จขกท. ได้ฝากข่าวมาแว่ว ๆ ว่าให้ผมมาตอบกระทู้ เนื่องด้วยวัยปูนนี้ของผม น่าจะทราบอะไรดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันที่จริงผมไม่ค่อยรู้อะไรเยอะหรอกครับ สืบเนื่องมาจากผมยังเป็นหนุ่มเอ๊าะ ๆ อยู่ แต่ก็เอาเถอะใหน ๆ ก็นิมนต์มาแล้ว อาตมาก็จะมาเจิมให้เป็นกรณีพิเศษ
คำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต ซูเอโกะ ฮาดะ วัย 67 ปี ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งจากระเบิดที่เมืองฮิโรชิมา เหตุการณ์ที่เธอเล่าให้ฟังนี้ รายละเอียดบางอย่างเป็นสิ่งที่ลูกหลานของเธอเองยังไม่เคยรับรู้มาก่อน
ซูเอโกะ มีอายุเพียง 7 ขวบ อาศัยอยู่กับครอบครัวซึ่งเธอมีพี่สาวสี่คน และบ้านอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดลงในฮิโรชิม่าไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร
เธอเล่าว่าในเช้าวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากพ่อแม่ออกไปทำงานแล้ว เธอกับพี่ ๆ กำลังกินอาหารเช้า ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างแวบหนึ่งตามมาด้วยระเบิดสนั่นหวั่นไหว เธอจำได้แค่นั้นและหมดสติไป พอรู้สึกตัวก็พบตัวเองติดอยู่ในซากกำแพงที่พังลงมาทับ
"ในที่สุดฉันก็ตะเกียกตะกายออกมาได้จากซากกำแพง บ้านกำลังลุกไหม้และเสียงร้องไห้ของพี่สาวก็ค่อย ๆ เบาลง ฉันออกไปหาคนมาช่วย เมื่อออกไปนอกบ้านก็เห็นว่าสภาพทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คนทุกคนบาดเจ็บและสาหัส ไม่มีใครช่วยใครได้ ตัวฉันเองมีบาดแผลเลือดไหลอาบเสื้อชุดขาวที่สวมอยู่ ฉันอยากกลับบ้านแต่กลับไม่ถูก จนถึงทุกวันนี้ในหูฉันยังได้ยินเสียงพี่สาวร้องให้หาคนช่วย ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันยังรู้สึกผิดและไม่มีความสุข"สูญเสียหมดพี่สาวทั้งสี่ของซูเอโกะ รวมทั้งพ่อแม่ไม่มีใครรอดชีวิต ตัวเธอเองไปอาศัยอยู่ในค่ายพักชั่วคราวนอกเมือง
ซูเอโกะเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองหลังจากนั้น
"มีคนบาดเจ็บเข้ามาในค่ายทุกวัน ฉันได้แต่รอว่าเมื่อไหร่พ่อแม่จะไปรับ แต่จู่ ๆ ค่ายผู้ลี้ภัยก็ปิดเพราะทหารกลัวจะเป็นเป้าทิ้งระเบิดอีก ฉันไม่มีที่ไป ทหารคนหนึ่งให้เงินฉันและบอกให้ขึ้นรถไฟไปบ้านยายเขา แต่ฉันถูกขโมยของหมดตัวบนรถไฟ ใครสักคนพาฉันไปที่โรงเรียนที่ฉันเรียนหนังสืออยู่และได้พบครูคนหนึ่งซึ่งไปตามหานักเรียน นั่นเป็นครั้งแรกหลังจากระเบิด ที่ฉันได้เจอคนรู้จัก ตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนเห็นพระทั้ง ๆ ที่อยู่ในนรก"ซูเอโกะไปอาศัยอยู่กับญาติซึ่งหาเช้ากินค่ำ หลังจากนั้น เธอก็คิดว่าต้องแต่งงานเพื่อความอยู่รอด
ซูเอโกะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับตนเองให้ลูกฟังบ้างแต่ไม่ละเอียดนัก เธอไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นเด็กกำพร้าจากฮิโรชิมาเพราะการเป็นเด็กกำพร้าไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมนัก และคนมักคิดว่าคนที่ถูกรังสีจากระเบิดปรมาณูจะเป็นโรคติดต่อ
เธอคิดว่าผู้รอดชีวิตอีกหลายคนคงปิดบังอดีตเหมือนกับเธอ แต่เดี๋ยวนี้ซูเอโกะ ฮาดะ ยอมเปิดเผยและพูดเรื่องสุขภาพตัวเอง
เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนหมอบอกว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่ถึงห้าปี แต่เธอมีชีวิตยืนยาวต่อมาจนได้เห็นหลานและเหลน
"ทุกวันนี้ฉันปลาบปลื้มใจค่ะที่เห็นลูกหลานมีความสุข แต่ฉันก็ใจคอไม่ดีบ้างเพราะก่อนระเบิดปรมาณูลงนั้น ฉันกำลังมีความสุขที่สุด ครอบครัวเรากินข้าวพร้อมหน้ากันเป็นครั้งแรกในสี่เดือน วันรุ่งขึ้นชีวิตฉันก็แตกสลาย"........................
ระเบิดปรมานูจำเป็นหรือไม่? ไม่มีใครตอบได้หรอกครับ ว่ากันว่าระเบิดปรมาณูได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้กับเยอรมัน แต่เยอรมันยอมแพ้สงครามก่อน จึงรอดตัวไป ในขณะที่ญี่ปุ่นยังไม่มีท่าทีจะยอมแพ้ใด ๆ การรบทั่วภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกเป็นไปอย่างดุเดือด และลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในทุกสมรภูมิ สงครามที่ญี่ปุ่นไม่มีความพร้อมมาตั้งแต่ต้น ญี่ปุ่นตัดสินใจเริ่มสงครามก็เพราะปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน แต่สงครามก็ไม่ได้ทำให้ญี่ปุ่นมีน้ำมันอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ภาวะสงครามยิ่งทำให้ญี่ปุ่นอดอยากและแร้นแค้น ในช่วงต้น ๆ ของสงครามมหาเอเซียบูรพาญี่ปุ่นชนะสงครามเพราะกองเรือที่เจ็ดที่เพิลฮาเบอร์ ถูกถล่มยับเยิน สหรัฐไม่มีกำลังมากพอที่ตอบโต้ได้ และสงครามในภูมิภาคยุโรปก็ดึงเอากำลังทหาร และทรัพยากรเกือบทั้งหมดไปใช้งาน
การพ่ายแพ้ของเยอรมัน ทำให้ทรัพยากรถูกโยกมาใช้งานในเอเซียแปซิฟิค อเมริกาเป็นหัวหอกในการรุกรบปลดปล่อยประเทศที่ญี่ปุ่นยึดครอง ญี่ปุ่นถอยร่นและแพ้อย่างยับเยิน กองบินพายุแห่งเทพเจ้าได้ออกปฏิบัติการสร้างความเสียหายให้กับกองเรืออเมริกันอย่างหนัก ญี่ปุ่นหลังพิงฝาในบ้านเกิดตัวเอง และประกาศไม่ยอมจำนน ทั้งที่รู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะอเมริกันได้ อเมริกาวางแผนที่จะยกพลขึ้นบกที่ญี่ปุ่น แต่ก็ต้องลังเลอย่างหนัก เพราะกิติศัพท์ความไม่กลัวตายของทหารญี่ปุ่น ที่พร้อมพลีชีพรักษามาตุภูมิ เป็นที่เข็ดขยาดของทหารอเมริกัน มีการประเมินกันว่า หากอเมริกันเปิดการรบภาคพื้นกับญี่ปุ่น จะต้องสูญเสียกำลังทหารประมาณหนึ่งล้านนาย ถึงจะยึดครองญี่ปุ่นได้โดยเด็ดขาด และกำลังของสัมพันธมิตร ก็ไม่มีชาติใดพร้อมจะเข้าร่วมรบกับอเมริกันเลยแม้แต่ชาติเดียว 1 ล้านนายของชีวิตทหารอเมริกันคือโจทย์
ประสิทธิภาพของระเบิดปรมาณูอเมริกันรู้ดีอยู่แล้วว่ารุนแรงขนาดใหนจากการทดลองในลอสอลามอส แต่อเมริกันก็ยังไม่รู้ถึงพิษภัยของอานุภาคนิวเคลียร์ดีพอ สืบเนื่องจากวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้าถึงขั้นรับรู้ถึงภัยอันตรายของกัมมันตภาพรังสี โจทย์ 1 ล้านชีวิตของทหารอเมริกันถูกตอบโดยชีวิตของพลเรือนและทหารญี่ปุ่นบนเกาะฮิโรชิมา เกาะซึ่งเป็นศูนย์กลางการทหารของญี่ปุ่น อเมริกาตัดสินใจทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมา ก็เพราะฮิโรชิมาคือหัวใจของกำลังรบหลักของญี่ปุ่น เป็นการตัดสินใจที่จะรักษาชีวิตทหารอเมริกัน และเป็นการทดลองใช้ระเบิดในสภาวะแวดล้อมจริง แน่นอนที่นางาซากิ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน บางคนบอกว่าเพียงแค่ฮิโรชิมา ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทิ้งที่นางาซากิอีก แต่ด้วยสภาวะความโหดร้ายของสงคราม ระเบิดที่นางาซากิ ดูเหมือนจะตอบโจทย์ในเรื่องการทดลองอาวุธได้ชัดเจนกว่า เพราะระเบิดสองลูกนี้ไม่เหมือนกัน ที่ฮิโรชิมาเป็นยูเรเนียม ที่นางาซากิเป็นพูลโตเนียม
อเมริกาโหดร้ายหรือไม่ ผมคงตอบว่าโหดร้าย แต่ทหารญี่ปุ่นก็โหดร้าย ความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่น ทำให้การยับยั้งชั่งใจทางศีลธรรมของอเมริกาแทบไม่มีความหมาย ชีวิตของทหารอเมริกันนับแสนคนที่ตายไปก่อนหน้านั้น ทำให้ความโกรธ ความเกลียด เอาชนะมโนสำนึกของการฆ่าโดยการใช้ระเบิดปรมาณูไปเสียสิ้น ญี่ปุ่นยอมแพ้ทันที โดยไม่มีเงื่อนไข หลังจากการทิ้งระเบิดที่นางาซากิ ด้วยเกรงว่า จะมีระเบิดแบบนี้อีกหลายลูกถูกทิ้งลงบนแผ่นดินญี่ปุ่น และผมเชื่อว่าอเมริกาในขณะนั้นมีอีกหลายลูก และพร้อมจะทิ้งอีก โดยไม่สนใจว่าจะมีคนญี่ปุ่นตายไปอีกกี่คน
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่ต่อต้านสงคราม เพราะได้ลิ้มรสของสงครามมากกว่าผู้ใด จำนวนการตายของทหารและพลเรือนญี่ปุ่น ไม่ได้มากไปกว่าจำนวนผู้ตายของชาติอื่น ๆ ในสงครามโลกเลย ทุกประเทศตายกันเป็นเบือ ในจำนวนที่ไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ระเบิดปรมาณูมีผลต่อจิตใจมากกว่าด้วยอำนาจการทำลายล้างของมัน ความหวาดกลัวต่อสงครามนิวเคลียร์ได้แพร่ออกไปทั่วโลกโดยมีญี่ปุ่นเป็นศุนย์กลาง
ผมคงจะไม่สามารถพูดอะไรได้มาก นอกจาก ขอไว้อาลัยแด่ผู้สูญเสีย ทั้งจากสงครามโลกและจากการทิ้งระเบิดปรมาณูทั้งสองลูก สงครามเป็นเรื่องเลวร้ายไม่ว่าจะเกิดกับชาติเผ่าพันธุ์ใด หวังว่าสักวันหนึ่ง โลกของเราจะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ไม่มีสงครามอีกต่อไป ครับ
May peace be on earthคนในวงการ