สืบเนื่องจากบทความนี้ เลยอดที่จะรบกวนท่านๆ ไม่ได้ว่า
มีความคิดเห็นอย่างไร
---------------------------------------------------------------------------------------
แม้วเดิมพันสุดท้าย'บุญรอด'แฉส่งสัญญาณสมุนระดมมวลชนสู้
21 พฤษภาคม 2550 กองบรรณาธิการ
"บุญรอด" แฉไทยรักไทยเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่หลังได้รับสัญญาณจาก "ทักษิณ" สั่งสู้ครั้งสุดท้ายหนีคดียุบพรรค-คดีทุจริต เตือนหน้าเหลี่ยมไม่ปล่อยวางยิ่งเป็นทุกข์ รับบ้านเมืองวุ่นวายใช้แน่
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่หากจะปฏิวัติซ้ำต้องดูสัญญาณนายกฯ ชิงออก "สนธิ" มั่นใจไร้เหตุรุนแรง เชื่อหลังตัดสินคดียุบพรรคทุกอย่างจบ เตมูจินอ้างข้อมูล "แม้ว" เข้าไทยด้านเชียงแสน 29 พ.ค.ปลุกสมุนฮือ "พัลลภ" ออกตัวไม่ใช้ม็อบชนม็อบ
พลเอกบุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาอธิบายเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ต่อคำเตือนสถานการณ์การเมืองที่อาจย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน 2549 หากต่างฝ่ายยังพยายามจะเอาชนะคะคานกันอยู่ ว่าคงเข้าใจดีก่อนเกิดเหตุ 19 กันยา 49 ได้มีมวลชนมาเผชิญหน้ากัน ทั้งฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อต้าน ซึ่งจะแตกหักกัน จึงมีเหตุการณ์ปฏิรูปการปกครองขึ้นมา
"ผมต้องการบอกสื่อว่าไม่อยากให้มาเผชิญหน้ากันเพราะจะทำให้วุ่นวาย หากแก้ไขปัญหาไม่ได้ก็จะออกมาลักษณะ 19 กันยายน ซึ่งปัจจุบันทราบว่าทุกคนก็ไม่พึงปรารถนา ขณะนี้บ้านเมืองกำลังเดินไปด้วยดี รัฐธรรมนูญกำลังจะคลอดออกมา จะมีการเลือกตั้งอีกไม่นานเกินรอ คือในปลายปีนี้แน่นอน ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็พยายามย้ำออกมา ดังนั้น ขอให้ทุกคนมีสติวิจารณญาณในการออกมาเคลื่อนไหว"
รมว.กลาโหมกล่าวว่า ตนทราบว่าทางกลุ่มพรรคไทยรักไทยยังไงก็ต้องเคลื่อนไหวแน่ เพราะไม่ว่าจะเป็นการตัดสินคดียุบพรรค คดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะขึ้นสู่ศาลในเร็วๆ นี้ จะทำให้ส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณพยายามที่จะสู้ เมื่อท่านสู้ก็หมายถึงการส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ในเมืองไทย ผู้นำมวลชน และแกนนำต่างๆ ที่มีมวลชนออกมาต่อสู้ ขณะนี้จึงออกมาสอดคล้องประสานกัน ดังนั้น เหตุการณ์มันจะเป็นอย่างไร
"เมื่อเหตุผลครั้งที่แล้วคือการไล่ระบบนี้ ดังนั้น มาถึงวันนี้จะมาเรียกร้องให้ระบบนี้ยังอยู่ไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินของศาลและต้องเคารพ" พล.อ.บุญรอดกล่าว
พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า อยากให้ทุกคนเคารพการตัดสินของศาล ยอมรับและหาทางดำเนินกิจการทางการเมืองในอนาคตอย่างสันติวิธี ไม่ใช่ออกมาวุ่นวายกันอีก เดี๋ยวสิ่งที่ตั้งเป้าว่าจะมีการเลือกตั้งปลายปีนี้อาจต้องเลื่อนออกไป แต่ตนไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนั้น อยากชี้ให้ดูว่าไม่อยากให้เห็นเช่นนั้นก็ขอให้อยู่ในความสงบ ออกมาเคลื่อนไหวก็ขอให้เคลื่อนไหวในความสงบ ไม่ใช่ออกมาผสมโรงกันเยอะ และมีบางพวกบางฝ่ายที่จะก่อความวุ่นวาย ซึ่งต้องจับตากันดู
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร เป็นการสู้ตายเพื่อปกป้องทรัพย์สินและลูกเมียใช่หรือไม่ พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดสู้ตาย เมื่อเขามีศักยภาพ เขามีเงินและมีมวลชนอยู่เขาก็ดิ้น ไม่ใช่ดิ้นเพื่อกลับมาอะไร แต่ดิ้นเพื่อไม่ให้เจอเรื่องนี้ ซึ่งเขารู้ว่าใช้วิธีธรรมดาแล้วยังไงศาลก็ต้องออกมา เมื่อออกมาในสิ่งที่เขาคาดว่าจะไม่ได้รับความถูกต้อง
"เขากังวลไปเอง ซึ่งขึ้นอยู่กับศาล ดังนั้น หากเขาสามารถเคลื่อนไหวกดดันเพื่อให้มีผลต่อคดีก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขา ขณะนี้มองภาพว่ายิ่งดิ้นยิ่งเป็นทุกข์ หากไม่ปล่อยวางก็เป็นทุกข์ หากรู้จักปล่อยวางและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าศาลจะพิจารณาอย่างไร เพราะทุกอย่างต้องสู้กันในศาลอยู่แล้ว อย่างที่บอกยิ่งเคลื่อนไหวเขายิ่งเป็นทุกข์ หากปล่อยวางก็ไม่มีอะไร ไม่มีใครไปจองกรรมจองเวร แต่หากทำอย่างนี้มองว่ายิ่งลำบาก"
รมว.กลาโหมชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณควรหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่นอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคนที่ถูกปลดและยอมรับสภาพ เมื่อถูกปลดก็ไม่มีศักยภาพ จะไปอยู่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ ไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก แต่นี่ยังไม่ใช่โดยสิ้นเชิง ขบวนการต่างๆ ขึ้นอยู่กับทางศาลอยู่ เขาไม่ยอมรับสภาพ ทำใจไม่ได้ ก็ต้องเคลื่อนไหวทุกทางที่อาจจะมีโอกาสบ้าง หรืออาจทำให้เปลี่ยนอะไรต่างๆ ได้
"เขาพยายามดึงมวลชนของเขาเพราะเขาคิดว่าเขาทำได้ ซึ่งกระแสมวลชนเขาเป็นกระแสที่ไม่ปกติ ไม่มีอุดมการณ์อะไร แต่เป็นกระแสที่ต้องใช้เงิน" พล.อ.บุญรอดกล่าว และว่าเหตุการณ์ช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมจะมีความรุนแรงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ว่ามวลชนจะออกมามากหรือไม่ แต่เชื่อว่าประชาชนมีสติปัญญา เลือกได้ว่าอะไรควรไม่ควร มวลชนคิดถูกจะต้องรู้ว่าบ้านเมืองกำลังจะเดินทางไปในทางที่ถูกต้อง อดทนอีกนิดเดียว ส่วนความกังวลว่าจะเกิดปฏิวัติซ้ำนั้น ตนเห็นว่าปัญหาการเมืองต้องแก้ไขกันทีละขั้นทีละตอน การใช้กำลังทหารเป็นการใช้ครั้งสุดท้าย เราไม่อยากจะใช้อยู่แล้ว แต่หากถามว่าจะใช้หรือไม่ต้องไปถาม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เชื่อว่าท่านก็ไม่อยากจะใช้ถ้าไม่จำเป็น อย่างเหตุการณ์ 19 กันยายน ก็มีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องใช้
รมว.กลาโหมปฏิเสธว่า คมช.กับรัฐบาลมิได้แตกแยกกันดังที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต รัฐบาลบริหารประเทศไป ฝ่าย คมช.ก็ดูแลความมั่นคงไป เราตกลงกันอย่างนี้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่าหากมีการปฏิวัติซ้ำก็ต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ถูกต้อง นายกฯ จึงบอกว่าถึงจุดนั้นก็ให้แก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมืองไว้ก่อน หมายถึงท่านก็ต้องลาออกก่อน ไม่ใช่ปฏิวัติตูมทีเดียว มันเป็นสเต็ปๆ ไป แต่ตราบใดที่ยังแก้ปัญหาได้ ท่านก็ไม่ลาออก ท่านก็อยู่จนครบเทอม
พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า เหตุการณ์ช่วงสิ้นเดือน พ.ค.ที่อาจบานปลาย คมช.บอกแล้วว่าจะใช้วิธีจากน้อยไปหามาก ตอนนี้ตำรวจก็บอกว่าสามารถควบคุมได้หากอยู่ในกติกาในกรอบกฎหมาย แต่หากคุมสถานการณ์ไม่ได้ก็เป็นขั้นตอนที่ทหารต้องออกมาดำเนินการ ซึ่งครั้งที่แล้ว คมช.เสนอให้รัฐบาลใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลเห็นว่ายังไม่มีความวุ่นวายจึงยังไม่ใช้ ครั้งนี้หากวุ่นวายก็ต้องใช้เพื่อควบคุมให้เกิดความสงบ
"ไม่มีทางๆ" พล.อ.บุญรอดกล่าวถึงข่าวนายกฯ จะปลด ผบ.ทบ. "ก็เหมือนกับที่ไม่มีทางที่ประธาน คมช.จะปลดนายกรัฐมนตรี เพราะร่วมเป็นร่วมตายกันมา เราไม่ทำเด็ดขาด"
อย่างไรก็ตาม รมว.กลาโหมกล่าวเป็นนัยว่า คมช.กับรัฐบาลอาจไม่ไปพร้อมกัน หากเป็นภาวะปกติไม่มีอะไรเลยก็ต้องไปพร้อมกัน เราก็หวังว่าอย่างนั้น แต่มันยังมีระเบิดกลางทางอีกหลายลูก ดังนั้นบอกไม่ได้ แต่ความตั้งใจของรัฐบาลต้องการไปให้ถึงจุดนั้น แต่ความมั่นคง คมช.ยังรับประกัน 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ละครั้งว่าเป็นอย่างไร
ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า การที่ รมว.กลาโหม ออกมาขู่จะมีปฏิวัติซ้ำหากเกิดเหตุการณ์วุ่นวายในช่วงปลายเดือนนี้ สะท้อนถึงอิทธิฤทธิ์ของเผด็จการที่คิดว่าการรัฐประหารสามารถทำได้ตามอำเภอใจ ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายของบ้านเมืองเพราะเหตุการณ์ 19 ก.ย.49 ทำให้ประเทศเสียหายยับเยินมาจนถึงตอนนี้
"รัฐมนตรีบางคนที่ออกมาพูดแบบนี้ได้อย่างไม่สะทกสะท้านนั้น มันเกินกว่าที่พรรคจะอธิบายให้คนพวกนี้เข้าใจ หากไม่เชื่อว่านรกมีจริงก็แล้วแต่จะคิด เพราะทุกวันนี้บ้านเมืองเสียหายมาก หากเกิดการรัฐประหารซ้ำอีก บ้านเมืองจะเสียหายไปมากกว่านี้ และประชาชนคงไม่ยอมให้กระทำได้ตามอำเภอใจ คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้บังเอิญเป็นคนเดียวกันกับที่เคยพูดว่าอยากเห็นพรรคโดนยุบ มันเห็นได้ชัดเจนว่า ความคิดด้านทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามของฝ่ายที่มีอำนาจในปัจจุบันยังมีอยู่และเห็นได้ชัดเจน"
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวว่า ตนมั่นใจจะไม่มีการปะทะกันของคน 2 ฝ่ายอันเนื่องมาจากการตัดสินคดียุบพรรค ส่วนตัวไม่ได้กังวลอะไรและไม่เชื่อกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับเข้าประเทศก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรค
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตัดสินคดียุบพรรคจะเป็นชนวนให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า "ยิ่งตรงกันข้ามเลย"
วันเดียวกัน นายชนาพัทธ์ ณ นคร แกนนำเครือข่ายเตมูจิน แถลงที่โรงแรมดุสิตพาเลส ว่าสายข่าวของเครือข่ายที่อยู่ในพรรคไทยรักไทยทางภาคเหนือรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางกลับมายังประเทศไทย โดยใช้เส้นทางผ่านประเทศพม่าเข้ามาตรงพื้นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ โดยมีคณะของนายยงยุทธ ติยะไพรัช และนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยรอรับ ทั้งนี้ทราบอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีแผนจะเปิดแถลงข่าวในวันเดียวกัน แล้วเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ อย่างเปิดเผย โดยอ้างว่ามาสู้คดี ยินยอมให้รัฐบาลและ คมช.จับกุมก็เพื่อหวังสร้างกระแสมวลชน พลิกสถานการณ์ทางการเมือง เหตุผลหลักในการเดินทางกลับมาในช่วงเวลาดังกล่าว ก็เพื่อปกป้องพรรคไทยรักไทยไม่ให้ถูกยุบพรรค เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพวก ลงทุนสร้างกันมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล
นายชนาพัทธ์กล่าวว่า ขณะนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มอำนาจเก่าได้เตรียมแจกเอกสารต่อต้านรัฐบาลที่สำเนาจากเว็บไซต์ ไฮ-ทักษิณดอตคอม และเอกสารโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่สำเนาจากเว็บไซต์คนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ และเว็บไซต์ประชาไท เพื่อสนับสนุนการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่ารายงานข่าวนี้มีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน นายชนาพัทธ์กล่าวว่า ขอยืนยันเป็นข้อเท็จจริง ที่ออกมาเปิดเผยครั้งนี้ก็เพื่อให้นายกรัฐมนตรีเตรียมการป้องกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะมาสร้างกระแสและทำลายชื่อเสียงประเทศ
มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากกลุ่มอำนาจเก่าในช่วงเย็น เมื่อกลุ่มพีทีวีจัดการชุมนุมอีกครั้งที่สนามหลวง แกนนำประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจักรภพ เพ็ญแข และนายก่อแก้ว พิกุลทอง โดยมีประชาชนสนใจฟังกว่าพันคน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนาย มีการตั้งแผงเหล็กกันบริเวณการชุมนุมและตรวจค้นสัมภาระอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักศึกษาสวมเสื้อยืดสีดำรวมกลุ่มอยู่ในผู้ชุมนุมหลายร้อยคน
นายวีระกล่าวว่า หัวใจของการชุมนุมคือโค่นล้มเผด็จการ แต่การสื่อสารไปถึงประชาชนได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น จึงได้ผลิตนิตยสารรายสัปดาห์ ชื่อ "มหาประชาชน" เพื่อให้ข้อมูลไปถึงประชาชนทุกกลุ่ม
ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวถึงกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ จะลักลอบเข้าประเทศไทยในวันที่ 29 พ.ค.นี้ว่า ไม่มีมูลความจริง และไม่มีเหตุผลใดที่อดีตนายกรัฐมนตรีจะลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งหากจะกลับเข้าประเทศจริงนั้นก็ต้องเดินทางมาด้วยสายการบิน และต้องมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น อย่างไรก็ตามได้ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องเดินทางกลับประเทศ เพื่อต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นวันใดต้องอยู่ที่อัยการสูงสุดจะยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณต่อศาลอาญาเมื่อใด
เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมพีทีวี พ.ต.ท.ทักษิณทราบข่าวและได้โทรศัพท์มาให้กำลังใจหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า คาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ติดตามผ่านสื่อต่างๆ โดยตลอด แต่ไม่ได้โทรศัพท์สอบถามหรือให้กำลังใจแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณต่อสายโทรศัพท์มายังวิทยุชุมชนต่างๆ นั้น ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ทำได้ คมช.ไม่มีสิทธิ์ห้ามหรือฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะการที่อดีตนายกรัฐมนตรีถูกรังแกด้วยความไม่ยุติธรรม ก็ต้องใช้สิทธิ์ตอบโต้บ้าง
การชุมนุมของพีทีวีครั้งนี้ นอกจากจะมีผู้ร่วมชุมนุมหนาตากว่าทุกครั้ง ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งสวมเสื้อยืดคอปกสีขาว มีข้อความ "ชมรมคนรักอุดร" โพกผ้ามีข้อความ "พีทีวีต้านรัฐประหาร"
ระหว่างนั้น นายวีระ มุสิกพงศ์ ที่ปราศรัยบนเวทีได้อ้างว่า ต่อสายกับคนไทยในประเทศออสเตรเลียกล่าวโจมตี คมช.อย่างรุนแรง
เวลา 20.00 น. แกนนำพีทีวีได้ตั้งขบวนเคลื่อนย้ายประชาชนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการตะโกน "คมช.ออกไป" เป็นระยะ ซึ่งแกนนำพีทีวีประกาศว่านี่เป็นแค่ซ้อม ของจริงจะอยู่ในวันที่ 31 พ.ค.นี้
ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษาผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ที่ปรึกษา ผอ.รมน.) เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเครือข่ายประชาชนมีส่วนร่วม (ปชร.) 50 สำนักงานเขต กทม. โดยมีมวลชน กอ.รมน. ระดับกลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มศาสนา ที่เป็นสมาชิกของแต่ละเขตเข้าร่วมรับฟังโครงการกว่า 200 คน
พล.อ.พัลลภกล่าวตอนหนึ่งว่า ผอ.รมน.ให้ตนดูแลมวลชนทั่วประเทศ วันนี้ประเทศอยู่ในภาวะไม่ปกติ มีการแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงผลประโยชน์ มีคนพยายามสร้างมวลชนขึ้นมาในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดีต่อประเทศ จึงขอฝากให้แต่ละคนไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ว่าเหตุใดทหารจึงจำเป็นต้องยึดอำนาจ
ที่ปรึกษา ผอ.รมน.ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ตนไม่มีแนวคิดเอามวลชนมาปะทะมวลชน ปฏิบัติการต่อกลุ่มม็อบหรือมวลชนที่ออกมา มีทางเดียวคือพยายามดึงคนที่จะออกมาให้เหลือน้อยที่สุด หลายคนมองว่าที่บอกมีมวลชนตั้งไว้กว่า 7 แสน ทุกคนมองว่าตนจะเอามวลชนเหล่านี้มาปะทะมวลชน ซึ่งไม่เคยอยู่ในแนวความคิด วันนี้จะใช้มวลชนจัดตั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดยึดติดพื้นที่ แล้วทำความเข้าใจต่อผู้ไม่เข้าใจ เพื่อให้เขาเข้าใจและเดินทางเข้ามาน้อยที่สุด เชื่อว่าหากมวลชนมีจำนวนน้อยไม่ถึงระดับ 5 หมื่นถึงแสนคน ปัญหาจะไม่มี
เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่าร้อยละ 79.4 วิตกกังวลต่อเหตุการณ์ทางการเมือง ร้อยละ 73.6 เบื่อหน่ายเรื่องการเมือง ทั้งนี้ ประชาชนเกือบทั้งหมดหรือร้อยละ 96.3 อยากเห็นสังคมสงบสุขโดยเร็ว
ด้านภาพรวมเศรษฐกิจ ประชาชนร้อยละ 80.6 มองภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทยในขณะนี้อยู่ในทิศทางที่แย่ โดยประชาชนร้อยละ 67.0 ระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจภายในบ้านของตนอยู่ในระดับที่แย่ กระนั้นก็ตามประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.6 ยังเห็นว่าควรให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อไป นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า กระแสข่าวที่ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. มีความขัดแย้งกันนั้น ตนคิดว่าคงไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่อาจมีมุมมองไม่ตรงกันบางเรื่องมากกว่า เช่น เรื่องแนวคิดจัดการกลุ่มอำนาจเก่า เรื่องความมั่นคง จึงทำให้ยุทธศาสตร์ที่จะจัดการกับกลุ่มอำนาจเก่าไม่ค่อยตรงกัน ทำให้ภาพที่ออกมาดูเหมือนว่ามีปัญหาแต่คงไม่ถึงขั้นแตกแยกและเกาเหลากัน
เขากล่าวว่าที่มีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.สุรยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง มีคำถามว่าแล้วจะหาใครมาแทน แต่ก็เห็นด้วยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ควรลงไปคลุกกับปัญหามากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกมองว่าเฉื่อยชาในการทำงาน
ด้านคดีพบวัตถุระเบิดในห้องพักอพาร์ตเมนต์ศรีบุญเรือง ซอยจรัญสนิทวงศ์ 53 พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า จนถึงขณะนี้นายสมพงษ์ อินทร์งาม หรือโจ้ หลานชายนายเพียร ยงหนู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เจ้าของห้องพัก ยังไม่ยอมเข้ามอบตัว มีแต่การให้สัมภาษณ์ของนายเพียรว่า พยายามติดต่อนายสมพงษ์เพื่อเข้าให้ข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอเตือนว่านายสมพงษ์ควรเข้ามามามอบตัวกับพนักงานสอบสวน อย่าคิดหลบซ่อนตัวอยู่เลย ตำรวจพร้อมให้ความเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน
ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า พนักงานสอบสวนตำรวจนครบาลได้ออกหมายเรียกนายสมพงษ์ไปแล้ว และกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งวัตถุพยานและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ การดำเนินคดีอาญายุติไม่ได้ การหลบหนีของผู้ถูกกล่าวหาจะนำไปสู่ขบวนการออกหมายจับ
พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา ผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ (ผบช.สนว.ตร.) กล่าวว่า ยังไม่สามารถสรุปผลตรวจพิสูจน์พยานวัตถุภายในห้องพักของนายสมพงษ์ได้ ว่าลายนิ้วมือที่พบเป็นของบุคคลใด เนื่องจากต้องรอให้นายสมพงษ์ที่เป็นผู้ต้องสงสัยเข้ามอบตัวก่อน และนำลายนิ้วมือของนายสมพงษ์มาตรวจเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือที่พบดังกล่าวอีกครั้ง ก่อนส่งผลตรวจให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล.