http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000057837หนังสือพิมพ์ประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2549 รอบเช้าทุกฉบับรายงานข่าวตรงกันว่ารักษาการรัฐมนตรี 2 คน และว่าที่ ส.ส. พรรคไทยรักไทย 2 คน ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะฟ้องคดีอาญาและจะถอดถอนตุลาการหากเพิกถอนการเลือกตั้ง
เป็นการให้สัมภาษณ์ที่มีลักษณะเป็นกระบวน เป็นระบบ รับลูกกันเป็นทอด ๆ ในลักษณะปฏิบัติตามใบสั่ง และส่อเจตนาว่าต้องการจะข่มขู่ศาลปกครองสูงสุด
เนื้อหาของการให้สัมภาษณ์ตรงกันทั้ง 4 คนว่า
"ศาลปกครองสูงสุดไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง" ข้อเท็จจริงยังอ่อนและไม่พอที่จะพิพากษาว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ หากศาลพิพากษาให้เป็นโมฆะก็จะฟ้องคดีอาญาต่อตุลาการที่ตัดสินคดี และจะดำเนินการขอถอดถอนออกจากตำแหน่ง
พอตกบ่ายวันที่ 2 พฤษภาคม 2549 แกนนำคนสำคัญของกลุ่มวังน้ำยมพรรคไทยรักไทยก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะข่มขู่อย่างเดียวกันซ้ำเข้าไปอีก
ทั้งหมดนี้คือการข่มขู่ไม่ให้ศาลตัดสินคดีว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และถ้าหากศาลตัดสินเช่นนั้นก็ข่มขู่ว่า
"จะถอดถอนศาลและฟ้องคดีอาญากับศาล" โอ้โห!นับแต่ตั้งประเทศไทยมาถึงวันนี้ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ใครไหนบังอาจกล้าข่มขู่ศาลโดยเปิดเผยต่อสาธารณะถึงขนาดนี้
ใน 5 ปีมานี้เหตุการณ์ข่มขู่ข้าราชการ ข่มขู่นักธุรกิจ ข่มขู่สื่อมวลชน ข่มขู่นักวิชาการ ข่มขู่ประชาชน แม้กระทั่งการข่มขู่ประธานองคมนตรี ได้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยที่คนกระทำความผิดเหล่านั้นไม่เคยถูกอำนาจกฎหมายเข้าไปแตะต้อง
มิหนำซ้ำอำนาจรัฐยังให้ท้ายให้การปกป้องคุ้มครองไม่ให้คนทำความผิดเหล่านั้นต้องรับโทษตามกฎหมาย
กลายเป็นว่าบ้านเมืองมีคนพวกหนึ่งอยู่เหนือกฎหมาย ทำอะไรกับใครก็ได้ตามใจชอบ แม้ขนาดกับประธานองคมนตรีก็ไม่ละเว้น แล้วประชาชนตาดำ ๆ จะมีอะไรเหลือหรือ?
ข่มขู่กันจนติดเป็นนิสัยในกมลสันดาน และได้ใจแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งบังอาจกล้าข่มขู่ศาลปกครองสูงสุดโดยทางสาธารณะในลักษณะเช่นนี้
คนเหล่านี้ย่อมรู้และย่อมได้ยินได้ฟังได้อ่านกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 เป็นอย่างดีเช่นเดียวกับคนไทยทุกคนอยู่แล้ว
ย่อมทราบว่าพระองค์ได้ตรัสว่าการเลือกตั้งพรรคเดียว คนเดียว ไม่ใช่ประชาธิปไตย การยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใน 30 วัน เป็นโมฆะหรือไม่ และทรงตรัสถึงระดับของวิกฤตว่าเวลานี้วิกฤตที่สุดในโลก
จึงทรงขอร้องให้ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมกันแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองในครั้งนี้
ซึ่งก็คือการเสนอให้อำนาจตุลาการซึ่งเป็นอธิปไตยอันศักดิ์สิทธิ์ของปวงชน 1 ใน 3 อำนาจ ได้มามีส่วนในการแก้ไขปัญหาของชาติ และเป็นการเสนอในลักษณะที่ทรงขอร้องอย่างชัดเจน
ถึงเพียงนี้แล้วควรจะน้อมรับกระแสพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อมด้วยความจงรักภักดี
อีกสถานหนึ่ง เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับคดีเพิกถอนการเลือกตั้งไว้พิจารณาแล้ว คดีเพิกถอนการเลือกตั้งนั้นย่อมอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด
และนับแต่บัดนั้นใครใดจะจูงใจหรือข่มขู่ศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้การพิจารณาเบี่ยงเบนไปจากความยุติธรรมและกฎหมาย ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
และศาลปกครองสูงสุดย่อมมีอำนาจที่จะหมายเรียกผู้ละเมิดอำนาจศาลนั้นมาทำการไต่สวน และมีคำสั่งลงโทษจำคุกได้ไม่เกิน 6 เดือน และหากเป็นคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดแล้วคำสั่งนั้นย่อมเป็นที่สุด และผู้นั้นย่อมต้องติดคุกติดตะรางตามกฎหมายบ้านเมือง
คนพวกนี้ข่มขู่ผู้คนเป็นอาจินต์จนติดเป็นนิสัย ฮึกเหิมว่ามีอำนาจรัฐปกป้องคุ้มครอง จึงเหลิงระเริงในอำนาจ บังอาจข่มขู่ได้แม้กระทั่งศาลปกครองสูงสุด
เนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์ทั้งหมดนั้นเป็นการข่มขู่ศาลปกครองสูงสุดอย่างชัดแจ้ง เป็นการข่มขู่ด้วยความเคยชินเป็นนิสัย
โดยลืมไปว่าการข่มขู่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการข่มขู่ประชาชนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการข่มขู่ศาลปกครองสูงสุดซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ และตามที่พระมหากษัตริย์ทรงขอร้องด้วยพระองค์เอง
บ้านเมืองมีขื่อมีแปและยังมีศาลเป็นที่พึ่ง คนทั้งหลายย่อมหวังในความยุติธรรมของศาลเป็นที่ตั้ง และศาลนั้นก็มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในอำนาจตุลาการ และกระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
หากปล่อยให้คนพวกนี้ข่มขู่ศาลได้ บ้านเมืองก็จะไม่มีอะไรเหลือ คนชั่วก็จะฮึกเหิมในอำนาจ ข่มเหงประชาชนหนักข้อกว่าเก่าเป็นอันมาก
จึงได้แต่หวังให้ศาลปกครองสูงสุดได้สำแดงอำนาจแห่งความยุติธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของศาลที่ทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ให้ประจักษ์ โดยการหมายเรียกผู้ที่ล่วงละเมิดอำนาจศาลมาพิจารณา หากเป็นความผิดศาลย่อมมีอำนาจสั่งจำคุกไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไปได้ทันที และเป็นที่สุดด้วย.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000057837[/color][/color]