ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
26-11-2024, 00:26
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  คำทำนายหลังจันทรคราส 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
คำทำนายหลังจันทรคราส  (อ่าน 987 ครั้ง)
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« เมื่อ: 14-03-2007, 00:54 »

คำทำนายหลังจันทรคราส

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยทางการเมืองย่อมมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของรัฐบาลทุกชนิด
ในโลก แต่ปัจจัยทางการเมืองไม่ใช่ปัจจัยเดียว ที่สำคัญกว่านั้นคือผลประโยชน์ระยะยาว
ของสังคม ซึ่งอาจขัดแย้งกับปัจจัยทางการเมืองในบางช่วงขณะ รัฐบาลที่เก่งคือรัฐบาล
ที่สามารถสร้างความสมดุลระหว่างปัจจัยต่างๆ โดยไม่เสียเป้าหมายหลักคือผลประโยชน์
ระยะยาวได้

น่าแปลกที่รัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งถูกตั้งขึ้นภายใต้สภาพรัฐประหารที่ "หยุด" การทำงาน
ของโครงสร้างทางการเมืองลง กลับตัดสินใจทุกอย่างด้วยปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก
ทั้งนี้เพราะนอกโครงสร้างทางการเมืองที่ถูกทำให้ "หยุด" ก็ยังมีโครงสร้างทางการเมือง
อีกอันหนึ่งครอบอยู่ อันเป็นการเมืองที่ "ดิบ" กว่ากันมาก กล่าวคือสถาบันส่วนใหญ่ใน
โครงสร้างนี้ไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองพอจะคุมอำนาจและบริหารโดยเปิดเผยได้
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ, กลุ่มธุรกิจใหญ่, นักเคลื่อนไหวในหมู่คนชั้นกลาง, ระบบราชการ,
เทคโนแครต และนักวิชาการ, เอนจีโอบางสาย, นักการเมืองที่ถูกปลด หรือแม้แต่
สถาบันพระมหากษัตริย์

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ ภายในโครงสร้าง ก็หาได้ลงตัว
แน่นอนไม่ เป็นเรื่องของการต่อรองกดดันกันเอง (ไม่ต่างจากโครงสร้างทุกชนิดในโลก
ย่อมมีพลวัติภายในเช่นนี้เป็นธรรมดา) ว่ากันที่จริง ครม.ของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ก็มีตัวแทนจากกลุ่มเหล่านี้เกือบครบ

ครม.เองกลายเป็นส่วนหนึ่งของเวทีลับๆ สำหรับการต่อรองกดดันของสถาบันต่างๆ ไป
ด้วย การลาออกของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เอง ก็สะท้อนความตึงเครียดบนเวทีลับนี้
อยู่ส่วนหนึ่ง

และด้วยเหตุนั้น รัฐบาลนี้จึงไม่เคยสามารถมีนโยบายอะไรที่แน่นอนได้สักเรื่อง มาตรการ
ทางการเงินต้องผ่อนคลายในเวลาอันรวดเร็ว ไอทีวีเดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิด ทั้งนี้ยังไม่รวม
นโยบายที่ คมช.ประกาศออกมา (เหมือนเป็นรัฐบาลแฝด) ก็หาอะไรที่แน่นอนไม่ได้สัก
อย่าง คณะปกครองของไทยเวลานี้ ไม่มีจุดยืน มีแต่จุดกระโดด และเบื้องหลังการกระโดด
ไปกระโดดมานี้ ก็คือการต่อรองกดดันของสถาบันต่างๆ ในโครงสร้างการเมืองนั่นเอง

เจตนาทางการเมืองอันเด็ดเดี่ยวไม่มี เพราะมีไม่ได้

โดยปราศจากทิศทางที่แน่นอน ชัดเจน เช่นนี้ เป็นธรรมดาย่อมไม่มีพลังจะผลักดันอะไร
ได้สักอย่างเดียว ข้าราชการที่อยู่ภายใต้รัฐบาลนี้ ย่อมอยู่ใน "เกียร์ว่าง" เป็นธรรมดา
เหมือนกัน จะให้เข้าเกียร์ไปสู่อะไร ไม่มีใครสักคนบอกทิศทางแก่ข้าราชการ ขืนสุ่มสี่
สุ่มห้าเข้าเกียร์ เจ้านายก็อาจกระโดดหนีจากทิศทางนั้นไปเสียแล้ว เหลือแต่ตัว
ข้าราชการเดียวดายอยู่คนเดียว

ในขณะที่ไม่มีจุดยืนมีแต่จุดกระโดดดังกล่าว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองอะไรให้ยาวไปกว่า
เรื่องเฉพาะหน้า เช่นการลดลงของการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัญหาที่สืบเนื่อง
มาตั้งแต่ปลายสมัยทักษิณ รัฐบาลคิดได้แต่การส่งคนออกไปเกลี้ยกล่อมฝรั่งและญี่ปุ่น
ให้เข้ามาลงทุน อันเป็นมุมมองต่อโลกธุรกิจสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ในสมัยที่
วิสาหกิจยังเป็นของเอกชน และหาช่องทางการลงทุนตามคำเชื้อเชิญของญาติมิตร
แท้จริงแล้วอุปสรรคการลงทุนของไทยนั้นมีหลายประการ เช่นที่เรียกว่า Red Tape
ของระบบ, ความไม่โปร่งใสของตลาดหุ้น, การโทรคมนาคมที่ไม่ทันสมัย, ขาดกำลัง
แรงงานที่ขาดสมรรถภาพบางด้าน ฯลฯ แต่รัฐบาลนี้ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขปรับปรุงสิ่ง
ที่เป็นพื้นฐานเหล่านั้นได้เลย

อันที่จริงนับตั้งแต่พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ยอมรับเป็นนายกรัฐมนตรีมาจนบัดนี้ ท่าน
ยังไม่เคยบอกเลยว่าท่านคิดจะทำอะไร นอกจากซื่อสัตย์สุจริตและมีคุณธรรม ภารกิจ
ของรัฐบาลกลายเป็นสิ่งที่คนอื่นสร้างให้ อันได้แก่เหตุผลสี่ประการที่คณะทหารใช้อ้าง
เพื่อยึดอำนาจบ้านเมือง แต่นั่นเป็นภารกิจของ คปค.หรือ คมช.ในปัจจุบันต่างหาก อีก
ทั้ง คปค.เองก็ได้ตั้งกลไกสำหรับทำภารกิจดังกล่าวไปแล้วไม่น้อย เช่น คตส., ป.ป.ช.,
และองค์กรตรวจสอบอื่นๆ รัฐบาลมีหน้าที่เพียงอำนวยความสะดวกเท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้
ทำภารกิจนั้นแทน

เพื่อความเป็นธรรม ควรกล่าวด้วยว่าปาฐกถาครั้งสุดท้ายของพลเอกสุรยุทธ์ที่แสดงใน
วันนักข่าว (ห้าเดือนหลังจากเป็นนายกฯ) ชี้ให้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจปัญหาบางด้าน
ของสังคมไทยได้ดี ท่านกล่าวว่าความแตกต่างทางรายได้ที่ถ่างกว้างขึ้นตลอดมาของ
คนรวยและคนจนในเมืองไทยนั่นแหละ คือตัวปัญหาที่แท้จริง ตราบเท่าที่ไม่ทำให้ปัญหา
นี้บรรเทาลง รัฐบาลใดๆ ก็ตามย่อมประสบปัญหานานัปการทั้งสิ้น และการพัฒนาประชา-
ธิปไตยย่อมเป็นไปไม่ได้

แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นภารกิจของรัฐบาลของท่าน ทั้งในวันที่รับตำแหน่งหรือหลังจากวันที่
ท่านได้ปาฐกถาไปแล้ว ว่ากันไปที่จริงแล้ว น่าสงสัยด้วยว่า นอกจากท่านนายกฯ แล้ว
จะมี ครม.คนอื่นเข้าถึงและเข้าใจปัญหานี้อย่างเดียวกับท่านหรือไม่

ฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็คงอยู่ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีภารกิจอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเรื่อง

หากในสถานการณ์อื่น รัฐบาลเช่นนี้คงมีอายุสั้นที่สุดรัฐบาลหนึ่ง แต่ในสถานการณ์ที่
สถาบันต่างๆ ในโครงสร้างการเมืองที่กล่าวแล้ว ล้วนมีศัตรูทางการเมืองร่วมกันคือที่
เรียกกันว่า "ระบอบทักษิณ" (ไม่ว่าจะแปลว่าอะไร) จึงเป็นการยากที่จะคาดได้ว่า
รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์จะมีอายุยืนยาวไปถึงส่งมอบหน้าที่ให้แก่รัฐบาลที่มาจากการ
เลือกตั้งได้หรือไม่

ยากที่จะคาดเดาได้พอๆ กับที่จะคาดเดาว่า ลำดับต่อไปของการเมืองไทยคืออะไร
ว่าเฉพาะสถาบันต่างๆ ที่อยู่ในโครงสร้างการเมืองที่กล่าวแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า
การต่อรองกดดันจะทำกันบนเวทีลับเช่นนี้สืบไป ยกเว้นแต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคำนวณ
ผิด คิดว่าจะดึงเอาคนนอกเข้ามาร่วมในการต่อรองกดดัน เพื่อความได้เปรียบของตัว
เมื่อนั้นก็ไม่แน่ว่า ฝ่ายอื่นจะยอมจำนนแต่โดยดี อาจต้องใช้กำลังภายในของแต่ละฝ่าย
กันมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรง และไม่มีใครคุมได้อีกต่อไป

โครงสร้างการเมืองแบบนี้ก็พัง

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าสถาบันต่างๆ ในโครงสร้างการเมืองดังกล่าวประเมินไว้ต่ำ
นั่นคือภาคประชาสังคม ทั้งในระดับคนชั้นกลางและประชาชนระดับล่าง

ภาคประชาสังคมไทยมีประสบการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองมาร่วมสองทศวรรษ
แล้ว จึงไม่มีปัญหาด้านประสบการณ์และทักษะในการจัดองค์กรอย่างแน่นอน ปัญหา
มาอยู่ที่ปริมาณหรือจำนวนว่าจะมีพลังเพียงพอหรือไม่ และถูกสยบให้ยอมจำนนโดย
องค์กรภายนอกได้หรือไม่ ตรงนี้แหละที่ทำให้การประเมินพลังของภาคประชาสังคม
อาจถูกหรือผิดได้เท่าๆ กัน

ควรกล่าวด้วยว่าภาคประชาสังคมที่ประเมินพลังได้ยาก คือภาคประชาสังคมที่ไม่ถูก
ดูดกลืนเข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการเมืองปัจจุบัน จึงไม่มีโอกาสต่อรอง
กดดันบนเวทีลับเลย

หากรัฐธรรมนูญออกมาในลักษณะที่ "รับไม่ได้" สำหรับภาคประชาสังคม หรือกระบวน-
การลงประชามติไม่โปร่งใส ค่อนข้างแน่นอนว่า รัฐบาลใหม่ที่แม้จะมาจากการเลือกตั้ง
ก็ไม่อาจหาความชอบธรรมจากคนกลุ่มนี้ได้ ฉะนั้นรัฐบาลใหม่จึงเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ
ทางการเมืองค่อนข้างมาก (สมเจตนารมณ์ของหลายสถาบันในโครงสร้างการเมือง
ปัจจุบัน)

แต่ยังมีความเป็นไปได้อีกทางหนึ่ง คือการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างโครงสร้างการเมืองนี้
โดยตรง โดยเฉพาะในยามที่สถาบันต่างๆ ในโครงสร้างเกิดความแตกแยกกันหนักๆ จน
บางสถาบันอาจหันมาร่วมมือกับภาคประชาสังคม เมื่อนั้นก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากัน
โดยตรง และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้

โอกาสของความรุนแรงจึงเกิดได้สองทาง หนึ่งหากดุลแห่งอำนาจของสถาบันต่างๆ ใน
โครงสร้างการเมืองเสียไป ก็อาจเกิดความรุนแรงได้ สองหากภาคประชาสังคมมีพลัง
มากกว่าที่ประเมินไว้ ก็อาจเกิดความรุนแรงได้

แม้ไม่สามารถกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า จะต้องเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มจะเกิดความรุนแรงในทางการเมืองมากในระดับที่ไม่เคย
เกิดในการเมืองไทยมาก่อน

มติชน วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10593

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02120350&day=2007/03/12&sectionid=0130

ขออย่าให้ อ.ทำนายถูกเลย เช่นเดียวกับบรรดาหมอดูหมอดังทั้งหลาย

 
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 14-03-2007, 08:36 »

เบื่อนิธิ มันก็ชอบโผล่มาตอนชาวบ้าน หมอดู เขาฟันธงไปตั้งเท่าไรแล้ว สิ่งที่นิธิเขียน เขาฟันธงกันมาตั้งแต่ม.ค.แล้ว  "ลม เปลี่ยนทิศ" (9 ม.ค. 50) กับ "เปลว สีเงิน" (ไล่เลี่ยกัน) กลับไปดูได้เลย รายนั้นฟันธงเปรี้ยงๆ

แนะนำ นิธิ ลองทำนายการขึ้นของดวงอาทิตย์ว่าพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกแน่นอน รับรองแม่นอย่าบอกใคร

Not all academicians are born equal !!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2007, 09:14 โดย wake up to reality » บันทึกการเข้า

The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #2 เมื่อ: 14-03-2007, 08:50 »

อาจารย์นิธิถือเป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่เคยเชียร์อดีตนายกฯทักษิณ....ฉะนั้นบทความชิ้นนี้ถือเป็นมุมมองสายกลางที่น่าสนใจและท้าทายคนในสังคมนี้ให้ใช้สติไตร่ตรองบทความดังกล่าวด้วยใจที่เป็นธรรมและเป็นกลาง


อิชั้นเชื่อลึกๆค่ะว่าความรุนแรงอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในการปกครองของประเทศไทยมันมาถึงแล้ว เมื่ออำนาจลึกลับเข้ามาแทรกแทรงระบบจนทำให้สังคมเกิดความไร้สมดุลย์ แรงอัดและแรงต้านย่อมมีมากด้วยเช่นกันตามหลักฟิซิกส์
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 14-03-2007, 09:03 »

 :    .ตราบใดที่คนส่วนมากยังมองเห็น  เรื่องคุณธรรม
เป็นคุณธรรมลิบสติค ....การเมืองก็อยู่ในวังวนนี่ล่ะ
ลองอ่านบทความนี้ดูนะ ...เขียนได้ดีมาก ...


********************************************

คุณธรรมลิปสติค

โดย สมเกียรติ มีธรรม



เป็นที่สังเกตกันหรือไม่ว่า ทำไมคุณธรรมที่พร่ำกันอยู่ในเวลานี้ แทบจะไม่มีคุณค่าและความหมายใดๆ เหลืออยู่ให้ผู้คนในสังคมซาบซึ้งใจ จนหันมาน้อมนำใส่ตนดังที่หลายคนคาดหวัง ทั้งๆ ที่มีการเรียนการสอนมานานและพูดกันจนปากเปื่อยปากแฉะ แต่ก็ยังไม่ดีวันดีคืน มิหนำซ้ำยังย่ำแย่และเลวร้ายไปกว่าเดิมอีก

ข้อสังเกตข้างต้นนี้ ผู้เขียนคิดว่ามีสาเหตุมาจากการเปลี่ยแปลงโลกทรรศน์และชีวทัศน์ของผู้คนในสังคมสมัยใหม่ ที่มองศีลธรรมเหมือนกับกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับอะไรสักอย่าง โดยไม่เห็นว่าศีลธรรมจะเกื้อหนุนหรือค้ำจุนให้เข้าถึงบรมธรรมได้อย่างไร

เมื่อมองศีลธรรมเหมือนกับกฎหมายไปเสียแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่จึงเห็นไปในทำนองว่า ถ้าไม่กระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับใดๆ ก็ถือว่าได้ทำความดีกันแล้ว

ต่อเมื่อมีผู้หลักผู้ใหญ่บอกให้ทำความดี เป็นคนดี เป็นเด็กดีนะหนู ผู้คนก็จะสงสัยกันต่อไปอีกว่า "ไอ้ที่ว่าทำดีนั้นทำอย่างไร" ฉัน เธอ หนู ผม ก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมายสักหน่อย แล้วที่หนู-ฉัน-ผม ไม่ได้กระทำผิดกฎหมายไม่เรียกว่าทำดีแล้วหรือ

เพราะฉะนั้น คำพูดที่ดูดีและสวยหรูของผู้หลักผู้ใหญ่ไปจนถึงพระสงฆ์องค์เจ้า ที่สอนให้ทำความดี ทำแต่ความดีนั้น จึงกลายเป็นว่าไปสอนเฉพาะคนที่กระทำผิดกฎหมายเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ไป

ศีลธรรมและคุณธรรมที่พร่ำกันมาหลายยุคสมัย จึงแทบจะไม่มีความหมายใดๆ เหลืออยู่ให้ผู้ที่ไม่ได้ทำผิดกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคมต่อยอดขึ้นไปอีก

ในพระพุทธศาสนานั้นเห็นว่า กฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคม เป็นบทฐานสำคัญที่ทำให้เข้าถึงบรมธรรมได้ ดังปรากฏให้เห็นในพระวินัย ซึ่งบัญญัติห้ามอะไรต่อมิอะไรมากมายเสมือนกฎหมายในเวลานี้ ว่าต้องทำอะไรและไม่ทำอะไรในเรื่องใดบ้าง หนึ่ง-สอง-สาม

เมื่อปฏิบัติตามพระวินัยได้ก็ก้าวต่อไปในทางธรรม จนกระทั่งถึงเป้าหมายสูงสุดที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะบรรลุได้ โดยไม่หยุดอยู่แค่เพียงความดีที่ได้ปฏิบัติตามพระวินัย หรือไม่หยุดอยู่แค่เพียงความดีตามหน้าที่ของพลเมืองเท่านั้น หากแต่ยังพาตนและสังคมไปสู่อุดมธรรมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา และความเอื้ออาทรต่อกันและกันอีกด้วย

ต่อเมื่อเราแยกบรมธรรมกับกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคมออกไป โดยให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อะไรต่อมิอะไรทางสังคมมากกว่าเป้าหมายสูงสุด เราจึงไม่เห็นความสุขละเอียดประณีตที่มากกว่าการไม่กระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับใดๆ ในสังคม อาทิ ความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ความสุขที่เห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จ และทุกข์ใจเมื่อเห็นคนอื่นได้รับความเดือดร้อน ฯลฯ

อันที่จริงนั้น ชุมชนสงฆ์ (ในอุดมคติ) ก็เป็นชุมชนตัวอย่างของบุคคลที่มีคุณธรรมมากกว่าการไม่กระทำผิดกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งในระดับบุคคลและชุมชน

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชุมชนสงฆ์นั้น เป็นชุมชนของบุคคลที่สามารถผสานบรมธรรมกับกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิต

กล่าวคือ ในระดับบุคคลนั้น ก็สามารถพัฒนาจิตใจให้สูงยิ่งขึ้นไปจนเป็นอิสระจากวัตถุทั้งหลาย เห็นสรรพสัตว์เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเช่นเดียวกันกับเรา

ในด้านชุมชนก็เกื้อหนุนให้ผู้คนดำรงอยู่ร่วมกันด้วยดีมีความผาสุก ไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น และสิ่งอื่นมากไป

ต่อเมื่อมีพระสงฆ์รูปใดละเมิดกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคม ชุมชน (ขอเน้นคำว่าชุมชนไม่ใช่บุคคลหรือองค์กร) ก็จะมีกระบวนการลงโทษตามความผิดที่ได้กระทำ เช่น ไม่มีใครพูดคุยด้วย ให้อยู่กรรมสำนึกตน ฯลฯ ไปจนถึงขับออกไปจากชุมชนสงฆ์ อย่างนี้เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม การผสานบรมธรรมกับกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนนั้น ยังมีให้เห็นกันทั่วไปในชุมชนคฤหัสถ์ ทั้งในอดีตและบางชุมชนในปัจจุบันอีกด้วย

ชุมชนสมัยก่อนนั้นที่พูดกันได้ว่า ผู้คนมีคุณธรรมดำรงอยู่เป็นเนื้อเป็นตัวเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าในเวลานี้ ก็เพราะสามารถที่จะผสานความสัมพันธ์สองประการข้างต้นเข้าหากันได้ด้วยดีจนกลายเป็นวิถีชีวิตปกติของบุคคลและชุมชนไป ใครจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การค้าการขาย หรือทำไร่ไถนา จับปลา เข้าป่าล่าสัตว์ ฯลฯ ไปจนถึงประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ผู้คนในชุมชนก็จะตระหนักถึงผลกระทบที่จักเกิดขึ้นกับตน คนอื่น ครอบครัว และชุมชนตลอดเวลา

อาทิ เมื่อจับปลาก็จะเก็บมาให้หมดไม่ทิ้งไม่ขว้าง จะตัดไม้ก็เลือกตัดให้สูงจากพื้นดินขึ้นมา ให้พอที่จะแตกหน่อต่อยอดขึ้นไปได้อีก และที่สำคัญเขาจะไม่ตัดไม้ที่ขึ้นริมแม่น้ำหรือตามริมห้วยหนองคลองบึงซึ่งจะทำให้ตลิ่งพังได้ ฯลฯ

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คนสมัยก่อนนั้น มีสำนึกต่อผู้อื่นและธรรมชาติมากกว่าในเวลานี้ เมื่อคิดที่จะทำอะไรก็ตระหนักในบาปบุญคุณโทษทุกครั้งไป ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้มีบาปมีโทษน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ตนจะไม่ทำผิดกฎหมาย ฯลฯ ก็ตาม

คุณธรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ แม้จะเหือดแห้งไปในสังคมสมัยใหม่ แต่ในบางชุมชนก็ยังมีกลุ่มคนที่เห็นความสุขทางจิตใจ และเห็นบาปบุญคุณโทษสำคัญกว่าการได้เงินทองมากมายเสียอีก

ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับกลุ่มทอผ้าบ้านโป่งคำ ตำบลดู่พงษ์ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน กลุ่มทอผ้าที่นี่เดิมทีหาตลาดไม่ได้ มาในระยะหลังๆ เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้นก็เริ่มมีร้านค้าสั่งผ้าเข้ามามากมายคิดเป็นเงินหลายแสนบาท แต่ทางกลุ่มกลับไม่รับทำตามที่ร้านค้าสั่งมา เนื่องจากเห็นว่าการทอผ้าในปริมาณมากๆ มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้สมาชิกกลุ่มทอผ้าไม่มีความสุข เมื่อไม่มีความสุขในการทอผ้า พอทำออกมาก็จะไม่มีคุณภาพ เมื่อเอาผ้าที่ไม่มีคุณภาพไปให้เขาก็จะเป็นบาปได้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ผู้คนในชุมชนสมัยก่อนดูจะมีคุณธรรมมากกว่าในเวลานี้ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ เสียเลยก็ไม่ใช่ มีนั้นมีแน่แต่ก็น้อยกว่าปัจจุบันมาก และยังจำกัดอยู่ในวงแคบๆ เฉพาะชุมชนใดชุมชนหนึ่งเท่านั้น ไม่ลุกลามแพร่ขยายออกไปจนยากที่จะป้องปรามได้

พอเกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อใด ชุมชนก็จะมีกระบวนการแก้ไขปัญหาของตนอย่างดี ซึ่งมีมิติทางด้านจิตใจและสังคมเข้ามาเกี่ยวโยงอยู่ด้วย

แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ยกให้เป็นเรื่องของเวรของกรรมไป คือปล่อยให้คนคนนั้นรับกรรมที่ตนก่อไว้ในชาตินี้ หรือไม่ก็เป็นชาติหน้า โดยอย่าหวังว่าจะพบกับบรมธรรมได้เลย

ด้วยเหตุดังนั้น ผู้คนในชุมชนสมัยก่อน (ส่วนใหญ่) จึงไม่คิดกันแต่เพียงว่า ถ้าไม่กระทำผิดกฎหมายแล้วจะทำอะไรก็ได้ที่ให้ตนมีเงินมีอำนาจ มีคนนับหน้าถือตา หรือว่าให้หล่อให้สวย ฯลฯ แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับเห็นความผาสุกของผู้คนในสังคมเป็นที่ตั้ง จึงไม่ทำอะไรก็ได้ตราบที่ไม่ผิดกฎหมาย

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คนสมัยก่อนนั้นเอาบรมธรรมเข้ามาควบคุมหรือกำกับกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ทางสังคมอีกที จึงสามารถที่จะจัดสรรความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม แนวทางที่พอจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้นั้น นอกจากจะต้องสร้างสรรค์และพลิกฟื้นความเป็นชุมชนขึ้นใหม่แล้ว ก็ต้องจัดกระบวนการเรียนการสอนศีลธรรมกันใหม่ให้มีชีวิตชีวา และดึงมิติทางสังคมและบรมธรรมกลับมาให้ได้

หาไม่แล้วคุณธรรมก็จะเป็นอะไรไม่ต่างไปจากลิปสติคที่ติดอยู่แต่ริมฝีปากไปวันๆ แต่สังคมก็ยังย่ำแย่เหมือนเดิม ไม่มีแนวโน้มดีขึ้นแต่อย่างใด


http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03130350&day=2007/03/13&sectionid=0130
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2007, 09:04 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
หน้า: [1]
    กระโดดไป: