ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
27-12-2024, 16:50
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  กำลังซื้อบ้านส่วนใหญ่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคาดรัฐเพิ่มหักภาษี 1 แสนไม่ช่วยกระตุ้น 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
กำลังซื้อบ้านส่วนใหญ่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคาดรัฐเพิ่มหักภาษี 1 แสนไม่ช่วยกระตุ้น  (อ่าน 2099 ครั้ง)
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« เมื่อ: 09-06-2007, 10:20 »

กำลังซื้อบ้านส่วนใหญ่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคาดรัฐเพิ่มหักภาษี 1 แสนไม่ช่วยกระตุ้น   ( 7 มิถุนายน 2550 )
  ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ นำเสนอผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนผ่าน “REIC BEB POLL” บนเว็บไซต์ WWW.REIC.OR.TH ช่วงระหว่างวันที่ 16-31 พฤษภาคม 2550 ด้วยคำถามว่า “หากท่านจำเป็นต้องขอกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้ท่านคาดว่าจะมีความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อได้ประมาณเดือนละเท่าไร”พบว่ามีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจ 468 ราย ในจำนวนนี้มีเพียง 25% เท่านั้น ที่สามารถผ่อนชำระสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้ได้ตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป/งวด ซึ่งหากเทียบเป็นระยะเวลาสินเชื่อ 20 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 7% ลูกค้ากลุ่มนี้จะสามารถกู้ได้ในวงเงิน 1.3 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาประมาณ 1.6 ล้านบาท

 

สัดส่วนที่เหลือรวมกัน 75% ล้วนมีความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายเดือนได้ ไม่เกิน 1 หมื่นบาท ซึ่งเท่ากับระดับราคาที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคมีความสามารถในการซื้อที่แท้จริง ส่วนใหญ่จึงอยู่ในระดับราคาประมาณ 1.5 ล้านลงมาโดยแบ่งเป็น 16% สามารถผ่อนขำระสินเชื่อได้ระหว่าง 8,000 ถึงน้อยกว่า 10,000 บาท กลุ่มนี้สามารถซื้อบ้านได้ในราคา 1.25 ล้านบาท 14% สามารถผ่อนชำระสินเชื่อได้ระหว่าง 6,000 ถึงน้อยกว่า 8,000 บาท ซื้อบ้านได้ในระดับราคา 1 ล้านบาทอีก 20% สามารถผ่อนชำระสินเชื่อได้ระหว่าง 4,000 ถึงน้อยกว่า 6,000 บาท 18% สามารถผ่อนชำระสินเชื่อได้ระหว่าง 2,000 ถึงน้อยกว่า 4,000 บาทและ 7% สามารถผ่อนชำระสินเชื่อได้น้อยกว่า 2,000 บาท

 

สำหรับผู้ที่ผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ 6,000 บาทต่อเดือนในปีแรกของการผ่อนชำระจะมีส่วนที่เป็นดอกเบี้ยประมาณ 54,000 บาท ปีที่สองมีส่วนที่เป็นดอกเบี้ยประมาณ 52,500 บาท ปีที่สามมีส่วนที่เป็นดอกเบี้ยประมาณ 51,000 บาท ในช่วงปีที่สี่มีส่วนที่เป็นดอกเบี้ยประมาณ 50,000 บาท ดังนั้นมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์โดยการเพิ่มเพดานการหักลดหย่อนดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากเดิม 50,000 บาทเป็น 100,000 บาทจึงจะมีผลต่อผู้กู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่มีการผ่อนชำระต่ำกว่า 6,000 บาทต่อเดือนน้อยมากและไม่มีผลเลยสำหรับผู้ที่ผ่อนชำระต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท
 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

=====================================

ที่เห็นโฆษณาบ้านราคา 5 ล้านขึ้น มันจะเอากำลังซื้อที่ไหนไปรองรับไม่ทราบ?
เด็กรุ่นใหม่ทุกวันนี้หลังละ 2 ล้านก็รากเลือดแล้ว
ผมว่าผู้ประกอบการเดี๋ยวนี้เน้นขายออกอย่างเดียว ไม่สนใจว่าผู้ซื้อจะมีปัญญาผ่อนครบงวดหรือเปล่า
ปล่อยให้เป็นปัญหาของแบงค์ บีบทุกทางให้แบงคปล่อยกู้ บางรายตั้งวงปล่อยกู้เองเลยก็มี ไม่สนใจทั้งผู้ซื้อบ้าน และก็ผู้ที่เอาเงินไปฝาก
ขนาดผู้ใหญ่อายุ 40 ขึ้น ทำงานมีเงินเก็บพอสมควร ยังไม่มีปัญญาซื้อบ้านมันเลย กำลังซื้อผู้ใหญ่เริ่มหด เลยหันมาหลอกเด็กต่อ เห็นมีแคมเปญอายุไม่ถึง 35 ก็เป็นเจ้าของ...ได้แล้ว
ไม่ทราบว่าทำไมถึงปล่อยให้หากินกันง่ายๆ บนความไม่รู้ของผู้ซื้อ
เด็กรุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งจบ มีเงินเดือน 5-6 หมื่น ก็คิดว่าตนเองสามารถผ่านบ้านราคา 5-6 ล้าน (ผ่อนนาน 30 ปี!!! ) ได้แล้ว
เงินดาวน์ก็ลดจนแทบจะเป็นศูนย์ เพื่อให้งับเหยื่อ ขายเสร็จก็สะบัดก้น ปล่อยให้ผู้ซื้อรับภาระไปตามมีตามเกิด
เด็กเพิ่งจบใหม่ วินัยทางการเงินยังไม่มีเลย ใช้จ่ายเงินยังกับน้ำ ผ่อนได้ไม่กี่เดือนก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง
รัฐบาลน่าจะเข้ามาควบคุมราคาอสังหาได้แล้ว ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองที่ฝรั่งเท่านั้นที่จะซื้อที่อยู่ได้
ต่อไปอาจจะได้เห็นป้าย "ห้ามคนไทยและสุนัขเข้า" บ้างหรอก

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2007, 14:11 โดย sleepless » บันทึกการเข้า
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 09-06-2007, 10:43 »

ที่เห็นโฆษณาบ้านราคา 5 ล้านขึ้น มันจะเอากำลังซื้อที่ไหนไปรองรับไม่ทราบ?
เด็กรุ่นใหม่ทุกวันนี้หลังละ 2 ล้านก็รากเลือดแล้ว
ผมว่าผู้ประกอบการเดี๋ยวนี้เน้นขายออกอย่างเดียว ไม่สนใจว่าผู้ซื้อจะมีปัญญาผ่อนครบงวดหรือเปล่า
ปล่อยให้เป็นปัญหาของแบงค์ บีบทุกทางให้แบงคปล่อยกู้ บางรายตั้งวงปล่อยกู้เองเลยก็มี ไม่สนใจทั้งผู้ซื้อบ้าน และก็ผู้ที่เอาเงินไปฝาก
ขนาดผู้ใหญ่อายุ 40 ขึ้น ทำงานมีเงินเก็บพอสมควร ยังไม่มีปัญญาซื้อบ้านมันเลย กำลังซื้อผู้ใหญ่เริ่มหด เลยหันมาหลอกเด็กต่อ เห็นมีแคมเปญอายุไม่ถึง 35 ก็เป็นเจ้าของ...ได้แล้ว
ไม่ทราบว่าทำไมถึงปล่อยให้หากินกันง่ายๆ บนความไม่รู้ของผู้ซื้อ
เด็กรุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งจบ มีเงินเดือน 5-6 หมื่น ก็คิดว่าตนเองสามารถผ่านบ้านราคา 5-6 ล้าน (ผ่อนนาน 30 ปี!!! ) ได้แล้ว
เงินดาวน์ก็ลดจนแทบจะเป็นศูนย์ เพื่อให้งับเหยื่อ ขายเสร็จก็สะบัดก้น ปล่อยให้ผู้ซื้อรับภาระไปตามมีตามเกิด
เด็กเพิ่งจบใหม่ วินัยทางการเงินยังไม่มีเลย ใช้จ่ายเงินยังกับน้ำ ผ่อนได้ไม่กี่เดือนก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง
รัฐบาลน่าจะเข้ามาควบคุมราคาอสังหาได้แล้ว ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองที่ฝรั่งเท่านั้นที่จะซื้อที่อยู่ได้
ต่อไปอาจจะได้เห็นป้าย "ห้ามคนไทยและสุนักเข้า" บ้างหรอก

เห็นด้วยครับ

นี่แหละครับสัญญาณอันตรายของเศรษฐกิจแหละครับ
บันทึกการเข้า

aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #2 เมื่อ: 09-06-2007, 11:13 »

ฟังข่าวเมื่อเช้านี้ได้ความว่า ทางสคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับบ้าน ที่เจ้าของโครงการไม่รับผิดชอบ วันหนึ่ง ๆ เฉลี่ยกว่า 40 ราย

มันต้นทุนสูงจริงๆ หรือคิดจะรวยเร็ว รวยลัด ทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน ไม่รับผิดชอบ แต่คงเป็นประการหลังมากกว่า เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พวกนี้ชี้ให้เห็นความเป็นฟองสบู่อย่างดี  เดี๋ยวก็ได้แตกแบบปี 40 ที่มีโครงการบ้านจัดสรรถูกปล่อยทิ้งร้าง มีคอนโดร้างให้เห็นทั่วกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร อีกรอบ
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 09-06-2007, 13:41 »

โฆษณาบ้านราคาสี่สิบล้าน ยังเห็นได้ข้างถนนทั่วๆไป ก็ยังน่าสงสัยว่าใครกันหนอจะไปซื้อ แต่คนมีกะตังก็ย่อมจะมีมั้ง ไม่งั้นเขาคงไม่โฆษณา

บ้านจัดสรรทั่วๆไปทุกวันนี้ อยูในสภาพ ราคาแพงเกินจริง คุณภาพห่วยเกินคาด เคยไปดูบ้านในโครงการแถวรังสิต อันที่เขาเอามาแจกกันในรายการโทรทัศน์เป็นรางวัลใหญ่นั่นแหละค่ะ  เห็นแล้วอึ้งทึ่งสยอง เริ่มตั้งแต่สภาพภายในโครงการเมื่อเปิดจอง เมื่องพม่รามัญเราดีๆนี่เอง หากรรมกรไทยไม่พบ สภาพบ้านตัวอย่างสวยพอดู แต่สภาพบ้านจริงเห็นแล้วร้องไอ๊หยาไม่น่าเชื่อ มันเบี้ยวไปได้ทั้งหลัง ราวกับหาไม้วัดมุมฉากไม่ได้ กรอบวงกบประตูหน้าต่าง บิดๆเบี้ยวๆ เปิดแล้วไม่หลวมจนแทบหลุด ก็ฝืดเหมือนไม่พอดี ผนังบ้านเป็นลอนราวกับคลื่นสึนามิ เมื่อเทียบกับราคาแล้ว สยองยิ่งนัก

แต่โครงการเหล่านี้เมื่อสร้างแล้วถ้าขายไม่ออก ก็ไม่ต้องวิตกค่ะ ด่ารัฐบาลมันเข้าไป เศรษฐกิจไม่ดี บริหารห่วย คนไม่มีกำลังซื้อบ้าน ก็ไอ้บ้านที่ตัวเองทำมันน่าซื้อนักหรือ 

บ้านพวกนี้ต่อให้เป็นโครงการของบริษัทตะกวด (ตะกวดมีอีกชื่อว่าอะไรลองคิดดูเอาเองนะคะ) เมื่อซื้อเสร็จก็จะพบว่า สีล่อน หลังคารั่ว วงกบผุ เรียกชางกันมาซ่อมไปเรื่อยๆ

เคยมีโอกาศเข้าไปในบ้านราคาหลายสิบล้านที่เขาสร้างขาย พบว่านอกจากบ้านแล้วเขายังใส่แอร์ไว้ให้ทุกห้อง ติดวอล์เปเปอร์ลายที่เจ้าของบ้านต้องรีบขูดออกแล้วเปลี่ยนใหม่ เพราะลายมันทรมานใจเหลือเกินไว้ทุกห้อง เครื่องทำน้ำร้อนทุกห้องน้ำ ห้องน้ำคนใช้ก็ติดให้ใจดีจัง เครื่องกรองน้ำดื่มทุกซิ้งค์ที่มี เครื่องดูดควันจากอิตาลีราคาแพง ในห้องใต้บันใดมีเครื่องมือสารพัด ชุดคีมไขควงสว่าน มีแม้กระทั่งเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงไว้ล้างบ้าน เรียกได้ว่าหิ้วกระเป๋าเข้าไปก็แทบหาที่วางกระเป๋าไม่ได้ เพราะของที่ยัดไว้ให้เต็มบ้านมันรก  ถามว่าไม่เอาของเหล่านี้ได้ไหม เขาตอบว่าเป็นสเป็กของโครงการ ซื้อแล้วแถมให้ แต่ความจริงมันคิดตังไว้แพงๆแล้ว เมื่อเทียบกับของห่วยๆที่โละมาจากของค้างสต็อกที่ไหนก็ไม่รู้

แต่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน โครงการคอนโดติดสถานีรถไฟฟ้าสองสามโครงการ ปิดตัวก็หมดภายในวันเดียว มีคนไปนอนคอยตั้งกะตีสามเพื่อเข้าจอง ฟังแล้วงง ทำได้ไงหว่า ตอนนี้เลยมีการวางโครงการคอนโดราคาประมาณไม่เกินสองล้าน ติดแนวรถไฟฟ้า รถใต้ดินกันเพียบเพราะคนแห่กันไปจองซื้อ ขนาดต้องออกกฎว่าจองได้ไม่เกินคนละสามห้อง เขากลัการเก็งกำไรและเอนพีแอล

ทั้งหมดนี้ปัญหาของที่พกอาศัยคือ ระบบทุนที่เข้ามาทำธุรกิจนั้นสามานย์ค่ะ ไม่ได้มุ่งหวังทำธุรกิจแบบพัฒนาชาติ มุ่งเพียงกอบโกยกำไรเร็วๆ ถ้ามีปัญหาก็ไม่รับผิดชอบ แต่ไอ้พวกนี้มันจะเรียกร้องให้รัฐบาลอุดหนุน ลดภาษีโน่นนี่ เอาปรียบสังคมเรื่อยไป

วิทยุราคาสองสามพันบาท เขารับประกันปีหนึ่ง   บ้านราคาสองสามล้าน ไม่รับประกันอะไร รับบ้านไปแล้วหลังคารั่ว ถ้าโครงการเสร็แล้ว ช่างไปหมดแล้ว ช่วยตัวเองไปก็แล้วกัน

เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ค่ะ รัฐ หรือที่จริง ประชาชน ต้องออกมาพิทักษ์สิทธ์ของตนเองได้แล้วค่ะ อย่าปล่อยให้นายทุนสามานย์พวกนี้ ทำธุรกิจเอารัดเอาเปรียประชาชนอีกต่อไปค่ะ

ถ้ามันไม่พอใจมาตรการรักษาผลประโยชน์ประชาชน ก็ให้ไปสร้างบ้านขายในเมืองจีนโน่น ไป 
บันทึกการเข้า
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #4 เมื่อ: 09-06-2007, 14:26 »

“บิ๊กแบรนด์”โหมโฆษณา เร่งกระตุ้นกำลังซื้อบ้าน
 
 
โดย บิสิเนสไทย [5-6-2007] 
 
ถึงเวลา...บิ๊กแบรนด์อสังหาฯทั้ง L&H ,PF และ AP โชว์พาว์เวอร์ยุคกำลังซื้อขาดความเชื่อมั่น สั่งตั้งงบพิเศษ 30-40 ล้านบาท ทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีครั้งแรกในรอบปี หวังกระตุ้นกำลังซื้อบ้านและคอนโดฯทางอ้อม !!

เกมการขายบ้าน...เริ่มเปลี่ยนเข้าสู่ยุคการโหมโฆษณาผ่านสื่อต่างๆทั้งทีวี นิตยสาร และหนังสือพิมพ์อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นยอดขายทางอ้อม ซึ่งแนวทางนี้ได้หายไปนานสัก 1-2 ปีแล้ว เนื่องจากกำลังซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยในช่วงนั้นยังดีอยู่

แต่ ณ ปัจจุบันในไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 นี้ ผู้ประกอบการอสังหาฯเริ่มเห็นสัญญาณแน่ชัดแล้วว่ากำลังซื้อบ้านและคอนโดฯเริ่มหดหายไปเรื่อยๆ จะพึ่งการตลาดเฉพาะแคมเปญ ลด แลก แจก แถม หรือมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐบาลก็ไม่ได้

ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ , พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ต่างจึงต้องหาทุกกลวิธีที่จะเร่งระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือออกสู่ตลาดให้ได้มากที่สุด หนึ่งในวีธีการที่จะกระตุ้นการขายทางอ้อมคือ การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสื่อสารให้ลูกค้าได้รับทราบถึงรายละเอียดโครงการ และตอกย้ำแบรนด์ในยุคที่กำลังซื้อขาดความเชื่อมั่นอย่างนี้

จากตัวเลขการใช้เงินในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่จัดเก็บโดย บริษัท เอซี นีลเส็น มีเดีย รีเสริซ (ประเทศไทย) ระบุว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.)ภาคธุรกิจอสังหาฯ มีการใช้เม็ดเงินในการโฆษณาไปประมาณ 860 ล้านบาทโดย 5 อันดับแรกที่มีการใช้งบประมาณในการโฆษณามากที่สุด ได้แก่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) โดยใช้ไปประมาณ 74 ล้านบาท

ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนใช้ไปเพียง 45 ล้านบาท, บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ใช้เม็ดเงินในการโฆษณาฯ ไป 69 ล้านบาท อยู่ในอันดับสองรองจากแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ก็ไม่มาก คืออยู่ที่ 74 ล้านบาท

ส่วนอันดับ 3 คือ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตส จำกัด (มหาชน) จำนวน 34 ล้านบาท โดยปีก่อนใช้ไป 33 ล้านบาท สำหรับอันดับ 4 คือ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ใช้ไป 28 ล้านบาท โดยในปีก่อนใช้ไป 38 ล้านบาท ลดลงไปประมาณ 10 ล้านบาท และอันดับ 5 คือ บริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ใช้ไปทั้งสิ้น 27 ล้านบาท โดยในช่วงเดียวกันของปีก่อนใช้ไป 3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24 ล้านบาท

ดังนั้นในไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป จึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการอสังหาฯจะมีการใช้เม็ดเงินในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้นถึงเวลาบิ๊กแบรนด์โหมโฆษณาในช่วงเดือนพฤษภาคมของปี 2550 นี้ จะเห็นได้ว่ามีการทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวี และสื่อหนังสือพิมพ์ รวมถึงนิตยสาร อย่างครึกโครม จึงเป็นคำถามของสังคมว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งจากเดิมในอดีตเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านจะไม่มีผู้ประกอบการใดยอมจ่ายเงินเพื่อทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีเลย เพราะใช้งบประมาณจำนวนหลายสิบล้านบาท

จากข้อสงสัยตรงนี้กลายเป็นประเด็นที่ต้องหาคำตอบบิสิเนสไทย ได้วิเคราะห์ถึงกรณีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯชั้นนำของเมืองไทยต่างลุกขึ้นมาทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีครั้งนี้ โดยผ่านมุมมองความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจโฆษณาของเมืองไทย และยังเป็นนายกสมาคมธุรกิจโฆษณาไทย นายวิทวัส ชัยปาณี ถึงการที่ผู้ประกอบการอสังหาฯหันมาทำโฆษณาผ่านสื่อทีวีมากขึ้นว่า การที่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยแถวหน้า หันมาทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีครั้งนี้กันเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะต้องการที่จะแสดงศักยภาพทางด้านการเงินของตนเองว่ามีความพร้อมที่จะก่อสร้างโครงการที่ได้ประกาศเปิดตัวไปแล้ว และโครงการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น 

การทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีนี้อย่างที่ทราบว่าต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก แต่บริษัทเหล่านี้ก็พร้อมจะจ่าย ยิ่งในยุคที่กำลังซื้อขาดความเชื่อมั่นแบบนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการเหล่านี้ที่จะโชว์พาว์เวอร์ของตัวเอง

หากผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่ลุกขึ้นมาทำหนังโฆษณาตอนนี้จะถือว่าเสียโอกาสไป เพราะช่วงที่คู่แข่งรายอื่นๆกำลังออนแอร์หนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีนั้น ก็จะส่งผลให้เสียเปรียบเพราะผู้ซื้อบ้านจะจดจำเฉพาะแค่ชื่อของแบรนด์ที่ทำโฆษณาในช่วงนั้น

ในขณะเดียวกันการทำโฆษณาผ่านสื่อทีวียังเป็นการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าผู้ประกอบการเหล่านนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจแต่อย่างใด ยังมีความพร้อมที่จะลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของแบรนด์หลักๆที่มักจะใช้โอกาสนี้แสดงศักยภาพของตนเองมีผลต่อยอดขายยุคกำลังซื้อชะลอ

เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของการทำโฆษณาผ่านสื่อทีวีแล้ว ว่าจะมีผลต่อยอดขายหรือไม่นั้น นายวิทวัส กล่าวต่อถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า การทำโฆษณาผ่านสื่อทีวีครั้งนี้ย่อมมีผลทางอ้อมต่อยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะซื้อบ้านช่วงนี้จะเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่ทำโฆษณา เนื่องจากมองว่ามีศักยภาพและกำลังเงินเพียงพอที่จะก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแบรนด์ขนาดเล็กก็ย่อมมีแน่นอน แต่จะเป็นผลลบมากกว่า เพราะผู้ซื้อจะเกิดความไม่เชื่อมั่น และเชื่อถือโครงการเล็กๆ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะพัฒนาโครงการได้แล้วเสร็จเหมือนแบรนด์ใหญ่ๆที่ออกมาประกาศตัวเองผ่านสื่อโฆษณาอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

อสังหาฯจ่อคิวโฆษณา 7-8 ราย

การทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่าน อาจจะเป็นเพราะกำลังซื้อยังมีอยู่ ไม่ได้อ่อนลงอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่บรรดาผู้ประกอบธุรกิจอสังหาฯที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์รายอื่นๆจะยกขบวนแห่กันทำหนังโฆษณาตามบริษัทชั้นนำรุ่นพี่ ที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็เป็นได้

นายกสมาคมธุรกิจโฆษณาไทย กล่าวให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทขนาดใหญ่ที่ประกอบธุรกิจอสังหาฯและอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะหันมาให้ความสำคัญในเรื่องการทำหนังโฆษณากันมากขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพราะต้องแสดงศักยภาพให้ลูกค้าเห็นเช่นกันว่าตนเองก็มีกำลังเงินที่จะลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วย

เมื่อผู้นำในตลาดอย่างแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือรายอื่นๆที่ทำหนังโฆษณา เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อไปแล้ว ย่อมจะมีผู้ตามอย่างแน่นอน ถ้าไม่ลุกขึ้นมาสู้ ด้วยเกมแบบเดียวกันนี้ก็จะส่งผลเสียทำให้ผู้ซื้อลืมแบรนด์นั้นไป  และก็ไม่สร้างความแน่ใจให้กับผู้ซื้อในยุคนี้ด้วย คาดว่าจะมีผู้ประกอบการอีก 7-8 ราย ที่จะทยอยทำหนังโฆษณา ผ่านสื่อทีวีในเร็วๆนี้

แลนด์ฯพี่ใหญ่โหมโฆษณาก่อน

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แบรนด์เบอร์หนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ ด้วยการออกหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีก่อนใคร ซึ่งจากเดิมในอดีตแลนด์ฯไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากคิดว่าต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
 
แต่ในวันนี้แลนด์ฯได้ลุกขึ้นมาทำหนังโฆษณาอีกครั้ง มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร  แหล่งข่าวจากบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
ให้คำตอบกับการทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีครั้งนี้ว่า บริษัทต้องการที่จะสื่อสารให้คนที่จะซื้อบ้านเข้าใจให้ถูกต้องว่า
“บ้านแลนด์ไม่ได้แพงอย่างที่คิด”จะเห็นได้ว่าตัวแสดงที่ใช้ในหนังโฆษณาไม่ใช่ดาราหรือคนที่มีชื่อเสียง แต่เป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านแลนด์ไปแล้ว และได้มาบอกเล่าถึงประสบการณ์ความคุ้มค่าเมื่อซื้อบ้านแลนด์แอนด์เฮ้าส์

จากผลของการทำหนังโฆษณาชุดนี้ออกไป ปรากฏว่ามีจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการทั้งหมดของแลนด์ ที่มีอยู่เพิ่มขึ้นเป็น
1,200-1,300 รายต่อสัปดาห์ จากเดิมในอดีตที่ไม่มีหนังโฆษณาชุดนี้มีเพียง 800-900 รายต่อสัปดาห์เท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะช่วยให้ยอดขายดีขึ้นหรือไม่ ต้องรอวัดผลอีกครั้งภายใน 3 เดือนนี้ ถ้าหากยอดขายดีขึ้น ก็อาจจะไม่ทำหนังโฆษณาอีกแต่ถ้าไม่กระเตื้องขึ้นก็อาจจะมีการพิจารณาทำหนังโฆษณาขึ้นอีกครั้ง เพื่อสื่อสารความเข้าใจที่ถูกต้องกับลูกค้าว่าบ้านแลน์ไม่ได้แพงอย่างที่ทุกๆคนคิดกัน

สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีและสื่ออื่นๆครั้งนี้ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจโดยใช้เม็ดเงินไปประมาณ
40 กว่าล้านบาท

เอเชี่ยนทุ่ม 30 ลบ.สร้างแบรนด์ไลฟ์

เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ หรือ เอพี. แบรนด์อสังหาชั้นนำของเมืองไทยที่ช่วงหลังนี้มารุกตลาดคอนโดฯเกาะแนวรถไฟฟ้าราคาล้านต้นๆ เป็นหนึ่งผู้ประกอบการอสังหาที่ลุกขึ้นมาทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวีด้วยโดยนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) เปิดเผยถึงที่มาของการทำหนังโฆษณาครั้งนี้ว่า

จากราคาน้ำมันถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองที่แวดล้อมด้วยระบบการคมนาคมสมัยใหม่ (Mass Transit) โดยเฉพาะรถไฟฟ้า เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง พร้อมทั้งการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปัจจุบันต้องการความคล่องตัวในการอยู่อาศัยมากขึ้น

ซึ่งปัจจัยต่างๆ นี่เองส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองได้รับความนิยม รวมถึงคอนโดมิเนียมของบริษัทภายใต้แบรนด์   Life ด้วยในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์ Life ให้เป็นแบรนด์ที่อยู่ในความทรงจำของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Brand Awareness) โดยเฉพาะกลุ่ม Generation Y อายุระหว่าง 25 – 35 ปี เป็นกลุ่มคนทำงานหนักเพื่อสร้างครอบครัวใหม่ แต่ก็ไม่ทิ้งรูปแบบการใช้ชีวิตที่สนุกสนาน (Work Hard Play Hard) และเพื่อให้ Life เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว บริษัทฯ จึงได้ทุ่มงบโฆษณากว่า 30 ล้านบาท ผลิตภาพยนตร์โฆษณาชุด “ยิ่งใกล้ยิ่งมันส์”โดยได้วางตำแหน่งของแบรนด์ Life (Brand Positioning) ให้เป็นคอนโดมิเนียมที่เต็มไปด้วยความสนุก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Condo for Fun” ที่สื่อถึงความสนุกสนานในการใช้ชีวิตในเมือง โดยมีคอนโดมิเนียมแบรนด์ Life เป็นคีย์สำคัญในการสื่อสาร ภายใต้แนวคิดการสื่อสารการตลาดแบบ Viral Marketing ที่อาศัยเครื่องมือทางการตลาดที่หลากหลายรูปแบบเป็นสื่อกลางในการแพร่กระจายข้อความสำคัญๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยผ่านทางสื่อทีวี วิทยุ เว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ Billborad และกิจกรรมทางการตลาดเป็นสำคัญ

สำหรับโครงการภายใต้แบรนด์ Life ที่เปิดขายในช่วงนี้มี 3 ทำเลคือ 1) Life  ย่านรัชดา-สุทธิสาร อาคารชุดพักอาศัย 1 อาคาร สูง 23 ชั้น จำนวน 520 ยูนิต มูลค่า 1,100 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.93 ล้านบาท 2) Life  ย่านพหลฯ-อารีย์ อาคารชุดพักอาศัย 1 อาคาร สูง 20 ชั้น จำนวน 357 ยูนิต มูลค่า 1,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.93 ล้านบาท และ 3) Life ย่าน สาทร 10 อาคารชุดพักอาศัย 1 อาคาร สูง 27 ชั้น จำนวน 286 ยูนิต มูลค่า 900 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2.7 ล้านบาท

เพอร์เฟคอัด 40 ลบ.ชูแคมเปญ

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค แบรนด์ชั้นนำของอสังหาฯเมืองไทยอีกหนึ่งราย ที่ไม่ยอมถอย เปิดเกมรุกกับคู่แข่งระดับเดียวกัน จัดสรรงบประมาณ 40 ล้านบาท เพื่อทำหนังโฆษณาผ่านสื่อทีวี จากเดิมที่ไม่เคยใช้งบประมาณด้านนี้มากว่า 2 ปีแล้ว
 
โดยนายนายชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงสาเหตุที่ต้องทำหนังโฆษณผ่านสื่อทีวีครั้งนี้ว่า จากภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในขณะนี้มีปัจจัยภายนอกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งปัจจัยทางบวก ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงจากที่ทรงตัวมาตลอด แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันค้าปลีกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลในเรื่องต้นทุน รวมทั้งสภาวการณ์ทางการเมืองที่ยังมีทิศทางไม่แน่นอนจนกว่าจะมีการเลือกตั้ง

ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและมีผลโดยตรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้บริษัทต้องปรับตัวในด้านต่างๆ แต่ทั้งนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความต้องการอยู่ โดยดูจากจำนวนที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นและจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
 
สำหรับงบประมาณที่บริษัทใช้ในการทำหนังโฆษณาผ่านสื่อต่างๆรวมทั้งทีวีนั้นประมาณ 40 กว่าล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอกย้ำจุดเด่นของโครงการเพอร์เฟคที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยใช้แคมเปญใหม่ที่ชื่อว่า ว่า My Perfect และได้จัดทำหนังโฆษณาถึง 9 เรื่อง คาดหวังว่าผู้บริโภคจะเข้าใจและรับรู้ถึงจุดเด่นที่เหนือว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆผ่านการทำสื่อโฆษณาครั้งนี้ ส่วนโครงการบ้านทั้ง 9 โครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้แก่ โครงการ เพอร์เฟค เพลส รามคำแหง – สุวรรณภูมิ / เพอร์เฟค พาร์ค รามคำแหง- สุวรรณภูมิ / เพอร์เฟค เพลส สุขุมวิท 77- สุวรรณภูมิ / เพอร์เฟค เพลส รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์/ เพอร์เฟค พาร์ค รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์/ เดอะวิลล่า รัตนาธิเบศร์ –ราชพฤกษ์ / เพอร์เฟค เพลส พระราม 5 –ราชพฤกษ์ / เพอร์เฟค เพลส พระราม 5-บางใหญ่ / มณีรินทร์ เลค แอนด์ พาร์ค  ติวานนท์-วงแหวน  และ มณีรินทร์ รังสิต โดยราคาเริ่มต้นของบ้านรุ่นใหม่ อยู่ที่ 3 ล้านบาท
 
บันทึกการเข้า
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #5 เมื่อ: 09-06-2007, 14:56 »

โฆษณาบ้านราคาสี่สิบล้าน ยังเห็นได้ข้างถนนทั่วๆไป ก็ยังน่าสงสัยว่าใครกันหนอจะไปซื้อ แต่คนมีกะตังก็ย่อมจะมีมั้ง ไม่งั้นเขาคงไม่โฆษณา


คิดว่าที่ซื้อบ้านแพงทั้งหลายส่วนใหญ่เป็นการเก็งกำไร เพราะลองคิดถึงตัวเอง หากมีเงินสดพอซื้อบ้าน 40 ล้านได้ ก็คงหาซื้อที่ดินแล้วสร้างเองดีกว่า
ไอ้พวกนี้ผมไม่ค่อยห่วง ห่วงแต่ไอ้ราคา 5 ล้านกว่าเนี่ยแหล่ะ เห็นมาหลายต่อหลายรายแล้ว เงินเดือนเกือบแสน ทะลึ่งไปซื้อบ้าน 5 ล้านกว่า (ก็มันเป่าหูเสียจนคิดว่าตนเองเป็นอาเสีย จะไม่ซื้อของมันได้ไง) ผ่อนได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องทิ้ง บริษัทขายบ้านก็รับทรัพย์อย่างเดียว แบงก์ก็ถูกบีบเอาบีบเอาให้ปล่อยกู้ แล้วไอ้ LH Bank เนี่ย มันล้มขึ้นมาไปเอาเงินคืนจากแลนด์ได้ไม๊เนี่ย เงินจากมือซ้าย ย้ายไปมือขวาแล้วถือว่าเอาคืนไม่ได้แล้วใช่มั๊ยเนี่ย แล้วถ้ามันล้มไปรัฐบาลต้องเอาภาษีชาวบ้านไปอุ้มมันอีกหรือเปล่าเนี่ย ไม่รู้ ธปท สมัยนั้นปล่อยให้ตั้งได้ยังไง มันมี conflict of interest เห็นๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2007, 15:01 โดย sleepless » บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #6 เมื่อ: 09-06-2007, 15:51 »

เฮ้ย ที่กำลังด่าๆ อยู่นี่มันรัฐบาลพอเพียงนี้นี่หว่า สงสัยมึนนึกว่ายังเป็นรัฐบาลทักษิณอยู่
บันทึกการเข้า
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #7 เมื่อ: 09-06-2007, 17:08 »

เฮ้ย ที่กำลังด่าๆ อยู่นี่มันรัฐบาลพอเพียงนี้นี่หว่า สงสัยมึนนึกว่ายังเป็นรัฐบาลทักษิณอยู่

อ่า.... พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

ผู้ที่ยิ่งเหยียบย่ำซ้ำเติมให้สถานการณ์ที่อยู่อาศัยยิ่งหนักเข้าไปอีกก็คือนายกทักษิณซึ่งเห็นลีกวนยิวที่สร้างกล่องสี่เหลี่ยมให้คนสิงค์โปร์อยู่แล้วได้รับเลือกอยู่ในตำแหน่งหลายปี เลยคิดอยากจะทำกับเมืองไทยบ้าง แทนที่จะเข้าไปควบคุมโครงสร้างราคาที่ดินให้มันเป็นไปตามราคาที่ควรจะเป็น กลับผุดโครงการสร้างขยะมาขายให้คนจน ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าไม่มีปัญญาผ่อน แม้จะเพียงเดือนละ 2,000 บาทก็ตาม

ทางหนึ่งสร้างขยะขายให้คนจน อีกทางหนึ่งก็ปล่อยให้ปั่นราคาที่ดินจนเกือบจะกลับมาเท่าปี 40 แล้ว งวดนี้นอกจากราคาที่จะพุ่งสูงขี้นแล้ว ราคาตัวบ้านไม่รวมที่ดินยังแพงกว่าปี 40 อีกมาก  เตรียมตัวฟังข่าวฆ่าตัวตายกันได้อีกรอบเลย

ฟันธงเลยว่าแบงก์ที่ไปก่อนคือ LH Bank

ว่าแต่ว่า คุณชอบแถมีบ้านซุกหัวนอนแล้วยัง หรือว่ายังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ถ้ายังไม่มีบ้านอยู่ รีบหางานเป็นชิ้นเป็นอันทำซะ เก็บเงินเก็บทองไว้ซื้อบ้านจริงๆ อย่ามารอบ้านเอื้ออาทรเลย

อ้อ แล้วก็อย่าดัดจริตไปซื้อบ้านแลนด์สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างที่เขากำลังโหมโฆษณากันอยู่ด้วยหล่ะ ตอนนี้ทะเลมันว่างเปล่า แมร่งกวาดหมดทั้งปลาเล็กปลาน้อย (ซึ่งหลงคิดว่าตนเองเป็นปลาใหญ่)



=======================
แบงก์แลนด์ฯ น่าห่วง NPLเบ่งบาน

แบงก์ในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ออกอาการเป๋ เปิดบริการ 1 ปีหนี้เสียพุ่ง หลังผูกติดสินเชื่อกับยอดขายบ้านของแลนด์ฯ เป็นหลัก เมื่อกำลังซื้อหด ลูกบ้านเริ่มผ่อนไม่ไหว NPL แบ่งบาน

ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) ถือเป็นอีกหนึ่งในความยิ่งใหญ่ของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ภายใต้การนำของอนันต์ อัศวโภคิน ที่สามารถสร้างอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ที่เดิมต้องพึ่งพาสถาบันการเงินอื่นเพื่อปล่อยกู้ให้โครงการและลูกบ้าน แต่ถึงวันนี้เขามีพร้อมทุกอย่าง

ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ เกิดขึ้นจากที่ทางการเปิดโอกาสให้มีการยกระดับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารเลื่อนชั้นขึ้นเป็นธนาคาร จึงได้ให้บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดยกลุ่มบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) 70% ของทุนซึ่งเรียกชำระแล้ว ดำเนินการเสนอแผนการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยต่อธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2547 โดยมีเงื่อนไขให้เปิดดำเนินการภายใน 1 ปี จากนั้นจึงได้เข้าทำการเจรจาซื้อหุ้นบริษัทเงินทุน บุคคลัภย์ จำกัด (มหาชน) จากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ธนาคารได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้เปิดดำเนินการเมื่อ 19 ธันวาคม 2548 จากนั้นได้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อโดยเน้นที่ลูกบ้านที่ซื้อโครงการของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นหลัก เนื่องจากบ้านของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนมาก คิดเป็น 60-70% ของสินเชื่อทั้งหมด ที่เหลือเป็นสินเชื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และมีแผนที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคมอีกด้วย

การเปิดดำเนินการที่ครบรอบ 1 ปีเมื่อปลายปี 2549 พบว่าธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ฯ ยังประสบปัญหาขาดทุน ที่สะท้อนผ่านการถือหุ้นของบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH ซึ่งถือหุ้นในแบงก์แห่งนี้ 43% ในงบกำไร 9 เดือนของปี 2549 โดย LH ต้องรับภาระขาดทุนจากธนาคารแห่งนี้ตามสัดส่วนการถือหุ้นเป็นเงิน 51.649 ล้านบาท เท่ากับว่าผลการดำเนินงานของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ฯ 9 เดือนที่ผ่านมามีผลขาดทุนทั้งสิ้นราว 120 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานสิ้นปี 2548 ที่เพิ่งเปิดดำเนินการธนาคารมีภาระขาดทุนราว 82 ล้านบาท

เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานของ LH ในรอบ 9 เดือนกำไรจากการดำเนินงานก็ลดลงเช่นกัน เป็นผลมาจากปัจจัยราคาน้ำมันและดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นในปีที่ผ่านมา รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ยอดขายของ LH ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 44.87%

อย่างไรก็ตาม คาดหมายว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 ยอดขายของ LH จะกระเตื้องขึ้นเนื่องจากมีรายการส่งเสริมการขายด้วยการลดราคาบ้านลงมาราว 10-15% พร้อมทั้งการเปลี่ยนเป้าหมายมาจับลูกค้าในระดับกลางด้วยบ้านในระดับราคา 3-5 ล้านบาท นี่คือความพยายามในการปรับตัวของยักษ์ใหญ่อย่างแลนด์แอนด์เฮ้าส์ท่ามกลางกำลังซื้อที่หดตัวจากปัญหารอบด้าน

“จะเห็นได้ว่าหากยอดขายบ้านของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ดีก็จะส่งผลบวกต่อสถานะของธนาคารแลนด์ฯ ไปด้วย เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารแลนด์ฯ จะผูกติดกับการขายบ้านในโครงการของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ โดยมักเสนออัตราดอกเบี้ยกู้ยืมที่ต่ำกว่าสถาบันการเงินทั่วไป”

ในรอบ 11 เดือนของปี 2549 ธนาคารนี้มีการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2548 ในอัตรา 120% ขณะที่ดอกเบี้ยค้างรับเพิ่มขึ้น 172% และมีการลงทุนในหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 223% เงินฝากเพิ่มขึ้น 156% และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)เพิ่มขึ้นสูงถึง 758%

สิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาคารแลนด์ฯ สะท้อนถึงกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง เห็นได้จากสินเชื่อแม้จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว แต่ถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับศักยภาพโครงการบ้านของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มจาก 0.75% ของเงินให้สินเชื่อก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ขยับขึ้นมาเป็น 3.28% ของเงินให้สินเชื่อก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญนับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูงมาก

อาจตีความได้ว่า ลูกค้าที่ซื้อบ้านของแลนด์ฯ และใช้บริการสินเชื่อของธนาคารแลนด์ฯ ในบางกลุ่มกำลังมีปัญหาด้านการผ่อนชำระ หลังจากที่ตลอดปี 2549 ประเทศไทยประสบปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทิศทางของดอกเบี้ยที่ในประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้นทั้งเงินฝากและเงินกู้ จึงส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศรวมถึงความสามารถในการผ่อนชำระที่ลดลงตามไปด้วย

แม้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 ที่แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จัดรายการแกรนด์เซลลดราคาบ้านลง น่าจะพยุงยอดขายใน 3 ไตรมาสแรกดูดีขึ้นหลังจากที่ยอดขายช่วง 9 เดือนออกมาไม่ดีนัก โดยลดลงจากงวด 9 เดือนก่อน 5,074 ล้านบาทหรือลดลง 30.08% ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง 2,010 ล้านบาทหรือลดลง 50.50%

แม้ยอดขายบ้านในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะเข้ามาช่วยให้ยอดขายตลอดทั้งปีสูงขึ้น แต่คงไม่ดีกว่าปี 2549 ซึ่งจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธนาคารแลนด์ฯ ตามไปด้วย

ที่ผ่านมาธุรกรรมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารแลนด์ฯ ค่อนข้างจำกัดเฉพาะคือปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ซื้อโครงการบ้านของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ แม้ได้ลูกค้าแน่นอน แต่ค่อนข้างมีความเสี่ยงเนื่องจากยอดขายบ้านจะเป็นตัวชี้รายได้ของธนาคารเป็นหลัก หากปีใดที่เศรษฐกิจไม่ดีกำลังซื้อคนลดลง ยอดขายบ้านก็จะตกลง อีกทั้งคู่แข่งในวงการอสังหาริมทรัพย์มีค่อนข้างมาก หากแลนด์แอนด์เฮ้าส์ไม่มีการเปิดโครงการใหม่ ก็จะกระทบต่อรายได้ของธนาคาร

ขณะเดียวกัน แม้จะมีความพยายามในการปล่อยสินเชื่อด้านอื่น แต่มักเป็นการผูกติดกับพันธมิตรที่เข้ามาถือหุ้นอย่างสำนักงานประกันสังคม แน่นอนว่าความเสี่ยงน้อย แต่โอกาสในการสร้างรายได้ก็น้อยเช่นกัน แถมเงื่อนไขค่อนข้างมาก ทำให้สินเชื่อในส่วนนี้เติบโตน้อย
       
     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2007, 17:29 โดย sleepless » บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #8 เมื่อ: 09-06-2007, 19:15 »

นั่นคงเป็นมุมมองของคนที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วหรือว่าสามารถอยู่ได้ถาวร
โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ความรู้สึกของคนที่เช่าบ้านมันต่างกันโดยเฉพาะคนที่เริ่ม
จะหาความมั่นคงในชีวิตให้ตัวเอง ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลหน้าไหนที่เปิดโอกาสให้
คนรายได้น้อยมีสิทธิเป็นเจ้าของบ้านที่ไม่คุ้มคุณภาพหรือผ่อนนานแสนนาน
ทำเลที่ตั้งอยู่ไกลแสนไกล ก็จะต้องมีคนดิ้นรนไปเป็นเจ้าของบ้านให้ได้ คน
ที่มีบ้านอยู่แล้วควรเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ด้วย ไม่ใช่จะไปด่าคนกลุ่มนั้นอย่าง
เดียวว่าไม่พอเพียง ควรเข้าใจให้ลึกกับคำว่า มีบ้านเป็นของตนเอง มั่ง

สำหรับคนที่ซื้อบ้านเกินตัวมันก็เป็นกลไกตลาดของคนอยากขาย ไม่ใช่เรื่อง
แปลก การไม่มีกำลังผ่อนต่อก็จะเป็นบทเรียนเองตามธรรมชาติ ได้ยินคาถา
ว่าพอเพียงทุกวันยังเอาไม่อยู่ก็ช่วยไม่ได้ โดนซะมั่งวันหลังก็จะได้ประมาณ
ตัวเองถูก ไม่หาเรื่องผ่อนที่เกินกำลัง ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านราคาถูกสำหรับ
คนจนซึ่งรัฐมีส่วนในการจัดการเรื่องวงเงินกู้ ตามหลักการถ้าจัดการดีความ
เสี่ยงที่จะผ่อนไม่ได้ก็จะต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี คนละเรื่องกับบ้าน
ราคาแพงที่คนรายได้สูงตัดสินใจผ่อนเองไม่ต้องอาศัยการจัดการและการ
จำกัดวงเงินกู้ของภาครัฐ

ส่วนแบ๊งค์ที่ว่าจะเจ๊งเป็นแบ๊งค์แรกจำชื่อมาผิดหรือเปล่า จริงๆ มันชื่อธนาคาร
ทหารสิงคโปร์ต่างหาก ที่มีไฮโซบริหารปล่อยเงินกู้ให้คิงเพาเวอร์ไง
บันทึกการเข้า
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #9 เมื่อ: 09-06-2007, 19:57 »

นั่นคงเป็นมุมมองของคนที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วหรือว่าสามารถอยู่ได้ถาวร
โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ความรู้สึกของคนที่เช่าบ้านมันต่างกันโดยเฉพาะคนที่เริ่ม
จะหาความมั่นคงในชีวิตให้ตัวเอง ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลหน้าไหนที่เปิดโอกาสให้
คนรายได้น้อยมีสิทธิเป็นเจ้าของบ้านที่ไม่คุ้มคุณภาพหรือผ่อนนานแสนนาน
ทำเลที่ตั้งอยู่ไกลแสนไกล ก็จะต้องมีคนดิ้นรนไปเป็นเจ้าของบ้านให้ได้ คน
ที่มีบ้านอยู่แล้วควรเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ด้วย ไม่ใช่จะไปด่าคนกลุ่มนั้นอย่าง
เดียวว่าไม่พอเพียง ควรเข้าใจให้ลึกกับคำว่า มีบ้านเป็นของตนเอง มั่ง

สำหรับคนที่ซื้อบ้านเกินตัวมันก็เป็นกลไกตลาดของคนอยากขาย ไม่ใช่เรื่อง
แปลก การไม่มีกำลังผ่อนต่อก็จะเป็นบทเรียนเองตามธรรมชาติ ได้ยินคาถา
ว่าพอเพียงทุกวันยังเอาไม่อยู่ก็ช่วยไม่ได้ โดนซะมั่งวันหลังก็จะได้ประมาณ
ตัวเองถูก ไม่หาเรื่องผ่อนที่เกินกำลัง ซึ่งไม่เหมือนกับบ้านราคาถูกสำหรับ
คนจนซึ่งรัฐมีส่วนในการจัดการเรื่องวงเงินกู้ ตามหลักการถ้าจัดการดีความ
เสี่ยงที่จะผ่อนไม่ได้ก็จะต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี คนละเรื่องกับบ้าน
ราคาแพงที่คนรายได้สูงตัดสินใจผ่อนเองไม่ต้องอาศัยการจัดการและการ
จำกัดวงเงินกู้ของภาครัฐ

ส่วนแบ๊งค์ที่ว่าจะเจ๊งเป็นแบ๊งค์แรกจำชื่อมาผิดหรือเปล่า จริงๆ มันชื่อธนาคาร
ทหารสิงคโปร์ต่างหาก ที่มีไฮโซบริหารปล่อยเงินกู้ให้คิงเพาเวอร์ไง

ทุกคนที่มีบ้านอยู่อยู่แล้วล้วนเคยผ่านประสบการณ์การผ่อนบ้านอันยาวนานมาแล้ว ผมเองต้องใช้เวลาตั้ง 10 ปีกว่าจะผ่อนหมด เคยผ่านยุคที่ดอกเบี้ย 10 กว่าเปอร์เซ็นต์มาแล้ว ถึงได้รู้ว่าคนจนลำบากอย่างไรกับการทำนาบนหลังคนของแบงก์ ผู้ขายบ้าน และยังมาเจอรัฐบาลซึ่งแทนที่จะคอยควบคุมราคาบ้านไม่ให้มันวิ่งหนีระดับรายได้ของคนจนและชนชั้นกลาง กลับปล่อยให้ที่ดินกลายเป็นสิ่งที่นำไปเก็งกำไรกัน แล้วยังทำโครงการบ้านต่ำกว่ามาตรฐานมาขายหลังละตั้งแปดแสน (ซึ่งควรจะเป็นราคาบ้านทาวน์เฮาส์ชั้นดีขนาดสัก 20-30 ตรว ในเมือง) บ้านหลังละแปดแสน คนทำงานบริษัทรายได้ 20,000/เดือน ปัจจุบันยังยากที่จะผ่อนให้ครบงวดทุกงวดได้เลย ข้อนี้รัฐบาลทักษิณรู้ดี ไม่ใช่ไม่รู้ หากต้องการช่วยคนจนจริง ต้องหาทางควบคุมฝั่งผู้ขาย ควบคุมสินค้า (ที่ดิน) ไม่ให้มีการปั่นราคากัน กำหนดเพดานราคาที่ดินไปเลย อย่าให้เป็นไปตามกลไกตลาด (ซึ่งผู้ยิ่งใหญ่และแลนด์แบงก์ต่างๆ เป็นผู้ควบคุม) เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คนไทยยังมีปัญญาซื้อหาที่ดินซุกหัวนอน ที่ดินในกรุงเทพยังมีอีกเหลือเฟือ แต่เพราะการเก็งกำไรทำให้ต้องไปสร้างบ้านให้คนจนอยู่ไกลเป็นโยชน์ 

ที่พูดมาทั้งหมดหมายถึงบ้านของคนธรรมดาทั่วๆ ไป ไม่ได้พูดถึงบ้านเศรษฐี คนธรรมดาก็ควรจะมีสิทธิอยู่บ้านที่มีคุณภาพที่ราคาไม่แพง ไม่ใช่ต้องไปอยู่บ้านห่วยๆ ซึ่งนักการเมืองกำหนดว่ามรึงจน จึงต้องอยู่บ้านระดับนี้ หรือไม่จริง?

ว่าแต่ว่า ตกลงคุณ'แถ มีบ้านซุกหัวนอนหรือยัง ไม่ทราบว่าวางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้าง มีครอบครัวแล้วยัง พอจะเปิดเผยให้คนอื่นๆ ที่นี่ได้ฟังบ้างหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีบ้านอยู่ เตรียมหาเงินให้ลูกไว้เลย 10 ล้าน หากปล่อยไว้แบบที่เป็นอยู่ รุ่นลูกเราไม่มี 10 ล้าน ไม่ต้องมาคุยเรื่องบ้านเลย ฝรั่งมันเข้ามาซื้อเกลี้ยง ส่วนลูกคุณแถ ก็คงจะได้ไปอยู่บ้านเอื้ออาทร ver 12.0 ราคา 5 ล้าน ไกลออกไปสัก 150 กม. ผ่อนยาว 50 ปี (ตายไปแล้วยังไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านเลย) แน่นอน

ถ้าคิดว่าควรปล่อยให้ราคาของปัจจัยสี่อย่างที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า ยารักษาโรค เป็นไปตามกลไกตลาด ก็เตรียมตัวหาเงินให้นายทาสคุณได้เลย ไอ้ตัวผมเองหน่ะ สะสมไว้ให้ลูกพออยู่ได้แล้ว ถึงได้เป็นห่วงคนอื่น อย่างคุณ'แถ วันๆ เห็นหมกมุ่นแต่เรื่องการเมือง เอาแต่นั่งเถียงแทนคุณทักษิณ กลัวว่าจะลืมคิดถึงอนาคตของตัวเอง  น่าเป็นห่วงแทนจริงๆ ทักษิณเป็นอดีตไปแล้ว อีก 10 ปีคนก็ลืมๆ ไปแล้ว ห่วงตัวเองดีกว่าผมว่านะ


ในฤดูร้อนที่ร้อนมากของวันหนึ่งจิ้งหรีดจอมขี้เกียจตัวหนึ่งเห็นฝูงมดขนข้าว, เศษผลไม้และลูกไม้ต่าง ๆเดินรำเรียงกันเอาเข้าไปเก็บสะสมไว้ในรังอย่าง ขะมักขะเม้น มันจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างมากจึงถามพวกมดว่า " นี่เจ้ามด พวกเจ้าน่ะขนข้าว,ขนอาหารไปเก็บไว้ทำไม ?ในทุ่งก็มีมากมายกินกัน ไม่รู้จักหมดรู้จักสิ้นอยู่แล้ว พวกเจ้านี่ช่างแปลกจริง ๆ ร้อนออกจะตายไป บ้าบอไม่มี ที่เปรียบ ขยันกันจริงนะพวกเจ้า ฮ่า ๆๆ " มันคิดดูถูกพวกมดอย่างมาก...พวกมดจึง หันมาตอบกวน ๆกับมันว่า " ท่านว่าแปลกมากหรือ? " "แต่พวกข้าว่าไม่เห็นจะน่าแปลก ตรงไหนเลย ฤดูกาลนี้พืชพันธ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ พวกข้าเก็บได้ง่ายและที่ เหลือกินก็จะช่วยกันขนเอาไปเก็บสะสมไว้เป็นสะเบียงในฤดูหนาวที่แห้งแล้งไม่มีพืชพันธ์ ธัญญาหารให้เก็บกินกันได้ง่าย ๆไงล่ะ "เจ้าจิ้งหรีดเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า " จะไปคิดอะไร กันมากมายถึงกาลไกลโน่นให้ปวดหัวด้วยล่ะเสียเวลาปล่าว ๆ เอาอย่างข้านิสินึกจะกินก็กิน นึกจะนอนก็นอนอาหารมีอยู่รอบตัวไม่เห็นเคยอดหยากสักครั้งเลย " ตอบแล้วมันก็บินหนีไปแทะ อ้อยข้างทางอาหารโปรดของมันเหมือนขี้เกียจต่อกรกับพวกมด พวกมดมองเจ้าจิ้งหรีดที่บิน จากไปแล้วคิดว่า " ยังไม่รู้ถึงความอดหยาก ถึงได้ดูถูกและล้อเลียนพวกเรา รอให้ฤดูหนาวมาถึงก่อน เถอะ...ฮึ...แล้วจะรู้สึก "

แม้แต่ในวันที่ฝนตกหนัก พวกมดก็ยังยอมเปียกฝนด้วยตัวที่สั่นเทาไม่ลดละและเลิกขนสะเบียงอาหาร เลยมันยังคงตั้งหน้าตั้งตาลำเรียงเข้าไปเก็บไว้ในรังอยู่อย่างเดิม...เจ้าจิ้งหรีดซึ่งนั่งหลบฝนอยู่ใต้ใบไม้ เมื่อมันเหลือบไปเห็นพวกมดเข้าเท่านั้นมันก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังและส่ายหัวไปมาแล้วพูด ดูถูกล้อเลียนพวกมดว่า "ขยันกันจริง ๆนะพวกเจ้า ฮ่า ๆๆ..ฝนตกเฉอะแฉะน่ารำคาญจะตาย อย่างวันนี้ พวกเจ้าถ้าจะบ้าเอาอย่างมากเลยนะ...ข้าว่ามานอนหลบฝนกับข้าไม่ดีกว่าเหรอ รอให้ฝนหยุดเสียก่อนจะดีกว่านะ ฮ่า ๆๆๆ " แต่พวกมดก็ยังเดินขนของไปแล้วหันมาตอบกับจิ้งหรีด เหมือนไม่ยอมให้เสียขนอาหารไปเลยสักนิด " บอกแล้วไง ตอนนี้ยังพอมีพืชพันธ์ธัญญาหารให้เก็บอยู่ ต้องรีบเอาไปเก็บสะสมไว้อีกให้มาก ๆไง " จิ้งหรีดส่ายหัวไปมาด้วยความเบื่อในความคิดของ พวกมดมันเลยเกล้งนั่งหลับไม่ยอมหันกลับไปมองพวกมดอีกเลย...

และในวันที่ลมพัดแรงแสนแรง พวกมดก็ยังคงทำงานและหน้าที่ของมันอยู่ไม่มีเปลี่ยนแปลง พวกมันเดินเกาะกลุ่มกันเดินต้านลมขนข้าวขนสะเบียงอาหารอยู่เหมือนเดิม เจ้าจิ้งหรีดนั้น วันนี้หนีลม แรงเข้าไปหลบอยู่ในโพรงไม้และเมื่อมันมองออกไปและเห็นพวกมดเข้าให้อีก มันจึงตะโกนออกมา ด้วยเสียงอันดังแล้วก็ยังพูดดูถูกพวกมดเหมือนเดิมอีกนั่นแหละว่า " ข้าว่าพวกเจ้านี่บ้าจริง ๆของ แท้เลยหละ...ลมพัดแรงจะตายไป ยังจะขยันกันอยู่ได้อีก เดี๋ยวก็ปลิวไปตามลมหรอก ฮ่า ๆๆๆ " พวกมดนั้นฟังเจ้าจิ้งหรีดพูดดูถูกและล้อเรียนจนเคยเสียแล้วแต่พวกมันก็ไม่ได้คิดโกรธ แถมยัง หยุดเดินและพูดเตือนเจ้าจิ้งหรีดด้วยอีกว่า " นี่ท่านจิ้งหรีด นี่ก็ใกล้จะถึงฤดูที่แห้งแล้วแล้วนะ ท่านได้เตรียมและหาเก็บสะสมสะเบียงอาหารไว้บ้างแล้วหรือยัง?? "

เมื่อย่างเข้าฤดูแล้ง แหล่งอาหารของมดและแมลงต่าง ๆก็เริ่มเหลือน้อยลงเข้าทุกที พื้นดินนั้นก็เริ่ม แตกระแหง ต้นไม้ที่ยืนต้นนั้นใบก็เริ่มเหี่ยวเฉาลง เจ้าจิ้งหรีดที่ชอบเอาแต่ความสบายและไม่เคยคิด ถึงกาลข้างหน้าสักนิดเลยนั้น เพราะมันมัวแต่เอาแต่ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุขมาตลอดไม่ได้คิด เตรียมตัวไว้รับสภาพที่แห้งแล้งหาของกินยากที่เยือนมาถึงนี้เลย มันจำต้องนั่งเอาใบไม้คลุมตัว ไว้ด้วยความหนาวและพร้อมกับความหิวโหยด้วยมันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว เรี่ยวแรงที่เคยมีก็ หมดไป มันจึงไม่สามารถที่จะบินไปหาแหล่งอาหารที่

แล้วในที่สุดฤดูหนาวก็มาเยือน หิมะเริ่มตกพรำลงมา เจ้าจิ้งหรีดหนาวสะท้านด้วยความหนาวและ หิวโหยเหลือเกิน....และเมื่อสิ้นไร้หนทางเข้า มันจึงเที่ยวคลานไปตามที่ต่าง ๆที่มีรังของพวกแมลง เพื่อหวังขอเศษอาหารจากพวกแมลงเหล่านั้นกินปะทังชีวิตของมัน มันคลานตะเวนไปเรื่อย ๆจน ร่างกายสกปรกมอมแมมไปหมดจนกระทั่งมันมาพบกับรังของพวกมดที่มันเคยพูดดูถูกและล้อเลียน เอาไว้อย่างมากมาย แต่เพราะความหิวและใกล้จะตาย มันพยายามรวบรวมพลังที่มีเหลืออยู่น้อยนิด นั้นเคาะประตูรังของพวกมดทันที "ก๊อก ๆๆ ได้โปรดเถิด นึกว่าสงสารแมลงด้วยกัน ช่วยแบ่งเศษอาหาร ให้ข้าปะทังความตายและความหิวสักนิดเถิดท่านมด "

 พวกมดจึงเปิดประตูให้แล้วพูดว่า " พวกเราจะแบ่งอาหารให้กับเจ้าก็ได้ แต่เจ้าจะต้องสำนึกผิดที่ ได้เคยพูดดูถูกและล้อเลียนพวกข้าเอาไว้เมื่อก่อนเสียก่อน " เจ้าจิ้งหรีดจึงพูดว่า " เจ้าไม้ต้องบอกให้ข้า สำนึกหรอก มดเอ๋ย...ข้ารู้ซึ้งและเข้าใจที่เจ้าบอกแล้วว่าความอดหยากและแล้นแค้นนั้นมันเป็นอย่าง ไร? เพราะกว่าจะหาข้าวได้สักเม็ด ผลไม้สักผล...นี่ถ้าข้าเชื่อพวกเจ้าเสียตั้งแต่แรก ป่านนี้คงตุนอาหารไว้ เต็มบ้าน ไม่ต้องมานั่งคลานอย่างกระเสือกกระสนและเที่ยวขอเขากินอย่างหรือยิ่งกว่าขอทานแบบนี้ ว่าแต่เจ้ามีข้าวสักเม็ดหรือปล่าวบริจาคให้ข้าสักหน่อยเถอะ " มดส่ายหัวอย่างอิดหนาระอาใจ แต่ก็กวักมือเรียกให้เข้ามาในรัง แล้วแบ่งข้าวให้จิ้งหรีดกินหลายเม็ด....

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
 รู้จักเก็บออม รู้จักวางแผน ให้ความสำคัญและรอบคอบ ก็จะมีกินมีใช้ ไม่ขาดมือและลำบาก
 และที่สำคัญ อย่านั่งรอฟ้าประทาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2007, 20:14 โดย sleepless » บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #10 เมื่อ: 09-06-2007, 22:13 »

ขอบคุณที่อุตส่าห์เป็นห่วงคนที่มีอันจะกินอย่างแถ เท่าที่อ่านๆ ดูคร่าวๆ
น่าจะมีความเชื่อเรื่องรัฐสวัสดิการมั่งนะ ในฐานะที่เป็นคนต้องดิ้นรนผ่อน
บ้านคงเข้าใจหัวอกคนอยากมีบ้าน ถ้ายอมรับในหลักการส่วนที่เป็นราย
ละเอียดบริหารจัดการก็ต้องว่ากันอีกที

รัฐบาลที่แล้วสร้างความแตกต่างคือเพิ่มโอกาสการเป็นเจ้าของบ้านให้แก่
ผู้มีรายได้น้อยมากกว่าที่ผ่านๆ มา แต่ก็มีวิธีจัดการเรื่องวงเงินกู้ซึ่งก็อาจ
ขัดความรู้สึกหลายคนจนโดนโจมตี เรื่องพวกนี้ไม่มีแนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จ
จะให้เก็บเงินก่อนค่อยซื้อก็จะเสียเงินไปกับค่าเช่าจนไม่มีปัญญาเก็บ จะให้
ผ่อนก่อนก็กลัวจะไม่มีปัญญาจ่ายคืน ถ้าอย่างแรกมันทำให้คนขาดแรงจูงใจ
ในการทำงาน ลองดูนโยบายอย่างหลัง ถ้ามีบ้านมีภาระมีการจัดการที่ดี จะ
ทำให้คนส่วนหนึ่ง(ซึ่งเป็นส่วนใหญ่หรือเปล่าไม่รู้) มาอยู่ในตารางความรับ
ผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว ไม่เอาเงินไปใช้ซี้ซั้วเพราะค่าผ่อนบ้านมัน
บังคับอยู่ ถ้าคนส่วนใหญ่รับผิดชอบงานดีวงรอบเศรษฐกิจมันก็จะลื่นไหล

ส่วนเรื่องราคาที่ดิน มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว จะป้อง
กันก็คงได้แค่ส่วนเดียว เพราะอย่างไรเสียก็ต้องพึ่งกลไกตลาดอยู่ดี อย่าง
ปัจจุบันมีภาษีธุรกิจเฉพาะ หรือค่าโอนที่แสนจะแพงก็ช่วยได้เยอะแล้ว
สำหรับการเก็งกำไร

เรื่องทักษิณคงไม่ห่วงหรอกเพราะเค้าวางมือไปแล้ว เงินก็เยอะปานนั้นคง
ไม่อยากหาเรื่องเข้าตัวอีก ถ้าเป็นคนทำธุรกิจน่าจะมองออกว่าทักษิณไม่
มีเหตุผลในการโกงเล็กโกงน้อยหรอก เพราะของที่ขายได้เงินมากที่สุดคือ
ความน่าเชื่อถือ มันจะดันราคาสินทรัพย์พุ่งทั้งประเทศซึ่งมากกว่าการโกง
เล็กโกงน้อยมากมายมหาศาล เสียเวลามากระจายรายได้เพื่อยกระดับประ
เทศขึ้นมาจากจีดีพี สู่ความเชื่อมั่นนักลงทุนและการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์
นั่นคงเป็นสิ่งที่ทักษิณต้องการ แต่ปัญหาที่แท้จริงคงไม่ได้อยู่ที่ตัวทักษิณ
อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองสู่การกระจายอำนาจต่างหาก ที่เป็นผล
จากการกระจายรายได้ ซึ่งกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังนโยบายเหล่านี้ก็พอมองออก
บ้างว่าเป็นใครต่อใครในพรรคไทยรักไทย เลยโดนสอยเรียบ เพราะคนที่มี
อำนาจแต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ต้องการให้การปกครองกลับไปสู่การ
รวมอำนาจศูนย์กลางมากกว่า เรื่องพวกนี้เห็นชัดจากการเปลี่ยนแปลงกฎ
หมาย ที่ล่าสุดก็เรื่องที่รมต.มหาดไทยจะหมกเม็ดอ่านจากมติชนได้ และ
นั่นคงเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการยึดอำนาจครั้งนี้ โดยอาศัยการกำจัดทัก
ษิณมาบังหน้า ที่แท้คือกลัวการเปลี่ยนแปลงเป็นกระจายอำนาจต่างหาก
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: