ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
17-05-2025, 17:33
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  อย่าเปรียบพล.อ.ธรรมรักษ์ พงษ์ศักดิ์ เป็น"สัสดี"เลย เป็นเด็กส่งโอเลี้ยงดีกว่า.... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
อย่าเปรียบพล.อ.ธรรมรักษ์ พงษ์ศักดิ์ เป็น"สัสดี"เลย เป็นเด็กส่งโอเลี้ยงดีกว่า....  (อ่าน 1558 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 07-06-2007, 00:14 »

จาตุรนต์ รอแป๊บนึงนะครับ!
 
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 6 มิถุนายน 2550 18:18 น.
  
 
  24 พฤษภาคม 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสต่อคณะตุลาการศาลปกครองว่าพระองค์จะเดือดร้อนจากคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ว่าผลของคำวินิจฉัยจะเป็นเช่นไร และได้ทรงพระราชทานแนวทางให้ตัดสินด้วยความกล้าหาญและซื่อสัตย์ และอธิบายให้ความรู้กับประชาชนให้มีความเข้าใจในคำวินิจฉัย
      
        25 พฤษภาคม 2550 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ให้สัมภาษณ์แสดงความตระหนักในความ “เดือดร้อน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
      
        “พรรคไทยรักไทยรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยบ้านเมืองและได้พระราชทานคำแนะนำให้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง พรรคไทยรักไทยมิอาจก้าวล่วงตีความหรือวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ได้”
      
        “สิ่งที่พรรคดำเนินการได้คือสนองน้อมรับฯ ใช้เป็นหลักปฏิบัติ ช่วยกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และพรรคไทยรักไทยได้วางแนวทางที่ไม่ให้เกิดความวุ่นวายไว้แล้ว โดยกำชับสมาชิกพรรคและอดีต ส.ส. ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนใดๆต่อคดียุบพรรค ไม่ว่าผลการพิจารณาจะออกมาเป็นเช่นไร เราพร้อมจะรับและดำเนินงานทางการเมืองต่อไป”
      
        27 พฤษภาคม 2550 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันอีกว่า
      
        “สิ่งที่พรรคจะทำได้ คือพยายามทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า ซึ่งอาจสร้างความวุ่นวายและทำให้สังคมเดือดร้อน พรรคเคารพการตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร เราจะไม่ประท้วงคัดค้านใดๆ ”
      
        29 พฤษภาคม 2550 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะหน้าวันที่ตุลาการรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรคการเมือง 1 วันความตอนหนึ่งว่า
      
        “ ไม่ว่าผลของคดีจะออกมาอย่างไร ก็จะไม่มีการออกมาประท้วงคำตัดสินและแสดงพลังอะไรทั้งสิ้น..... แม้ในกรณีที่ผลการตัดสินของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดก็ตาม”
      
        ถ้าเป็นนักการเมืองคนอื่นที่ไร้ซึ่งสัจจะ โกหก หลอกลวง ตลบตะแลง ตระบัดสัตย์ อยู่เป็นเนืองนิตย์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อการผิดคำพูดของตัวเองกลับมาเป็นนายจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ อนาคตไกล พูดจามีเหตุผลตั้งอยู่ในแนวทางสันติวิธีในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ต้องถือได้ว่าน่าเสียดาย
      
        30 พฤษภาคม 2550 คำวินิจฉัยของตุลการรัฐธรรมนูญสรุปว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ยุบพรรคไทยรักไทยและเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค เช่นเดียวกับพรรคการเมืองขนาดเล็กทั้งหมด
      
        31 พฤษภาคม 2550 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ว่า “เรามีความเห็นแตกต่าง เราเห็นว่า เราไม่ได้รับความเป็นธรรม....คำตัดสินที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากแนวความคิดที่ยอมรับว่าใครยึดอำนาจรัฐได้ คือความถูกต้อง ใครยึดอำนาจรัฐได้ แม้จะมาจากปากกระบอกปืนก็เป็นผู้กำหนดความถูกผิดในสังคมได้ การตัดสินแบบนี้เรายอมรับ ไม่ได้”
      
        “การตัดสิทธิ์ถือเป็นโทษร้ายแรง เพราะผมเป็นนักการเมืองมาตลอดชีวิต แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าว มาจากคณะที่ยึดอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วมาสร้างกลไกลงโทษนักการเมืองซึ่งอยู่ตามรัฐธรรมนูญ”
      
         คำพูดที่เหมือนกับการตระบัดสัตย์ของนายจาตุรนต์ ฉายแสงจากวลีที่ว่า “ไม่ว่าผลการพิจารณาจะออกมาเป็นเช่นไร เราพร้อมจะรับ” กลายมาเป็น “เรารับไม่ได้รับความเป็นธรรม” หรือ “เรายอมรับไม่ได้” ในวันนั้นอาจจะพออนุโลมได้ว่าเป็นการพลั้งเผลอในคำพูดด้วยอารมณ์ที่กำลังว้าวุ่นใจและสับสนกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นก็เป็นได้
      
        4 มิถุนายน 2550 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ให้สัมภาษณ์ความตอนหนึ่งว่า:
      
        “ การใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเรียกหาประชาธิปไตย ย่อมเป็นเรื่องที่ นอกจากผมไม่สามารถที่จะไปห้าม ในใจก็ยังต้องให้การสนับสนุนด้วย เพียงแต่กลุ่มไทยรักไทยจะทำอะไรก็จะคิดถึงว่า อะไรที่จะเป็นประโยชน์และเหมาะสมกับแต่ละขั้นละตอน อะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากที่สุด”
      
        “และอยากให้ตั้งคำถามแบบนี้ไปถาม พล.อ.สนธิ ว่าถ้าท่านเป็นแม่ทัพ แล้วกองทัพของท่านถูกยุบ เพราะมีสัสดีไปทำผิด และคำสรุปว่าสัสดีสนิทกับรองแม่ทัพ แล้วรองแม่ทัพก็สนิทกับแม่ทัพ เลยยุบกองทัพของท่านไป แล้วให้ท่านเปลี่ยนเครื่องแบบ นอกจากไม่ให้แต่งตัวเป็นพลเอกแล้ว ยังให้กลายเป็นพลเรือนไปเลย ท่านจะรู้สึกอย่างไร”
      
        แม้ว่าในความเป็นจริงคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญจะยังมีข้อถกเถียงทางวิชาการที่น่าสนใจ แต่เมื่อเสียงข้างมากของตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยออกมาแล้วก็ควรที่จะต้องยอมรับและเคารพต่อคำวินิจฉัยในท้ายที่สุด
      
        โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สัมภาษณ์ของรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า “จะยอมรับ” “จะไม่ประท้วง” และ “จะไม่สร้างความเดือดร้อน” ในคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญควบคู่กับการแสดงความตระหนักในเรื่อง “ความเดือดร้อน” หลังจากที่มีกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก่อนหน้านี้ ทำให้การพูดและการแสดงออกในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่เคยพูดนั้นควรจะต้องมีความระมัดระวังมากกว่าเป็นหลายเท่าทวีคูณ
      
        ตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันมาจากตัวแทนศาลปกครองและที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่คัดเลือกคนที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิ โดยปราศจากการเมืองและการทหารที่แทรกแซง อีกทั้งยังไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในทางการเมืองในคำวินิจฉัยกับผลการตัดสินอีกด้วย ซึ่งแตกต่างจากศาลรัฐธรรมนูญที่เคยอ้างกันว่าอยู่ในคณะอำนาจที่เป็นประชาธิปไตยในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว กลับถูกข้อครหาในเชิงการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ถูกอำนาจทางการเมืองแทรกแซงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญจนทำให้การตรวจสอบพิกลพิการและเกิดวิกฤตการณ์ในบ้านเมืองในท้ายที่สุด
      
        อย่างน้อยที่มาของตุลาการรัฐธรรมนูญชุดนี้ไม่ใช่หรอกหรือที่ทำให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่ได้ปฏิเสธความเที่ยงธรรมในตัวบุคคลของตุลาการรัฐธรรมนูญเอาไว้ล่วงหน้า และยังยอมเอ่ยปากให้สัมภาษณ์ติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลายวันว่าพร้อมจะยอมรับในคำตัดสินไม่ว่าผลคำวินิจฉัยจะออกมาเช่นไร
      
        การจะไปเปรียบเทียบการกระทำความผิดของสัสดีกับกองทัพนั้นไม่น่าจะถูกต้อง เพราะเมื่อความผิดตามคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทยระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรง เป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ถือว่าเป็นระดับของความผิดที่มีความรุนแรงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
      
        ตามคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว การจัดจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งมิได้จัดโดยคนที่เป็นแค่ระดับสัสดี แต่เป็นระดับแกนนำคนสำคัญของพรรคที่กุมบังเหียนและมีอำนาจในการตัดสินใจในการเลือกตั้ง
      
        จริงอยู่! แม้จะเชื่อได้ว่านายจาตุรนต์ ฉายแสง และกรรมการบริหารพรรค ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ลงมือกระทำการจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง...
      
        แต่ขอตั้งคำถามหาจิตสำนึกและสามัญสำนึกที่แท้จริงของคนในพรรคไทยรักไทยว่า จะไม่รู้จริงๆ หรอกหรือว่าการที่มีพรรคการเมืองที่มีชื่อไม่คุ้นหู ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน และไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นเรื่องเป็นราว กลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับพรรคไทยรักไทยกันอย่างเอิกเกริกกระจายไปตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยผู้สมัครที่ทำตัวเหมือนคู่แข่งพรรคไทยรักไทยเหล่านั้น ไม่ได้ออกตระเวนหาเสียงเพื่อหวังชัยชนะใดๆ มันเป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่?
      
        ไม่ต้องตอบผ่านสาธารณะก็ได้ เอาแค่ถามและตอบตัวเองในใจว่า ในฐานะที่เป็นวิญญูชนจบการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี จะไม่รู้เชียวหรือว่านี่คือการจัดตั้งพรรคไทยรักไทยเพื่อหวังเข้าสู่อำนาจรัฐเท่านั้น
      
        เมื่อตอบได้แล้วก็ควรจะตอบคำถามต่อไปว่าการที่จะตอบแบบไม่รับผิดชอบต่อไปว่า มันเป็นเรื่องการกระทำของคนบางคน โดยที่กรรมการบริหารพรรคไม่ได้รู้เรื่องนั้น มันเป็นความจริงหรือไม่?
      
        ส.ส. ในเขตต่างๆ ทั่วประเทศ และกรรมการบริหารพรรคไม่รู้จริงๆ เลยหรือ? หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น?
      
        3 เมษายน 2549 หลังการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยผ่านไป 1 วัน นายวีระ มุสิกพงศ์ คณะกรรมการดูแลพื้นที่เลือกตั้งภาคใต้ พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงผลเลือกตั้งภาคใต้ความตอนหนึ่งว่า:
      
        “พวกผมชินกับการแพ้ในพื้นที่ภาคใต้มานาน ทั้งนี้หวังอย่างเดียวคือเลือกตั้งซ่อม เพราะจะเป็นหนทางเดียวที่จะให้ชนะได้ ดังนั้นระหว่างนี้พรรคจะประกาศเชิญชวนหาพรรคการเมืองอื่นมาลงแข่งขัน แม้จะดูไม่ชอบธรรมนัก แต่เราก็ถือว่าชนะเหมือนกัน”
      
        นี่คือการแถลงข่าวที่รู้อยู่แก่ใจว่า “ไม่ชอบธรรมนัก” ออกไปในที่สาธารณะ โดยที่กรรมการบริหารพรรคและผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทยย่อมรู้อยู่แก่ใจว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นในการเลือกตั้ง
      
        มีกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คนไหนบ้างหรือไม่ ได้แสดงปกป้องสถาบันพรรคการเมืองของตัวเองและประชาชน 19 ล้านเสียงที่เลือกพรรคไทยรักไทยโดยการส่งเสียงคัดค้านการกระทำลักษณะเช่นนี้บ้าง?
      
        ถ้ายังไม่มีความกล้าหาญแสดงความสำนึกรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น “แม้แต่นิดเดียว” แล้วจะไปหวังให้ประชาชนมาเห็นใจ หรือจะให้มานิรโทษกรรมได้อย่างไร?
      
        ด้วยความปรารถนาดี....ถ้าจะยังมาฝืนกระแสปลุกระดม บิดเบือน ตระบัดสัตย์กันต่อไปอีก ระวังกระแสความนิยมจะแย่ลงไปยิ่งกว่านี้!!!

 
 
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000065542
 
 
 
  “และอยากให้ตั้งคำถามแบบนี้ไปถาม พล.อ.สนธิ ว่าถ้าท่านเป็นแม่ทัพ แล้วกองทัพของท่านถูกยุบ เพราะมีสัสดีไปทำผิด และคำสรุปว่าสัสดีสนิทกับรองแม่ทัพ แล้วรองแม่ทัพก็สนิทกับแม่ทัพ เลยยุบกองทัพของท่านไป แล้วให้ท่านเปลี่ยนเครื่องแบบ นอกจากไม่ให้แต่งตัวเป็นพลเอกแล้ว ยังให้กลายเป็นพลเรือนไปเลย ท่านจะรู้สึกอย่างไร”


โอกาสรอดอาจจะมี ถ้าไม่เปรียบพล.อ.ธรรมรักษ์ พงษ์ศักดิ์ และแกนนำอื่น ๆ เป็น "สัสดี" ....
เปรียบเทียบเป็น "เด็กส่งโอเลี้ยง" ดีกว่า................ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2007, 00:17 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 07-06-2007, 02:32 »

ทักษิณได้เอาโรคร้ายมาเผยแพร่ในหมู่สาวก โรคร้ายนี้ได้กระจายติดต่อในหมู่สาวกอย่างรวดเร็วทุกตัวคนแล้ว

ให้พวกสาวกมีนิสัยถอดด้ามแบบทักษิณมาเลยอย่างเรื่อง

1.เมื่อวานพูดอย่าง วันนี้ทำอย่าง

2.ขี้แพ้ชวนตี

3.โกหกพกลม แถตะแบงหน้าด้านๆ

4.ตรรกะ เหตุผลผิดเพี้ยนจากประชาชนคนธรรมดาทั่วไป (ทั้งนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากมนุษย์ต่างดาวในกาแลคซี่อันโดรเมด้า) เอาตามทักษิณว่าเป็นใหญ่

5.ไม่สนเรื่องคุณธรรม จริยธรรม มุ่งจะเอาชนะ เอาประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง

6.ทำได้ทุกอย่าง ขอให้แม้วดำรงคงอยู่ ทั้งนี้เพื่อรักษาแก่นกลางของความชั่วร้ายเอาไว้

จาตุรนต์ติดเชื้อมานานแล้ว เพิ่งสำแดงออกมาไม่นานนี่เองว่าติดเชื่อร้ายมาจากไอ้แม้ว




บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #2 เมื่อ: 07-06-2007, 09:08 »

นี่ขนาดเป็นเด็กส่งโอเลี้ยง...ผู้มีอำนาจในบ้านนี้เมืองนี้ยังสั่งจับตาไม่กระพริบ เสียงบประมาณ กำลังพล เวลาไปมากมายเท่าไหร่กับแค่เด็กส่งโอเลี้ยง 2 คนนั่น  มันส่อให้เห็นวิสัยทัศน์ของผู้มีอำนาจล้นฟ้าว่า....ปัญหาอื่นๆของประเทศที่สำคัญกว่าเช่น 3 จว.ภาคใต้   ปัญหาเศรษฐกิจ   ปัญหาการเมือง  ฯลฯ......จะมีปัญญาแก้ไขฤา!?!
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #3 เมื่อ: 07-06-2007, 10:47 »

นี่ขนาดเป็นเด็กส่งโอเลี้ยง...ผู้มีอำนาจในบ้านนี้เมืองนี้ยังสั่งจับตาไม่กระพริบ เสียงบประมาณ กำลังพล เวลาไปมากมายเท่าไหร่กับแค่เด็กส่งโอเลี้ยง 2 คนนั่น  มันส่อให้เห็นวิสัยทัศน์ของผู้มีอำนาจล้นฟ้าว่า....ปัญหาอื่นๆของประเทศที่สำคัญกว่าเช่น 3 จว.ภาคใต้   ปัญหาเศรษฐกิจ   ปัญหาการเมือง  ฯลฯ......จะมีปัญญาแก้ไขฤา!?!


โอกาสรอดอาจจะมี ถ้าไม่เปรียบพล.อ.ธรรมรักษ์ พงษ์ศักดิ์ และแกนนำอื่น ๆ เป็น "สัสดี" ....
เปรียบเทียบเป็น "เด็กส่งโอเลี้ยง" ดีกว่า................ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


คุณชายของเหลี่ยมฯ อ่านข้อความนี้ให้ดี ก่อนแสดงความคิดเห็น"คุยโอ่" ดีกว่า.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #4 เมื่อ: 07-06-2007, 10:58 »


โอกาสรอดอาจจะมี ถ้าไม่เปรียบพล.อ.ธรรมรักษ์ พงษ์ศักดิ์ และแกนนำอื่น ๆ เป็น "สัสดี" ....
เปรียบเทียบเป็น "เด็กส่งโอเลี้ยง" ดีกว่า................ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


คุณชายของเหลี่ยมฯ อ่านข้อความนี้ให้ดี ก่อนแสดงความคิดเห็น"คุยโอ่" ดีกว่า.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า





ชายฯกราบขอบพระคุณทั้ง 9 ท่านเรื่องคดียุบพรรคทรท.อย่างสุดซึ้งฮ้า




3 นักวิชาการชี้โอกาส ทรท.คืนชีพ!โกยคะแนนสงสารอื้อ-เตือน “คมช”อย่าต้อนเข้ามุม
 
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 7 มิถุนายน 2550 09:51 น.
 
 
       3 นักวิชาการแนะเทคนิคการต่อสู้ของกลุ่มไทยรักไทย หลังถูกยุบพรรคและกก.บห ถูกแช่แข็ง 5 ปี กูรูกฎหมายชี้ช่องกรุยทางดัน “ร่างทรง”เข้าสภา พร้อมเร่งชูนโยบายประชานิยมดึงฐานเสียง ขณะที่ นักสังคมศาสตร์ ฟันธง หากคมช.เดินเกมแรงเกินไปจะเกิดปรากฏการณ์ “มุมกลับ” คะแนนสงสารไหลไป “กลุ่มทรท.”ได้ ด้านนักรัฐศาสตร์ชี้ 111 คนหวนสู่สภาด้วยการนั่งเก้าอี้รมต.
       
       หลังประกาศคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่มีคำสั่ง “ยุบพรรคไทยรักไทย” รวมถึง อดีตคณะกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี เป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า 111 คน บทลงโทษทางการเมืองที่ได้รับดูเหมือนว่าจะรุนแรงจนทำให้ “พรรคไทยรักไทย” ซึ่งเปลี่ยนเป็น “กลุ่มไทยรักไทย” นั้น ไม่อาจที่จะฟื้นขึ้นมาได้นั้น ยังมีอีกหลายฝ่ายที่ได้วิเคราะห์ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะนักวิชาการบางท่านเชื่อว่าจุดเปลี่ยนประเทศไทยอาจเกิดจากการที่
       คชม.กดดัน ไทยรักไทย จนเกิดความสงสารและกลายเป็นคะแนนตีกลับที่รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ และคมช. ไม่ควรประมาท
       
       “ผู้จัดการรายสัปดาห์” จึงได้สะท้อนมุมมองของนักวิชาการทั้งทางด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ถึงแนวทางและกลยุทธ์การต่อสู้ของไทยรักไทยในทุก ๆ ด้านทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค ในการต่อสู้ทางการเมืองว่าจากนี้ไปจะกอบกู้ชื่อเสียงได้อีกครั้งหรือเป็นการปิดฉากกลุ่ม ก๊วนไทยรักไทยในที่สุด
       
       *************
       
       ระวังแรงหนุน “มุมกลับ” บีบคมช.
       รศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง
       อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 
 
 
 
       การตัดสินของ 9 ตุลาการรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ถือเป็นการกระทำที่ค่อนข้างรุนแรงอย่างมากต่อพรรคไทยรักไทย และอาจส่งผลโดยรวมในทางจิตวิทยาค่อนข้างมาก จริงอยู่ที่ผลสำรวจที่ออกมา ส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับ ผลสำรวจดังกล่าวแต่ ทว่า ในกลุ่มที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยในต่างจังหวัด อาทิพื้นที่ ภาคเหนือ และภาคอีสานนั้น พบว่า ยังไม่มีการสำรวจหรือพิสูจน์ความเห็นในกลุ่มของบุคคลที่อยู่ในกลุ่ม 14 ล้านเสียงของ พรรคไทยรักไทย
       
       “ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน อันเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคไทยรักไทยนั้น ยังไม่มีการสำรวจเลยว่า เห็นด้วยอย่างไร กับคำตัดสิน เพราะคำตัดสินที่ออกมานั้น เป็นคำตัดสินที่ค่อนข้างรุนแรง เหมือนกับโทษประหาร ที่พูดกัน”
       
       อย่างไรก็ดีเหตุการณ์การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.เป็น ถือเป็นการฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และยังเป็นการสร้างความเจ็บช้ำครั้งที่หนึ่งให้กับกลุ่มคนที่รักพ.ต.ท.ทักษิณ กระทั่งเมื่อ วันที่ 30 พ.ค.นี้ก็เหมือนเป็นการทำร้ายกันครั้งที่ 2 ซ้ำร้ายพรรคอย่างประชาธิปัตย์ กลับรอด และ ยังเป็นการแจ้งเกิดดาวดวงใหม่อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาแทน ซึ่งในจุดนี้ รัฐบาล-คมช.จะถูกมองว่าขาดความเป็นธรรมได้
       
       อีกทั้งเมื่อเกมการเมืองเดินมาถึงจุดที่ ก่อให้เกิดความคลางแคลงสงสัยในความยุติธรรม รวมถึงการลงทัณฑ์ที่รุนแรง อย่าง การตัดสิทธิทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นเวลา 5 ปีนั้น ยิ่งขัด ต่อหลัก “สมานฉันท์”ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เลือกเดิน สิ่งเหล่านี้จะเป็นภาพที่สะท้อนออกมาเพื่อให้สังคมรับรู้และเป็นจุดที่ใช้เป็นแนวทางที่ “กลุ่มไทยรักไทย” จะนำมาใช้ในการต่อสู้
       
       ขณะเดียวกันเชื่อว่าสถานการณ์จะรุนแรงอย่างยิ่งหากมีการบีบ “กลุ่มไทยรักไทย” รุนแรงขึ้น อาทิ การตั้งชื่อพรรคตามเดิมซึ่งหากไม่มีการอนุญาต การตามเช็คบิล ในคดีอื่นๆ หรือ การไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มที่เห็นต่างๆหรือ ไม่เห็นด้วยโดยเหมารวมว่าต้องเป็นพวกไทยรักไทยนั้น สุดท้ายกลุ่มนั้นก็จะกลายเป็น กลุ่มของไทยรักไทยในที่สุด และจากพลัง มวลชน กว่า 14 ล้านคน ที่ถือว่าเป็นฐานเสียงสำคัญของไทยรักไทยนั้นอาจจะเพิ่มขึ้นได้เมื่อ ภาพของ “ผู้ถูกกระทำ” ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ รวมถึง เสียงอื่นๆที่อยู่ตรงกลางก็อาจจะไหลเปลี่ยนฝั่งมาอยู่ทางไทยรักไทยก็เป็นได้
       
       “การบีบหรือกดดันทางการเมืองอย่างรุนแรงเกิดไป โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ เป็นยุคโลกาภิวัตนั้น การปิดกั้นข้อมูลจะเป็นผลเสียต่อ คมช. เอง เพราะคนพวกนี้อยู่กับการเมืองมานานการเดินเกมทางการเมืองมีหลายทาง แต่ วิธีการที่จะสื่อให้สังคมเห็นได้อย่างดีก็คือ การสื่อในแง่ความไม่ยุติธรรม และในจุดนี้เอง ความนิยมจากฝั่งที่เป็นกลางก็จะไหลกลับมายัง กลุ่มไทยรักไทยในที่สุด”
       
       นิสัยของคนไทยที่มักจะ “ขี้สงสาร” ก็จะช่วยให้ “มวยรอง”อย่างไทยรักไทย กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง เพราะอย่าลืมว่า “พรรคไทยรักไทย”เคยช่วยให้พวกเขาลืมตาอ้าปากได้ ผ่าน นโยบาย “ประชานิยม” ที่เห็นผล บทสรุป จึงอยู่ที่ว่าการเลือกเดินแนวทางทางสมานฉันท์ โดยเปิดโอกาสให้แสดงออก ได้บ้างก็อาจจะเป็นหนทางที่ดีกว่าการสร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้น โดยไม่มีเวทีให้ผู้แพ้เลย เพราะเมื่อถึงเวลานั้น ผู้ที่ถูกลงทัณฑ์ก็อาจจะกลับมา ได้เร็วกว่าที่คิดก็เป็นไปได้
       
       *************
       
        “ใช้นอมินีทำงาน-ชูประชานิยมโกยเสียง”
       ดร.เจษฎ์ โทณวณิก
        คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม

 
   
 
 
       การที่จะต่อสู้ในทางกฎหมายนั้น ไม่สามารถสู้ได้อีกแล้ว ทั้งในส่วนของการยื่นอุทธรณ์ ก็ไม่มีโอกาสเนื่องจากการตัดสินถือเป็นที่สิ้นสุดแล้ว หรือในแนวทางการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควร เนื่องจากจะเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาท เวลานี้ การที่จะรื้อฟื้นคดีมาเพื่อต่อสู้ในทางกฎหมายนั้น จึงไม่ควร แต่สิ่งที่ “กลุ่มไทยรักไทย”ยังสามารถทำได้คือ การรักษาฐานเสียง โดยมีธงอันชอบธรรมอันเป็นพรรคที่มาจากระบอบการเลือกตั้งที่ถูกต้องรวมถึง อำนาจที่แท้จริงในการตัดสินคดีของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ว่าสามารถมีอำนาจในการที่จะตัดสินคดีนี้จริงหรือไม่ เนื่องจากเป็นอำนาจที่มาจากการรัฐประหาร
       
       “ธงที่กลุ่มไทยรักไทย จะนำมาใช้ในการรักษาฐานเสียงก็คือ อำนาจตุลาการที่กำเนิดมาจากการรัฐประหาร นั้นจะมีความชอบธรรม หรือไม่ ซึ่งสิ่งนี้ จะเป็นหลักสำคัญที่ กลุ่มไทยรักไทยจะใช้ในการรักษาฐานเสียงได้”
       
       ในเวลานี้ สิ่งที่ กลุ่มไทยรักไทย ควรเลือกที่จะทำ และเป็นผลดีที่สุดคือ ความสงบนิ่งทางการเมืองเพื่อให้เกิดการเลือกตั้ง โดยเร็วที่สุดจึงจะเป็นผลดี
       
       ดังนั้นเมื่อการต่อสู้ในทางกฎหมายครั้งนี้ไม่เป็นผล ก็จำเป็นต้องรอเวลา ในการแก้กฎหมายที่ถูกต้องตามระบอบ ด้วยการกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง โดย เมื่อมีการตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ มีอดีตกรรมการบริหารพรรค นั่งตำแหน่ง “กรรมการพิเศษ” หรือ ที่ปรึกษาพิเศษ” ขึ้นมาก็สามารถเข้าสู่เวทีการเมืองได้อีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งก็ตาม แต่การเดินเกมการเมืองก็ยังสามารถที่จะดำเนินต่อไปก็ได้ ซึ่งในท้ายที่สุดหากกลับเข้าไปในสภาได้ บรรดานอมินีต่างๆก็จะเข้าสู่กระบวน การร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้งเพื่อ ปลดล็อก โทษทัณฑ์แช่แข็งของเหล่ากรรมการบริหารพรรค ให้กลับมาโลดแล่นบนเวทีการเมืองได้อีกครั้ง
       
       “หากมีการอ้างว่า สมาชิกไทยรักไทย มี 14 ล้านคน กก.บห.111 คนเป็นเพียงหยิบมือ การที่จะไปยื่นอุทธรณ์ไม่สามารถกระทำได้ เพราะคดีถึงที่สุดและยิ่งการจะไปถวายฎีกาก็เป็นเพียงกระก่อให้เกิดการระคายเคืองเบื้องพระยุคลลบาทเท่านั้น ทางที่ดีที่สุดของกลุ่มไทยรักไทยก็คือการจัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่ระบบการเมืองจึงจะดีที่สุด”
       
       รวมถึงการเดินหน้าชูธงนโยบายเก่าอย่าง “ประชานิยม” ก็ยังเป็นแนวทางที่กลุ่มไทยรักไทยยังกระทำได้ สุดท้ายเมื่อได้รับการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลใหม่อีกครั้ง ก็ผันตัวมาเป็นกรรมการบริหารพรรคมาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี สุดท้ายก็ไม่ต่างไปจากเดิม เพียงแต่ว่า ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ตามเดิมเท่านั้น
       
       “การตั้งตำแหน่งพิเศษ ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นการเดินเกมทางการเมือง โดยมีส.ส.ที่เหลืออยู่เป็นนอมินี ก็เป็นแนวทางที่ทำได้ สุดท้าย ก็จะเล่นการเมืองได้ตามปกติเพียงแต่ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการเท่านั้น วนขณะนี้ จึงมองว่า กลุ่มไทยรักไทย ควรลดบทบาทด้านการเมืองและรอเวลาเตรียมการเลือกตั้งที่กำลังจะมีมาถึงจึงจะดีที่สุด”
       
       **************
       
        “โอกาส111คนเป็นรมต.ได้”
        ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์
        คณะบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)

 
 
 
 
       การเดินเกมของอดีตกรรมการบริหารพรรคซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อฐานเสียงของตนทั้งบรรดาแกนนำชาวบ้าน หัวคะแนนในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ รวมถึงมีปัจจัยสำคัญด้านทุน ในการสนับสนุนส.ส.เพื่อลงสมัครแทนตน การกรุยทางเพื่อคืนสู่อำนาจจึงเป็นสิ่งไม่ยากเย็นเกินไปนัก โดยอาจจะมีทั้งการตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือ แยกสลายตัวเข้ากับกลุ่มพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี แต่สุดท้ายด้วยฐานเสียงที่ใหญ่และหนาแน่นส.ศงเหล่านี้จะมีโอกาสที่จะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งเป้าหมายสำคัญก็คือการคลายพันธนาการ 5 ปีที่ถูกจองจำไว้ และการผลักดันบุคคเหล่านี้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดยไม่ผิดกฎข้อบังคับแต่อย่างใดแม้ว่าจะไม่ได้เป็นส.ส.ก็ตาม
       
       “จริงอยู่ที่อดีตกรรมการบริหารพรรคไม่อาจดำรงตำแหน่งส.ส.แต่การส่งส.ส.(นอมินี)ไปนั่งในสภาก็สามารถเข้าไปแก้กฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมได้ และบุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยการนั่งเป็นรัฐมนตรีได้ในที่สุด ”
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #5 เมื่อ: 08-06-2007, 01:00 »

นี่ขนาดเป็นเด็กส่งโอเลี้ยง...ผู้มีอำนาจในบ้านนี้เมืองนี้ยังสั่งจับตาไม่กระพริบ เสียงบประมาณ กำลังพล เวลาไปมากมายเท่าไหร่กับแค่เด็กส่งโอเลี้ยง 2 คนนั่น  มันส่อให้เห็นวิสัยทัศน์ของผู้มีอำนาจล้นฟ้าว่า....ปัญหาอื่นๆของประเทศที่สำคัญกว่าเช่น 3 จว.ภาคใต้   ปัญหาเศรษฐกิจ   ปัญหาการเมือง  ฯลฯ......จะมีปัญญาแก้ไขฤา!?!


โอกาสรอดอาจจะมี ถ้าไม่เปรียบพล.อ.ธรรมรักษ์ พงษ์ศักดิ์ และแกนนำอื่น ๆ เป็น "สัสดี" ....
เปรียบเทียบเป็น "เด็กส่งโอเลี้ยง" ดีกว่า................ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


คุณชายของเหลี่ยมฯ อ่านข้อความนี้ให้ดี ก่อนแสดงความคิดเห็น"คุยโอ่" ดีกว่า.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: