หวยบนดิน ขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ! โดย คำนูณ สิทธิสมาน 7 พฤษภาคม 2550 16:41 น.
.
รายได้จากหวยทั้ง กินแบ่ง และ กินรวบ(อย่างถูกต้อง) คืออาวุธลับที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนำไปใช้ในโครงการประชานิยมต่าง ๆ
คือเหตุผลที่ส่งเพื่อน นรต. 26 เข้าไปเป็นผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล !
รายงานประจำปี 2547 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ระบุว่า เงินรายได้จากสลากพิเศษโครงการหารายได้เพื่อการสาธารณประโยชน์ของปี 2547 มีเงินรายได้ส่งเข้าโครงการ (ไม่ใช่ส่งคลัง) ถึงงวดละ 352,000,000 บาท
คิดเป็นเงินรวมทั้งปี 4,224,000,000 บาท !
การอนุมัติเงิน(ที่อ้างว่า)เพื่อสาธารณประโยชน์ คนแรกคือผอ.กองสลาก โดยตรง
ถ้าวงเงินเกินถึงจะผ่านบอร์ด
ผอ.อนุมัติเงินได้ไม่เกิน 3 แสนบาท ประธานบอร์ดฯอนุมัติได้ไม่เกิน 5 แสนบาท หากเกินกว่านั้นต้องให้บอร์ดเป็นผู้อนุมัติ
เช่นเดียวกับรายได้จากสลากแบบเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว (หวยบนดิน) ที่มีเพียงมติครม.เมื่อ 8 ก.ค. 2546 เปิดกว้างให้นำรายได้ไปใช้ในกิจกรรมหลากหลาย และตามแต่คณะกรรมการกองสลากกำหนด
และที่ โปรโมต กันมาตลอดก็คือการให้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อต่าง ประเทศ...
โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน
ที่ชาวบ้านเรียกว่า...
ทุนหวย
ที่เร่งรีบ ทำยอด กันเสียจนเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรม
ข้อมูลจากสำนักงานสลากกินแบ่งเท่าที่มีอยู่ พบว่า เงินจากการขายสลากฯเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ได้บริจาคให้แก่บุคคลและองค์กรต่าง ๆ นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงวันที่ 20 เมษายน 2548 เป็นเงิน 5,754,960,594 บาท
หน่วยงานขาประจำที่ได้เงินก้อนโต คือ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้เงินมากที่สุด ปีงบประมาณ 2547 ได้เงินไป 471 ล้านบาท ปี 2548 ได้เงิน 2,583 ล้านบาท
ถัดมาคือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับเงินจากหวยปี 2547 จำนวนกว่า 1,347 ล้านบาท
กระทรวงศึกษาธิการ ได้เงินปี 2547 จำนวน 631 ล้าน ปี 2548 ได้เพิ่มเป็น 714 ล้านบาท
กระทรวงสาธารณสุข ได้เงินไป 526 ล้านในปี 2548
แม้แต่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในยังได้ไป 1.3 ล้าน
ฝ่ายการเมืองเป็นคนคุมเงินทั้งหมด
ใครอยากได้เงินบริจาคก็วิ่งไปขอที่ฝ่ายการเมือง ถ้าฝ่ายการเมืองพอใจ ก็อนุมัติเงินบริจาคให้ แต่ถ้าไม่พอ ใจก็ไม่อนุมัติ เป็นความพึงพอใจที่ขึ้นกับบุคคลอย่างแท้จริง
การเมืองเรื่องหวย เอื้อประโยชน์ต่อรัฐบาลหลายด้าน
แต่อาจารย์วราฤทธิ์ พานิชกิจโกศลกุล อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำวิจัยไว้น่าสนใจมาก
เมื่อนำสถิติทดสอบอัตราส่วนมาจับ ผู้ที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ฉบับ
--> โอกาสที่จะถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 0.01
--> โอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 มีค่าต่ำที่สุดคือ 1 ในล้าน
--> โอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 พิเศษ มีค่าเท่ากับ 1 ใน 30 ล้าน
โดยผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเท่ากับ 24 บาท
นั่นหมายความว่า เมื่อซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ฉบับ ฉบับละ 40 บาท คาดว่าผู้ซื้อจะเสียเงินเฉลี่ยประมาณ 16 บาท
หากซื้อสลากฯเลขท้ายแบบ 3 ตัวตรง 1 ฉบับ
--> โอกาสที่จะถูกรางวัลเท่ากับ 0.001
--> โอกาสที่จะไม่ถูกรางวัลเท่ากับ 0.999
โดยผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจาก 1 บาท เฉลี่ย 0.5 บาท หรือ 50 สตางค์
นั่นหมายถึงผู้ซื้อจะต้องสูญเงิน 50 สตางค์ต่อบาท
เช่นเดียวกันกับการซื้อสลากฯเลขท้ายแบบ 2 ตัว 1 ฉบับ
--> โอกาสที่จะถูกรางวัลเท่ากับ 0.01
--> โอกาสที่จะไม่ถูกรางวัลเท่ากับ 0.99
โดยผลตอบแทนที่จะได้รับจากการซื้อสลากฯเลขท้ายแบบ 2 ตัว ใน 1 บาท จะอยู่ที่ 0.35 บาท
การซื้อสลากฯทุกประเภท ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับมีค่าน้อยกว่าศูนย์ หรืออีกนัยหนึ่งคือเฉลี่ยแล้วการซื้อสลากฯทุกประเภททำให้ผู้ซื้อสูญเสียเงินหรือขาดทุนนั่นเอง
การซื้อสลากฯที่ทำให้สูญเสียเงินน้อยที่สุด คือ การซื้อสลากฯเลขท้าย 2 ตัว ทำให้สูญเสียเงินเฉลี่ยประมาณ 35 สตางค์ต่อราคาสลากฯ 1 บาท
ส่วนการซื้อสลากฯที่ทำให้สูญเสียเงินมากที่สุด คือ สลากฯเลขท้าย 3 ตัวโต๊ดที่มีเลขซ้ำกัน 2 ตัว ทำให้สูญเงินโดยเฉลี่ยประมาณ 70 สตางค์ต่อราคาสลากฯ 1 บาท
สรุป -- ผู้ซื้อสลากฯเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ทำให้สูญเสียเงินมากกว่าการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล
การเล่นหวยประชาชนแทบจะไม่ได้อะไรเลย มีแต่เสียกับเสีย และยิ่งรัฐบาลมีนโยบายให้ขายหวยบนดิน ประชาชนก็ยิ่งเล่นหวยกันมากขึ้น ยิ่งเล่นมากก็ยิ่งขาดทุนมาก
หวยเป็นกิจกรรมที่ทำร้ายคนจน
เพราะในทางเศรษฐศาสตร์ หวยคือภาษีคนจนที่ลงขันกันแล้วเอามาให้คนที่ถูกรางวัล เป็นการเอาเปรียบคนจน เพราะคนจนและคนรวยซื้อหวยในราคาเท่ากัน
นอกจากนี้ หวยยังเป็นการมอมเมาประชาชน โดยเฉพาะในวันหวยออก ประชาชนจะไม่สนใจการทำงาน
ทำให้สูญเสียความสามารถทางการผลิตไปประมาณ 184,000 ล้านบาทต่อปี
ยังมีความสูญเสียที่ไม่มีทางคำนวณออกมาเป็นตัวเงินได้อีกมากกว่านั้นเสียอีก
นั่นคือการมอมเมาให้ผู้คนเชื่อในโชคชะตามากกว่าความมานะบากบั่น และการอดออม
รวมทั้งคติเรื่องรวยด้วยฟลุ้ก
ล้วนขัดกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงทั้งสิ้น !
เวลา ครมลงมติเรื่องสำคัญ น่าจะถ่ายทอดสดทั่วประเทศ นักข่าวควรตามข่าวมติครม.ต่างๆทุกเรื่องครับ..