ดีเอสไอ ชี้ "แม้ว-อ้อ" จงใจปกปิดหุ้นเอสซีฯ ปรับ 1.9 พันล้าน
วันที่ 19 มิ.ย. 2550
ออกหมายเรียก 26 - 29 มิ.ย.นี้
วันนี้ (19 มิ.ย.) นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงสรุปผลการสอบสวนคดี บริษัท เอสซีแอสเซท คอร์ปอเรชั่น โดยพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ข้อหาปกปิดข้อมูลโครงสร้างการถือหุ้น ในแบบแสดงรายการข้อมูล การเสนอขายหลักทรัพย์ และรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นตามกฎหมาย ทั้งนี้ การกระทำผิดของทั้งคู่ คือ ยักย้ายถ่ายเทหุ้น โดยไม่เปิดเผยข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูล การเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2546 นั้น ไม่ถูกต้องตากฎหมาย ซึ่งครอบครัวชินวัตรไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่ถือหุ้นทั้งหมดในบริษัท เอสซี แอสเซท ร้อยละ 60.82 และได้นำบริษัทต่างชาติเข้ามาถือหุ้น โดยรวมทั้งหมดเป็นการถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 79 ซึ่งข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลที่มีนัยสำคัญ ทำให้นักลงทุนเข้าใจว่าครอบครัวชินวัตร สามารถควบคุมได้เฉพาะมติที่ใช้เสียงข้างมาก การกระทำทั้งหมดถือว่าเข้าข่ายความผิดมาตรา 278 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ขณะที่ นางบุษบา ดามาพงษ์ อดีตผู้บริหารที่ร่วมลงนามรับรองความถูกต้องแบบแสดงรายการข้อมูล ได้เข้าข่ายการทำผิดตามมาตรา 301 ประกอบ 278 แห่ง พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน นอกจากนี้ การที่ครอบครัวชินวัตร ให้นิติบุคคลต่างชาติเข้ามาถือหุ้น หรือนิติบุคคลที่อำพรางการถือหุ้น ก็ถือเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณและภริยา โดยการขายหุ้นให้ตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียก บริษัท เอสซี แอสเซท นางบุษบา ดามาพงษ์ พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยา มารับทราบข้อกล่าวหา ในช่วงระหว่างวันที่ 26 - 29 มิ.ย.นี้
นอกจากนี้ ในการสอบสวน นายสุนัย ยังพบว่า มีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอื่น ซึ่งอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่มีการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สิน โดยอาจเป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินอันเป็นเท็จ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ส่วนความผิดที่จะได้รับ ตามข้อหาการกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 2 เท่า ของมูลค่าหลักทรัพย์ทั้งหมด ทั้งนี้ จะเสียค่าปรับโดยรวมกว่าไม่ต่ำกว่า 1,900 ล้านบาท http://www.matichon.co.th/breaking-news/breaking-news.php?nid=20070619-145628********