กมธ.คลอดกรอบรัฐธรรมนูญใหม่
ปลดแอกส.ส.พ้นพรรคการเมือง
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 มกราคม ที่ห้องประชุมงบประมาณ อาคารรัฐสภา 3 มีการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณากรอบการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดย น.ต.ประสงค์ กล่าวก่อนเข้าสู่วาระการประชุมว่า ขอให้กรรมาธิการทุกคนช่วยกันยกร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ เพราะถ้าไม่ทันจะเกิดความเสียหาย และขออย่าหวั่นไหวกับเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้น ให้ถือเป็นเพียงความเห็นหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่จะมาชี้นำหรือบังคับให้ต้องทำตาม
จากนั้นที่ประชุมจึงพิจารณาและมีมติตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมา 3 คณะ ประกอบด้วย
1.คณะอนุกรรมาธิการสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการกระจายอำนาจ มี นายชูชัย ศุภวงศ์ เป็นประธาน มีกรอบในการพิจารณายกร่างครอบคลุมประเด็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หน้าที่ของปวงชนชาวไทย แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและการกระจายอำนาจ
2.คณะอนุกรรมาธิการด้านสถาบันการเมือง มี นายจรัญ ภักดีธนากุล เป็นประธาน มีหน้าที่กำหนดกรอบการพิจารณายกร่างในประเด็นเกี่ยวกับรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง และคุณธรรมจริยธรรมของข้าราชการกับนักการเมือง
3.คณะอนุกรรมาธิการด้านองค์กรตรวจสอบอิสระและศาล มี นายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน พิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับศาล การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ในระหว่างการประชุม นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ เลขานุการ กมธ. ยังได้นำเสนอ
แนวทางหลักในการร่างทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมีทั้งหมด 10 ประเด็น คือ
1.ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้
2.ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และทรงเป็นจอมทัพไทย
3.พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องในทางใดมิได้
4.ประเทศไทยปกครองด้วยระบบนิติรัฐ
5.ประเทศไทยปกครองด้วยระบบรัฐสภา
6.อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล
7.รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
8.เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครอง
9.ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเสมอภาค การมีส่วนร่วมของประชาชนและอำนาจของชุมชน ย่อมได้รับการรับรองและคุ้มครอง และ
10.ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในพิจารณาและพิพากษาอรรถคดีทั้งหลาย พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้รับรองแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญในแต่ละด้าน เพื่อให้คณะอนุกรรมาธิการชุดต่างๆ ใช้เป็นกรอบในการยกร่างฯ ประกอบด้วย
ด้านสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ
1.ควรขยายสิทธิและเสรีภาพให้มากกว่าเดิม
2.ให้ประชาชนใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
3.ควรบัญญัติเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในด้านต่างๆไว้ในรัฐธรรมนูญ
4.ส่งเสริมการกระจายอำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านสถาบันการเมือง
1.ควรเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งทั้งส.ส.และส.ว.
2.ส.ส.ควรเป็นอิสระจากพรรคการเมืองในการทำหน้าที่นิติบัญญัติ
3.ควรมี 2 สภา
4.นายกรัฐมนตรีมาจาก ส.ส.
5.ให้ฝ่ายบริหารถูกตรวจสอบง่ายขึ้น
6.มีบทบัญญัติว่าด้วยคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองและข้าราชการรวมทั้งบทกำหนดโทษ
7.กำหนดความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการ ด้านองค์กรตรวจสอบอิสระและศาล
1.ควรคงองค์กรตรวจสอบและศาลไว้ทั้งหมด โดยปรับปรุงอำนาจหน้าที่ให้เหมาะสมขึ้น
2.ปรับปรุงระบบการสรรหาองค์กรอิสระให้มีความอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริงไม่ควรให้วุฒิสภาเป็นองค์กรทำหน้าที่แต่งตั้งองค์กรอิสระเพียงองค์กรเดียว
3.ควรมีระบบตรวจสอบการทำงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องอื่นๆประกอบด้วย
1.ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ง่ายขึ้น และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขได้ และ
2.บทเฉพาะกาลให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในปัจจุบันอยู่จนครบวาระ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะได้ข้อสรุปเป็น 10 แนวทางหลักได้มีการถกเถียงและแก้ไขกันในหลายประเด็น อาทิ ฝ่ายเลขานุการได้เสนอให้ส่วนราชการเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วยราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น แต่ปรากฏได้รับเสียงคัดค้านจากกมธ.ภาคสังคม โดยเฉพาะ นายวิทยา งานทวี เสนอให้ ให้ตัดราชการส่วนภูมิภาคทิ้งไปแล้วควรให้อำนาจกับท้องถิ่นมากขึ้น เนื่องจากการปกครองรูปแบบเก่าทำให้เกิดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจากชาวบ้าน และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน
จนในที่สุด นายจรัญ ภักดีธนากุล รองประธาน กมธ.ได้เสนอว่า ควรกำหนดเรื่องนี้ไว้ใน พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแทน ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดการโต้เถียงวุ่นวายระหว่างคน 2 กลุ่ม ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่ง นายสมคิด ยอมรับที่จะตัดออก
ขณะที่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ กมธ. ได้เสนอให้เพิ่มอำนาจขององค์กรอิสระ ให้เป็นอำนาจอธิปไตยที่ 4 จากที่เคยมี 3 ทางคืออำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เพราะบทบาทขององค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ศาลปกครอง มีอำนาจหักล้างมติของหลายหน่วยงานทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ เช่น การตัดสินการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ยกเลิกการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) อำนาจองค์กรอิสระจึงต้องเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย
"แม้การเขียนรัฐธรรมนูญจะต้องคำนึงถึงมรดกที่ตกทอดมา แต่ก็ต้องรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาด้วย เรื่องอำนาจอธิปไตย 3 ทาง ถูกเสนอมา 200 กว่าปีแล้ว วันนี้เมื่อสภาไว้ใจไม่ได้ ก็ต้องเพิ่มอำนาจองค์กรอิสระ ให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการของการเมืองการปกครองโลก"นายนครินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ในตอนท้ายของการประชุม น.ต.ประสงค์ จึงกำชับให้คณะอนุกรรมาธิการชุดต่างๆ แยกย้ายกันนำแนวทางหลักที่ได้ข้อสรุปร่วมกันไปพิจารณา แล้วนำกลับมาเสนอต่อที่ กมธ.ชุดใหญ่ในการประชุมครั้งต่อไปในวันพุธที่ 31 มกราคม เวลา 09.30 น.
"
ขอฝากเอาไว้ว่า อย่าให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยุ่งกว่าเก่า เพราะของเก่าก็ยุ่งอยู่แล้ว และปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือเขียนแล้วชาวบ้านอ่านไม่เข้าใจ อยากให้ครั้งนี้เขียนให้เข้าใจง่าย" น.ต.ประสงค์ กล่าว ขณะที่ นายวิชา มหาคุณ รองประธาน กมธ. เผยว่า อยากให้ยกเลิกข้อบังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง เพราะไม่มีประเทศใดในโลกที่บังคับเรื่องดังกล่าว ส่วนที่มาของ ส.ว.นั้น ขึ้นอยู่กับหน้าที่ที่ต้องการให้ ส.ว.ทำ แต่ไม่ควรให้อำนาจมากในการถอดถอนตรวจสอบรัฐบาล และคัดเลือกองค์กรอิสระ โดยให้เป็นอำนาจของ ส.ส.หรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองแทน
http://www.naewna.com/news.asp?ID=45900ดูกรอบเคร่าๆแล้ว รธน 2550 น่าจะดี