กาลามชน
|
|
« เมื่อ: 30-04-2007, 11:37 » |
|
ไทยรัฐ [30 เม.ย.2550] เมื่อวันที่ 29 เม.ย. นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ คตส. ได้สรุปประมวลความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปเพื่อให้กรมสรรพากรพิจารณาเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมกว่า 2 หมื่นล้าน ว่าทางทีมทนายความเห็นว่า คตส.ได้ประเมินภาษีโดยไม่ยึดหลักกฎหมายและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง นักกฎหมายด้านภาษีเขาก็ไม่เห็นด้วยทั้งนั้น หาก คตส.พิจารณาเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศแน่นอน เขาจะมองว่าประเทศไทยวินิจฉัยคดีภาษีโดยไม่ยึดบรรทัดฐานที่ถูกต้อง เพียงเพราะ คตส.ต้องการให้ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณต้องเสียภาษี เพื่อตอบโจทย์การเมืองตามเหตุผลการปฏิวัติยึดอำนาจ หวังว่ากรมสรรพากรจะไม่หลงกล และยึดมั่นในหลักกฎหมาย ขณะนี้ทีมกฎหมายของตระกูลชินวัตรกำลังดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับ คตส. ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กลั่นแกล้งครอบครัวชินวัตรอย่างไม่เป็นธรรมในเร็วๆนี้ เรายินดีรับคำท้าของนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. แน่นอน และยืนยันว่าเมื่อคดีต่างๆขึ้นสู่ศาล พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อใช้สิทธิแก้ต่างข้อกล่าวหาตามคำสั่งศาล ไม่ใช่ว่ามีคดีจะสรุปหลายคดีแล้วจะไม่เดินทางกลับมาเหมือนที่นายกฯพูด แจงยิบ คตส.บิดเบือนรีดภาษี นายนพดลกล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่ คตส.ถือว่าบริษัทแอมเพิลริชฯได้รับเงินปันผลจากการถือหุ้นชินคอร์ป 329.2 ล้านหุ้นทุกปี รวมเป็นเงินได้ไปถึงปี 2546 เป็นเงิน 1.77 พันล้านบาท ซึ่ง คตส.ถือว่าการได้รับเงินปันผลถือเป็นการประกอบการในประเทศไทยต้องเสียภาษี 30% โดยบริษัทแอมเพิลริชฯยังไม่ได้ยื่นชำระภาษีในส่วนนี้นั้น เป็นการพิจารณาไม่ตรงตามข้อเท็จจริง เป็นความคิดที่ผิดไปจากแนวปฏิบัติของกรมสรรพากรที่ผ่านมา และแนวคิดนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อบริษัทโฮลดิ้ง คัมปานี ซึ่งเป็นบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาถือหุ้นเพียงอย่างเดียวเพื่อหวังเงินปันผล ปัจจุบันจะเสียภาษีจากเงินปันผลตาม ม.70 เช่นเดียวกับแอมเพิลริชฯ และเงินปันผลที่จ่ายตามมติที่ประชุมใหญ่ของบริษัทชินคอร์ปเป็นอัตราร้อยละตามจำนวนหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป ไม่ใช่เป็นการจ่ายเงินกำไรหรือจำหน่ายกำไรตามที่ คตส.ได้บิดเบือน กรณีนี้จึงไม่ได้มีภาระภาษีตาม ม.70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ยันแอมเพิลริชไม่มีภาระภาษี นายนพดลกล่าวว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลรัษฎากร บริษัทแอมเพิลริชฯไม่ได้เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย แต่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ประกอบกิจการลงทุน มีรายได้จากเงินปันผลที่ได้รับจากการถือหุ้นชินคอร์ป บริษัท ชินคอร์ปผู้จ่ายเงินปันผลมีหน้าที่ต้องหักภาษีและนำส่งเงินที่หักต่อกรมสรรพากร ตาม ม.70 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะเข้าลักษณะบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ไม่ได้ประกอบกิจการในไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมิน ตาม ม.40 (4) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร การเสียภาษีเงินปันผลดังกล่าว แอมเพิลริชฯจะเสียภาษีโดยวิธีการหักภาษีและนำส่งเงินตาม ม.70 เท่านั้น ไม่อยู่ในบังคับต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 หรือ 51 แต่อย่างใด เพราะไม่เข้าข่ายตาม ม.65, 66, 68, 68 ทวิ 69 และ ม.67 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร ย้ำ โอ๊ค-เอม มีหลักฐานซื้อหุ้น เมื่อถามว่า ทาง คตส.ถือว่าการขายหุ้นแอมเพิลริชฯให้กับนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา และบุคคลทั้งสองได้นำหุ้นไปขายต่อให้กับกลุ่มเทมาเสกเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทย เข้าหลักเกณฑ์ตาม ม.76 ทวิ นายนพดลกล่าวว่า เนื่องจากนายพานทองแท้และ น.ส. พิณทองทา มีภูมิลำเนาในประเทศไทยก่อนการจัดตั้งบริษัทแอมเพิลริชฯ เป็นการอยู่อาศัยเพื่อตนเองเหมือนอย่างคนไทยทั่วไป ในเรื่องการประกอบกิจการของบริษัทแอมเพิลริชฯ เป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรจากการถือหุ้นชินคอร์ป หรือจากการถือหุ้นชินคอร์ป ไม่ได้เป็นการประกอบกิจการในประเทศไทย เพราะการดำเนินการซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้นั้นเกิดขึ้นในต่างประเทศ บุคคลทั้งสองมีหลักฐานการติดต่อ เจรจาทำสัญญาซื้อขาย การจ่ายเงิน การเดินทาง ล้วนเกิดขึ้นในต่างประเทศทั้งสิ้น การแจ้งการโอนต่อนายทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ไม่ถือว่าเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย เพราะเหตุที่ทำให้ได้รับเงินได้เกิดในต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว การที่ คตส.วินิจฉัยว่าการขายหุ้นของบริษัทแอมเพิลริชฯ ซึ่งมีกรรมการอยู่ในประเทศไทยเข้าหลักเกณฑ์ ตาม ม.76 ทวิ อาจมีผลกระทบต่อบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยในกระดานต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้ในไทยโดยต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 และ 51 ในสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ทั้งที่ปัจจุบันการเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทต่างประเทศไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว เตรียมอุทธรณ์ขอทุเลาเสียภาษี เมื่อถามอีกว่า ก่อนหน้านี้ คตส.ได้วินิจฉัยเสนอให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาไปแล้วเป็นเงิน 5.6 พันล้าน เพราะเห็นว่าเป็นการขายหุ้นจากแอมเพิลริชฯให้บุคคลทั้ง 2 ในราคา หุ้นละ 1 บาท แล้วทั้ง 2 นำไปขายต่อให้กลุ่มเทมาเสกในราคาหุ้นละ 49.25 บาท นายนพดลตอบว่า ปัจจุบันกรมสรรพากรยังไม่ได้มีการประเมินภาษีนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาตามที่ คตส.กล่าวอ้างแต่อย่างใด หากกรรมสรรพากรได้ประเมินภาษีแล้ว บุคคลทั้ง 2 จะได้วางเงินประกันและจะยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรและตามกระบวน การยุติธรรมต่อไป การที่ คตส.อ้างว่าได้ตรวจสอบวินิจฉัยเรียกเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว คตส.ไม่ได้บอกเลยว่าบุคคลทั้ง 2 มีเงินได้พึงประเมินประเภทใด ไม่ว่า ม.40 (2) ม.40 (8 ) หรือ ม.40 (1) ถึง (8 ) ต้องเสียภาษีตามมาตราอะไร เป็นเรื่องผิดปกติว่า คตส.อาจไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ คตส.ได้ทำได้ คิดเก็บภาษีจากนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาถูก ต้องหรือไม่ ฉะจอมมั่ว เก็บภาษีทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขาย การดำเนินการของ คตส.ที่ผ่านมา เป็นเพียงการจับประเด็นในคำให้การของผู้เกี่ยวข้องทุกคนแล้วคิดเอาเองว่าการกระทำของทุกคนที่ไปให้การต่อ คตส.ต้องมีเงินได้ ต้องเสียภาษี โดยไม่ใส่ใจต่อระบบทฤษฎีการจัดเก็บภาษี และมูลค่าการจัดเก็บภาษีตามที่ คตส.โฆษณาเก็บเกินที่บริษัทแอมเพิลริชฯได้รับเงินได้จริงเสียอีก ทั้งที่เป็นเงินได้ก้อนเดียวกัน แต่จัดเก็บทั้งผู้ขายคือบริษัทแอมเพิลริชฯและผู้ซื้อคือนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=45383
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2007, 11:40 โดย กาลามชน »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 30-04-2007, 11:40 » |
|
อย่างนี้สิ ถึงจะสนุก ไม่ใช่เที่ยวไปจ้างล๊อบบี้ยีสต์ ถล่มชาติกำเนิดของตัวเอง..........
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 30-04-2007, 11:43 » |
|
อย่างนี้สิ ถึงจะสนุก ไม่ใช่เที่ยวไปจ้างล๊อบบี้ยีสต์ ถล่มชาติกำเนิดของตัวเอง..........
อย่างนี้สิ ถึงจะเป็นคุณกาลามชน คนเดิม คนรักเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก...........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
โฟร์
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 30-04-2007, 11:47 » |
|
สนุกดี ดีกว่าตั้งม็อบมาชนม็อบ เเล้วพอเเบ่งผลโยชน์ได้ลงตัว ก็ดูดปากกันเหมือนเดิม ปล่อยให้ลิ่วล่อฝันค้าง
ห้ำหั่นกันเข้าไป ประเทศยังชิบหายไม่พอหรอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 30-04-2007, 12:55 » |
|
แฉแก๊งต่างชาติโจมตีรัฐ-คมช.
วันเดียวกัน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เหรัญญิกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขณะนี้ในต่างประเทศมีขบวนการเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลไทย และ คมช. แบ่งเป็น 3กลุ่ม คือ 1. บริษัทเอเดอร์แมน ที่เป็นบริษัทประชาสัมพันธ์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้ว่าจ้างเมื่อเดือน ม.ค. 2550 ให้ทำงานและสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะคนธรรมดาที่ต้องการกลับประเทศไทย 2. นายเคน เอเดอร์แมน ที่เป็นกรรมการบริหารของบริษัทอีเดอร์แมน และยังเป็นเอ็นจีโอขององค์กรยูเอสเอ อินโนเวชั่น และยังทำงานให้กับรัฐบาลของสหรัฐฯ และ 3. องค์กรยูเอสเอ อินโนเวชั่น โดยทั้ง 3 กลุ่มน่าสงสัยที่มีความเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน โดยเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2550 นายเคน เอเดอร์แมน ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ โจมตีรัฐบาลไทย มีเนื้อหาที่พูดถึงสิทธิเหนือสิทธิบัตรยารักษาโรคเอดส์ ที่รัฐบาลไทยมีปัญหากับบริษัทแอ๊บบอต ผู้ผลิตยารักษาโรคเอดส์ และนายเคนยังเคยเขียนไว้เมื่อเดือน ก.ย. 2549 ลงหนังสือพิมพ์วอชิงตันว่า Thailand democratically goverment เป็นการย้ำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกปฏิวัติ และที่น่าสนใจคือ ขณะที่นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งใช้คำว่า was depost ถือเป็นคำเดียวที่ใช้บริษัทล็อบบี้ ยิสต์ ใช้ในการแถลงต่อสภาสหรัฐฯ
ชี้ขั้นตอนล็อบบี้ยิสต์เล่นงานไทย นายกอร์ปศักดิ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้สิ่งที่นายเคนเขียนยังก้าวไปถึงเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศมาตรการการกันสำรอง 30% เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทระยะสั้น เรื่องการใช้เงินงบประมาณของ คมช. และองค์กรยูเอสเอ อินโนเวชั่นก็ได้ออกมาเล่นงานกระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาลไทย แต่ไปพูดเหมือนกับที่นายเคนพูด แม้กระทั่งเรื่องภาคใต้ ก็เข้ามาเกี่ยวข้อง ถือเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจที่สุด และสิ่งที่น่ากังวลในตอนท้ายบทความของนายเคน ได้โยนเรื่องสิทธิบัตรยาดังกล่าวไปที่สภาสหรัฐฯและทำเนียบขาว ตรงนี้ถือเป็นงานของบริษัทล็อบบี้ยิสต์ และตรงนี้ก็มีล็อบบี้ยิสต์อีกกลุ่มช่วยทำงานอยู่แล้ว เพื่อให้ประเทศไทยติดอยู่ในรายชื่อประเทศที่ล่วงล้ำในเรื่องสิทธิบัตรยา
บี้เล่นงานขบวนการทำลายชาติ
นายกอร์ปศักดิ์กล่าวอีกว่า ขอฝากไปยังรัฐบาล คมช. และกระทรวงการต่างประเทศ สถานทูตไทยในสหรัฐฯต้องตอบโต้ทันทีโดยเร็ว ที่ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ถ้าทางบริษัทแอ๊บบอตที่มีปัญหากับกระทรวงสาธารณสุขก็ยังอยู่ในช่วงเจรจา แต่ไม่เข้าใจว่ามีบุคคล อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร ถึงขั้นมีการลงโฆษณาบทความใน นสพ.เอเชี่ยนวอลสตรีท เจอร์นัล ที่ไม่ได้ลงเฉพาะเรื่อง ของสิทธิบัตรยา แต่พูดถึงเรื่องอื่นๆ เช่น บอกว่าประเทศ ไทยเป็นเหมือนกับรัฐบาลพม่า และบอกว่ารัฐบาลไทยขณะนี้รัฐบาลโดยฝ่ายทหารของไทยเพิ่มงบประมาณเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการทหารถึง 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการใช้เงินในเรื่องดังกล่าวถึง 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิทธิบัตรยาแต่ประการใด แต่เป็นกระบวนการจ้องทำลายและโจมตีประเทศไทย รัฐบาล และ คมช.
นาม พบตุกติกภาษีโทรคมนาคม สำหรับความคืบหน้าในการตรวจสอบการทุจริตในรัฐบาลชุดที่แล้วนั้น วันเดียวกัน นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ให้สัมภาษณ์กรณีผลการตรวจสอบเรื่องที่ ครม.รัฐบาลเก่ามีมติภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทบางบริษัทว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถตั้งคณะอนุตรวจสอบได้ เพราะจากการศึกษาของนายบรรเจิด สิงคะเนติ และนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. พบว่ามีข้อมูลที่ลึกและลับซับซ้อนมาก โดยเฉพาะเรื่องของภาษีสรรพสามิตส่วนใหญ่จะใช้กับสินค้าที่มีราคาฟุ่มเฟือย แต่กลับมีการนำมาใช้กับโทรศัพท์ซึ่งมันไม่ถูกต้อง
เพิ่งมีเวลา ตามลิ้งค์เข้าไปดู เห็นมีข่าวต่อ คุณกาลามชน เอามาไม่หมด เลยเอามาต่อให้........อาจหัวข้อข่าวจากกระทู้แล้ว ผมไม่เข้าใจคำว่า"ขอทุเราเสียภาษีภาษี" ไม่เข้าใจจริง ๆ ไม่ได้เสียดสี หรือ แกล้งไม่เข้าใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กาลามชน
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 30-04-2007, 13:09 » |
|
ข่าวตอนท้ายไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ ผมจึงตัดออก ไปเอามาต่อทำไม มันรกกระทู้ ถ้าคุณสนใจข่าวช่วงท้ายก็เอาไปตั้งเป็นกระทู้ใหม่ซิครับ
ส่วนขอทุเลาภาษีนี้น เมื่อสรรพากรเรียกเก็บ จะผิดจะถูก ก็ต้องจ่ายไปก่อน แล้วไปอุทรณ์ขอคืนทีหลังได้ แต่ถ้าไม่อยากจ่ายล่วงหน้าไปก่อน เพราะมีปัญหาจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ต้องไปขอ ทุเลาภาษี
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2007, 13:17 โดย กาลามชน »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 30-04-2007, 13:15 » |
|
ไม่เกี่ยวหรือไม่อยากเอามาลงให้คนอ่าน
"แล้วตกลงที่ว่า ทุเลาภาษี " มันหมายถึงอะไรกันแน่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นายเกตุ
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 30-04-2007, 13:39 » |
|
ถ้าฟ้องจริงคอซาดิสต์อย่างผมต้องชอบแน่นอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พรรณชมพู
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 30-04-2007, 13:58 » |
|
ก็ถูกต้องแล้ว เมื่อไม่เห็นด้วยกับข้อกฎหมาย ก็ทำการฟ้องเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม แสดงให้เห็นอีกอย่างหนึ่งว่า ศาลน้นพึ่งพาได้ ดังนั้นเมื่อศาล ตัดสินออกมาอย่างไร ก็รับคำตัดสินนั้นไปด้วย เข้าใจไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Limmy
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 30-04-2007, 14:40 » |
|
- นักกฎหมายด้านภาษีที่นพดลอ้างถึงว่าไม่เห็นด้วย น่าจะระบุชื่อตรง ๆ ไปเลยครับ ว่าชื่อสุวรรณ วลัยเสถียร - ถ้าไม่ยอมรับว่าต้องเสียภาษี แล้วดันไปจ่ายเงิน"ทุเลาภาษี" ทำเกลืออะไรเล่าครับ ใช้ลูกมั่วตีกินกั๊ก ๆ แบบนี้ คุณนพดลคิดว่าคนอื่นเขาตามเกมส์คุณไม่ทันมั๊งครับ อ้อ เผื่อคุณยังไม่รู้ คตส.กับทีมงานหลายท่านน่ะมีส่วนร่วมในการดูแลแก้ไขกฎหมายภาษีมาตั้งแต่คุณเพิ่งเรียนปีหนึ่งครับ คุณนพดล รับรองได้ว่ารอบคอบ รัดกุม และเรียบร้อยเป็นที่ซู๊ด อิ อิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nai_puan
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 30-04-2007, 14:48 » |
|
2. สิทธิของผู้เสียภาษี
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีสิทธิตามกฎหมายโดยสรุปดังนี้
2.3 ขอทุเลาการชำระภาษีอากรโดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรค้าง
การใช้สิทธิอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเสียภาษีอากร ผู้เสียภาษีที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินให้ชำระภาษี มีหน้าที่ต้องชำระภาษีตามการประเมินนั้น ภายในกำหนดเวลาที่ได้แจ้งไว้ในหนังสือแจ้งการประเมิน อย่างไรก็ตาม หากต้องการรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือคำพิพากษา ผู้เสียภาษีมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการชำระภาษี โดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรด้วยหลักทรัพย์ต่างๆ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามระเบียบของกรมสรรพากร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 30-04-2007, 15:41 » |
|
- นักกฎหมายด้านภาษีที่นพดลอ้างถึงว่าไม่เห็นด้วย น่าจะระบุชื่อตรง ๆ ไปเลยครับ ว่าชื่อสุวรรณ วลัยเสถียร - ถ้าไม่ยอมรับว่าต้องเสียภาษี แล้วดันไปจ่ายเงิน"ทุเลาภาษี" ทำเกลืออะไรเล่าครับ ใช้ลูกมั่วตีกินกั๊ก ๆ แบบนี้ คุณนพดลคิดว่าคนอื่นเขาตามเกมส์คุณไม่ทันมั๊งครับ อ้อ เผื่อคุณยังไม่รู้ คตส.กับทีมงานหลายท่านน่ะมีส่วนร่วมในการดูแลแก้ไขกฎหมายภาษีมาตั้งแต่คุณเพิ่งเรียนปีหนึ่งครับ คุณนพดล รับรองได้ว่ารอบคอบ รัดกุม และเรียบร้อยเป็นที่ซู๊ด อิ อิ - นักกฎหมายด้านภาษีที่นพดลอ้างถึงว่าไม่เห็นด้วย น่าจะระบุชื่อตรง ๆ ไปเลยครับ ว่าชื่อสุวรรณ วลัยเสถียร ถ้าเป็นนักกฎหมายคนนี้ ซึ่งแนะนำลูกหนี้ให้ ไม่หนี ไม่เบี้ยว และ ไม่จ่าย มาแล้ว คตส.คงลำบากหน่อยจะทนดื้อด้านไหวเหรอ....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 30-04-2007, 18:51 » |
|
2. สิทธิของผู้เสียภาษี
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีสิทธิตามกฎหมายโดยสรุปดังนี้
2.3 ขอทุเลาการชำระภาษีอากรโดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรค้าง
การใช้สิทธิอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการเสียภาษีอากร ผู้เสียภาษีที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินให้ชำระภาษี มีหน้าที่ต้องชำระภาษีตามการประเมินนั้น ภายในกำหนดเวลาที่ได้แจ้งไว้ในหนังสือแจ้งการประเมิน อย่างไรก็ตาม หากต้องการรอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือคำพิพากษา ผู้เสียภาษีมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการชำระภาษี โดยจัดให้มีหลักประกันการชำระหนี้ภาษีอากรด้วยหลักทรัพย์ต่างๆ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามระเบียบของกรมสรรพากร
แล้วเหตุใดจึงต้อง ขอทุเลาการชำระภาษีเล่า.........ในเมื่อมั่นอกมั่นใจ ถึงขนาดจะฟ้องร้อง คตส.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Şiłąncē Mőbiuş
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 30-04-2007, 19:30 » |
|
แล้วเหตุใดจึงต้อง ขอทุเลาการชำระภาษีเล่า.........ในเมื่อมั่นอกมั่นใจ ถึงขนาดจะฟ้องร้อง คตส.
ไม่มั่นใจหลักฐานของตัวเองไง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.” . “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
|
|
|
RiDKuN
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 30-04-2007, 20:53 » |
|
เข้าใจว่า ถ้าไม่ยื่นทุเลา ก็อาจจะถูกยึดทรัพย์ได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย การยื่นทุเลาก็เพื่อรักษาทรัพย์สินของตัวเองไว้ก่อน ไม่มีอะไรมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
|
|
|
Limmy
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 30-04-2007, 21:43 » |
|
ที่ยื่นทุเลาไว้ก่อน น่าจะเอาไว้ขอความเมตตาจากศาล หลังมีคำพิพากษา คุณนพดลก็อาจจะแถลงว่า "จำเลยมิได้มีเจตนาเลี่ยงภาษี ดังที่ได้ยื่นขอทุเลาภาษีไว้ก่อนนั้นก็เพื่อรอความชัดเจน" น่าจะมาแนว ๆ นี้ ตอนนี้คุณนพดลอยู่ว่าง ๆ ก็น่าจะเตรียมประเมินราคาทรัพย์สินไว้ก่อน เพราะแนวโน้มที่จะถูกยึดมาขายทอดตลาดนั้นมีสูง เรื่องจ่ายสดหรือจ่ายเช็คคงไม่มีแน่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นทร์
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 30-04-2007, 22:41 » |
|
ทักษิณ ดิ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
|
|
|
cameronDZ
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 30-04-2007, 22:49 » |
|
กำลังเล่นเกม ปลาแขยงตอดขี้ อยู่หรือไร
แซะตรงนั้นนิด สะกิดตรงนี้หน่อย อยู่ตลอดเวลา
แน่จริง ก็บินกลับมาฟ้อง คมช. (หรือใครที่คิดว่าอยู่เบื้องหลังไล่ตัวเองลงจากเก้าอี้) ไปเลยสิ
จะอ้อมไปอ้อมมา อยู่ทำไม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย ...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ... แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก ...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
|
|
|
55555
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 01-05-2007, 14:22 » |
|
เข้าไปอ่านเรื่อง เอเดลแมน ของ คุณกอบศักดิ์ ไปเจอบทความนี้เข้า เลยเอาให้ลองทบทวนดูบทความวันที่ :10 เมษายน 2549
วันก่อน ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่าบริษัทโคตรรวย หรือ Ample Rich ทำไมต้องเสียภาษีจากการขายหุ้น
วันนี้ถึงเวลาจะต้องพูดถึงส่วนของ ครอบครัวชินวัตร และครอบครัว ดามาพงษ์ ครับ
หลายคนสงสัยว่า ในเมื่อครอบครับ คุณทักษิณ ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แล้วไม่ เสียภาษี ไม่เห็นจะแปลก ทำไมประชาชนเรียกร้องในสิ่งที่กฎหมายยกเว้น คือ ขายหุ้นในตลาด ไม่ต้องเสียภาษี
เหตุผลมีครับ เพราะธุรกรรมครั้งนี้ไม่ใช่การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แบบที่คนทั่วไปเขาลงทุนกัน นักลงทุนทั่วไปซื้อหุ้นในตลาด แล้วก็ขายในตลาด กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง เสี่ยงดวงกัน แต่ก็ดีใจว่าถ้ามีกำไร ไม่ต้องเสียภาษี
ครอบครัวของชินวัตร และครอบครัวดามาพงษ์ ไม่ได้ซื้อหุ้นบริษัทชินในตลาดหลักทรัพย์ครับ เวลาขายในตลาดแล้วรับทรัพย์กว่า 7 หมื่นล้านบาทนะใช่ แต่ตอนซื้อไม่ได้ซื้อในตลาด ( มีเพียงหุ้นของคุณบรรณพจน์ จำนวน 26 ล้านหุ้นเศษ ที่ซื้อในตลาด )
ปัญหา คือ ในการซื้อหุ้นนั้น บุคคลเหล่านี้ได้หุ้นมาในราคาต่ำกว่าตลาด ต่ำกว่าราคาเป็นจริงทั้งสิ้น
มีใครบ้างครับ คุณยิ่งลักษณ์ ซื้อหุ้นจากคุณทักษิณ 2 ล้านหุ้นในราคา 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 มูลค่าขณะนั้นน่าจะประมาณ 330 ล้านบาท
คุณพานทองแท้ ซื้อหุ้นจากคุณพ่อ 73 ล้านหุ้นเศษ ในราคาประมาณ 733 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2547 มูลค่าขณะนั้นน่าจะใกล้เคียง 13,000 ล้านบาท
คุณพิณทองทาซื้อหุ้นจากพี่ชาย 367 ล้านหุ้นเศษในราคาประมาณ 367 ล้านบาทเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 มูลค่าขณะนั้น ประมาณ 5,000 ล้านบาท
เกิดคำถาม ขึ้นมาว่า บุคคลเหล่านี้มีฐานะดีพอจะมีเงินจำนวนมากเพื่อซื้อหุ้นเหล่านี้ หรือไม่? คำตอบ น่าจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้ซื้อขายกันจริง เพราะไม่มีการชำระเงิน มีเพียงแต่การทำสัญญาเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ ไว้เท่านั้น
ลองมาดูส่วนของคุณบรรณพจน์ ดามาพงษ์ บ้าง
คุณบรรณพจน์ซื้อหุ้นจากคุณหญิงพจมาน จำนวน 26,825,000 หุ้น ในราคา 26 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 มูลค่าขณะนั้นประมาณ 4,400 ล้านบาท การซื้อหุ้นของคุณบรรณพจน์ไม่ต่างจากการซื้อหุ้นของ คุณยิ่งลักษณ์ หรือการซื้อหุ้นของคุณลูก ๆ เพราะเป็นการซื้อหุ้นในราคาถูก โดยไม่มีการชำระเงิน
ขบวนการซื้อขายหุ้นนอกตลาดในราคาพาร์ทำให้ผู้ซื้อได้รับประโยชน์ เพราะมูลค่าหุ้นที่แท้จริงสูงกว่าราคาที่ซื้อ กรมสรรพากรในระบบทักษิณ ตีความว่า เมื่อผู้ซื้อซื้อกระดาษ ( ใบหุ้น ) มาครอบครอง ยังไม่มีกำไร ยังไม่ต้องเสียภาษี รอไว้เสียภาษีตอนนำหุ้นไปขาย
จะเสียภาษีกำไรก็ต่อเมื่อนำหุ้นไปขาย แต่ต้องขายนอกตลาดด้วยนะ อย่านำหุ้นไปขายในตลาด เดี๋ยวจะไม่ได้เสียภาษี ตีความอย่างนี้น่าสมเพช มนุษย์น่าโง่ที่ไหนจะขายหุ้นนอกตลาดครับ ผมสงสัยจริงๆ
บรรดาลูกๆ และญาติๆจึงไม่ต้องเสียภาษีครับ นี่คือการใช้ช่องว่างของกฎหมายอย่างแยบยล
สำหรับผู้ขายไม่ต้องเสียภาษีเพราะขายหุ้นในราคาเท่าทุน ไม่มีกำไร ไม่เสียภาษี คุณพ่อและคุณแม่จึงไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน
ระบอบทักษิณนี่ ประเทศย่อยยับจริงจริง!
ดูแบบที่มีการชำระเงินบ้าง ว่าเขาหาทางหนีภาษีอย่างไร
คุณบรรณพจน์ ซื้อหุ้นจาก นางสาวดวงตา วงศ์ภักดี (คนในบ้านคุณทักษิณ - ซุกหุ้นภาค1 จำได้ไหม ) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 164 บาท เป็นเงิน 738 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 คุณบรรณพจน์ ไม่ได้มีเงินมากถึง 738 ล้านบาทหรอกครับ คุณหญิงพจมาน เป็นผู้ออกเงินให้
อ่านแล้วอย่าเข้าใจผิด คิดว่าคุณหญิงใจกว้าง เพราะตามข้อเท็จจริง เมื่อนางสาวดวงตา ในฐานะผู้ขายได้รับเงิน 738 ล้านบาท เป็นค่าหุ้นแล้ว ก็ต้องรีบวิ่งแจ้น นำเงินไปคืนคุณหญิงอยู่ดี ( ย้ายเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปกระเป๋าขวาเท่านั้น )
ท่านผู้อ่าน อ่านถึงตอนนี้ก็น่าจะเข้าได้ว่า คุณบรรณพจน์ ดามาพงษ์ ควรเสียภาษีเงินได้ จากเงินที่ได้รับจำนวน 738 ล้านบาท ไม่ครับ เพราะคุณหญิงแจ้งกรมสรรพากรว่า เงินค่าหุ้นนี้เป็นเงินที่ให้โดยเสน่หา เนื่องในงานสมรสของคุณบรรณพจน์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2539 และมีบุตรเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2539
กรมสรรพากรตอบสนองครับ เชื่อและเห็นด้วยทันทีว่าเมื่อเป็นการให้โดยเสน่หา ก็ไม่ต้องเสียภาษี (อธิบดีกรมสรรพากรคนนั้น วันนี้ได้เป็นปลัดกระทรวงไปแล้ว )
คุณหญิงให้เงินคุณบรรณพจน์เป็นของขวัญ หลังจากได้แต่งงานไปแล้วเกือบ 2 ปี และมีบุตรแล้วเกือบ 1 ปี เวลาห่างกันขนาดนี้ กรมสรรพากรก็ไม่ว่าอะไร นี่ยังไม่นับนะ ว่าให้ของขวัญกันแบบไหนมูลค่า เกือบพันล้าน ระบอบทักษิณ สุดยอดอย่างนี้แหละครับ.
สุดท้ายเป็นการซื้อหุ้นชินของลูก ๆ ที่ ซื้อในราคาพาร์ จากบริษัทโคตรรวย(Ample Rich) ครับ ซื้อทั้งหมด 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท มูลค่า 329.2 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มกราคาม 2549 และหลังจากนั้นเพียง 3 วัน ลูก ๆ ทั้ง 2 นำหุ้นมาขายต่อในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ฟันกำไร เหนาะ ๆ เกือบ 14,000 ล้านบาท
ถามกันว่าทำไม บริษัท Ample Rich ถึงยอมขายหุ้นในราคาถูกให้ ลูก ๆ ทั้ง 2 คือ คุณพิณทองทา และคุณพานทองแท้ ก็เพราะ ลูก ๆ ทั้ง 2 เป็นเจ้าของบริษัทซิครับ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก! กระเป๋าขวาไปกระเป๋าซ้าย เก่งเหมือนคุณแม่เลย
จริงจริงแล้วไม่ใช่ เพราะลูกทั้งสองนอกจากจะเป็นเจ้าของบริษัทโคตรรวยแล้ว ยัง เป็นกรรมการบริษัทอีกด้วย ตรงนี้ครับที่มีการวางแผนผิดพลาด
เมื่อบริษัท Ample Rich มอบทรัพย์สิน ให้กรรมการ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือทรัพย์สินในรูปแบบใดก็แล้วแต่ กรมสรรพากรต้องประเมินมูลค่าราคาทรัพย์สินนั้น ๆ ครับ กรณีนี้ ลูก ๆ ทั้ง 2 ต้องเสียภาษีเงินได้จากทรัพย์สินที่ได้รับ ประเมินราคาที่ 14,000 ล้านบาท ต้องนำไปรวมกับรายได้ปกติและยอมเสียภาษีเสียโดยดี ก่อนเมษายนปี2550 ไม่โดนหักภาษี ณ ที่จ่ายแบบพนักงาน กฟผ. ก็บุญแล้ว
ดิ้นไม่หลุดหรอกครับ เชื่อผมเถอะ! แต่ต้องห้ามคุณพ่อด้วยนะ เลิกแก้ตัวแทนว่าคุณลูกๆไม่ใช่กรรมการบริษัท (คุณทักษิณให้สัมภาษณ์รายการคุณสรยุทธ์ ว่าลูกๆเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ได้เป็นกรรมการ ) ท่านผู้อ่านดูหลักฐานของกลต.ซิครับ ชัดเจนว่าคุณทักษิณพูดปดอีกแล้ว
(เอกสาร วันที่เข้าเป็นกรรมการ ของ น.ส.พินทองทา ชินวัตร)
(เอกสาร วันที่เข้าเป็นกรรมการ ของ นายพานทองแท้ ชินวัตร)
ถ้าลูกๆเป็นเจ้าของ Ample Rich การซื้อขายหุ้นในราคาพาร์จะถูกตีความเหมือนกรณีย์ที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้น แต่เมื่อลูกๆเป็นกรรมการด้วย จึงไม่นับเป็นการซื้อขายหุ้นแบบปกติ ถือว่าบริษัทให้ประโยชน์ แก่กรรมการ ต้องนับเป็นรายได้ตามมูลค่าจริงและต้องเสียภาษี
ทั้งหมดที่นำเสนอ เป็นเรื่องของภาษีเงินได้ส่วนบุคคล เรืองนี้เป็นความลับ เป็นสิทธิส่วนตน เจ้าตัวจะเสียหรือไม่เสีย ไม่ต้องบอกใคร กรมสรรพากรมีหน้าที่จะต้องติดตามการเสียภาษี อย่าละเลยหน้าที่เป็นอันขาด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน!http://www.korbsak.com/tax.htmhttp://www.korbsak.com/tax2.htm
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2007, 14:32 โดย 55555 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปุถุชน
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 05-05-2007, 11:43 » |
|
สรรพากรขีดเส้น15วัน'โอ๊ค-เอม'แจงภาษีขายหุ้นชิน6.5พันล. 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 06:30:00 "สรรพากร"ออกหมายเรียก "โอ๊ค-เอม" แจงเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซื้อขายหุ้นชินคอร์ปกับแอมเพิลริช 6.5 พันล้าน ภายใน 7-15 วัน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ออกหมายเรียกให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2549 ในส่วนเงินได้จากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ระหว่างบุคคลทั้งสอง กับ บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด จำนวน 6.5 พันล้านบาท ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี ตามผลการตรวจสอบที่กรมสรรพากรได้รับแจ้งจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แล้ว
การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 6.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นภาษีบุคคลธรรมดา ของนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา 5.6 พันล้านบาท และเงินเพิ่มที่ต้องรับผิดชอบแทนบริษัทแอมเพิลริช จากการไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อนำส่งให้กรมสรรพากร 800 กว่าล้านบาท
"กรมสรรพากรได้ส่งหมายเรียกดังกล่าวให้บุคคลทั้งสองรับทราบตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา แต่ไม่แน่ใจว่าได้กำหนดระยะเวลาให้มาชี้แจงภายใน 7 หรือ 15 วัน หมายเรียกดังกล่าวได้ทำขึ้นหลังจากที่กรมสรรพากรได้ยกเลิกหมายเรียกฉบับเดิมที่อ้างอิงมาตรา 40 ( ไปแล้ว โดยหมายเรียกฉบับใหม่ ยึดหลักการตรวจสอบของ คตส.ทุกประการ โดยเฉพาะการประเมินภาษีที่ใช้อำนาจตามมาตรา 40 (2)" นายศานิตกล่าว
นายศานิต ระบุว่า หากบุคคลทั้งสองไม่มาชี้แจงภายในระยะเวลาที่กำหนด กรมสรรพากรจะทำหนังสือแจ้งเตือนไปให้บุคคลทั้งสองรับทราบอีก 1 ครั้ง หากยังไม่ดำเนินการอะไร ก็จะทำการออกหนังสือประเมินเรียกเก็บภาษีทันที
แหล่งข่าวจาก คตส.กล่าวว่า กรมสรรพากรได้รายงานผลการออกหมายเรียกให้นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทามาชี้แจงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบคดีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ที่มีนายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ กรรมการ คตส. เป็นประธานแล้ว
"ส่วนการตรวจสอบภาษีนิติบุคคลของบริษัทแอมเพิลริช 2.08 หมื่นล้านบาท ขณะนี้ คตส.ยังไม่ได้ส่งสำนวนการตรวจสอบไปให้กรมสรรพากรพิจารณา เพราะอยู่ระหว่างการจัดทำสำนวนการตรวจสอบคดีดังกล่าวให้รัดกุม และรอบคอบมากที่สุด คาดว่าจะส่งไปให้กรมสรรพากรพิจารณาได้ภายในสัปดาห์หน้า" แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนายสัก กอแสงเรือง กรรมการและโฆษกคตส. ในฐานะอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป กล่าวว่า คณะอนุกรรมการได้ส่งหมายเรียกคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป วันที่ 9 พฤษภาคมนี้แล้ว แต่ไม่ทราบว่า คุณหญิงพจมานจะมาชี้แจงข้อมูลในวันเวลาที่กำหนดหรือไม่ เพราะยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา
http://www.bangkokbiznews.com/2007/05/05/WW10_WW10_news.php?newsid=67590คนรักเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก ที่เคยชื่นชมอธิบดีกรมสรรพากรคนใหม่นี้ จะเปลี่ยนใจเป็นประนามว่าอธิบดีฯ เป็นคนไม่มีหลักการ ไม่ยุติธรรมและรังแก"เด็ก" หรือไม่.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า คนรักเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก ที่พยายามตั้งกระทู้บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือ เบี่ยงเบนประเด็น ระหว่างที่ผลการสอบสวน ผลการวินิจฉัยยังไม่เสร็จ โดยเฉพาะเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีของลูกชาย-ลูกสาวเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก จะโอดครวญว่ามีเวลาสั้น ๆ ไม่เหมือนเรื่องอื่น ๆ.....
ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะอธิบดีกรมสรรพากรคนปัจจุบันและเจ้าหน้าที่ระดับสูงฯ ได้รับบทเรียนจากอธิบดีคนก่อนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงก่อนหน้านี้.......ถ้าเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตกหรือ ทนายหน้าหอ แสดงความคิดเห็น คนรักเหลี่ยมฯ จะยอมรับทันที แต่เป็นข้อมูลจากคณะกรรมการ คตส. หรือ คณะกรรมการ ปปช. จะ"แถ" ยึดศาลฯ ตัดสินทุกที......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2007, 11:47 โดย ปุถุชน »
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
ปุถุชน
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: 05-05-2007, 12:50 » |
|
ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่า ฝ่ายหนึ่งเก่งสร้างภาพรายวัน และค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ คะแนนนิยมกระเตื้องขึ้นตามลำดับ
ส่วนอีกฝ่ายก็แก้เกมด้วยการโกหกรายวัน แต่ไม่ค่อยจะสำเร็จ ถูกจับโกหกอยู่เนืองๆ ความนิยมหดหายลงทุกที
ฝ่ายหนึ่งเก่งสร้างภาพรายวัน และค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ คะแนนนิยมกระเตื้องขึ้นตามลำดับ ประสบความสำเร็จใน"การสร้างภาพรายวัน"..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
|
|
|
buntoshi
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 05-05-2007, 14:54 » |
|
ถ้าเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตกหรือ ทนายหน้าหอ แสดงความคิดเห็น คนรักเหลี่ยมฯ จะยอมรับทันที แต่เป็นข้อมูลจากคณะกรรมการ คตส. หรือ คณะกรรมการ ปปช. จะ"แถ" ยึดศาลฯ ตัดสินทุกที......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อืมม.........ฮ่า ฮ้า ฮ๋า ฮ๊า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น.... ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ---------------------------
|
|
|
|