ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-01-2025, 00:54
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ใครทำให้"สุวรรณภูมิ"เละเพื่อให้"จางงี"แซงหน้า? 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ใครทำให้"สุวรรณภูมิ"เละเพื่อให้"จางงี"แซงหน้า?  (อ่าน 943 ครั้ง)
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« เมื่อ: 30-01-2007, 09:05 »

30 มกราคม 2550 น.

อ่านพาดหัวหน้าหนึ่งของ "ประชาชาติ" ฉบับวันที่ 29-31 มกราคม ที่ผ่านมา คุณจะเข้าใจว่าทำไมท่านรองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน จึงประกาศท้าชกคนที่โกงกินสนามบินสุวรรณภูมิ อย่างมีอารมณ์

เพราะพาดหัวนี้บอกว่า

"สิงคโปร์สบช่องสุวรรณภูมิเดี้ยง ชิงเบอร์ 1 เอเซีย..."

และเนื้อหาของข่าวบอกว่าวิกฤติของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ประเทศไทยพลาดท่าชิงความเป็น "ฮับการบิน" ของภูมิภาคเอเชียเพราะสิงคโปร์วางกลยุทธ์ลึกล้ำ ดันสนามบินจางงี-คอมเพล็กซ์ กาสิโนดูดเงินจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก

ข่าวชิ้นเดียวกันบอกว่าเวียดนาม ก็ชูนโยบายสร้างสนามบินแห่งใหม่เพื่อจะเทียบฟอร์มกับสิงคโปร์ ซึ่งก็เท่ากับว่าทั้งประเทศเพื่อนบ้านของเราวิ่งแซงหน้าไทยไปแล้ว

ความ "น่าเจ็บใจ" ของคนไทยที่ติดตามข่าวคราวเรื่องสนามบิน เทมาเส็ก ชินคอร์ป เงิน 73,000 ล้านบาทที่ตระกูลทักษิณได้จากการขายหุ้นให้เทมาเส็กแล้วไม่เสียภาษีให้คนไทยเลยแม้แต่บาทเดียว...ก็คือว่าเราเคยมีผู้นำที่คุยโม้โอ้อวดหนักหนาว่าจะนำพาประเทศสู่ความเป็นหนึ่งในภูมิภาค

แต่พอลับหลังประชาชน เขากลับทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศไทยถูกสิงคโปร์ชิงความเป็นผู้นำเหนือไทยเราอย่างให้อภัยไม่ได้เลย

หลายคนคงยังจำได้ว่าทักษิณ ตอนเป็นนายกฯ ทำเป็นขึงขังคึกคักกับการเร่งสร้างสนามบินสุวรรณภูมิให้เสร็จ เพื่อจะเปิดให้ทัน 28 กันยายน ถึงกับสร้างภาพด้วยการไปค้างคืนบริเวณก่อสร้างสนามบินบ้าง อ้างว่าแอบขับรถส่วนตัวไปตรวจสอบการก่อสร้างบ้าง อวดอ้างว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของเอเชียบ้าง...

วันนี้เมื่อความจริงปรากฏออกมาแล้วว่า คำประกาศเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคำหลอกลวง เป็นการสร้างราคาให้กับตัวเอง ขณะที่เนื้อแท้ของการก่อสร้างนั้นเต็มไปด้วยความเหลวแหลก โกงกิน การออกแบบ และรับเหมาก่อสร้างที่ต่ำกว่าคุณภาพ การฉ้อฉลของคนในรัฐบาลเพื่อหาผลประโยชน์ใส่กระเป๋าตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศชาติ

ทักษิณ และครอบครัวเอาสัมปทานดาวเทียม มือถือ และสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในหุ้นชินคอร์ป ไปขายให้เทมาเส็ก ของสิงคโปร์ เพื่อทำกำไรเข้ากระเป๋าตัวเองโดยไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียวก็น่าเกลียดน่ากลัวอยู่แล้ว

ทักษิณ เป็นผู้นำรัฐบาลที่สร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ที่คุณภาพต่ำและมีเรื่องอื้อฉาวเป็นที่อับอายไปทั่วโลกก็คือการ "ขายชาติ" อีกรูปแบบหนึ่ง

เพราะวันนี้สิงคโปร์ นอกจากจะเข้ามามีบทบาทครอบงำในเศรษฐกิจไทยเพราะฝีมือของตระกูลทักษิณ แล้ว ความยำยำตำบอนของรัฐบาลก่อนภายใต้การนำของทักษิณ ในเรื่องการโกงกินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็คือการรับใช้สิงคโปร์ เท่ากับเป็นการ "ขายชาติ" ไทยให้สิงคโปร์อีกเปลาะหนึ่งด้วย
ไม่มีภาพใดที่ตอกย้ำการ "ขายชาติ" ของผู้นำระดับชาติได้ดีเท่ากับเรื่องการโกงกินกันอย่างย่อยยับที่สนามบินสุวรรณภูมิ

มองให้ลึกก็ยิ่งจะเห็นภาพทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนบุคคล และกลุ่มบุคคลที่พยายามเข้ามามีอำนาจทางการเมือง เพื่อจะได้แสวงหาประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองด้วยการประเคนทรัพยากรอันมีค่าของประเทศให้กับต่างชาติ

สังเกตไหมว่าเขาเคยพูดเสมอว่า "จะมีธุรกิจใหญ่สักกี่กลุ่มในประเทศที่จะมีเงินมากพอที่จะทำอะไรใหญ่ๆ"

นั่นสะท้อนถึงความเชื่อลึกๆ ของเขาว่าหากเขาจะกินอย่างเป็นกอบเป็นกำ จะต้องหากลุ่มทุนต่างประเทศที่พร้อมจะ "เล่นเกม" กับเขา

คนมีสตางค์มาก และพร้อมที่จะเล่นเกมกับธุรกิจการเมืองที่ไม่ละอายเรื่องโกงกินก็หนีไม่พ้นสิงคโปร์เพราะไม่มีประเทศอื่นใดในอาเซียนที่มีความ "เขี้ยว" เท่าเขาคนนี้อีกแล้ว

สำหรับสิงคโปร์ การที่เขาเล่นเกมกับผู้นำไทยที่ "บ้ายอ" และ "หิวเงินก้อนใหญ่" นั้น เขาได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

ด้านหนึ่ง เขาเอาเงินเข้ามาซื้อทรัพย์สินที่มีค่าของไทยไม่ว่าจะเป็นโทรคมนาคมหรืออสังหาริมทรัพย์ผ่านผู้มีอำนาจสูงสุดทางการเมือง

นอกจากได้ธุรกิจที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทยแล้ว เขาก็ยังได้ผู้นำประเทศที่เขาควบคุมได้อยู่หมัด
และที่สำคัญกว่านั้น เขารู้ว่าขาขึ้นเขาได้ทรัพย์สินของไทยและอิทธิพลทางการเมือง ส่วนขาล่องนั้นเขาก็ตัดทอนความสามารถในการแข่งขันของไทยกับสิงคโปร์ในอนาคตอีกด้วย

เห็นหรือยังว่านี่คือแผนขายชาติที่น่ากลัวเพียงใด


กาแฟดำ

http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=153103
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2007, 09:11 โดย 55555 » บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #1 เมื่อ: 30-01-2007, 09:08 »

วันนี้ผลงาน เลว ๆ ที่สุวรรณภูมิ เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้ว ........สำนักข่าว เอพี ตีข่าวไปทั่วโลก......จะคอยดูว่าคราวนี้ เหลี่ยมจะจ้างอีกกี่สำนักพิมพ์มาสร้างภาพตัวเอง
บันทึกการเข้า
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #2 เมื่อ: 30-01-2007, 12:29 »



http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01soc03270150&day=2007/01/27&sectionid=0113
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #3 เมื่อ: 05-02-2007, 10:42 »

เตาอบสุวรรณภูมิ [5 ก.พ. 50 - 17:05]
 
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานฝ่ายติดตามการแก้ปัญหาสนามบินสุวรรณภูมิ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พานักข่าวไปตรวจสอบระบบปรับอากาศเครื่องบินและระบบไฟฟ้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ บอกว่าระบบปรับอากาศมีความเย็นต่ำกว่ามาตรฐาน ระบบไฟฟ้าก็ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ เครื่องบินขนาดใหญ่ไม่ไว้วางใจและไม่ยอมใช้บริการ

วันนี้ผมก็มีเรื่อง “ระบบปรับอากาศภายในอาคารผู้โดยสาร” ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำมาเล่าสู่กันฟังอีกเรื่องด้วยความเป็นห่วงใยอย่างยิ่ง

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดใช้เมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้ว เป็นช่วงหน้าฝนแล้วก็ต่อด้วยหน้าหนาว อากาศยังไม่ร้อนนัก จึงยังไม่มีการทดสอบอุณหภูมิภายในอาคารผู้โดยสารในหน้าร้อน แต่กระนั้นผู้โดยสารก็บ่นกันมากว่าแอร์ไม่เย็น แต่นับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป เมื่อลมหนาวระลอกสุดท้ายพัดผ่านไปแล้ว หน้าร้อนก็จะมาเยือนอย่างเป็นทางการ

อุณหภูมิภายในอาคารผู้โดยสารจะเป็นอย่างไร คงได้พิสูจน์กันแน่นอน

กลางเดือนที่แล้ว ผมก็ไปใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีก แม้จะเป็นช่วงบ่ายคล้อย ผมเดินไปในอาคารทางเดินผู้โดยสาร ผ่านช่วงที่เป็นหลังคากระจก ไอร้อนวิ่งผ่านมากระทบวูบวาบเป็นระลอก ร้อนจนเหงื่อออก

แล้วหน้าร้อนในเดือนเมษายนที่จะถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า ผมไม่แน่ใจว่า ภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะร้อนแค่ไหน

เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองเขียนเอง แต่เป็นความเห็นของ สมาคมสถาปนิกสยามที่มีหนังสือไปทักท้วงการออกแบบของ เอ็มเจทีเอ ก่อนที่จะมีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นผล โดยระบุว่า

อาคารทางเดินผู้โดยสารมีผนังและหลังคาเป็นผืนเดียวกัน ตามความโค้งของรูปทรงไข่ไก่ ประกอบด้วย กระจก และ ผ้าใยสังเคราะห์เคลือบสารเทฟลอน ซึ่งเป็นวัสดุโปร่งแสง เช่นเดียวกับอาคารหลัก ผู้ออกแบบอ้างว่า ที่นำวัสดุทั้งสองมาใช้ก็เพื่อต้องการแสงธรรมชาติมาลดไฟฟ้าแสงสว่าง และจะมีเทคนิคพิเศษในการปรับอากาศ ทำให้อาคารเหล่านี้เป็นอาคารประหยัดพลังงาน

สมาคมไม่สามารถเชื่อถือการกล่าวอ้างของเอ็มเจทีเอได้ จากแบบขั้นต้นและข้อมูลจากเอ็มเจทีเอ สมาคมฯสรุปความเห็นว่า ผนังและกระจกสลับกับผ้าใยสังเคราะห์ จะก่อให้เกิดปัญหาดังนี้ (ผมจะเอาเฉพาะเรื่องอุณหภูมิภายในอาคารก็แล้วกันนะครับ)

อุณหภูมิภายในอาคาร ยากที่จะปรับอากาศให้อาคารรูปทรงไข่ที่มีความยาวรวมกันกว่า 3 กิโลเมตร (3,321 เมตร) ให้มีความเย็นสม่ำเสมอเท่ากันทุกพื้นที่ อาคารที่เปิดรับแสงอย่างโล่งแจ้งในเมืองไทยเช่นนี้ จะต้องวิบัติด้วยพลังงานความร้อน ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายในการต่อสู้กับพลังงานอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

เอ็มเจทีเอก็แจ้งกลับสมาคมฯว่า จะเพิ่มผ้าใบเป็น 2 หรือ 3 ชั้น ในระยะห่างกัน 10 ซม. เพื่อบรรจุแผ่นใยกันเสียงเข้าไป

แต่สมาคมฯเห็นว่า การแก้ปัญหาดังกล่าวไร้ตรรกะเป็นอย่างยิ่ง ผ้าใยสังเคราะห์ชนิดเคลือบเทฟลอนเป็นวัสดุที่มีราคาสูง เอ็มเจทีเอประมาณราคาไว้ 6,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ราคาล่าสุดที่มีการใช้ในเมืองไทยตกประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อตารางเมตร ถ้าซ้อน 2-3 ชั้น ราคาจะเพิ่มอีกเท่าไร

แล้วสมาคมสถาปนิกสยามก็ฟันธงว่า กระจกและผ้าใบมีปฏิกิริยาต่อแสงต่างกัน แสงแดดโดยตรงที่ผ่านทะลุหลังคาบางส่วนที่เป็นกระจกล้วนๆ ไม่มีอะไรมาบังตามรอยเชื่อมต่อของอาคารลงมาบนพื้นที่ใหญ่โตข้างล่าง จะทำให้บริเวณเหล่านี้เป็นเสมือนขุมนรก

จะเป็น “ขุมนรก” หรือไม่ เดือนเมษายนนี้จะได้พิสูจน์กันครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”
 
http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=35791
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
หน้า: [1]
    กระโดดไป: