ย้อนรอย"ไอทีวี"(1)
"ชินคอร์ป"ปฐมเหตุแห่ง"จอมืด" ไม่ว่าคำสั่งของศาลปกครองเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทระหว่างสถานีโทรทัศน์ "ไอทีวี" กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือ "สปน." จะออกมาในแนวทางใด แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจากมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2550 ที่ให้ "ไอทีวี" ระงับการออก อากาศชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม เป็นต้นไป จนกว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะวินิจฉัยว่า กรมประชาสัมพันธ์สามารถเข้ามาดำเนินงานแทน สปน. ได้หรือไม่ ก็คือบ้านเราจะไม่มีสถานีโทรทัศน์ที่ชื่อ "ไอทีวี".....
ไม่มี "สื่อเสรี เพื่อการเมือง" อีกแล้ว!!!
"พฤษภาทมิฬ"ทำคลอด"ไอทีวี"
แนวคิดการก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ "ไอทีวี" เกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" พ.ศ. 2535 ในรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน อันเนื่องมาจากความต้องการที่จะมี "สื่อเสรี" ขึ้นมาช่องหนึ่งด้วยเหตุผลที่ว่าในเหตุการณ์ดังกล่าวสื่อโทรทัศน์ 5 ช่องในขณะนั้นมิได้รายงานข่าวเหตุการณ์ นองเลือดตามความเป็นจริงสักเท่าไร
จากนั้น สปน. โดยนายมีชัย วีระไวทยะ ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแล ได้เปิดให้มีการประมูลสัมปทาน สถานีโทรทัศน์ช่องใหม่ด้วยเงื่อนไขของผู้รับสัมปทานว่าจะต้องมีผู้ถือหุ้น 10 ราย แต่ละรายต้องมีสัด ส่วนหุ้นที่เท่ากัน พร้อมกับแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อป้องกันการผูกขาด และมีสัดส่วนเนื้อหา รายการข่าวและสาระไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และรายการบันเทิงไม่เกินร้อยละ 30
ผลการประมูลในปี 2538 สรุปว่ากลุ่มบริษัท สยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ดำเนินงานบริหารสถานีฯ เป็นเวลา 30 ปี(สิ้นสุดวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568) ค่าสัมปทาน 25,200 ล้านบาท จากราคากลาง 10,000 ล้านบาท พร้อมกับตั้งชื่อสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่า "สถานีโทรทัศน์ไอทีวี"
"ไอทีวี" เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2539 และได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก จนถือได้ว่าเป็น "สถานีข่าว" อย่างแท้จริง!!!
ต่อมาในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้มีการแก้ไขข้อกำหนดใหม่ ประกอบกับการเกิด "วิกฤติเศรษฐกิจ" ใน พ.ศ.2540 บริษัทฯ จึงขาดทุนอย่างหนักทางธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงติดต่อให้ "กลุ่มชินคอร์ปอเรชั่น" หรือ "ชินคอร์ป" เข้ามาถือหุ้นแทนในเดือนพฤศจิ กายน พ.ศ.2543.....
ตั้งแต่นั้นมาเรื่องวุ่นๆก็เกิดขึ้นทันที เพราะ "ไอทีวี" เริ่มเปลี่ยนไป!!!
ในระยะนั้น "ไอทีวี" เริ่มถูกผู้คนบางส่วนมองว่ามุ่งไปถึงเรื่องของผลกำไรเป็นที่ตั้ง มีเรื่องของ "กบฏไอทีวี" มีเรื่องของการขอแก้ไขสัญญา-การขอลดค่าสัมปทานที่ทำให้รัฐต้องสูญเสียผลประ โยชน์ที่พึงจะได้.....กระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2549 "ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์" ได้ประกาศขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปทั้งหมดให้กับ "กองทุนเทมาเส็ก" ของประเทศสิงคโปร์ ทำให้ไอทีวีต้องตกไปเป็นของต่างชาติในทันที
"ชินคอร์ป"ปฐมเหตุแห่ง"จอมืด"
ภายหลังการเข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน "ไอทีวี" โดย "ชินคอร์ป" ของ "ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์" ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2543 ไอทีวีก็เหมือนเริ่มนับสู่วันถอยหลัง และก็มาถึงวัน "จอมืด" ในที่สุด โดยปัญหาครั้งสำคัญที่ "ไอทีวี" ต้องเผชิญมาก่อนหน้านี้ เป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปในชื่อเรียกขานว่า.....
"กบฏไอทีวี"!!!
ทั้งนี้ "ไอทีวี" ได้ดำเนินแนวทางตามเจตนารมณ์มาได้ระยะหนึ่ง จนมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำ คัญเมื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เจ้าของพรรคไทยรักไทยและธุรกิจในเครือชินคอร์ป ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการไอทีวี และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทันที ภายหลังพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง 6 มก ราคม 2544 .....
ถือเป็นครั้งแรกของวงการ "สื่อโทรทัศน์" ที่สื่อสารมวลชนตกอยู่ในมือ "นักธุรกิจในคราบนักการเมือง" ส่งผลให้ทิศทางการนำเสนอข่าวสารของ "ไอทีวี" เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และเป็นกระบอกเสียงอย่างดีให้แก่พรรคไทยรักไทย และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร"
แม้ว่าในระยะเริ่มต้น "ทักษิณ" จะการันตีว่า ไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของ "ไอทีวี" แต่กาลเวลาได้พิสูจน์ในเวลาต่อมาว่า "ไอทีวี" ไม่อาจสลัด "พันธนาการทางการเมือง" ได้อย่างแท้ จริง!!!
"จุดเริ่มต้น" ของ "กบฏไอทีวี" เกิดขึ้นจากกรณีการออกมาของนักข่าวกลุ่มหนึ่งเพื่อต่อ ต้านการเข้ามาของกลุ่มชินคอร์ป หลังมีข่าวกลุ่มทุนนี้จะเข้ามาถือหุ้นในไอทีวีที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน แต่เดือนพฤศจิกายน 2543 กลุ่มชินคอร์ปก็ได้เข้ามาถือหุ้นไอทีวีจนได้ ท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนักจากพนักงานฝ่ายข่าว เพราะไม่พอใจที่ถูกผู้บริหารตัวแทนจากชินฯ แทรกแซง ห้ามทำข่าวที่มีผลด้านลบต่อตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นตัวเก็งนายก รัฐมนตรีในขณะนั้น
โดยเฉพาะเรื่อง "ซุกหุ้น" และปัญหาที่ดิน "สนามกอล์ฟอัลไพน์"!!!
การเข้าแทรกแซงของฝ่ายผู้บริหาร ส่งผลให้นักข่าวกลุ่มหนึ่งไม่พอใจ ถึงขั้นออกมาแถลง การณ์ต่อต้าน แต่สุดท้ายนักข่าวกลุ่มนี้ก็ถูกสอบสวน จนนำมาซึ่งการรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพแรง งานขึ้นมาและจัดการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 ก่อนที่พวกเขาจะถูกกล่าวหาว่าเป็น "กบฏ" และถูก "เลิกจ้าง" ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 จำนวน 23 คน
"กลุ่มแรก" จำนวน 8 คน ถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลว่าไปร่วมแถลงข่าวต่อสาธารณชนทำให้บริ ษัทเสื่อมเสีย และกลุ่มหลังเป็นกรรมการสหภาพจำนวน 15 คน ด้วยสาเหตุว่าบริษัทมีนโยบายปรับลดพนักงานเพราะประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง ต่อมากลุ่มนักข่าวจำนวน 21 คน ได้นำเรื่องการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมฟ้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์(ครส.)
เมื่อ ครส. มีคำสั่งให้บริษัทไอทีวี รับพนักงานทุกคนกลับเข้าทำงาน แต่บริษัทกลับปฏิเสธ "กบฏไอทีวี" จึงได้ฟ้องคดีต่อศาลแรงงานเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน กระทั่งปี 2546 ศาลแรงงานวินิจฉัยให้ฝ่ายโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี และให้บริษัทรับพนักงานกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งจ่ายเงินเดือนในระหว่างที่ถูกเลิกจ้างชดเชยด้วย ขณะที่ทางบริษัทไอทีวี ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ทว่าศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ทำให้กลุ่ม "กบฏไอทีวี" เป็นฝ่ายชนะคดีในที่สุด!!!
เรื่องราวข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "ไอทีวี" ไม่อาจสลัดพันธนาการทางการเมืองไปได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของพนักงานไอทีวีที่เห็นด้วยกับการเข้ามาของ "นักธุรกิจการ เมือง" จนได้กลายมาเป็น....."ตำนาน 23 กบฏไอทีวี" ที่ได้รับการยกย่องในความกล้าหาญที่รักษาอุ ดมการณ์ของวิชาชีพสื่อสารมวลชน!!!
เรื่องราวของ "ไอทีวี" ก่อนที่จะเดินมาถึงวัน "จอมืด" มิได้มีเพียงเท่านี้
โปรดติดตามตอนต่อไป..... http://www.naewna.com/news.asp?ID=51329***********
โปรดติดตามตอนต่อไป.....