ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
15-01-2025, 18:21
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  มาตรการธปท.พ่นพิษตลาดหุ้น! ดัชนีดิ่งเหวทันที 62 จุด 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
มาตรการธปท.พ่นพิษตลาดหุ้น! ดัชนีดิ่งเหวทันที 62 จุด  (อ่าน 1969 ครั้ง)
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« เมื่อ: 19-12-2006, 11:10 »

มาตรการธปท.พ่นพิษตลาดหุ้น! ดัชนีดิ่งเหวทันที 62 จุด
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2549 10:44 น.


ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
 
       ตลาดหุ้นดิ่งเหวทันที หลังแบงก์ชาติประกาศมาตรการ คุมเงินเก็งกำไรระยะสั้น ให้ธนาคารพาณิชย์กันสำรอง 30% สำหรับเงินทุนไหลเข้าระยะ 1 ปี ด้าน"หม่อมอุ๋ย"ร้อนใจ ชิงแถลงด่วนแก้ตัว บอกเป็นผลกระทบแค่ระยะสั้น ขณะที่นักวิเคราะห์ บอกไม่ให้นักลงทุนตื่นตระหนกมากนัก เพราะทางการอาจเข้ามาแทรกแซงตลาด เพื่อไม่ให้ดัชนีปรับตัวลงแรงเกินไป
       
       ผู้สื่อข่าวรายงาน ภาวะการซื้อขายหุ้น วันนี้(19 ธ.ค.) พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นร่วงลงทันทีหลังจากเปิดเช้านี้ โดยขณะนี้ปรับตัวลงไปเกือบ 8% มาอยู่ที่ 665.09 จุด ลดลง 62 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเกือบ 1 หมื่นล้านบาท เมื่อ 10.04 น. นักวิเคราะห์คาดว่ามาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีผลกระทบต่อการลงทุน รวมทั้งปัจจัยการเมือง และ กรณี ITV ยังกดดันตลาด
       
       ด้านม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การออกมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศระยะสั้นที่มากผิดปกติจนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าปัจจัยพื้นฐานของ ธปท. โดยการให้สถาบันการเงินตั้งสำรองเป็นสกุลเงินต่างประเทศร้อยละ 30 ส่วนอีกร้อยละ 70 แลกเป็นเงินบาท ซึ่งลูกค้าที่สถาบันการเงินกันเงินไว้ จะขอคืนเงินได้เมื่อครบกำหนด 1 ปี หากจะนำเงินกลับคืนก่อน จะได้รับเงินคืนเพียง 2 ใน 3 ของเงินที่กันไว้ แต่ได้ยกเว้นให้แก่ผู้ส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศเมื่อนำเงินเข้ามานับว่าเป็นมาตรการที่ดีมาก เพราะทำให้เงินบาทอ่อนลงทันที
       
       และวันนี้ ก็ต้องดูผลว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลงได้ขนาดไหน อย่างไรก็ตามยอมรับว่า มาตรการดังกล่าว อาจทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นชะลอลงบ้างในระยะสั้น แต่ที่ผ่านมาได้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาจำนวนมากในรูปตราสารหนี้ระยะสั้น (commercial paper) ซึ่งได้แก่ ตั๋วเงินที่เป็นหลักทรัพย์และหุ้นกู้ระยะสั้น ประมาณ 100,000 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนสามารถแลกตั๋วเงินดังกล่าวไปลงทุนในตลาดหุ้นได้ ซึ่งมาตรการที่ออกมาเห็นว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการให้ ธปท. นำออกมาควบคุมเพื่อให้เงินบาทมีเสถียรภาพ
       
       ล่าสุด เวลา 10.50 น.ดัชนีอยู่ที่ระดับ 678.85 จุด ลดลง 51.07 จุด หรือลดลง 7.08% มูลค่าการซื้อขาย 22,675.33 ล้านบาท ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า รัฐบาลคงจะเข้ามาแทรกแซงตลาด เพื่อป้องกันนักลงทุนต่างชาติ ตื่นตระหนกเทขายหุ้น

http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9490000155021

ข่าวใหญ่วันนี้

ธปท.สั่งแบงก์หักสำรอง30% เงินทุนระยะสั้นไหลเข้า
http://forum.serithai.net/index.php?topic=10220.msg144845#msg144845
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2006, 11:18 โดย นทร์ » บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 19-12-2006, 11:12 »

"หม่อมอุ๋ย" ระบุมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท.เป็นวิธีที่ดีที่สุด
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2549 10:32 น.
 
 
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศให้สถาบันการเงินกันเงินสำรองเป็นเงินสกุลต่างประเทศร้อยละ 30 ส่วนอีกร้อยละ 70 ให้แลกเป็นเงินบาทเพื่อให้ซื้อคืนได้ภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อเป็นการสกัดเงินเก็งกำไร ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไทยต้องการ โดยเห็นได้ชัดว่าหลังจากที่มีมาตรการออกมาทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง
        อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์บางเล็กน้อย แต่จะเป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น
 
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000155032
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 19-12-2006, 11:14 »

ตลาดร้องธปท.ผ่อนมาตรการ หลังหุ้นดิ่ง 64 จุด

19 ธันวาคม 2549 10:24 น.
เปิดตลาดหุ้นร่วงทันที 64.52 จุด ตื่นมาตรการสำรองทุนนอก 30% สกัดเก็งกำไรบาท "ภัทรียา"ร้องขอแบงก์ชาติผ่อนผันมาตรการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่ตลาดหุ้นเปิดทำการซื้อขาย มีแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างรุนแรง กดหุ้นร่วงทันที 64.52 จุด หรือ 8.85% มาอยู่ที่ระดับ665.93 จุด เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกกับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ควบคุมเงินทุนไหลเข้า ที่เข้ามาลงทุนระยะสั้น ด้วยการให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งสำรองทันที 30% หากมีการลงทุนอายุสั้นกว่า 1 ปี จะคืนเงินให้ต่างชาติ 2 ใน 3 ของเงินสำรอง 30%

ทั้งนี้หุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทั้งกระดาน โดยเฉพาะหุ้นบลูชิพกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน โดยธนาคารกรุงเทพ และปูนซีเมนต์ไทย ปรับตัวลดลง 10% ส่วนธนาคารกรุงไทยปรับตัวลดลงลึกสุด 20%

ด้าน นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์มีมาตรการบรรเทาผลกระทบในภาวะที่ตลาดหุ้นตื่นตระหนก ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยหากดัชนีปรับในระหว่างลดลงถึงระดับ 10% ตลาดหลักทรัพย์จะสั่งใช้มาตรการหยุดการซื้อขายชั่วคราวได้(Cirkit Breaker)

นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้เร่งประสานงานกับธปท.เพื่อขอให้ผ่อนผันมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ออกมาเมื่อวานนี้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น รวมทั้งตลาดหุ้นจะติดตามภาวะการซื้อขายอย่างใกล้ชิด

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.23 น. ดัชนีหุ้นอยู่ที่ 677.32 จุด ลดลง 53.23 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,616 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=140859
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 19-12-2006, 11:20 »

1. ลูกค้าที่สถาบันการเงินกันเงินไว้จะขอคืนเงินได้ เมื่อครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ถูกกันเงิน โดยลูกค้าต้องแสดงเอกสารหลักฐานให้ชัดเจนว่าเงินที่ตนนำเข้ามาลงทุนนั้นอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 1 ปี

2. เมื่อสถาบันการเงินพิสูจน์และรับรองแล้วว่าลูกค้ารายนั้นมีการนำเข้าเงินทุนและอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 1 ปีแล้ว ให้แจ้ง ธปท. เพื่อดำเนินการส่งเงินให้สถาบันการเงินคืนแก่ลูกค้าต่อไป

3. ลูกค้ารายใดนำเงินลงทุนกลับคืนก่อนครบระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนเพียง 2 ใน 3 ของเงินที่กันไว้

4. ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามสัญญาการรับซื้อหรือ แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทที่ได้ตกลงก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกันเงินตราต่างประเทศดังกล่าว

5. สำหรับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เป็นการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) ที่เป็นส่วนของทุน หรือเงินโอน ให้ลูกค้าผู้ถูกกันเงินยื่นคำร้องผ่านสถาบันการเงินพร้อมเอกสารหลักฐาน เมื่อสถาบันการเงินพิสูจน์และรับรองความถูกต้อง และ ธปท. เห็นสมควร จะคืนเงินดังกล่าวแก่ลูกค้าโดยเร็ว

6. เมื่อสถาบันการเงินกันเงินดังกล่าวแล้ว ให้นำส่งแก่ ธปท. ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

7. ผลประโยชน์ที่ ธปท. ได้จากมาตรการนี้จะดูแลเพื่อใช้เป็นประโยชน์ของรัฐและสาธารณชนต่อไป
 
มาตรการที่กำหนดให้ต้องดำรงเงินสำรองเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศ ที่ออกเพิ่มเติมในวันนี้ เคยใช้มาแล้วในหลายประเทศในภาวะที่จำเป็น เพื่อควบคุมการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น และ ธปท. เห็นว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ธปท. จะได้ติดตาม และประเมินผลของมาตรการอย่างใกล้ชิดต่อไป

http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=140709
http://forum.serithai.net/index.php?topic=10220.0

ดัดหลังนักเก็งกำไรค่าเงิน ตรงๆ (ยาแรง)

คอยดูผลกระทบต่อไป
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #4 เมื่อ: 19-12-2006, 11:33 »

ทำก็เจ๊งอย่าง ไม่ทำก็เจ๊งอีกอย่าง โอ เทพเจ้าแห่งจริยธรรม คุณธรรมช่วยด้วยจ้า

ทางแก้รัฐบาลเดิมเค้าเดินมาถูกทางแล้ว ดันไปสอยเค้า ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่า

รอให้ถึงเวลากันเถอะพี่น้อง เละ
บันทึกการเข้า
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #5 เมื่อ: 19-12-2006, 11:55 »

ปวดหัวครับ เรื่องๆ เงินๆ ทองๆ เพราะนับเป็นอย่างเดียว เล่นไม่เป็น 

ว่าแต่ การออกมาตรการแบบนี้ ใครได้ใครเสียอ่ะครับ
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #6 เมื่อ: 19-12-2006, 12:04 »

ปวดหัวครับ เรื่องๆ เงินๆ ทองๆ เพราะนับเป็นอย่างเดียว เล่นไม่เป็น 

ว่าแต่ การออกมาตรการแบบนี้ ใครได้ใครเสียอ่ะครับ


อธิบายให้นิดนึงเท่าที่พอรู้ เค้าต้องการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงิน แต่วิธีนี้มันจะป้องกันได้เฉพาะคนในชาติ

ไม่ใช่ต่างชาติ เพราะต่างชาติมีช่องทางอื่นมาซื้อเงินบาทได้โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ อยู่ดีๆ มากั๊กเงิน

สามสิบ % ไว้หนึ่งปี ต่างชาติจะได้ไม่สนใจ เพราะไม่รู้อีกปีค่าเงินจะไปเท่าไหร่แล้ว เผลอๆ ขาดทุนอัตรา

แลกเปลี่ยนยิ่งกว่าที่ได้จากมูลค่าหลักทรัพย์อีก สุดท้ายที่เจ๊งกันจริงๆ ก็คงจะเป็นรายย่อยในตลาดมากกว่า

แล้วก็ป้องกันการเก็งกำไรผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ได้ช่องเล็กๆ ช่องนึง ซึ่งไม่ได้มีช่องทางเดียว แต่ผล

กระทบก็คือทุนระยะยาวก็จะไม่เข้าด้วย สรุปว่าเป็นวิธีปลายเหตุแต่วิธีแก้ที่ต้นเหตุมันสายไปเสียแล้ว
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #7 เมื่อ: 19-12-2006, 12:25 »

ปวดหัวครับ เรื่องๆ เงินๆ ทองๆ เพราะนับเป็นอย่างเดียว เล่นไม่เป็น 

ว่าแต่ การออกมาตรการแบบนี้ ใครได้ใครเสียอ่ะครับ


อัตราแลกเปลี่ยนเริ่มแตะ 35 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าเป็นเป้าหมายพวกเก็งกำไรค่าเงิน
โดยที่เมื่อ 1 ปีก่อนยังแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 40 บาท / ดอลลาร์สหรัฐ  ตอนนั้นหากพวกเก็งกำไร
เริ่มตุนเงินบาทไว้ 100,000 ล้านบาท ก็จะใช้เงินแค่ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นมาแลก

หากขายคืนตอน 35 บาท/ดอลลาร์ จะได้ถึง  2,857 ล้านเหรียญ คือทุกๆ 2,500 ล้านเหรียญ
จะกำไร 357 ล้านเหรียญเลยทีเดียว และไม่รู้ว่าตอนนี้เงินบาทในมือพวกเก็งกำไรมีเท่าไหร่แน่

ธปท. ไม่ค่อยมีทางเลือกครับเพราะรู้ว่าจะโดนแน่อีกไม่นานแล้ว และการถือดอลลาร์ไว้ในมือ
ถึง 6-7 หมื่นล้านเหรียญก็เสี่ยงกับการด้อยค่าลงเรื่อยๆ ตามการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์

การเล่นแบบนี้น่าจะทำให้พวกตุนเงินบาทเร่งขายคืนมาระดับนึง  ทาง ธปท. ก็จะได้ระบายดอลลาร์
ที่ถือไว้ออกมาบ้าง และไม่ต้องออกพันธบัตรมาดูดซับเงินบาทอีกรอบ เพราะเท่าที่ออกมาก็ทำให้
เกิดภาระดอกเบี้ยจ่ายพันธบัตรมากเกินไปแล้วครับ  แต่ก็แน่นอนว่าต้องเกิดผลกระทบกับตลาดหุ้น

การเล่นไม้นี้ของ ธปท. ถือว่าเป็นมาตรการที่คาดไม่ถึง ก็ลองดูว่าจะได้ผลดีหรือไม่อย่างไรนะครับ
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #8 เมื่อ: 19-12-2006, 12:27 »

ทำก็เจ๊งอย่าง ไม่ทำก็เจ๊งอีกอย่าง โอ เทพเจ้าแห่งจริยธรรม คุณธรรมช่วยด้วยจ้า

ทางแก้รัฐบาลเดิมเค้าเดินมาถูกทางแล้ว ดันไปสอยเค้า ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่า

รอให้ถึงเวลากันเถอะพี่น้อง เละ

ที่ว่ารัฐบาลเดิมเดินถูกทางแล้วของคุณชอบแถ ไม่ทราบว่าเขาเดินอย่างไรหรือครับ
มันแตกต่างจากตอนนี้อย่างไร เพราะค่าเงินบาทก็แข็งมาตั้งแต่สมัยเหลี่ยม

ตอนนั้นก็คุยใหญ่โตว่าที่เงินบาทแข็งเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งไม่ใช่หรือ?
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
soco
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,842



« ตอบ #9 เมื่อ: 19-12-2006, 12:30 »

คงลุ้นกันเหนื่อยน่าดู 
บันทึกการเข้า
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 19-12-2006, 12:39 »

เก็บต๋ง10%สกัดถล่มบาท

ไม้ตายแบงก์ชาติปราบเก็งกำไรค่าเงิน

โพสต์ทูเดย์ — แบงก์ชาติงัดไม้แข็งสกัดเก็งกำไรเงินบาท สั่งหักเงินนำเข้า 30% เข้ารัฐหากลงทุนไม่ครบปีคืนแค่ 20%

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคมนี้ แบงก์ชาติจะให้สถาบัน การเงินที่รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้ 30% ของเงินนำเข้า ให้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทได้เพียง 70% แต่สำหรับธุรกรรมที่ได้ตกลงก่อนวันที่ 19 ธันวาคม ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกันสำรองดังกล่าว

“สมมตินักลงทุนนำเงินเข้ามา 100 เหรียญสหรัฐ โดยไม่มีธุรกรรมการค้าการลงทุนอะไรรองรับเลย จะแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทได้เพียง 70 เหรียญสหรัฐเท่านั้น ส่วนอีก 30 เหรียญสหรัฐให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์กันไว้แล้วนำส่งแบงก์ชาติทุกเดือน เพื่อที่แบงก์ชาติจะนำเงินส่วนนี้ไปบริหารหารายได้ต่อไป” นางธาริษา กล่าว

ทั้งนี้ เงินที่กันไว้ 30% แบงก์ชาติจะคืนให้เมื่อมีการแสดงหลักฐานเอกสารว่าลูกค้าหรือนักลงทุนรายนั้นอยู่ในไทยไม่น้อยกว่ากำหนด 1 ปี หลังจากนั้น นักลงทุนจะขอรับเงินในส่วนที่กันไว้ได้ในจำนวนเดิม โดยจะแลกเปลี่ยนเงินบาทหรือจะนำกลับออกไปในรูปเงินเหรียญสหรัฐก็ได้

ในกรณีที่ต้องการเงิน 30% คืนก่อนกำหนด 1 ปี แบงก์ชาติจะหักไว้ 10% คือคืนให้เพียง 2 ใน 3 ส่วนของเงินที่กันไว้เท่านั้น เช่น เงิน 100 เหรียญสหรัฐ กันไว้ 30 เหรียญสหรัฐ จะคืนให้เพียง 20 เหรียญสหรัฐ โดยแบงก์ชาติจะไม่จ่ายผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่กันไว้ให้นักลงทุนแต่อย่างใด

นางธาริษา กล่าวว่า มาตรการนี้จะไม่กระทบต่อเงินลงทุนโดยตรง ที่นำเข้ามาเพื่อการนำเข้าและส่งออก เพราะได้รับการยกเว้นไม่ต้องกันสำรองอยู่แล้ว ซึ่งในเอเชียมีไทยประเทศเดียวที่ประกาศใช้มาตรการนี้

“สาเหตุที่ต้องออกมาตรการนี้เพิ่มเติมเพราะมาตรการเดิมไม่ได้ผล และยังพบว่าเงินทุนระยะสั้นไหลเข้ามา เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤศจิกายน เงินทุนระยะสั้นไหลเข้า มาเฉลี่ยสัปดาห์ละ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่พอมาเดือนธันวาคมไหลเข้ามาเพิ่มเฉลี่ย 950 ล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ เราเลือกใช้มาตรการนี้เพราะมีความคล่องตัวกว่ามาตรการทางภาษี ในอนาคต หากมีมาตรการใหม่ที่ดีกว่าก็ยกเลิกได้” นางธาริษา กล่าว

http://www.posttoday.com/newsdet.php?sec=news&id=137834

เหตุผลการออกมาตราการนี้
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 19-12-2006, 12:49 »



เปิดเทรดรอบใหม่หุ้นดิ่ง 100 จุด

19 ธันวาคม 2549 12:14 น.
เปิดซื้อขายหุ้นรอบใหม่หลังหยุดพัก 30 นาที ดัชนีหุ้นร่วงทะลุ 100 จุด

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยยังคงลดลงต่อเนื่อง หลังจากที่เปิดทำการซื้อขายรอบที่ 2 ของวันนี้ โดยเมื่อเวลา 12.02 น. ดัชนีหุ้นอยู่ที่ 643.29 จุด ลดลง 87.26 จุด

ขณะที่เมือ่เวลา 12.09 น. ดัชนีหุ้นอยู่ที่ 630.16 จุด ลดลง 100.39 จุด

ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับลงกว่า 10% เมื่อ 11.29 น. ทำให้ตลาดหยุดซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที จากระบบเซอร์กิต เบรคเกอร์ ซึ่งเมื่อ 11.29 น.ของวันนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับลง 10.10% จากนั้นเมื่อ 11.30 น. ดัชนีลดลง 74.06 จุด หรือ 10.14% มาที่ 656.49 จุด และเปิดทำการรอบใหม่ที่ 11.59 น.

สำหรับระบบเซอร์กิต เบรคเกอร์ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น ในขยักแรกหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงถึง 10% ของค่าดัชนีปิดในวันทำการก่อนหน้า ตลาดหลักทรัพย์จะพักการซื้อขาย ทั้งหมดเป็นเวลา 30 นาที

สำหรับขยักที่ 2 เมื่อ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนแปลงลดลงถึง 20% ของค่าดัชนีปิดในวันก่อนหน้านี้ หรือลดต่อจากการพักในครั้งแรกอีก 10%

ตลาดหลักทรัพย์ จะพักการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และหลังจากการทำงานครั้งที่ 2 ของระบบ เซอร์กิตเบรกเกอร์แล้ว ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดให้ทำการซื้อขายต่อไป จนถึงเวลาปิดทำการตามปกติโดยไม่มีการหยุดพักการซื้อขายอีก

หากระยะเวลาในรอบการซื้อขายที่ ระบบเซอร์กิตเบรกเกอร์ ทำงานนั้น เหลือไม่ถึง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ก็ให้หยุดพักการซื้อขายเพียงระยะเวลาที่เหลือในรอบการซื้อขายนั้นแล้วเปิดให้ซื้อขายหลักทรัพย์ได้ตามปกติในรอบการซื้อขายถัดไป

http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=140887
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2006, 13:24 โดย นทร์ » บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 19-12-2006, 13:16 »

ธปท.เผยยังไม่ทบทวนมาตรการสกัดเก็งกำไรบาท/ไม่พบเงินไหลออกผิดปกติ 

13:00 น. นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า ระยะเวลาในขณะนี้ยังสั้นเกินไปที่จะพิจารณาทบทวนหรือเห็นผลอย่างชัดเจนของการนำมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้นที่ 30% ของวงเงินที่นำมาแลกเปลี่ยนเงินตรากับสถาบันการเงินเพราะมาตรการดังกล่าวเพิ่งมีผลไปเพียงประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น และยังมีอีกหลายส่วนที่ไม่เข้าใจมาตรการดังกล่าวดีพอ จึงต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังไม่พบว่านักลงทุนต่างชาติที่นำเงินเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้เทขายบาทเพื่อแลกดอลลาร์ออกไปจากประเทศเกิดขึ้นอย่างผิดปกติหลังจากประกาศมาตรการดังกล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามา 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น 2 พันล้านดอลลาร์เป็นเงินลงทุนโดยตรง 3 พันล้านดอลลาร์ และ 500 ล้านดอลลาร์เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้และพันธบัตร ส่วนที่เหลือไม่ปรากฎชัดเจนว่าลงทุนด้านใด

เงินเก่าที่เข้ามาก่อน 19 ธันวาฯ ยังไม่ได้ออกไป ยังไม่เห็นการซื้อดอลลาร์เพื่อนำออกไปนอกประเทศ แต่เงินใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนก็คงต้องคิดหนัก เพราะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น นางอัจนา กล่าว

ธปท.ยอมรับว่าได้ประเมินล่วงหน้าแล้วมาตรการดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร โดยการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นผลจากแรงเทขายของนักลงทุนที่ได้ผลตอบแทนพอสมควรแล้ว ซึ่งมองว่าเมื่อมีผู้ขายก็มีผู้ซื้อกลับเข้ามา

นางอัจนา กล่าวว่า มาตรการของธปท.ที่ออกมาล่าสุดไม่สามารถแยกแยะการควบคุมได้ว่าเงินที่ไหลเข้ามาไปลงทุนในจุดใด จึงไม่สามารถออกมาตรการเฉพาะส่วนได้ แต่ในอดีตประเทศอาร์เจนตินาเคยใช้มาตรการนี้เมื่อปี ค.ศ.1991 ซึ่งได้ผล

คือสามารถลดเงินทุนระยะสั้นที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินได้ ซึ่ งธปท.มองว่ามาตรการดังกล่าวทำให้โครงสร้างของเงินทุนระยะสั้นจะเปลี่ยนมาเป็นเงินทุนระยะยาว
 
http://203.154.97.18/breaking/read.php?lang=th&newsid=231805
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #13 เมื่อ: 19-12-2006, 13:33 »


***นายแบงก์มองมาตรการธปท.สกัดเงินบาทแข็งค่าได้ผล

          ดร.บันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)

 กล่าวถึง มาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศออกมาว่า ถือเป็นมาตรการที่แรง

เพราะจะทำให้ต้นทุนของนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้เงินบาทปรับอ่อนค่าลงได้ในระยะสั้น

 แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวคงต้องดูว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลอย่างไร

          นางสาวอังคณา สวัสดิ์พูน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)

กล่าวถึง มาตรการของธปท.ว่า จะส่งผลดีต่อผู้ส่งออกและเศรษฐกิจของไทย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาก

ทำให้กระทบกับการส่งออก ซึ่งการส่งออกถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

 ทำให้ทางการจำเป็นต้องมีมาตรการในการดูแลเพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก

          นายเผด็จ พิรุฬห์สิทธิ์ หัวหน้าทีมการตลาดผลิตภัณฑ์การเงิน ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)

กล่าวถึง มาตรการของธปท.ว่า เป็นมาตรการกึ่งภาษีแต่ไม่ใช่การเก็บภาษี ซึ่งในระยะสั้นถือว่าได้ผลดี

เพราะหลังจากประกาศมาตรการเงินบาทได้ปรับอ่อนค่าลงทันที แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องดูถึงการปฏิบัติจริงว่าจะเกิดผลกระทบอย่างไร

 สำหรับตลาดหุ้นเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบในระยะยาว แต่ระยะสั้นอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง เพราะนักลงทุนตื่นตระหนก


ที่มา...eFinance Thai.com
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #14 เมื่อ: 19-12-2006, 13:41 »

***วงการแบงก์มองงานนี้อสังหาฯ-ตลาดหุ้นกระทบแน่

         แหล่งข่าวจากวงการแบงก์ เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น  โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วงหลังนักลงทุนต่างชาตินิยมเข้ามาซื้อลงทุนในโครงการต่างๆ  เพราะทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้นของแบงก์ชาติ   


***โบรกฯ มองมาตรการธปท.ไม่มีผลกับกลุ่มส่งออก เหตุช่วงQ4 เป็นโลว์ ซีซั่น

          นักวิเคราะห์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า มาตรการสกัดค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกมานั้น ถือว่าเป็นมาตรการที่ไม่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะเห็นได้ว่า หลังจากที่ข่าวมาตรการของ ออกมานั้นค่าเงินบาทก็ยังคงแข็งค่าอยู่ ดังนั้นจึงมองว่า ในวันพรุ่งนี้ ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
         "มาตรการของแบงก์ชาติที่ออกมาไม่ถึงขั้นที่จะต้องเก็บภาษีและไม่มีมาตรการออกมาด้วย เพราะฉะนั้นเชื่อว่าในวันพรุ่งนี้ ค่าเงินบาทจะรีบาวน์ เพราะไม่มีมาตรการที่รุนแรงออกมา" นายสิทธิเดช กล่าว
          อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะไม่มีมาตรการสกัดค่าเงินบาทออกมาและค่าบาทอ่อนค่าลง ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มส่งออก เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 4 ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ
          ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนรอความชัดเจนมาตรการสกัดค่าเงินบาทอีกครั้งก่อนเข้าลงทุน

ที่มา...eFinance Thai.com
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 19-12-2006, 17:01 »

“อุ๋ย” เตรียมประเมินความเสียหายในตลาดหุ้นเย็นนี้
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 ธันวาคม 2549 16:36 น.
 
 
  คาดตลาดหุ้นเจ๊งกว่า 5 แสนล้าน ดัชนีรูดไปกว่า 100 จุด รัฐบาลเตรียมประเมินผลเสียหายหลังปิดตลาด เย็นวันนี้ “หม่อมอุ๋ย” ปลื้ม มาตรการ ธปท.ได้ผลเกินคาด เย้ยนักลงทุน ตปท.พลาดท่า บอกผลกระทบขาดทุนในตลาดหุ้นอยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชี้เม็ดเงินนอกกว่าแสนล้านกำลังไหลกลับเข้าตลาด
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่เกิดจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว โดยทางการจะประเมินผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากต้องการให้ผลที่เกิดจากการใช้มาตรการดังกล่าวได้แสดงออกมาให้เต็มที่ก่อน อย่างไรก็ดี ในภาพรวมแล้วเห็นว่าทั้งค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าเชื่อถืออยู่
       
       “ผลที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้เราคาดไว้อยู่แล้ว ส่วนจะมีมาตรการดูแลอะไรหรือไม่นั้น รอให้ตลาดฯ ปิดก่อนจึงจะประเมินอีกครั้ง” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว และเพิ่มเติมว่า
       
       การออกมาตรการของ ธปท.ก็เพื่อต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งก่อนหน้านี้เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนมากจะไปอยู่ที่ตลาดหุ้น แต่ในเดือน ธ.ค.เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนใหญ่ ไปอยู่ที่ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อหวังเก็งกำไรจากค่าเงินบาท หาก ธปท.ไม่นำมาตรการสกัดกั้นเงินทุนระยะสั้นออกมาใช้ก็จะยิ่งทำให้ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรกับเงินบาทมากขึ้น
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แม้นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นออกมา แต่ยังไม่มีการซื้อดอลลาร์เพื่อเอาเงินออกนอกประเทศ นอกจากนี้เชื่อว่ายังมีเงินลงทุนของผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (non-resident) อีกกว่าแสนล้านบาทที่พร้อมกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้
       
       ทั้งนี้ มีการประเมินเบื้องต้นว่าการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับลดลงไปกว่า 100 จุด ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 5 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งความเสียหายของตลาดหุ้นทั้งหมด รัฐบาลจะมีการประเมินตัวเลขเย็นวันนี้
 
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9490000155250

 
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 19-12-2006, 17:03 »

ธปท.เล็งออกมาตรการอุ้มตลาดหุ้น

19 ธันวาคม 2549 16:07 น.
นางนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังหารือร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ถึงมาตรการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาทของธปท.กล่าวว่า ธปท.ยังคงต้องใช้มาตรการดังกล่าว แต่จะเร่งหามาตรการที่จะช่วยผ่อนคลายโดยเร็ว ซึ่งมาตรการผ่อนคลายดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาและอุปสรรค์ของบริษัทหลักทรัพย์

"อาจจะพิจารณาในการขยายวงเงินบัญชีผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ หรือนอนเรสซิเดนท์ ซึ่งปัจจุบันจำกัดไว้ที่ระดับ 300 ล้านบาท ซึ่งในประเด็นดังกล่าวในที่ประชุมบอกว่าวงเงินน้อยเกินไป"นางนิตยา กล่าว

เธอยังกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้จะหาแหล่งพักเงินหลายแหล่งมากขึ้น

"ธปท.ยอมรับว่า เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นรุนแรง ซึ่งต้องพิจารณาช่วยเหลือต่อไป แต่ยืนยันว่ายังไม่ยกเลิกมาตรการนี้แน่นอน ส่วนกรณีที่ไม่เลือกมาตรการลดดอกเบี้ย แม้จะช่วยแก้ปัญหาการเก็งกำไรค่าเงินบาทจริง แต่ช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" นางนิตยา กล่าว
 
http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=140987
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
ภัทร
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 581


เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 19-12-2006, 17:53 »

พอเพียง ๆ

สมานฉันท์ ๆ

จริยธรรมจนเปี่ยมล้น ๆ

_________________________

ทักษิน โกง โกง โกง ไปเดินขบวนขับไล่กันดีกว่า มันโกง โกง โกง โกงจริงๆ   Exclamation   

เชื่อๆๆๆ
บันทึกการเข้า

พวกเราต้องได้รู้ความจริงความเป็นไปทั้ง 2 ด้าน ไม่ใช่แค่จากสื่อเพียงด้านเดียวเท่านั้น

http://www.geocities.com/morrowind2545/Politics/Map.pdf

แค่ขอให้ลองอ่านดู แต่อย่าพึ่งเชื่อ ให้พิจารณาด้วยตนเองก่อน แล้ววิเคราะห์ตามไปด้วย จากนั้นถ้ารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ช่วยๆกันน้ำไฟล์ map.pdf นี้ เผยแพร่ไปเรื่อยๆเพื่อให้เพื่อนๆทุกท่านได้อ่านกันอย่างทั่วถึง ขอบคุณครับ
ภัทร
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 581


เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 19-12-2006, 18:00 »

 Wink
บันทึกการเข้า

พวกเราต้องได้รู้ความจริงความเป็นไปทั้ง 2 ด้าน ไม่ใช่แค่จากสื่อเพียงด้านเดียวเท่านั้น

http://www.geocities.com/morrowind2545/Politics/Map.pdf

แค่ขอให้ลองอ่านดู แต่อย่าพึ่งเชื่อ ให้พิจารณาด้วยตนเองก่อน แล้ววิเคราะห์ตามไปด้วย จากนั้นถ้ารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ช่วยๆกันน้ำไฟล์ map.pdf นี้ เผยแพร่ไปเรื่อยๆเพื่อให้เพื่อนๆทุกท่านได้อ่านกันอย่างทั่วถึง ขอบคุณครับ
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #19 เมื่อ: 19-12-2006, 18:49 »

ปิดลบ 108.41 จุด วอล่มพุ่งสูงในรอบปีตปท.ขายหุ้นทิ้งกังวลมาตรการธปท.

19 ธันวาคม 2549 18:14 น.

SET ปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 622.14 จุด ลดลง 108.41 จุด(-14.84%) มูลค่าการซื้อขาย 72,132.55 ล้านบาท

หุ้นไทยร่วง หนัก มูลค่าการซื้อขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากวันทำบิ๊กล็อตหุ้น SHIN ที่ 94,062 ลบ.

หลังธปท.หารือโบรกฯต่างชาติกังวลขายหุ้นแล้วต้องแปลงเป็นเงินบาทเลยเพราะต้องสำรอง 30%

 จึง panic ขายหนักในช่วงบ่ายอีกรอบ แนวโน้มพรุ่งนี้อาจรีบาวน์แต่ไปไม่ไกล รอความชัดเจนในรายละเอียด

 แนะเก็บหุ้นใหญ่แบงก์ พลังงานพื้นฐานดี

ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 622.14 จุด ลดลง108.41 จุด(-14.84%) ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี

 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.47 ที่ดัชนีต่ำสุด 615.77 จุด ส่วนมูลค่าการซื้อขาย 72,132.55 ล้านบาท

เป็นมูลค่าการซื้อขายที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากวันที่มีรายการบิ๊กล็อตหุ้น SHIN

เมื่อวันที่23 ม.ค.49 ที่มีมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 94,062.04 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวัน

ที่ระดับ 721.85 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่587.92 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 8 หลักทรัพย์ ลดลง 460หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 13 หลักทรัพย์

นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า

ตลาดหุ้นบ่ายนี้มีการปรับลดลงต่อเนื่อง คาดความวิตกเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนว่าเงินเก่าที่มีอยู่แล้วจะทำอย่างไร

จากที่ประชุมกับธปท.ความกังวลของโบรกฯต่างชาติคือลูกค้าขายหุ้นแล้วจะต้องแปลงเป็นเงินดอลลาร์ไปเลยถือเป็น

เงินบาทไม่ได้เพราะกระบวนการจะถูกนับว่าจะต้องสำรองไว้ 30% ทันทีจึงมีแรงตกใจขายกันออกมา

 ทั้งนี้อยู่ระหว่างรอผลการพูดคุยในรายละเอียดช่วงเย็นอีกรอบหนึ่ง

ตรงนี้เป็นประเด็นหลักที่ทำให้ยังมี panic กันอยู่ในช่วงบ่าย

แนวโน้มพรุ่งนี้อาจจะมีเทคนิคัลรีบาวน์ ซึ่งตรงนี้ราคาถูกมากแล้วเมื่อเทียบกับ 12 เดือนข้างหน้า

หาจังหวะทยอยสะสมได้แล้วเพียงแต่โบรกฯต่างชาติบางแห่งได้ปรับคำแนะนำเหลือศูนย์คนจึงกังวลกัน

"อาจเป็นข้อกังวลของโบรกฯกลุ่มนี้หรือเป็นข้อเท็จจริงยังไม่ทราบระหว่างนี้รอฟังความคืบหน้า

 เพราะฉะนั้นแนวโน้มพรุ่งนี้ต้องรอความชัดเจนตรงนี้ก่อนแต่คิดว่า Sentiment

ตรงนี้ถ้ารีบาวน์คงไปได้ไม่ไกลเพราะโดยเทคนิคหลุดแนวรับทุกเส้นแต่แนะนำลูกค้าว่าถ้ามองใน 12 เดือน

ราคานี้ถูกมากแล้ว และมาตรการแบงก์ชาติไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงกำไรของบริษัทจดทะเบียน

 น่าจะเป็นจังหวะทยอยสะสมได้แล้ว อย่า panic จนเกินไป" นายสิทธิเดช กล่าว

 มองกลุ่มธนาคาร พลังงานตัวใหญ่ที่มีแรงเทขายวันนี้น่าจะกลับมาก่อน เช่น BBL KBANK KTB PTT PTTEP SCC

 BANPU เป็นต้น

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ SCB มูลค่าการซื้อขาย 7,103.01 ล้านบาท

 ปิดที่ 53.50 บาท ลดลง 14.00 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 7,059.40 ล้านบาท ปิดที่ 186.00 บาท ลดลง 38.00 บาท,

 BBL มูลค่าการซื้อขาย 5,066.95 ล้านบาท ปิดที่ 103.00 บาท ลดลง20.00บาท,

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 4,841.11 ล้านบาท ปิดที่ 57.50 บาท ลดลง 13.00 บาท,

 KTB มูลค่าการซื้อขาย 4,538.70 ล้านบาท ปิดที่ 10.90 บาท ลดลง 3.00 บาท


โดย....กรุงเทพธุรกิจ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #20 เมื่อ: 19-12-2006, 22:37 »

 
 บาทแข็งค่า โดย Settrade.com

ในช่วงที่ผ่านมา ใครที่ติดตามความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงนี้

 คงจะสังเกตเห็นได้ว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในอัตราที่มากกว่าค่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค

โดยในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแตะ 35.75 บาท

ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ ถือว่ามากที่สุดในรอบ 8 ปี จึงทำให้เกิดความกังวลขึ้นมาว่าการแข็งค่าของเงินบาทเช่นนี้

จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นของไทยอย่างไรบ้าง

ก่อนอื่น มาดูกันก่อนว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ?

การแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้เกิดขึ้นจากกระแสการไหลเข้าของเงินทุนเป็นหลัก

 ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( FDI )

และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ( Portfolio Investment ) ซึ่งเงินไหลเข้าจากต่างชาติเหล่านี้เข้ามาทั้งตลาดหุ้น

(ปัจจุบัน สัดส่วนการลงทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นไทยคิดเป็นประมาณ 30 % ของมูลค่าตลาดโดยรวม)

และพันธบัตร แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบจากปัจจัยลบต่าง ๆ

โดยเฉพาะปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งปัจจัยภายในประเทศที่มีผลต่อการแข็งค่าของเงินบาท มีดังนี้


•  การส่งออกที่ขยายตัวดี ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาการส่งออกขยายตัวถึง 17 % ยิ่งเป็น ช่วงปลายปี

จะมีออเดอร์จากการส่งออกเป็นจำนวนมาก ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

•  การนำเข้าขยายตัวต่ำกว่าคาด เนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดลงในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา

นอกจากนั้น การลงทุนภาคเอกชนก็การขยายตัวในอัตราที่ลดลง ทำให้การนำเข้าสินค้าทุนต่ำ

•  ดุลบริการที่เกินดุล เนื่องจากการท่องเที่ยวของไทยค่อนข้างดี ทำให้ดุลบริการเกินดุลอย่างต่อเนื่อง

•  เงินทุนไหลเข้าประเทศสุทธิอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับสูง

โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา

 ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้ปรับลดลงแต่อย่างใด ดังนั้น ดอกเบี้ยที่แท้จริง (ดอกเบี้ย-อัตราเงินเฟ้อ)

 จึงปรับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เงินบาทเป็นที่ดึงดูดใจต่อผู้ลงทุนมากขึ้น

•  การแทรกแซงค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป

 ทำให้เชื่อได้ว่าหากไม่มีการแทรกแซง เงินบาทจะแข็งค่ามากขึ้นไปอีก

จึงทำให้เกิดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เนื่องจากหากนักเก็งกำไรเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย

ยังพยายามกดค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการส่งออกที่ขยายตัว

ในขณะที่การนำเข้าลดลงและมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูง

 ค่าเงินบาทจึงมีแนวโมที่จะแข็งค่าขึ้นมากกว่าเสื่อมค่าลง

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยนอกประเทศประกอบกัน

•  การแข็งค่าของค่าเงินหยวนจากการที่จีนเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่องทำให้เงินสกุลอื่น ๆ

ในภูมิภาครวมทั้งเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามเงินหยวนไปด้วย

•  ค่าเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐที่มีทิศทางอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง

ภายหลังจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาไม่ค่อยจะดีนัก

 ทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น

•  การประกาศตัวเลขของญี่ปุ่นที่ออกมาไม่ดีนัก ทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติหันมาลงทุนในไทยมากขึ้น

ลองมาดูทางด้านตลาดหุ้นของไทยบ้างว่าได้รับผลกระทบอะไรจากการแข็งค่าของเงินบาทเช่นนี้ ?

โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อคาดว่าเงินบาทแข็งค่า จะทำให้ตลาดหุ้นเป็นที่น่าสนใจต่อผู้ลงทุนต่างชาติมากขึ้น

เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถเก็งกำไรได้ 2 ต่อ คือ ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดเงิน

 คือ หากคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ผู้ลงทุนก็จะเข้ามาซื้อบาทเพื่อนำมาลงทุนในไทย

 เมื่อต่างชาติมีมุมมองเช่นเดียวกัน ก็จะมีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น

ซึ่งอาจจะไหลเข้าตลาดหุ้นหรือตลาดพันธบัตร ทำให้ SET Index ปรับตัวสูงขึ้น

 เมื่อขายทำกำไรในตลาดหุ้นแล้ว ก็มาซื้อดอลล่าร์กลับโดยใช้เงินบาทน้อยลง

เพราะเมื่อมีความต้องการเงินบาทมากขึ้น ก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามลำดับ

จึงสามารถทำกำไรได้ 2 ต่อจากการลงทุนในไทย
 

ที่มา.....settrade.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2006, 22:42 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #21 เมื่อ: 17-07-2007, 09:10 »

วันนี้ข่าวเรื่องค่าเงินบาท กลับมาร้อนแรง อีกครั้ง.......ผมเลยลองขุดกระทู้นี้ดูเพื่อ มาทบทวนกัน........

วันนี้ บรรดา เกจิ ทั้งจริง ทั้งปลอม รวมทั้งสิงห์ขี้คุยทั้งหลายแหล่ ต่าง ยอมรับกันเป็นเสียงเดียว ว่า เงินเก็งกำไร ส่วนมาก เข้ามาที่ตลาดหุ้น.......

ผมหาข่าวความเห็น 2 วันก่อน ของหลาย ๆ คน ไม่เจอ........แต่ไปเจอของ อ.วีรพงษ์ ที่ ตัดแปะไว้ที่ WOM  ว่า จะนำเงินจากกองทุน วายุภักษ์ เข้าไปอุ้มเงินบาท ...และฟังจากข่าววิทยุว่า อ.วีระพงษ์ แนะนำให้กลับไปใช้ระบบตระกร้าเงิน ............ขำว่ะ สงสัยลืมวิกฤติปี 40 ที่เคย ร่วมกับ ทนง พิทยะ ละเลงไว้


 
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #22 เมื่อ: 17-07-2007, 19:56 »

เตือนบาทแข็งเข้าขั้นวิกฤติ “ดร.โกร่ง” จี้นายกฯ ช่วยแก้ [17 ก.ค. 50 - 16:56]
 
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าววันนี้ (17 ก.ค.) ว่า เป็นห่วงสถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้ที่ค่อนข้างเข้าสู่ภาวะวิกฤติ เพราะมีผลกระทบต่อผู้ส่งออก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกลุ่มสิ่งทอ เสื้อผ้า แต่รวมถึงธุรกิจด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณี รวมทั้งธุรกิจเกษตรแปรรูปและอาหารกระป๋อง ที่สำคัญผู้ส่งออกจะอยู่ไม่ได้ หากไม่เร่งหามาตรการที่ตรงจุดเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) มากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่บอกเพียงให้นักธุรกิจเร่งปรับตัวอย่างเดียว

 

“ขอยืนยันว่า อัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของภาคการส่งออก ผู้นำเข้า รวมถึงเกษตรกร ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปล่อยปละละเลยในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนนานถึง 2 ปี จึงเป็นปัญหาที่ต้องช่วยกันแก้ไขถึงระดับรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาช่วยแก้ไข ลำพังให้ผู้ว่าการ ธปท. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแก้ไขทำได้ไม่หมด” นายวีรพงษ์ กล่าว

 

สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถึงขั้นวิกฤติแล้วหากไม่ทำอะไรจะลุกลามไปยังทุกส่วน เพราะขณะนี้ตลาดคาดการณ์ว่า เงินบาทจะแข็งค่าไปถึง 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มีการซื้อขายในตลาดต่างประเทศแล้วที่ 30.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับแนวทางแก้ไขเบื้องต้นจะต้องทำให้ตลาดเชื่อมั่นว่า เงินบาทจะไม่แข็งค่าขึ้น และต้องสร้างความเชื่อมั่นว่า เงินบาทจะอ่อนค่าลง และสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการและทำให้เกิดผลทันที คือ แทรกแซงตลาด โดยไม่ให้ ธปท.ขาดทุน โดยปัจจัยที่ไม่ทำให้ขาดทุนก็คือ อัตราดอกเบี้ย ซึ่งถ้าดอกเบี้ยที่ ธปท.ต้องออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ใช้เข้าไปแทรกแซงเงินดอลลาร์ ปัญหาขาดทุนก็จะไม่มี หรือถ้ามีก็น้อย หากทำเงินบาทอ่อนค่าลงได้ ธปท.ก็จะได้กำไรและไม่เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของตลาดเงิน สำหรับเงินทุนสำรองประเทศก็สามารถนำไปหาผลตอบแทนได้ รวมทั้งควรจะให้ลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นหรือดอกเบี้ยนโยบายครั้งเดียวมีสัดส่วนที่สูง ไม่ใช่ลดร้อยละ 0.25 ต่อครั้ง เพราะจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้น และทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้


นายวีรพงษ์ กล่าวอีกว่า  ที่ผ่านมากระทรวงการคลัง กับ ธปท. ยังขาดการประสานงานร่วมกัน เพราะเมื่อ ธปท.จะออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่อง หลายครั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มักจะลังเลในการเสนอขออนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้การออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่อง เพื่อนำเงินไปแทรกแซงตลาดทำได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น กระทรวงการคลัง กับ ธปท. จะต้องคุยกันมากขึ้น เช่น คำพูดของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ที่เปรียบทั้ง 2 หน่วยงานเหมือนสามีภรรยากัน อย่านอนแยกมุ้งกัน

 

ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ถึง 73,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นายวีรพงษ์ กล่าวว่า แม้จะมีความมั่นคง แต่หากเทียบกับภาระหนี้ภาคเอกชนรวมกับรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีถึง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าส่งเสริมให้เอกชนแปลงหนี้ซึ่งมีประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินบาทจะแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าได้ ขณะที่หนี้ในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเรื่องนโยบายที่รัฐบาลต้องดำเนินการ แต่รัฐวิสาหกิจมักจะไม่ค่อยกู้เงินภายในประเทศเพื่อก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ด้านตลาดตราสารหนี้ ขณะนี้รัฐบาลขาดแคลนพันธบัตรจนไม่เกิดการซื้อขาย จึงเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาตลาดตราสารหนี้และเป็นประโยชน์ในระยะยาวได้


“ส่วนมาตรการอื่นที่พูดกันในขณะนี้คิดว่า ไม่น่าจะได้ผล ทั้งถือครองเงินดอลลาร์ หรือการหนุนให้ไปลงทุนในต่างประเทศ ขณะที่มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 และการทำประกันความเสี่ยง ก็ควรยกเลิก เพราะหากจะทำก็ควรทำพร้อมกันทุกตลาด เพราะจะทำให้เกิดความไม่สมดุล เช่น การซื้อขายเงินบาทที่ตลาดสิงคโปร์ ทำให้นักลงทุนในประเทศแห่อ้างอิงราคาในตลาดสิงคโปร์ ทำให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในประเทศ”นายวีรพงษ์ กล่าว

เอาอีกแล้ว ดร.โกร่ง จะให้สู้ค่าเงินอีกแล้ว  ..........จะให้ออกพันธบัตรอีกแล้ว.........ขอให้ได้พูดเถอะ

 


 
 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: