั๊ย โอฬาร แนะ แบ็งค์ชาติ ให้กู้บาทซื้อดอลล่าห์อีกแล้ว........เจ๊งแค่นี้ ท่านท้าว ฯ ก็ เอามากระแนะ กระแหนแล้ว  ......ส่วนอันอื่น ก็เห็น เค้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่ดอกรึ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2007, 09:56 โดย 55555 » บันทึกการเข้า
best
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 201


« ตอบ #13 เมื่อ: 26-07-2007, 09:49 »

เอาเถอะ ตอนนี้ก็ปลอบใจกันไป  

รู้ว่าการยอมรับความจริงมันยาก  
บันทึกการเข้า
Coolly_Jade
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 318


ฉันจะบิน บิน บิน สู่เสรีภาพอันยิ่งใหญ่


« ตอบ #14 เมื่อ: 26-07-2007, 09:50 »


ในเมื่อมีผู้ไม่รู้(โง่)อยากจะรู้(ฉลาดขึ้นมาบ้าง)....ภารกิจของท้าวฯจึงต้องทำให้ความใฝ่ดีของท่านนี้เป็นจริง  อ่ะ..ไปอ่านดูให้ตกผลึกน๊ะท่านน๊ะ http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/16/WW10_WW10_news.php?newsid=84250

เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่นะครับ ต้องขอออกตัวไว้ก่อน

แต่การทำตามแบบที่โอฬารเสนอนั้น ผมมองยังไงๆมันก็กลายไปเป็นการเพิ่มให้ค่าเงินบาทมันแข็งขึ้นอยุ่ดี อันนี้ในสายตาผมนะ

เป็นการดูดเงินบาท กลับเข้าไปซะมากกว่า

ถ้าจะให้สวยผมกลับชอบวิธีที่กรุงไทยเสนอมากกว่า คือการเพิ่มยอดบัญชีฝากดอลล่าในระยะหนึ่ง

และที่สำคัญ กับโอฬารคนนี้ผมไม่ให้เครดิตตั้งกรณีscibแล้วครับ

ไม่รุ้ว่าเสนอหน้าอยู่ในสังคมมาได้อย่างไรตั้งนาน(อันนี้ส่วนตัวนะ)

ว่าแต่ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำตามที่โอฬารบอกมาทั้งหมดหรือ อันนี้ถามจริงๆนะ ไม่ได้ลองภูมิ

แล้วที่ท่านท้าวคิดเองละ ผมขอความคิดของท่านและพวก ไม่ใช่การไปเอาความคิดใครมาแปะ

แบบนั้นมานไม่ใช่การคิด แต่เป็นการลอกเลียนแบบ หวังว่าคงเข้าใจภาษาไทย
บันทึกการเข้า

ทักษิณาธิปไตย เสรีทางความคิด เผด็จการต่อการแสดงออก ใครเห็นด้วยเป็นคนดี ใครคัดค้านเป็นกุ๊ย
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #15 เมื่อ: 26-07-2007, 09:58 »

บังเอิญ ไม่ได้ฟังตอนสนธิ ฯ พูด เรื่องพิมพ์ ธนบัตร เพราะ ฟังไม่จบ ...หรือ ถึงสนธิจะพูด ก็ไม่เห็นจะเป็นไร สนธิ ฯ พูด ก็เก็บมาคิดกัน ไร้สาระ ก็ทิ้งไป มีประโยชน์ ก็เก็บไปใช้ ...เอ๊ะ ชักสงสัยแล้วสิ ที่แบ็งค์ชาติ ไม่ใช้นโยบายพิมพ์เงินบาท เพราะสนธิ พูดหรือปล่าวน๊อ.............

โถ...ท่านก้อ แป๊ะลิ้มกับพวกผู้มีอำนาจขณะนี้ก็พวกเดียวกันทั้งน้านนนนน บางครั้งแป๊ะลิ้มยังแสดงอำนาจราวกับเป็นหัวหน้าก๊กเลยน๊า



เรื่องการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม บังเอิญไปได้ยินมาจากที่อื่น เมื่อ เดือนก่อน แล้วลองกลับมาคิดเล่น ๆ .....แทรกแซง ค่าเงินก็ จะขาดทุน ซะเป็นส่วนใหญ่..... ลดดอกเบี้ย ก็ช่วยได้แป๊บเดียว.......ก็เลยคิดว่า การพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม......

ทีนี้ลองมาอ่านบทความที่เสนอแนะให้มีการพิมพ์เพิ่มธนบัตรในปี 2540 กันดูดีไหม?


""ถ้าเพิ่มสภาพคล่องในทันทีเศรษฐกิจไทยจะไปรอด”

บทความพิเศษ โดย.. มีพาศน์ โปตระนันทน์ ผู้จัดการรายวัน หน้า 7 วันจันทร์ที่ 11 ส.ค. 40


 
          ปรากฏว่าหลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนให้ค่าเงินบาทลอยตัวตามที่ผู้เขียนได้เสนอตลอดมา   สภาวะการเงินได้ค่อยๆตึงตัวหรือฝืด*มากขึ้นจนขณะนี้เริ่มตึงรุนแรง ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้ว และศาสตราจารย์ประพันธ์ ศิริรัตน์ธำรง ประธานกรรมการบริษัทในเครือกลุ่มสหพัฒน์ กล่าวว่า (ฐานเศรษฐกิจ 30-31 ก.ค. 40 หน้า 15 คอลัมน์ Cool ปัญหาที่สำคัญที่ต้องแก้ไขตอนนี้ก็คือ อัตราดอกเบี้ยสูงมาก และเงินก็หายากมากด้วย เงินกู้ดอกเบี้ยประมาณ 20% นั้นหายากมาก และดอกเบี้ยสูงขนาดนี้เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจส่งออกซึ่งมีกำไรเฉลี่ยประมาณ 5-6% เท่านั้น หากจะต้องกู้เงินเพื่อมาใช้หมุนเวียนในขณะนี้ ธุรกิจไหนถ้ายังเดินหน้าต่อไป ก็ต้องขาดทุน หากไม่รีบหาทางแก้ไข ก็จะสงผลกระทบเป็นลูกโซ่ คือ ธุรกิจจะดำเนินต่อไปไม่ได้ และรัฐจะไม่มีรายได้จากการจัดเก็บภาษี
          สภาพดังกล่าว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
          ผู้เขียนเห็นว่าแม้ ไอ.เอ็ม.เอฟ. จะได้ตกลงที่จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในแง่กำกับดูแลนโยบายการคลัง-การเงิน และนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆให้เหมาะสม รวมทั้งให้คำมั่นว่าจะมีวงเงินที่พร้อมจะให้ประเทศไทยกู้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวด้วย แต่เราจะต้องอย่าลืมว่าคนที่รู้ปัญหาของประเทศไทยดีที่สุดบางทีก็อยู่ในประเทศไทยเองด้วย เพราะฉะนั้น เราจึงต้องจัดการกับปัญหาของเราเองด้วยไม่ใช่จะปล่อยให้ ไอ.เอ็ม.เอฟ ดูแลแต่เพียงอย่างเดียว
          เราจะต้องไม่ลืมว่าสมัยเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกที่เริ่มเมื่อปี 1929 นั้น ตอนที่เริ่มต้นขึ้นในสหรัฐอเมริกาปัญหายังไม่ได้รุนแรง แต่นักเศรษฐศาสตร์มือเยี่ยมๆ ของสหรัฐฯ สนับสนุนให้ผู้คุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ลดปริมาณเงินหมุนเวียนหรือสภาพคล่องลงมาก ทำให้เงินฝืดอย่างมากถึง 3 ปี (ซึ่งเป็นนโยบายการเงินที่ผิดพลาด) จนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงในสหรัฐฯ โรงงานอุตสาหกรรมกว่าครึ่งหยุดทำงาน ทำให้ประชาชนผู้ใช้แรงงานไม่มีงานทำและไม่ได้ค่าแรง ผลิตภัณฑ์มวลรวมและรายได้เฉลี่ยของประเทศตกลงไปประมาณ 40% ทำให้คนทั้งประเทศลำบากยากจนมาก ซึ่งทำให้มีปัญหาสังคมต่างๆ ตามมาด้วย
          สภาวะเงินฝืดหรือเงินตึงรุนแรงในประเทศไทยขณะนี้ ความจริง ธปท. สามารถที่จะทำให้เงินหายฝืดได้ แต่ ธปท. ไม่ยอมทำ เพราะกลัวว่าจะทำให้เงินเฟ้อ (ซึ่งในทางวิชาการ ก็คือ ของแพงนั่นเอง)
          ที่ถูกแล้ว ธนาคารกลางใหญ่ๆทั่วโลก ในบางครั้งอาจจะต้องยอมทำให้เงินฝืดขึ้นบ้างเพียงเล็กน้อย เฉพาะในกรณีที่เศรษฐกิจบูมเกินไปหรือที่พูดกันง่ายๆ ว่า over heat ซึ่งไม่ใช่กรณีของปรแทศไทยในขณะนี้ เพราะปัญหาของแพงหรือเงินเฟ้อของเราในระยะนี้เกิดจากสาเหตุที่ค่าเงินบาทต้องลอยต้วต่ำลงทำให้ต้นทุนของสินค้าแพงขึ้น ซึ่งถ้าจะแก้ก็ต้องแก้ด้วยการทำให้ค่าเงินบาทดีขึ้น (ลอยตัวสูงขึ้น) โดยการทำให้มีเงินตราต่างประเทศเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราจะต้องส่งสินค้าออกให้ได้มากขึ้น ไม่ใช่ด้วยการทำให้เงินฝืดดอกเบี้ยแพงจนทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกเดือดร้อนต้องดำเนินกิจการไปด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง เพราะดอกเบี้ยสูงทำให้ราคาส่งออกก็สูง สินค้าส่งออกมีน้อยและส่งออกได้น้อยลงอย่างที่กำลังเดือดร้อนกันในขณะนี้ นโยบายเงินฝืด (tight money) ที่ใช้อยู่ในระยะนี้จึงสรุปได้ว่าเป็นผลเสียต่อค่าเงินบาท ซึ่งอัตราเงินเฟ้อจะยิ่งสูงขึ้น มิใช่จะต่ำลงอย่างที่คาดหวัง
          ความจริงนั้น นโยบายเงินฝืดดอกเบี้ยสูงที่เกิดขึ้นเพราะความกลัวเงินเฟ้อนี้อย่างน้อยก็ได้พิสูจน์ออกมาอย่างขัดเจนแล้วว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สินค้าออกของเราตกต่ำลงมากจนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีการเก็งกำไรในค่าเงินบาท จนต้องลอยตัวมีค่าต่ำลงเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2540 จึงเห็นได้ชัดว่านโยบายนี้ นอกจากจะแก้ปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้แล้ว ยังกลับเป็นตัวการทำให้เงินเฟ้อมากขึ้นด้วย
          ส่วนนโยบายเงินฝืด ดอกเบี้ยสูงเพื่อปกป้องค่าเงินบาทนั้น ได้มีการอ้างเหตุผลเช่นนี้มาตั้งแต่ต้นปีนี้ แต่ก็ปรากฏว่าผลที่สุดนโยบายนั้นก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โดยกลับมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทต้องลอยตัวต่ำลงในเดือน ก.ค. 2540 ทำนองเดียวกัน
          ฉะนั้น สภาวะเงินฝืดดอกเบี้ยสูงที่หลายฝ่ายอ้างว่าจะดีขึ้นเองในประมาณ 1 ปี คำพูดทำนองนี้เราคงรู้กันดีว่าเชื่อได้หรือไม่ แต่ผู้เขียนขอยืนยันว่าควรจะจัดการเพิ่มสภาพคล่องในทันที ก่อนที่เศรษฐกิจและการส่งออกจะเสียหายยิ่งกว่านี้ และค่าเงินบาทจะยิ่งตกต่ำจนทำให้เงินเฟ้อหรือของแพงมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะมีผู้โต้แย้งว่า เราจะเอาเงินที่ไหนเข้ามาในระบบทำให้เงินหายฝืดและดอกเบี้ยลดลงได้ ซึ่งในเรื่องนี้ก็ตอบได้ว่า ธปท. ได้เคยออกพันธบัตรมาดูดซับสภาพคล่องในระบบเข้าไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเคยมีผู้ประมาณว่าเกือบถึง 1 แสนล้านบาท ทำให้สภาพคล่องน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาก ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าพันธบัตรภาครัฐบาลขณะนี้เข้าใจว่ามีอยู่ประมาณสามแสนล้านบาท ซึ่ง ธปท. ควรจะซื้อเอาเข้าไปเก็บไว้หนึ่งถึงสองแสนล้านบาท ซึ่งจะมีผลเป็นการอัดฉีดเงินจำนวนดังกล่าวเข้ามาในระบบซึ่งจะทำให้เงินหายฝืด แต่ก็อาจจะมีผู้แย้งอีกว่า ธปท. อาจไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อพันธบัตรจำนวนดังกล่าว ซึ่งก็ตอบได้ว่าถ้าไม่มีเงินพอจริงๆ ก็จำเป็นต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มให้พอ ซึ่งการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเท่าที่จำเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ ธปท. ทำได้และเคยทำอยู่เป็นครั้งคราว โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ เพราะจำนวนธนบัตรก็ดี ปริมาณเงินหมุนเวียนหรือสภาพคล่องในตลาดก็ดี จะต้องมีปริมาณที่เหมาะสมและพอดี นั่นคือ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และจะอย่างไรก็ตาม ถ้า ธปท. มีเงินแสนกว่าล้านบาทไปอุ้มธนาคาร BBC ได้ ธปท. จะปฏิเสธว่าไม่มีเงินสองแสนล้านบาทเพื่อทำให้เงินหายฝืดย่อมจะไม่ได้ การจะเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนดังกล่าวนี้ เมื่อทำไปแล้วเราก็ย่อมจะสามารถดูภาวะตลาดเงินได้ว่า มีสภาพคล่องที่เหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจและการส่งออกพอเพียงหรือไม่ ซึ่งเราอาจจะปรับเพิ่มหรือลดเงินนี้ได้โดยง่ายตามที่เหมาะสม และภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น การส่งออกดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทดีขึ้น และเมื่อการผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีสินค้าออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ราคาลดลงทำนองเดียวกับมะนาวหรือผลผลิตอื่นๆ ที่ถ้าออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้ราคาลดลงด้วย จริงอยู่ปัญหาอาจจะมีว่าในระยะเริ่มต้นของการเลิกนโยบายเงินฝืดดอกเบี้ยสูงไม่เกิน 1-2 เดือน อาจจะมีปัญหาเรื่องเงินไหลออกบ้าง แต่จะเป็นเงินไม่มากและไม่นาน ซึ่งสภาวะ external imbalance เพียงเล็กน้อยเช่นนี้ ทุนสำรองของเราและวงเงินกู้ของ IMF ย่อมจะแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน (ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของ IMF นั่นเอง ซึ่งถ้าเราไม่ใช้ประโยชน์เช่นนี้ ก็ไม่สมควรที่จะกู้มาให้เป็นภาระแก่คนไทยทั้งประเทศ) หรือถ้าเรายังกลัวปัญหานี้มาก เราก็มีทางเลี่ยงได้โดยให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เฉพาะผู้ผลิตและผู้ส่งออกเท่าที่จะไม่ขัดกับกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกเสียก่อนเท่าที่จำเป็น ยิ่งกว่านั้นเมื่อเราใช้นโยบายเศรษฐกิจที่ถูกต้องจนเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นดังกล่าว ก็จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินและธนาคารของเราดีขึ้นด้วย นักลงทุนและเจ้าหนี้ต่างประเทศก็จะเริ่มกลับมีความเชื่อมั่นทำให้เงินทุนไหลกลับเข้ามา ซึ่งจะเป็นผลให้ค่าเงินบาทค่อยๆ ดีขึ้นต่อไปอีกด้วย และเมื่อประกอบกับมาตรการอื่นๆ ซึ่งผู้เขียนเคยเสนอเอาไว้ตลอดมา เช่น การยกเลิกภาษีเงินได้ดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศ ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้เคยทำเมื่อ 1-2 ทศวรรษที่แล้วมาและทำให้เงินตราต่างประเทศไหลเข้าเข้าสหรัฐฯ อย่างมากมาย การยกเลิกมาตรการจำกัดเงินกู้ระยะสั้น (เพราะก็ยังดีกว่าไม่มีเงินไหลเข้ามา) การแก้กฎหมายเปิดเสรีการตั้งและขยายโรงงานและการส่งเสริมการลงทุนให้โดยไม่จำกัดจำนวนและไม่จำกัดเวลา ฯลฯ ก็จะทำให้การผลิตภายในประเทศและการส่งออกเพิ่มมากขึ้นอีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทยิ่งลอยตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าอีกไม่นานนักจะลอยตัวสูงขึ้นจนดอลลาร์เหลือ 25 บาท และค่อยๆลดลงไปต่ำกว่า 22 บาท ซึ่งจะแก้ปัญหาของแพงและเงินเฟ้อให้เหลือน้อยที่สุด ในขณะที่อัตราความเจริญทางเศรษฐกิจจะกลับสูงถึง 9-11% และประเทศไทยเราจะร่ำรวยเหมือนสิงคโปร์และประเทศในอเมริกาเหนือโดยรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้มากมายพอแก้ปัญหาจราจรให้หมดสิ้นไปได้ด้วย
          จึงหวังว่าพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคลัง และผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่จะรับฟังและรีบดำเนินการโดยทันที ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหามากขึ้นจนก่อให้เกิดความกลัวและความสับสนจนเกิดนโยบายผิดๆ มากยิ่งขึ้นอีก ซึ่งเราจะกลับแก้ไขให้ถูกต้องได้ยากขึ้นทุกที"




ท่านท้าว ฯ จะไปเทียบ ญี่ปุ่นในยุคนั้นได้ไงครับ.......ยุคนั้น ญี่ปุ่น มันพิมพ์ ไปเรื่อย เงินมันก็แค่เศษกระดาษ แต่ ยุคนี้ จะพิมพ์ธนบัตรออกมา เค้ามีกติกาอยู่ ว่า จะพิมพ์ได้จำนวนเท่าไหร่ ต้องมี สินทรัพย์ที่เชื่อถือได้ อย่าง เงินดอลล่าห์ หรือ สกุล เงินตราอื่น ๆ และทอง หนุนหลังอยู่  ระดับทุนสำรองที่เรามี อยู่ตอนนี้ ยังเพิ่มปริมาณเงินได้อีกเยอะครับ .....

ถูกต้อง....ตอนแรกท้าวฯเข้าใจว่าท่าน55555หนับหนุนให้พิมพ์ธนบัตรโดยไม่สนใจกติกาอื่นใด


พอดีแหงะมาเห็น ท่านท้าว ฯ อีกความเห็น.........คุณ kj 2nd  ก็พูดถูกครับ เป็นการขาดทุนทางบัญชี ตัวเลขที่นำมาแถลง เป็นการขาดทุนทางบัญชี ณ วันที่ ตรวจสอบ........แต่ผมคิดว่า แบ็งค์ชาติ อาจจะขาดทุนมากกว่านี้อีก เพราะ ผมประเมินว่า เงินบาทจะแข็งค่าต่อไป ยกเว้น ว่า หลังจากวันนี้ แบ็งค์ชาติจะมีทีเด็ด อะไรออกมา แล้ว ทำให้ค่าเงินบาทตีกลับ........เรื่องแบบนี้แบ็งค์ชาติ เสียเปรียบเรื่องข่าวสารอยู่แล้ว เพราะในความเป็นจริง การอธิบายความให้คนส่วนใหญ่มันยากจริง ๆ


 

นั่นไง เห็นมั๊ย โอฬาร แนะ แบ็งค์ชาติ ให้กู้บาทซื้อดอลล่าห์อีกแล้ว........เจ๊งแค่นี้ ท่านท้าว ฯ ก็ เอามากระแนะ กระแหนแล้ว  ......ส่วนอันอื่น ก็เห็น เค้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่ดอกรึ


บันทึกการเข้า
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 26-07-2007, 10:05 »



ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรประชุมหาแนวทางกับผู้ส่งออกรายใหญ่และธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยครับ..

มีวิธีสร้างสรรค์มากมาย
บันทึกการเข้า

The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #17 เมื่อ: 26-07-2007, 10:11 »

เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่นะครับ ต้องขอออกตัวไว้ก่อน

แต่การทำตามแบบที่โอฬารเสนอนั้น ผมมองยังไงๆมันก็กลายไปเป็นการเพิ่มให้ค่าเงินบาทมันแข็งขึ้นอยุ่ดี อันนี้ในสายตาผมนะ

เป็นการดูดเงินบาท กลับเข้าไปซะมากกว่า

ถ้าจะให้สวยผมกลับชอบวิธีที่กรุงไทยเสนอมากกว่า คือการเพิ่มยอดบัญชีฝากดอลล่าในระยะหนึ่ง

และที่สำคัญ กับโอฬารคนนี้ผมไม่ให้เครดิตตั้งกรณีscibแล้วครับ

ไม่รุ้ว่าเสนอหน้าอยู่ในสังคมมาได้อย่างไรตั้งนาน(อันนี้ส่วนตัวนะ)

ว่าแต่ถ้าเป็นท่านท้าวและพวกพ้องจะทำตามที่โอฬารบอกมาทั้งหมดหรือ อันนี้ถามจริงๆนะ ไม่ได้ลองภูมิ

แล้วที่ท่านท้าวคิดเองละ ผมขอความคิดของท่านและพวก ไม่ใช่การไปเอาความคิดใครมาแปะ

แบบนั้นมานไม่ใช่การคิด แต่เป็นการลอกเลียนแบบ หวังว่าคงเข้าใจภาษาไทย



ท้าวฯคงไม่อาจแบกรับภาวะดังกล่าวได้ที่จะเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้จริงๆ ทราบแต่เพียงว่าสมัยรัฐบาลทักษิณไม่มีปัญหาเลวร้ายแบบนี้ เพราะช่วงทักษิณเรืองอำนาจ...เงินลงทุนจากตปท.ไหลเข้ามา  การใช้จ่ายของปชช.มีการขยายตัว  การส่งออกมีอัตราสูงเกือบ 20%  อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอยู่ในอัตราที่สูง  สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกประเทศ

ปัญหาค่าเงินบาทแข็งของไทย ณ ปัจจุบันจึงน่าจะเป็นปัญหาปลายเหตุหลังจากที่ปัจจัยหลักด้านเศรษฐกิจดังที่กล่าวมาของไทยหยุดชะงักลงมิใช่หรือ!?!
บันทึกการเข้า
Coolly_Jade
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 318


ฉันจะบิน บิน บิน สู่เสรีภาพอันยิ่งใหญ่


« ตอบ #18 เมื่อ: 26-07-2007, 10:41 »

ผมจะไม่โต้แย้งในสิ่งที่ท่านพูด เพราะถ้าโต้แย้งก็คงจะไหลไปเป็นเรื่องอื่นนอกประเด็นไป

สิ่งที่ท่านว่ามาผมยอมรับประเด็นเดียวการไหลเข้าของเงินทุน

ซึ่งการไหลเข้าของทุนจำนวนมากนี่เองที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปัญหาค่าเงินนี้ด้วย

ค่าเงินที่แข็งขึ้นมานผิดกว่ามูลค่าที่แท้จริงมานผิดปกติอยู่แล้ว

สิ่งที่สมควรด่า ธปท ไม่ว่าสมัยไหนก็คือ

การหลอกลวงประชาชนว่าการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากๆเป็นส่งที่ดีโดยไม่มีข้อเสีย

โดยปราศจากการควบคุมอย่างจริงจัง

จนถึงปัญหาปัจจุบัน ไม่ว่าทักษิณหรือคมช ก้ไม่มีใครกล้าแตะเลยว่า ปัญหาที่ทำให้ค่าเงินแข็งจริงๆมาจากพวกนี้

พวกที่นำเงินทุนเข้ามาเพียงเพราะส่วนต่างของค่าเงิน ดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ

เป้นการเก็งกำไร ไม่ใช่การลงทุนที่แท้จริง ที่ส่งผลในทางที่ดีต่อประเทศไทยอย่างแท้จริง


บันทึกการเข้า

ทักษิณาธิปไตย เสรีทางความคิด เผด็จการต่อการแสดงออก ใครเห็นด้วยเป็นคนดี ใครคัดค้านเป็นกุ๊ย
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #19 เมื่อ: 26-07-2007, 11:15 »

ผมจะไม่โต้แย้งในสิ่งที่ท่านพูด เพราะถ้าโต้แย้งก็คงจะไหลไปเป็นเรื่องอื่นนอกประเด็นไป

สิ่งที่ท่านว่ามาผมยอมรับประเด็นเดียวการไหลเข้าของเงินทุน

ซึ่งการไหลเข้าของทุนจำนวนมากนี่เองที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปัญหาค่าเงินนี้ด้วย

ค่าเงินที่แข็งขึ้นมานผิดกว่ามูลค่าที่แท้จริงมานผิดปกติอยู่แล้ว

สิ่งที่สมควรด่า ธปท ไม่ว่าสมัยไหนก็คือ

การหลอกลวงประชาชนว่าการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมากๆเป็นส่งที่ดีโดยไม่มีข้อเสีย

โดยปราศจากการควบคุมอย่างจริงจัง

จนถึงปัญหาปัจจุบัน ไม่ว่าทักษิณหรือคมช ก้ไม่มีใครกล้าแตะเลยว่า ปัญหาที่ทำให้ค่าเงินแข็งจริงๆมาจากพวกนี้

พวกที่นำเงินทุนเข้ามาเพียงเพราะส่วนต่างของค่าเงิน ดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ

เป้นการเก็งกำไร ไม่ใช่การลงทุนที่แท้จริง ที่ส่งผลในทางที่ดีต่อประเทศไทยอย่างแท้จริง



การไหลเข้าของเงินตปท.สมัยทักษิณเป็นเงินลงทุนระยะยาว แต่สมัยนี้เป็นเงินเข้ามาระยะสั้นในตลาดเงิน จึงทำให้ค่าบาทแข็ง
บันทึกการเข้า
samepong(ยุ่งแฮะ)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,402



« ตอบ #20 เมื่อ: 26-07-2007, 11:37 »


การไหลเข้าของเงินตปท.สมัยทักษิณเป็นเงินลงทุนระยะยาว แต่สมัยนี้เป็นเงินเข้ามาระยะสั้นในตลาดเงิน จึงทำให้ค่าบาทแข็ง

ระยะยาวตรงไหน ขอคำอธิบายหน่อย

อย่ามองแต่ว่าเงินทุนเข้าหรือออก อย่ามองว่าเราแย่แล้วคนอื่นไม่แย่หรือ การมองของเท้า มองด้านเดียว ไม่ได้มองภาวะเศษฐกิจโลก ไม่ได้มองทำไมดอลลาร์ถึงอ่อนค่าลง เหตุผลมันมีในตัวแต่คุณเท้าไม่ได้เอามาพูดในด้านนั้นแต่พยายามสร้างให้มันเป้นในทางลบของการทำงานของรัฐบาลด้านเดียว

เงินดอลลาร์มันอ่อนค่าของตัวมันเองอยู่แล้ว+กับการส่งออกที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยมีเงินสำรองในรูปดอลลาร์มากเป็นพิเศษ ตอนนี้หลายประเทศไม่อยากค้าขายกับสหรัฐ เท่าไหร่แล้วโดยเฉพาะจีน เพราะจีนค้าขายกับ สหรัฐทีไรก็ได้พันธบัตร มามากมายไม่รู้เท่าไหร่ จนสหรัฐเป็นลูกหนี้จีนจนต้องออกมาขอร้องมั้งบังคับบ้างให้จีนปรับอัตตราเงินหยวนของจีน ถ้าเรายังไปยึดติดกับการค้าขายเป็นรูปดอลลาร์สหรัฐ อย่างเดียว ต่อไป ค่าเงินมันก้อ่อนลงไป บาทก็แข็งเรื่อยๆ ต่อไป และตัวสหรัฐเองก็อ่อนแอลงไปตามเวลาไม่งั้นจีนคงไม่ไปเอา บ.IBM มาเป้นของคนจีนได้หรอก การเสียบ.IBM เหมือนเสียเอกราชด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ไปเหมือนกันอย่านึกว่าเราแย่ เค้าแย่กว่าเราแต่เค้าปิดบังเก่งกว่าเรา และคนในชาติช่วยกันปิดบังความอัปยศไว้ ไม่เหมือนบ้านเราที่พยายามประจานตัวเองให้โลกรู้ 

และในเมื่อตัวเจ้าของเงิอนดอลลาร์เองมีปัญหาแล้วจะให้ผู้ที่ทำการค้าด้วยเงินสกุลนี้เป็นหลักไม่มีปัญหาคงไม่ได้
บันทึกการเข้า

เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
::วิญญาณห้อง2::
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 656



เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 26-07-2007, 12:07 »

เงินสำรองในรูปดอลล่าร์ ยังคงอยู่ดี เพียงแต่ค่าเงินดอลล่าร์ในรูปเงินสำรองมันด้อยลงๆ เพราะบาทแข็ง

ซึ่งตอนนี้ยังถือว่าเป็น unrealized loss เท่านั้น

บันทึกการเข้า

--------this is the world-------
kj 2nd
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74


« ตอบ #22 เมื่อ: 26-07-2007, 13:23 »

^
^
^เอ่อ จะบอกว่า สมัยทักษิณ มันก็เป็นเงินทุนระยะสั้นเหมือนกันแหละครับ  ผ่านตลาดหุ้นไง เล่น short ทำกำไรกันสนุก

การลงทุนในภาคเอกชนมันไม่ได้โตขึ้นเท่าไหร่นะครับ น่าจะหดตัวลงด้วยซ้ำ   แต่ได้การบริโภค กับการส่งออกที่ช่วยเศรษฐกิจในสมัยเหลี่ยมได้


การบริโภคก็กลับมาสะดุดเพราะหนี้สิน ความจริงมันเริ่มมาตั้งแต่ยุคกลางๆของเหลี่ยมแล้วล่ัะ  แต่ภาพมันยังไม่ชัด ว่าการบริโภคของเรามันบวมพึลึกๆ


แล้วการส่งออกที่โตต่อเนื่องก็ทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้นจนถึงปัจจุบันไงครับ
บันทึกการเข้า

@ # $ %
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #23 เมื่อ: 26-07-2007, 20:06 »


การไหลเข้าของเงินตปท.สมัยทักษิณเป็นเงินลงทุนระยะยาว แต่สมัยนี้เป็นเงินเข้ามาระยะสั้นในตลาดเงิน จึงทำให้ค่าบาทแข็ง

ระยะยาว ระยะสั้น ถ้ามันเข้ามาเยอะ ๆ บาทก็แข็งทั้งนั้นล่ะครับ

 
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #24 เมื่อ: 28-07-2007, 19:55 »

ไอเอ็มเอฟหนุนธปท.แทรกแซงค่าบาท เชื่อไทยไม่เจอวิกฤติ
 

28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 18:42:00
 
 
ไอเอ็มเอฟหนุนแบงก์ชาติแทรกแซงค่าเงินบาท ยอมรับกระแสโลกาภิวัตน์การเงินโลกขณะนี้มีทั้งผลดีและความเสี่ยงควบคู่กัน เชื่อมั่นไทยไม่เจอวิกฤติเหมือนปี"40

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : Mr.Rodrigo de Rato กรรมการจัดการไอเอ็มเอฟ ซึ่งเข้าร่วมสัมมนาสภาผู้ว่าการธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถลงว่า จากการเข้าร่วมสัมมนากับผู้ว่าการธนาคารกลางในภูมิภาคนี้ ได้มีการพูดถึงหัวข้อการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายในสถานการณ์ผันผวน ซึ่งยอมรับว่า การเคลื่อนย้ายของเงินทุนและการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนในสถานการณ์ปัจจุบันมีความผันผวนเพิ่มขึ้นมาก สะท้อนให้เห็นโลกาภิวัตน์ด้านการเงินที่สถาบันและบุคคลต่าง ๆ ทั่วโลกมีความต้องการและความสามารถที่จะถือสินทรัพย์นอกประเทศมากขึ้น และตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ประเทศในเอเชียต้องเผชิญกับภาวะการเคลื่อนย้ายเงินทุนไหลเข้า-ออกในปริมาณมาก

ทั้งนี้ กระแสของโลกาภิวัตน์ด้านการเงินดังกล่าว ก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ เช่น การที่ธุรกิจเข้าถึงตลาดเงินมากขึ้น การถ่ายทอดเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ความสามารถในการหางาน อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้เพิ่มความเสี่ยงของนักลงทุนด้วย อาทิ การเกิดความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจจากการปกป้องการค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกรรมการเก็งกำไรค่าเงินจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยไอเอ็มเอฟมีข้อเสนอแนะที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ สามารถดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงของการไหลเข้าของเงินทุน ประกอบด้วย การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ดี การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น การลดอัตราดอกเบี้ย การเข้าแทรกแซงตลาดเงินต่างประเทศเพื่อลดความผันผวน ซึ่งไอเอ็มเอฟเห็นว่าธนาคารกลางแต่ละประเทศสามารถดำเนินการได้ การเปิดเสรีเงินทุนไหลให้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนในประเทศไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นด้วย ซึ่งมาตรการเหล่านี้ต้องทำไปพร้อมกับการพัฒนาตลาดการเงินในประเทศ

สำหรับประเด็นที่มีคำถามว่า ความผันผวนทางด้านการเงินและการเคลื่อนย้ายเงินทุนของโลกในปัจจุบัน จะทำให้ประเทศไทยและประเทศภูมิภาคต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่หรือไม่ Mr.Rodrigo กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันแตกต่างจาก 10 ปีที่ผ่านมา และปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี และอัตราแลกเปลี่ยนมีความยืดหยุ่น ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้เชื่อว่า จะไม่ทำให้ไทยต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่แน่นอน

นอกจากนี้ Mr.Rodrigo ระบุถึงการที่ ธปท.เข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน และส่งผลให้ ธปท.ต้องขาดทุนประมาณ 170,000 ล้านบาท ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของ ธปท. โดยปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาตรวจสอบการทำงานของ ธปท. คือความโปร่งใสในการทำงาน และการผลักดันนโยบายที่สร้างเสถียรภาพทางด้านการเงินมากกว่า สำหรับข้อสงสัยว่า จากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา แต่ ธปท. กลับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.25 นั้น ไอเอ็มเอฟเห็นว่า การมุ่งแต่จะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละมาก ๆ จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางมากกว่ามีผลดี

ส่วนข้อซักถามว่า จากปัญหาวิกฤติทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน ไทยควรกลับไปใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ หรือ Fix Rate อีกครั้งหรือไม่ Mr.Rodrigo กล่าวว่า การกลับไปใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่จะไม่ส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางด้านการเงิน เนื่องจากในทางกลับกัน การแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนก็มีผลดี เช่น การช่วยลดภาระการนำเข้าพลังงาน และทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แต่สิ่งสำคัญที่ไอเอ็มเอฟเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริหารอัตราแลกเปลี่ยนควรทำ คือ การกำหนดเป้าหมายและดำเนินการรักษาให้เสถียรภาพระดับราคาหรือเงินเฟ้อในประเทศให้มีเสถียรภาพมากกว่า ส่วนมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เห็นว่าเป็นมาตรการที่ได้ผลในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะมีผลเสียมากกว่า และเห็นด้วยกับแนวทางที่ ธปท. จะผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวหรือยกเลิกในอนาคต

 

เอามาแปะไว้ เพื่อ เติมข่าวสาร
บันทึกการเข้า
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #25 เมื่อ: 28-07-2007, 21:42 »


ใครเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ช่วยตอบหน่อยได้ไหมครับว่าถ้าแทนที่ ธปท. จะเข้าแทรกแซงไม่ให้บาทแข็ง แต่ทิ่มตามน้ำให้ค้างไว้ที่ 30 บาท ซักหนึ่งปี จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเก็งกำไร
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: