ข้อมูลย้อนหลังแค่ 3 ปี ลืมไปได้เลยครับ ไม่มีทางสืบค้นเจอหรอก สำหรับเงินจำนวน 1 หมื่นล้านบาทในบัญชีนอกประเทศ
ต้องย้อนกลับไปไม่ต่ำกว่า 15 ปีครับ เริ่มตั้งแต่หุ้นชินวัตรคอมพิวเตอร์เข้าตลาดหลักทรัพย์ และทะยานขึ้นไปกว่า 800 บาท แม้จะแตกพาร์จาก 100 เหลือแค่ 10 บาทแล้วก็ตาม (ถ้าไม่แตกพาร์ อาจทะลุราคา 8000บาท/หุ้น)
หุ้นชินวัตรสมัยก่อนนั้นถูกแรงปั่นจากทั้งในและต่างประเทศไปจนสูงลิ่ว เกินปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเอะใจว่า เอ๊ะ..ทำไมฝรั่งซื้อกันจัง
คนที่เป็นเศรษฐีสมัยนี้ มีบัญชีเงินฝากนอกประเทศกันแทบทุกคนครับ มากบ้างน้อยบ้าง ตั้งแต่เริ่มยุคเก็งกำไรค่าเงินบาท เพราะค่าเงินบาทมันมีแต่ทรุด และถูกลดค่าเป็นระยะๆ จาก 20บาท/ดอลล่าร์ เป็น 28บาท/ดอลล่าร์ และเป็น 37บาท/ดอลล่าร์ เนื่องจากความไร้เสถียรภาพของค่าเงินนั่นเอง ดังนั้น..ใครที่ทำธุรกิจที่มีบัญชีรายรับ/รายจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ จะใช้วิธี
..ซุกเงิน.. ในบัญชีสองที่อยู่ต่างประเทศเป็นสกุลดอลล่าร์เอาไว้
เช่น..
สั่งซื้อวัตถุดิบเข้ามาราคา 100 ดอลล่าร์ตามตั๋วใบนำส่งสินค้า แต่มูลค่าสินค้าจริงๆ เขาจ่ายแค่ 80 ดอลล่าร์ อีก 20 ดอลล่าร์ เป็นส่วนลดที่ผู้ส่งออกต่างประเทศเขาเก็บเอาไว้ให้ และโอนกลับเข้าบัญชีสองที่อยู่ต่างประเทศไว้ให้แล้ว
ทำเช่นนี้ทุกเดือน ทุกปี ในบริษัทที่มีการสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ๆ มูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปี ก็จะมีเงินเก็บในบัญชีต่างประเทศ 20% เสมอๆ สะสมกันเข้าไป
ในกรณีเป็นผู้ส่งออก ก็กลับกัน ส่งสินค้าให้ไปแล้ว ก็ให้ผู้ซื้อโอนเข้ามาแค่ 80% อีก 20% เก็บไว้ต่างประเทศ ซึ่งเทคนิคตรงนี้ คนที่ทำธุรกิจ นำเข้า/ส่งออก รู้วิธีกันดี
ส่วนนักการเมืองฉ้อโกง ก็จะใช้วิธีการรับเงินค่านายหน้ากันเป็นเงินตราต่างประเทศ นัดโอนเข้าบัญชีในฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ แทนที่จะมาจ่าย 20% กันในประเทศไทยเป็นค่าเงินบาท
..................................
วันดี คืนดี
เงินที่ฝากในบัญชีต่างประเทศเหล่านี้แหละครับ ได้กลับมาซื้อ-ขายหุ้นของตัวเองในประเทศไทยในรูปของนักลงทุนต่างประเทศผ่านสถาบันการเงินต่างชาติ กำไรเละเทะแล้วก็สามารถโอนกลับไปนอกประเทศได้โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ และไม่เกี่ยวโยงใดๆ กับชื่อนักการเมืองด้วย
เขาเรียกว่า นักลงทุนประเภทนี้ว่า
ฝรั่งหัวดำ แต่จะคางเหลี่ยมหรือเปล่า ผมให้ไปสืบเอาเอง
แล้วจะมีจำนวนเป็นหมื่นๆ ล้านบาทเชียวหรือ?เริ่มแรกของการซุกบัญชี มีไม่ถึงหรอกครับ อาจมีสัก 1000 ล้านบาท กะเก็บเอาไว้เก็งกำไรค่าเงินหรือไว้ซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศเท่านั้น (บางคนอาจคิดเลยเถิดถึงขั้นเอาไว้ลี้ภัย หรือ เอาไว้หลบบัญชีทรัพย์สินที่ต้องแสดงต่อ ปปช.)
แต่การทวีค่าจาก 1000 ล้านเป็น 1 หมื่นล้านบาทนั้นไม่ยาก ถ้านำมาลงในหุ้นถูกตัว เพราะมูลค่าของหุ้นบางตัว ทวีค่าเป็น 10 เท่าของต้นทุนที่ซื้อได้ หากการปั่นหุ้นสำเร็จ
และหุ้นชินวัตรคอมพิวเตอร์ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นชินคอร์ป และแตกเป็นชินแซท เอสซีแอสเซ็ท ฯลฯ แต่ละตัวเคยเพิ่มค่าเกินกว่า 10 เท่าของราคาขายครั้งแรกทั้งนั้น
ถ้าคตส. หรือ ธปท. หรือ อัยการสูงสุด หรือ กลต. ได้มาอ่านกระทู้นี้ก็จะเข้าใจในทันทีว่า เงินที่ซื้อแมนซิตี้นั้นมาจากแหล่งใด ถูกกฎหมายหรือไม่?
แต่ถ้าตรวจสอบย้อนหลังกันแค่ 3 ปี ผมรับรองว่า หาไม่เจอหรอกครับ และต้องตั้งสมมติฐานไว้ว่า ถูกกฎหมายไว้ก่อนเพราะไม่มีการกระทำผิด
แต่ที่แน่ๆ ..จู่ๆ เงินมัน
งอก ขึ้นมาเองไม่ได้หรอกครับ เหมือน งาช้างไม่อาจงอกจากปากสุนัข ฉันนั้น