ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
11-01-2025, 05:28
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  กกต.พบนายกฯยันพร้อมเลือกตั้ง ก.ย. นี้ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
กกต.พบนายกฯยันพร้อมเลือกตั้ง ก.ย. นี้  (อ่าน 753 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 25-01-2007, 17:57 »




'อภิชาต สุขัคคานนท์' นำ กกต. ทั้ง 4 คน เข้าพบ 'พล.อ.สุรยุทธ์' ยืนยันความพร้อมเลือกตั้ง ส.ส. หลังทราบนายกฯ ระบุจะให้มีการเลือกตั้งปีนี้ ระบุหากรัฐธรรมนูญเสร็จตามกำหนดเวลา จะสามารถเลือกตั้งได้ภายในเดือนกันยายนนี้


นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมด้วย กกต. ทั้ง4 คน เข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เวลาในการหารือประมาณ 30 นาที

ภายหลังการหารือ นายอภิชาต พร้อม กกต. ร่วมกันแถลงว่า หลังจากที่ทราบว่านายกรัฐมนตรีระบุว่าจะมีการเลือกตั้งภายในปี 2550 จึงได้มาพบเพื่อยืนยันว่า กกต. มีความพร้อมในการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. เพราะขณะนี้ กกต. ได้พิจารณาร่างระเบียบการสรรหา กกต. จังหวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เนื่องจาก กกต. จังหวัดจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งปลายเดือนมกราคมนี้ จำนวน 62 จังหวัด จึงต้องมีการตั้งใหม่ แต่เนื่องจากการตั้ง กกต. จังหวัดชุดที่ผ่านมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า การสรรหาอยู่ในวงแคบ ดังนั้น จึงกำหนดเกณฑ์การสรรหา กกต. จังหวัดใหม่ โดยให้สาขาวิชาชีพ 15 สาขา คัดเลือกกันมา และ กกต. กลางจะพิจารณาให้เหลือเพียง 5 คน โดยพิจารณาจากความเป็นกลางทางการเมืองและความซื่อสัตย์สุจริต


  ประธาน กกต. กล่าวว่า ในการหารือกับนายกรัฐมนตรี เป็นการคุยกันในเรื่องทั่ว ๆ ไป โดย กกต. ยืนยันว่า มีความพร้อมในการเลือกตั้ง ทั้งด้าน กกต. จังหวัด การทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งการทำประชามติจะเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และไม่มีการกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ไม่ไปลงประชามติ จะใช้เสียงส่วนใหญ่ของผู้ที่มาลงประชามติเป็นตัวตัดสิน นอกจากนี้ ยังหารือเรื่องงบประมาณ ซึ่งในการเลือกตั้งจะใช้งบประมาณ 2 พันล้านบาท ต่อครั้ง โดย กกต. จะพยายามหาทางให้ประหยัดที่สุด อาจจะลดลงเหลือประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท

ต่อข้อถามว่า นายกรัฐมนตรีแสดงความกังวลเกี่ยวกับกระแสคว่ำรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอภิชาตกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่กังวล และ กกต. ไม่กังวลเช่นเดียวกัน เมื่อถามว่าจะมีการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อไร ประธาน กกต. กล่าวว่า อยู่ที่การร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าเสร็จตามกำหนดเวลา 180 วัน ก็สามารถจัดการเลือกตั้งได้

“ผมเรียนถามนายกรัฐมนตรี ท่านก็ให้ความมั่นใจว่ามีการเลือกตั้งปีนี้ คำว่าปีนี้คือภายในสิ้นปีงบประมาณนี้ ก็คือภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งพวกเราก็พร้อม เพราะ กกต. จังหวัดก็จะสามารถเลือกได้เสร็จภายใน 2 เดือนนี้” ประธาน กกต. กล่าว


ต่อข้อถามว่า มีการพูดถึงทางออกในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือไม่ นายอภิชาตกล่าวว่า ไม่มีการพูดถึง ส่วนมาตรการป้องกันการซื้อเสียงนั้น กกต. จะพยายามหาทางป้องกันให้ดีที่สุด เพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และจะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันด้วย ซึ่งจะพยายามดำเนินการสนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงอยากเห็นการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม

http://www.innnews.co.th/politic.php?nid=18829



...**ว่าแต่ จะเหลือพรรคใดให้เลือกเท่านั้นเอง ...?..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2007, 18:01 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 25-01-2007, 18:19 »

(ร่าง)รัฐธรรมนูญฉบับคมช.

โดย บุญเลิศ ช้างใหญ่



มีคนที่เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) บางคน บอกว่า 180 วัน สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จนั้นเป็นเวลาที่สั้นมาก น่าจะมีเวลานานกว่านี้ พร้อมกับเสนอว่าอยากให้ขยายเวลาออกไป

หากการพูดนั้นมาจากความเข้าใจในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 มาตรา 32 ที่บัญญัติว่า ในกรณีสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายใน 180 วันก็ดี สภาร่างรัฐธรรมนูญไม่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญก็ดี ประชาชนโดยเสียงข้างมากออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญก็ดี ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.100 คน) ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่ไม่อาจจะให้อภัยได้ ถ้าพูดหรือคิดสั้นๆ แค่นี้

เพราะ ส.ส.ร.100 คน ควรจะรู้ดีกว่าใคร (ควรจะรู้ดีกว่าคนไม่ได้เป็น ส.ส.ร.ซึ่งทั้งประเทศมีมากกว่า 60 กว่าล้านคน) ว่าการนับเวลา 180 วันนั้นเริ่มตั้งแต่วันแรกของการเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก ดังนั้น นับแต่วันแรกของการเปิดประชุม (วันที่ 8 มกราคม 2550) ซึ่งได้ตัวประธานและรองประธานสภาร่างฯ 2 คน จากนั้น สภาร่างฯที่ลงเรือลำเดียวกันแล้วย่อมจะต้องช่วยกันจ้ำ ช่วยกันพาย ช่วยกันคิดอ่าน ว่าการจะไปถึงฝั่งให้ทันเวลาที่กำหนดไว้ (วันที่ 2 กรกฎาคม 2550) จะต้องทำอย่างไร

ประการสำคัญ ต้องไม่ปล่อยวันเวลาให้ผ่านไป แม้เพียงวันเดียวโดยไม่มีความคืบหน้าอะไร

ด้วยเหตุนี้ ส.ส.ร.ที่พูดว่าเวลาน้อยและคนไม่ได้พูด แต่รู้ดีว่าเวลา 180 วันค่อนข้างจำกัด จึงต้องร่วมมือกันขวนขวาย ผลักดันให้สภาร่างฯ จัดระบบ การบริหารจัดการ ทำตารางเวลาแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้เริ่มต้นเดินหน้าโดยไม่ชักช้า

น่าเสียดาย การเริ่มต้นสตาร์ตในส่วนของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน ที่จะเริ่มประชุม และการตั้งคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ การกำหนดวิธีการทำงานของสภาร่างฯ กว่าจะเข้าที่เข้าทางหมดเวลาไปเกือบ 1 เดือน นั้นหมายความว่า เหลือเวลาอีกแค่ 5 เดือนเศษๆ เท่านั้น

5 เดือนเศษๆ เป็นช่วงเวลาของคณะกรรมาธิการยกร่างฯที่จะต้องรีบนำเสนอกรอบการยกร่าง เมื่อยกร่างฯเสร็จจะต้องทำคำชี้แจงว่า ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ในเรื่องใด พร้อมด้วยเหตุผล แล้วเสนอส่งไปยัง ส.ส.ร.,คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ,สภานิติบัญญัติแห่งชาติ,คณะรัฐมนตรี,ศาลฎีกา,ศาลปกครองสูงสุด,คณะกรรมการการเลือกตั้ง,คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ,ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน,ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา,คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ,สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,สถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้องค์กรเหล่านี้พิจารณาและเสนอความคิดเห็น

กฎเกณฑ์กำหนดไว้ดังนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่แต่ละองค์กรจะได้ประชุมบุคลากรอย่างเป็นกิจจะลักษณะเพื่อพิจารณาซึ่งไม่ได้ห้ามหากจะเสนอความคิดเห็นเรื่องอื่นๆ นอกเหนือไปจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของตน สำหรับสถาบันอุดมศึกษาซึ่งมีอยู่มาก ข้อคิดเห็นย่อมมาจากหลายแห่งและความคิดเห็นอาจจะสอดคล้องหรือแตกต่างกันก็ได้

พร้อมกันนั้น คณะกรรมาธิการยกร่างฯจะต้องทำเอกสารชี้แจงให้ประชาชนรับทราบเพื่อให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นเหมือนกับที่การร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540 เคยทำมาแล้ว

สำหรับ ส.ส.ร.หากใครจะยื่นแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมก็ให้กระทำได้ เพียงแต่ว่า ส.ส.ร.จะลงชื่อรับรองในญัตติไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ ส.ส.ร.ที่มีอยู่และเมื่อลงชื่อรับรองญัตติใดไปแล้วจะไปลงชื่อรับรองให้กับญัตติอื่นไม่ได้

นี่คือปัญหาที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวล็อคไว้เพื่อไม่ให้มีการยื่นขอแปรญัตติมากเกินไป เหมือนกับที่เคยกระทำกันในการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 แต่ใช่ว่า ส.ส.ร.จะถูกมัดมือมัดเท้าจนทำอะไรไม่ได้ก็หาไม่ ส.ส.ร.อาจเสนอไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างฯให้พิจารณา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่การจัดรูปการณ์ระหว่างคณะกรรมาธิการยกร่างฯกับ ส.ส.ร.จะเชื่อมประสานกันได้อย่างไร หากคณะกรรมาธิการยกร่างฯใจกว้าง คำนึงถึง ส.ส.ร.และภาคส่วนต่างๆ ในสังคมที่มีข้อเสนอและข้อเรียกร้องอยากให้บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ การจัดทำรัฐธรรมนูญก็จะดำเนินไปด้วยความราบรื่นและจะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางอันจะนำไปสู่ความสำเร็จในการออกเสียงประชาชาติในขั้นตอนสุดท้าย

กฎเกณฑ์วางไว้ว่า มีเวลา 30 วัน สำหรับองค์กรต่างๆ และน่าจะรวมถึงความเห็นของประชาชนที่จะประมวลขึ้นมา ตลอดทั้งคำแปรญัตติของ ส.ส.ร. จากนั้นคณะกรรมาธิการยกร่างฯจะพิจารณาความเห็นที่ได้รับพร้อมกับแก้ไขเพิ่มเติม ก่อนจะเสนอต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญให้พิจารณาและลงมติในขั้นสุดท้ายว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่

การทำงานร่วมกันของสภาร่างฯและคณะกรรมาธิการยกร่างฯหากเป็นไปด้วยดีก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่สภาร่างฯโดยเสียงส่วนใหญ่จะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เช่นเดียวกับองค์กร สถาบันต่างๆ ในสังคมก็ควรจะสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญถ้าได้รับการตอบรับอย่างดีในการร่างรัฐธรรมนูญของสภาร่างฯ

จะมีปัญหาก็ตรงที่นักการเมือง จะพอใจหรือไม่ ซึ่งเนื้อหารัฐธรรมนูญซึ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การดำรงตำแหน่งทางการเมือง การถูกตรวจสอบ ฯลฯ เป็นเงื่อนไขหลัก อย่างไรก็ตาม นักการเมืองต้องดูกระแสสังคมและสื่อมวลชนด้วยว่าจะเอาด้วยหรือไม่ นอกจากนี้มีเงื่อนไขในเรื่องผลการวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญว่าด้วยการยุบพรรคจะออกมาเช่นไร และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางมาหรือไม่ ถ้ากลับมาจะวางมือทางการเมืองหรือยังคิดดิ้นรนเพื่อจะกลับไปมีอำนาจทางการเมืองอีกหรือไม่

นี่คือตัวแปรที่อาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและต่อการออกเสียงประชามติของประชาชนว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2550

การร่างรัฐธรรมนูญของสภาร่างฯ ที่อยู่ในยุคของการรัฐประหาร คณะมนตรีความมั่นคงฯเป็นผู้ออกกติกาต่างๆ กำหนดตัวบุคคลไปเป็นผู้ยกร่างฯและ ส.ส.ร.จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเรียกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ว่า "ฉบับ คมช." เหมือนกับที่เคยเรียกรัฐธรรมนูญปี 2534 ว่าเป็น "ฉบับ รสช." เพราะคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งวชาติ (รสช.) เป็นคณะรัฐประหาร และจัดการให้มีคณะบุคคลมายกร่างขึ้น จะต่างกันก็คือ ฉบับ คมช.วางขั้นและกระบวนการที่เชื่อมต่อไปถึงประชาชน ทั้งการรับฟังความคิดเห็นและการออกเสียงประชามติ ในขณะที่สมัย รสช.ไม่มีกระบวนแบบนี้



กระนั้นก็ตาม การเรียกรัฐธรรมนูญ 2550 เป็น "ฉบับ คมช." ก็ดูจะไม่น่าพิสมัยนัก อุตส่าห์รับฟังความคิดเห็นกันมาจากประชาชน แต่สุดท้ายกลายเป็นรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหาร

หากต้องการให้เรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชนเหมือนปี 2540 ก็อยู่ที่สภาร่างฯและคณะกรรมาธิการยกร่างฯจะต้องคิดและอยู่ที่กระบวนการร่างว่า ถึงที่สุดแล้ว เนื้อหาในรัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับว่าจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ (ดีกว่าเดิม)



http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03250150&day=2007/01/25
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
หน้า: [1]
    กระโดดไป: