ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองแต่ก็ต้องเชื่อ เพราะมันเป็นหูของผม
เรื่องมีอยู่ว่า ผมไปตีกอล์ฟกับเพื่อนที่เล่นด้วยกันประจำ ซึ่งบุคคลคนนี้ผมทราบดีว่า เชียร์สมัคร รักทักษิณ อย่างสุดใจ แต่ผมก็ไม่คิดว่า ยังจะมีคนที่มีความคิดเช่นเขาหลงเหลืออยู่ในประเทศนี้
ปกติ เราไม่ค่อยคุยเรื่องการเมืองกันหรอกครับ เพราะต่างก็ให้ความเคารพจุดยืนที่แตกต่างกันตามอัธยาศัย แต่เมื่อวาน ผมดันไปพูดถึงเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิว่า อาจต้องมีการย้ายไปดอนเมืองเสียแล้ว
เท่านั้นแหละ..
ความตึงเครียดก็บังเกิดขึ้นในทันที เมื่อเพื่อนคนนี้บอกว่า ไม่เชื่อเรื่องรันเวย์ แท็กซี่เวย์ร้าว แม้ผมจะบอกว่า ทีวี หนังสือพิมพ์เอารูปมาให้ดูกันจะๆ ก็เห็นอยู่ว่า มันร้าว
เขาบอกว่า.."เป็นเพราะสื่อเป็นพวกคมช. สนามบินน่ะไม่เป็นอะไรหรอก พี่สาวเขาเพิ่งบินกลับมาเมืองไทย บอกว่า ตอนลง รันเวย์นุ่มนวลมาก สื่อกุข่าวขึ้นมาทั้งนั้น"
ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่า รันเวย์และแท็กซี่เวย์ร้าว แถมบอกว่า ผมเห็นด้วยตาหรือเปล่า มีแต่สื่อและคนของคมช.ทั้งนั้นที่เห็น เพราะประชาชนทั่วไปเข้าไปในรันเวย์ไม่ได้
แม้จะบอกว่า เรื่องนี้มันทำแบบปกปิดไม่ได้หรอก เพราะต่างชาติเป็นผู้ใช้สนามบินร่วมกับเรา ทั้งในฐานะผู้โดยสาร นักบิน และนักข่าวก็มีทั้งไทยและเทศที่ไปทำข่าว
มันจะกุข่าวขึ้นมาโกหกคนทั้งโลกได้อย่างไร แต่แกก็เชื่ออย่างไร้เหตุผลอยู่นั่นเองว่า เป็นรูปที่เมคกันขึ้นมาทั้งนั้นเพื่อหาทางเอาผิดกับทักสิงค์ ไม่งั้นสานต่ออำนาจไม่ได้
(นี่ถ้าผมสามารถนำแกไปดูด้วยตาตัวเองในสนามบินและเห็นภาพว่า ร้าวจริงๆ ผมก็เชื่อว่า แกจะบอกว่า เป็นฝีมือของคมช.และคนในอดีตพรรคฝ่ายค้านแน่ๆ เชื่อผมดิ )ผมมานั่งนึกๆ ดู..
ไอ้เพื่อนคนนี้ก็มีอาวุโสกว่าผม ผ่านโลกมามาก เป็นเศรษฐีที่ไม่ต้องทำอะไรก็สบายไปตลอดชีวิต มีการศึกษาสูงระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐ พี่น้องเป็นทั้งหมอ นักธุรกิจและด็อกเตอร์ทางวิศวกรรม และเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิดแท้ๆ ถ้าคนระดับนี้ยังมีความเชื่อเช่นนี้อยู่ รากหญ้าที่เป็นตาสี ยายสาที่อยู่ไกลจากสุวรรณภูมิจะรับรู้ข่าวสารด้านนี้อย่างไร และจะคิดอย่างไรเมื่อมีคนมาล้างสมอง
นี่นับว่า
อาการหนักกว่านายชอบแถทั้งสอง นายอะไรจ๊ะ นายภัทร นายราษฎร์ครึ่งขั้น นายแสนปีฯ อีกนะเนี่ย ในขณะนี้มีภาพยนตร์เรื่องพระเนศวรออกฉาย ก็มีคนเอาเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในสมัยพระองค์ออกมาเผยแพร่ ซึ่งผมคิดว่า มีประเด็นที่น่าสนใจพอจะเทียบเคียงได้ทีเดียว
หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ ของอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งท่านได้แปลและเรียบเรียงมาจากงานเขียนของ วัน วลิต เยเรเมียส ฟอน ฟลีต ฝรั่งฮอลันดา ที่เข้ามาค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยาหลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคตแล้วประมาณ 45-50 ปี
ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ ไม่ถูกพม่าเผาไปในการเสียกรุงครั้งที่สอง
เนื้อหาเป็นอย่างไรก็คงให้ไปหาอ่านดูกันเอาเอง แต่ผมยกประเด็นมาบอกว่า เหตุไร พระนเรศวรจึงต้อง "ดุ" จนเป็นที่เกรงขามทั้งในประเทศศรีอยุธยา และหัวเมืองต่างแดน แม้ไทยจะเสียกรุงให้กับพม่าในช่วงเวลาไม่กี่ปี แต่การที่พม่ามีอิทธิพลเหนือหัวคนไทยในสมัยนั้น ทำให้ขุนนาง ทหารและทวยราษฎร์ส่วนหนึ่งกลายเป็นผู้ฝักฝ่ายพม่าไปเสียแล้ว
การฝักฝ่ายพม่า ทำให้พระนเรศวรปกครองประเทศศรีอยุธยาได้อย่างยากลำบาก เพราะเหมือนเลี้ยงไส้ศึกที่ไม่เชื่องเอาไว้เป็นหอกข้างแคร่ (เช่นที่พระองค์ก็เคยถูกพม่าชุบเลี้ยงให้ทรงเชื่องแต่ไม่ทรงเชื่องนั่นแล) คิดอ่านประการใด พวกมันก็แกล้ง "ใส่เกียร์ว่าง" หรือมิฉะนั้นก็คาบเอาข่าวความเคลื่อนไหวของศรีอยุธยาไปบอกกับพม่า
เมื่อไม่อาจไว้วางใจขุนนาง และทหารที่ส่อแววไม่จงรักภักดีได้ พระองค์จึงต้องประหารชีวิต มีการประหารชีวิตผู้ที่ฝักฝ่ายพม่าในยุคสมัยของพระองค์ไปราว 8 หมื่นคน ลองนึกดูก็แล้วกันนะครับว่า สมัยศรีอยุธยานั้น ราษฎรจะมีสักกี่ล้านคนเชียว
ถ้าพระองค์ไม่กำจัดเสี้ยนหนามเหล่านี้ออกไปให้พ้นแผ่นดิน แต่ใช้วิถีทาง"สมานฉันท์" ก็คงมีสักวันหนึ่งที่พระองค์ทรงพระประชวร หรือ ชราภาพลง คนเหล่านี้ก็พร้อมจะพลิกแผ่นดินกลับไปส่งคืนให้พม่าอีกครั้ง เพราะสมองถูกล้างไปแล้วเรียกกลับคืนไม่ได้
ยอมแค่ปลดโสร่งออก มิได้หมายความว่า อยากนุ่งกางเกงไทยซะที่ไหนสมัยนี้ ไม่มีพระนเรศวรมากอบกู้อิสรภาพ และไม่มีทางที่จะสังหารชีวิตผู้ที่ฝักฝ่ายศัตรูของประเทศชาติได้
"แม้แต่สักคนเดียว" ในข้อหาดังกล่าว
เชื่อว่าในจำนวน 14 ล้านคนที่เคยเลือกระบอบทักษิณ ก็คงมีอยู่จำนวนไม่น้อยกว่า 8 หมื่นคนหรอกครับ ที่จะเป็นหอกข้างแคร่ของคนไทยตลอดชีวิต