ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: The Tiger ที่ 05-07-2006, 15:02



หัวข้อ: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: The Tiger ที่ 05-07-2006, 15:02
จะได้ช่วยกันวิเคราะห์สถานะการณ์อีกครั้ง ไม่ทราบพระองค์ท่าน ทรงบอกอะไรมีนัยสำคำหรือเปล่า แต่จำได้ว่ามีบางตอนพระองค์ท่านตรัส ถ้าเราพลาดเราตาย ผมอยากให้ใครที่มีพระราชดำรัสเต็มๆช่วย โพส อีกครั้ง เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสมีความหมายลึกซึ้งมาก แต่ช่วงนั้นผมไม่ได้วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ขอวานเพื่อนๆชาวเสรีไทย ช่วยวิเคราะห์ด้วยครับ


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 05-07-2006, 15:33
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ผู้พิพากษาศาลฎีกา
เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่
ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันอังคารที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
(ฉบับไม่เป็นทางการ)
จะปฏิบัติ ปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาศาลฎีกา ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อความปลอดภัยของ
ประชาชน เมื่อตะกี้พูดกับฝ่ายศาล ศาลปกครอง แล้วก็ขอให้ เดี๋ยวเชิญไปปรึกษากับท่าน เพราะว่าสำคัญที่
ผู้พิพากษาทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกา และประธานศาลฏีกาเป็นโดยเฉพาะ
ในปัจจุบันนี้มีปัญหาทางกฏหมายที่สำคัญมาก ปฏิญาณว่าจะทำให้เกิดการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย คือเวลานี้มีการเลือกตั้ง เพื่อให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยนั่นเอง แต่ถ้าไม่มีสภาที่
ครบถ้วน ก็ไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ฉะนั้นก็ต้องขอให้ไปปรึกษากับ ผู้ที่มีหน้าที่ในฝ่ายปกครอง
ฝ่ายศาลอาญา ที่อธิบายเมื่อตะกี้
แต่ก่อนนี้มีแค่อย่างเดียว มีศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอาญา ศาลเศรษฐกิจ เดี๋ยวนี้มีศาลหลายอย่าง
ก็เมื่อมีก็ต้องให้ดำเนินการไปด้วยตัวเอง และก็ขอให้ไปปรึกษากับศาลอื่นๆ ด้วย จะทำให้บ้านเมือง ปกครอง
แบบประชาธิปไตยได้ อย่าไปคอยที่จะให้ขอนายกพระราชทาน
เพราะขอนายกพระราชทาน ไม่ได้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก
ที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทานนายกพระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้าไปอ้างมาตรา ๗
ของรัฐธรรมนูญ เป็นการอ้างที่ผิด มันอ้างไม่ได้ มาตรา ๗ มี ๒ บรรทัดว่า อะไรที่ไม่ ไม่มีระบุในรัฐธรรมนูญ ก็
ให้ปฏิบัติตามประเพณี หรือตามที่เคยทำมา ไม่มี เขาอยากจะได้นายกพระราชทาน เป็นต้น จะขอนายก
พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องของการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษด้วย แบบมั่ว คือ
แบบไม่ ไม่ ไม่มีเหตุมีผล สำคัญอยู่ที่ ท่านที่เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา มีสมองที่ ที่แจ่มใส สามารถ ควรจะ
สามารถที่จะไปคิดวิธีที่จะปฏิบัติ คือ ปกครองต้องมี ต้องมีสภา สภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วนก็ว่าไม่ได้
อาจจะ อาจจะหาวิธีที่จะ ที่จะตั้งสภาที่ให้ครบถ้วน แบบทำงาน ทำงานได้
ก็รู้สึกว่าจะมั่ว ก็อยากจะต้องขอโทษอีกทีว่า ใช้คำว่ามั่ว ไม่ถูก ไม่ทราบใครจะทำมั่ว แต่ว่าปกครอง
ประเทศมั่วไม่ได้ ที่จะคิดอะไรแบบ นึกว่าทำปัดๆ ไปให้เสร็จๆ ไป ถ้าไม่ได้ เขาก็โยนให้พระมหากษัตริย์ทำ ซึ่ง
ยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น เพราะพระมหากษัตริย์ ไม่ ไม่มีหน้าที่ ที่จะไปมั่ว ก็เลยต้องขอร้องฝ่ายศาล ให้คิด ให้
ช่วยกันคิด เดี๋ยวนี้ประชาชน ประชาชนทั่วไปเขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา และศาล ศาลอื่นๆ
เขายังบอกว่าศาล ขึ้นชื่อว่าเป็นศาลดี ยังมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีเหตุมีผล และมีความรู้ เพราะท่านได้
เรียนรู้กฎหมายมา และพิจารณาเรื่องกฎหมายที่ ที่ต้องศึกษาดีๆ ประเทศชาติจึงจะรอดพ้นได้ ถ้าไม่ทำตาม
หลักกฎหมาย หลักของการปกครองที่ถูกต้อง ประเทศชาติไปไม่รอด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ บอกว่าไม่มีสภา
สมาชิกสภาถึง ๕๐๐ คน ทำงานไม่ได้
ก็ต้องพิจารณาดูว่า จะทำอย่างไร สำหรับให้ทำงานได้ จะมาขอให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสิน เขา
อาจจะว่ารัฐธรรมนูญนี่ พระมหากษัตริย์ เป็นคนลงพระปรมาภิไธย จริงที่ลงพระปรมาภิไธย ก็เดือดร้อน แต่ว่า
ในมาตรา ๗ นั้นไม่ได้บอกว่า พระมหากษัตริย์สั่งได้ ไม่มี ลอง ลองไปดูมาตรา ๗ เขาเขียนว่า ไม่มีการ
บทบัญญัติแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่า มีพระมหากษัตริย์ที่จะมาสั่ง สั่ง
การได้
แล้วก็ขอยืนยันว่า ไม่เคยสั่งการอะไร ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของ ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ซึ่งคือ
กฎหมาย พระราชบัญญัติต่างๆ ทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง อย่างที่เขาขอ บอกว่า ขอให้มี ให้
พระราชทานนายกพระราชทาน ไม่เคย ไม่เคยมีข้อนี้ มีนายก แบบมีการรับสนองพระบรมราชโองการ ที่ถูกต้อง
ทุกครั้ง มีคนเขาก็อาจจะมา มาบอกว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ นี่ทำตามใจชอบ ไม่เคยทำอะไรตามใจ
ชอบ
ตั้งแต่เป็นมา มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ แล้วก็ทำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ ถ้าทำตามใจ
ชอบนี่ ก็เข้าใจว่า บ้านเมืองล่มจมมานานแล้ว แต่ตอนนี้เขาขอให้ทำตามใจชอบ แล้วเวลาถ้าเขา ถ้าทำตามที่
เขาขอ เขาก็จะต้อง ต้องด่าว่านินทาพระมหากษัตริย์ ว่าทำตามใจชอบ ซึ่งไม่ใช่กลัว ถ้าต้องทำก็ต้องทำ แต่ว่า
มันไม่ต้องทำ
อันนี้อยู่ที่ผู้พิพาษาศาลฎีกา (เป็น) เป็นสำคัญ ที่จะบอกได้ ศาลอื่นๆ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลอะไร ไม่มีความ ไม่มีข้อที่จะห้ามได้มากกว่าศาลฎีกา กับผู้พิพากษาศาลฏีกา ที่จะ มีสิทธิที่จะพูด ที่จะ ที่
จะตัดสิน ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านได้พิจารณากันดู แล้วไปพิจารณา ไปปรึกษากับผู้พิพากษาศาลอะไรอื่นๆ ศาล
ปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าควรจะทำอะไร แล้วต้องรีบทำ ไม่งั้นบ้านเมืองล่มจม พอดีเมื่อกี๊ดู ดูทีวี เรือหลาย
หมื่นตันโดนพายุ จมลงไปสี่พันเมตรในทะเล เขายังต้อง ต้องดูว่าเรือนั้นลงไปยังไง
เมืองไทยจะจมลงไปลึกกว่าสี่พันเมตร แล้วก็ลึก กู้ไม่ได้ กู้ไม่ขึ้น ฉะนั้น ท่านเองก็จะ เท่ากับจมลงไป
ประชาชนทั่วไป ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็จะจมลงไปในมหาสมุทร เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤต วิกฤติที่สุดในโลก  ฉะนั้น
ท่านก็มีหน้าที่ ที่จะปฏิบัติ ปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ เพื่อที่ เขาเรียกว่า กู้ชาตินะ เดี๋ยวนี้เอะอะอะไรก็กู้ชาติ กู้
ชาติ กู้ชาตินี่ เดี๋ยวนี้ยังไม่ ยังไม่ได้จม ทำไมถึงจะกู้ชาติ แต่ว่าป้องกันไม่ให้จมลงไป แล้วเราจะต้องกู้ชาติจริงๆ
แต่ถ้าจมแล้ว แล้วก็กู้ชาติ กู้ชาติไม่ได้ จมไปแล้ว
ฉะนั้นก็ ไปคิด ไปพิจารณาดูดีๆ ว่า ว่าจะทำอะไร ถ้าทำได้ปรึกษาหารือกันได้จริงๆ ประชาชนทั้ง
ประเทศ และประชาชนทั่วโลก จะอนุโมทนา และจะเห็นว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาในเมืองไทยยังมี เรียกว่ายังมี
น้ำยา แล้วเป็นคนที่มีความรู้ และตั้งใจที่จะ ที่จะกู้ชาติจริงๆ ถ้าถึงเวลา ก็ขอขอบใจท่าน ที่ตั้งอกตั้งใจที่จะทำ
หน้าที่ แล้วก็ทำหน้าที่ที่ดี บ้านเมืองก็รอดพ้น ไม่ต้องกู้
ขอขอบใจที่ท่านพยายามปฏิบัติด้วยดี แล้วก็ประชาชนจะอนุโมทนา ขอบใจแทนประชาชนทั่วทั้ง
ประเทศ ที่มีผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่เข้มแข็ง ขอบใจ ขอให้ท่านสามารถที่จะปฏิบัติงานได้ดี มีพลานามัยแข็งแรง
ต่อสู้ ต่อสู้ ต่อสู้เพื่อความดี ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในประเทศ ขอบใจ
--------
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่
ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันอังคารที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
(ฉบับไม่เป็นทางการ)
สิ่งที่ได้ปฏิญาณนั้นมีความสำคัญมาก เพราะว่ากว้างขวาง หน้าที่ของผู้พิพากษา หน้าที่ของผู้ที่
เป็นตุลาการศาลปกครอง มีหน้าที่กว้างขวางมาก ซึ่งเกรงว่า ท่านอาจจะนึกว่า หน้าที่ของผู้ที่เป็นศาลปกครอง
มีขอบข่ายที่ไม่กว้างขวาง ที่จริงกว้างขวางมาก ในเวลานี้ถ้าจะนึกว่าจะพูด ศาลเองก็นึก ที่อยากจะพูด
เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และโดยเฉพาะเลือกตั้งของ ผู้ที่ได้คะแนนไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์
แล้วก็เขาเลือกตั้งอยู่คนเดียว ซึ่งมีความสำคัญ เพราะว่าถ้าไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็คนเดียว ใน
ที่สุดการเลือกตั้งไม่ครบจำนวน ไม่ทราบว่า เกี่ยวข้องกับท่านหรือเปล่า แต่ความจริงน่าจะเกี่ยวข้องเหมือนกัน
เพราะว่าถ้าไม่มีจำนวนผู้ที่ได้รับเลือกตั้งพอ ก็กลายเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย ดำเนินการไม่ได้
แล้วถ้าดำเนินการไม่ได้ ที่ท่านได้ปฏิญาณเมื่อตะกี้นี้ ก็เป็นหมัน ที่บอกว่าจะต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้
การปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องดำเนินการไปได้ ท่านก็เลยทำงานไม่ได้ ถ้าท่านทำงานไม่ได้ ก็มีทาง ท่าน
อาจจะต้องลาออก แต่ก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหา ไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่ ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ เขาอาจจะบอกว่า
ก็ต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็บอก ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นการร่าง
รัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จแล้วก็ไม่เกี่ยวข้อง
ก็เลยขอร้องให้ท่าน อย่าไปทอดทิ้งการปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบบที่ จะทำให้
บ้านเมืองดำเนินการไปได้ แล้วก็อีกข้อหนึ่ง การที่จะบอกว่า มีการยุบสภา และต้องเลือกตั้งภายใน ๓๐ วัน
ถูกต้องหรือไม่ ไม่พูดถึง ไม่พูดกันเลย ถ้าไม่ถูก ก็จะต้องแก้ไข หมายความว่า อาจจะให้การเลือกตั้งนี้ เป็น
โมฆะหรือไม่นั้น ซึ่งท่านจะมี มีสิทธิ ที่จะบอกว่า อะไรที่ควรหรือไม่ควร
ไม่ได้ว่า บอกว่ารัฐบาลไม่ดี แต่ว่าเท่าที่ฟังดู มันเป็นไปไม่ได้ ในการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย
เลือกตั้งพรรคเดียว คนเดียว ไม่ใช่ทั่วไป อย่างมีคนที่สมัครเลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่อง
ของประชาธิปไตย เมื่อไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านก็ควรจะคิดว่า ท่านต้องดูเกี่ยวข้องกับเรื่องของการปกครอง
ให้ดี ก็ขอฝากอย่างดีที่สุด ถ้าจะ ถ้าจะทำได้
ท่านลาออก ท่านเอง ไม่ใช่รัฐบาลลาออก ท่านเองต้องลาออก ทำไม่ได้ รับหน้าที่ไม่ได้ ตะกี้ที่ ที่
ปฏิญาณ ไปดูดีๆ จะเป็นการไม่ได้ทำตามที่ปฏิญาณ แล้วก็ ตั้งใจฟังวิทยุเมื่อเช้านี้ กรณีเกิดที่ ที่นบพิตำ กรณีที่
จังหวัด ที่อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช อันนั้นไม่ใช่แห่งเดียว ที่อื่นมีอีกหลายแห่ง ที่จะทำให้
บ้านเมืองล่มจม บ้านเมืองไม่สามารถ ที่จะรอดพ้นจากสถานการณ์ ที่ไม่ถูกต้อง
ฉะนั้น ก็ขอให้ท่านไปศึกษาว่า เกี่ยวข้องหรือไม่ ท่านเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ถ้าท่านไม่เกี่ยวข้อง ท่านก็
ลาออกดีกว่า ท่านผู้ที่เป็นผู้ที่ได้รับหน้าที่ ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ เป็นผู้ที่ต้องทำให้บ้านเมืองดำเนินได้ หรือ
ไม่เช่นนั้น ก็ต้องไปปรึกษากับผู้พิพากษาที่จะเข้ามา เข้ามา ผู้พิพากษาศาลฎีกา ท่านผู้นี้ก็คงเกี่ยวข้อง
เหมือนกัน ก็ปรึกษากัน สี่คน
แล้วท่านปรึกษากับผู้พิพากษาศาลฎีกาที่จะเข้ามาใหม่ ปรึกษากับท่าน ก็เป็นจำนวนหลายคน ที่มี
ความรู้ ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ที่มีความรักในหน้าที่ ที่จะทำให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป อันนี้ก็ขอฝาก ก็จะขอบใจ
มาก เดี๋ยวนี้ยุ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่ทางที่จะปกครองแบบประชาธิปไตย ของเรามีศาล
หลายชนิดมากมาย เรามีสภาหลายแบบ และทุกแบบจะต้องเข้ากัน ปรองดองกัน และคิดหาทางที่จะแก้ไขได้
ที่พูดอย่างนี้ ค่อนข้างจะประหลาดหน่อย ที่ขอร้องอย่างนี้ แล้วก็ ไมอย่างนั้นเดี๋ยวก็ต้องบอกว่าต้องทำ
มาตรา ๗ มาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งขอยืนยัน ยืนยันว่ามาตรา ๗ นั้นไม่ได้หมายถึง ให้ มอบให้
พระมหากษัตริย์ มีอำนาจที่ จะทำอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่ มาตรา ๗ นั้น พูดถึงการปกครอง แบบมี
พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่า ให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจ ทำได้ทุกอย่าง
ถ้าทำเขาก็จะนึกว่าพระมหากษัตริย์ ทำเกินหน้าที่ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ ก็
ไม่ใช่ประชาธิปไตย เขาอ้างถึงเมื่อครั้งก่อนนี้ เมื่อ รัฐบาลของอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ตอนนั้นไม่ได้ทำเกิน
อำนาจพระมหากษัตริย์ ตอนนั้นมีสภา สภาไม่อยู่ ประธานสภา รองประธานสภาไม่อยู่ แล้วก็รองประธานสภา
ทำหน้าที่ แล้วมีนายกที่สนองพระบรมราชโองการได้ ตามรัฐธรรมนูญในครั้งนั้น
ไม่ได้หมายความว่า ที่ทำครั้งนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ ตอนนั้นก็ไม่ใช่นายกพระราชทาน นายก
พระราชทานหมายความว่า ตั้งนายกโดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย ตอนนั้นมีกฏเกณฑ์ เมื่อครั้งอาจารย์สัญญา
ได้รับตั้งเป็นนายก เป็นนายกที่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือรองประธานสภานิติบัญญัติ ฉะนั้น ไป ไป
ทบทวนประวัติศาสตร์หน่อย ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ ท่านก็ทราบว่า มี มีกฎเกณฑ์ที่รองรับ
แล้วก็งานอื่นๆ ก็มี แม้จะที่เรียกว่าสภาสนามม้า เขาก็หัวเราะกัน สภาสนามม้า แต่ไม่ผิด ไม่ผิด
กฎหมาย เพราะว่านายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนอง นายกรัฐมนตรีคืออาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับสนองพระ
บรมราชโองการ ก็สบายใจว่า ทำอะไรแบบถูกต้อง ตามครรลองของรัฐธรรมนูญ แต่ครั้งนี้ ก็จะให้ทำอะไรผิด
ผิดรัฐธรรมนูญ ใครเป็นคนบอกก็ไม่ทราบนะ ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่าผิด ถือโอกาส ขอให้ช่วยปฏิบัติอะไร คิดอะไร
ไม่ให้ผิดกฎเกณฑ์รัฐธรรมนูญ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นสิ่งที่เป็นอุปสรรค และมีความเจริญรุ่งเรืองได้ ขอ
ขอบใจท่าน


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: The Tiger ที่ 05-07-2006, 16:25
ขอบคุณคุณพรรณชมพูมากๆๆๆครับ  ช่วงข้อความที่พระองค์ท่านบอกว่า เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤต วิกฤตที่สุดในโลก
ผมอ่านแล้วขนหัวลุกแล้วลุกอีก เหมือนพระองค์ทรงมีทิพย์ญาน รู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ถ้าอ่านดูดีๆ พระองค์ท่านกำลังบอกให้การแก้ไขโดยไม่ผิดรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการต่อสู้กับทักษิณต้องสู้ด้วยระบบสู้ด้วยกติกา เราเหลือทางสู้ไม่กี่ทาง เวลานี้น่ะวิกฤตที่สุดแล้ว เพราะการสู้กับทักษิณ ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววที่จะชนะ  ตอนนี้ศาลก็คงจะเป็นที่พึ่งก่อนที่จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายต่อไป  

เอแล้วคำว่า ถ้าเราพลาดเราตาย ข้อความนี้อยู่ตอนไหนครับ


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: Wadoiji ที่ 05-07-2006, 17:11
คำว่าถ้าเราพลาดเราตาย ไม่ได้อยู่ในส่วนที่คุณพรรณชมพูยกมานี่คะ อันอื่นหรือเปล่า?


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: The Tiger ที่ 05-07-2006, 20:39
คำว่าถ้าเราพลาดเราตาย ไม่ได้อยู่ในส่วนที่คุณพรรณชมพูยกมานี่คะ อันอื่นหรือเปล่า?

ผมจำได้ว่ามี แต่ไม่รู้ท่อนไหน เมื่อไร พระองค์ก็เลยต้องระวังเป็นอย่างมาก จะทำที่อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญเท่านั้น


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: Wadoiji ที่ 05-07-2006, 20:47
อาจจะมี แต่ไม่ใช่พระราชดำรัสที่ได้ยกมาแล้วนี่แน่ค่ะ

ลองกดCtrl+f แล้วหาคำที่ต้องการดูสิคะ เช่น พลาด ตาย เราลองดูแล้ว ไม่มีนี่คะ? อาจจะอันอื่นก็ได้


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: พรรณชมพู ที่ 05-07-2006, 20:53
พระราชดำรัส  เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 6 ธันวาคม 2548

“ขอขอบใจ นายกรัฐมนตรี ที่ได้กล่าวอวยพร ในโอกาสที่จะถึงวันเกิด ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็เข้าใจว่าจะทำให้ทุกคนในที่นี้ และนอกที่นี้มีกำลังใจ ว่านายกฯ พูดดี ก็ไม่ทราบว่า ที่ชมนายกฯ ว่าพูดดี อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย ที่มาพูดนี้ เป็นความเดือดร้อนกับตัวเอง เพราะว่าถ้าชมนายกฯ คนอื่นอาจจะไม่ชม ไม่ชมข้าพเจ้าว่าชมนายกฯ ทำไม แต่นายกฯ มีอยู่ไว้สำหรับให้ชม คือถ้ามีนายกฯ แล้วไม่ชม นายกฯ ก็ไม่ค่อยพอใจ แล้วก็ถ้านายกฯ ไม่พอใจ งานการจะไปได้อย่างไร ถึงต้องชมนายกฯ ชมนายกฯ ว่าพูดดี เพราะถือว่าท่านนายกฯ พูดดี เพราะท่านมาชมเรา
       
       เป็นของธรรมดาที่ ทุกคนชอบให้เขาชม เขาไม่ชอบให้ติ ข้าพเจ้าเองก็ได้ติคนอยู่เรื่อยๆ เขาก็ไม่พอใจกัน แม้จะไม่ติคน บางทีเขาไปประกาศในหนังสือพิมพ์ ว่าพระเจ้าอยู่หัวติคนโน้นคนนี้ แท้จริงไม่ได้เคยติใครนะ เท่าไหร่ บอกว่าเท่าไหร่ เพราะว่าอาจจะติ แต่ว่าไม่ได้พูดออกมาโจ่งแจ้ง ว่าติ คนเราถ้าอยู่ในที่แจ้ง ในที่ที่คนเห็นมากๆ ย่อมถูกติได้ง่าย เพราะว่าคนเห็นมาก ถ้าเห็นมากแล้ว ก็เราทำอะไร ไม่มีดี หรือมีดีก็มีที่ไม่ดีมาก แต่ถ้าสมมติว่ามีดีมากก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีไม่ดีบ้าง แล้วก็คนเขาก็ติ ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ดี มีการแสดงตนว่า รู้ว่าไม่ดี นั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึก แล้วก็ถ้าเกิดความรู้สึก บางทีก็รู้สึกชื่นชม บางทีก็รู้สึกเคือง ถ้าผู้ที่ถูกเล็ง รู้สึกว่า ถูกติเตียน แล้วก็แสดงตัวว่าเข้าใจว่าถูกแล้วเขาติเตียนเรา แล้วเราไม่พอใจ ก็เสียหาย ทำให้ส่วนรวมทั้งหมดก็เกิดปั่นป่วน พูดแค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าพูดมากกว่า จะทำให้เกิดเรื่องยุ่ง
       
       แต่ว่า วันนี้ตั้งใจจะพูดอะไรที่ไม่ พาดพิงใครเลย ไม่ ติเตียนใครเลย เพราะว่าการติเตียนใคร พาดพิงใครก็เกิดเคือง เกิดไม่สบายใจ แต่ที่เห็นอยู่ข้างหน้านี่ มีคนที่พูด ก็คงรู้ว่าใครพูด มีคนที่พูดว่า ข้าพเจ้าไม่ดี คือพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี ทำอะไรผิด แต่เขาต้องแสดงออกมาว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ผิด ผิดไม่ได้ ซึ่งเป็นตามความจริงในระบอบประชาธิปไตย ในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระเจ้าอยู่หัวผิดไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น THE KING can do no wrong เหมือนท่าน องคมนตรีชอบพูดว่า ต้องอ้างภาษาอังกฤษ แต่ว่า เวลาบอก THE KING บอกว่า THE KING can do no wrong ก็เป็นสิ่งที่ wrong แล้ว ที่ผิดแล้ว ไม่ควรจะพูดอย่างนั้น
       
       ความจริงเวลาอ่านตำรา กฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษ มีตำราที่คนเขาอ้างอยู่เสมอ แล้วคนที่เรียนภาษาอังกฤษ เรียนกฎหมายอังกฤษต้องอ้างอยู่เสมอ เรื่อง THE KING can do no wrong นี่ แล้วก็นักกฎหมายแถวนี้พยักหน้าว่าใช่ ความจริง THE KING can do no wrong นี่ เป็นการดูถูก THE KING อย่างมาก เพราะว่า THE KING ทำไมจะ do no wrong ไม่ได้ do wrong ไม่ได้ เพราะว่าแสดงให้เห็นว่า เขาถือว่าเดอะคิงไม่ใช่คน แต่ว่าเดอะคิงทำ wrong ได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด ข้าพเจ้าเป็นเดอะคิง แล้วก็เขาบอกว่า  does no wrong เราก็เห็นด้วยกับเขา
       
       เพราะว่า การทำอะไร ถ้าคนเรา ถือว่า ต้องมีสติ คือหมายความว่า รู้ว่ากำลังทำอะไร กำลังคิดอะไร แล้วก็ไม่ปล่อยให้ผิดออกมา มันก็ไม่มีผิด ผิดไม่ได้ อันนี้ก็เป็นการพูดว่า ข้าพเจ้าเองไม่ผิด ไม่มีวันผิด ถ้าสมมติว่าพูดผิด เพราะไม่รู้ ก็อย่าง แต่ว่าผิดโดยไม่รู้ โดยรู้รู้ว่าผิด การทำผิดโดยรู้รู้ ไม่ดี แต่บางทีไม่รู้เพราะว่าไม่มี ขอโทษนะ ถ้าพูด ไม่มีสติ ขาดสติ คือไม่ระวังตัว ทีหลังก็เสียใจ เมื่อก่อนนี้ ก่อนที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก่อนที่เป็นคิง ก็เสียใจหลายครั้ง แต่ตอนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเป็นคิง คิงแบบไทยๆ นี่ ซึ่งฝรั่งเขาบอกว่าเป็นเดอะคิง เข้าใจว่าน้อยครั้งที่จะได้ทำผิด เพราะว่า ระวัง ถ้าไม่ระวัง ป่านนี้ก็คงตายแล้ว พราะฉะนั้น ต้องระวัง ถ้าไม่ระวังก็ตาย นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่เรียกว่าการเมือง หรือการที่อยู่ในสายตาของคน สายตาของคนนี่มันฆ่าได้ ถ้าเราไม่ระวัง เราตาย ก็เลยถึงบอกได้ว่า ทำไม การที่บอกว่า THE KING can do no wrong เพราะต้อง  do no wrong ถ้า ทำ wrong ตาย  
       
       ทุกคน ก็มีสถานะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่า THE KING เก่ง แต่ว่าทุกคนก็มีส่วนที่เก่ง เพราะมีตำแหน่ง รับ รับตำแหน่งที่สูง ได้รับเหรียญตรา แล้วก็คนก็ชี้คนๆ นี้ สูงมาก มียศศักดิ์ เดอะคิงเป็นยศศักดิ์สูง แต่คนที่อยู่ในที่นี้ ยศศักดิ์ทั้งนั้น ไม่ระวังตัวก็ตายเหมือนกัน ถ้าไม่ระวัง ไม่ใช่คนที่นึกว่า โอ้คนนั้น เขาจะตายแน่ เพราะว่าไม่ระวัง ทุกคนตั้งแต่แถวแรกจนถึงแถวสุดท้ายโน่น จนกระทั่งหลังแถว จนกระทั่งข้างนอก ทุกคนถ้าไม่ระวังก็มีอันตราย เพราะฉะนั้นที่พูดอย่างนี้ก็แปลกๆ หน่อย นี่ก็หาว่าแช่ง ที่จริงไม่แช่ง แต่สงสาร เพราะว่าถ้าไม่ระวัง เมืองไทยตาย ฉะนั้นก็ ถึงต้องขอร้องอย่างเดียวว่า มาวันนี้ให้ระวังๆ ให้ระมัดระวังที่คิด ที่พูด ที่ทำ ถ้านึกว่าทำถูกต้องแล้วทำ
       
       เรื่องที่มี แล้วเขาก็บอกในหนังสือพิมพ์ ในวิทยุในโทรทัศน์ บอกว่า ที่ เดอะคิงทำอะไร ก็ไม่วิจารณ์ แล้วก็บอกอย่าวิจารณ์ ที่จริงอยาก อยากให้วิจารณ์ เพราะว่าเราทำอะไร ก็ต้องรู้ว่าเขาเห็นดีหรือไม่ดี ถ้าไม่พูด ก็หาว่าทำดีแล้ว แต่แท้จริงที่พูดที่ออกข่าว ให้สัมภาษณ์ บอกว่าอย่าไปวิจารณ์ THE KING ตอนนี้ ต้องบอกว่าอย่าไปวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าไม่ควร ในรัฐธรรมนูญก็มีอยู่ว่า ละเมิดมิได้ นักกฎหมายก็พยักหน้าอีกแล้ว ว่า ถูกต้อง ว่า ไม่ควรจะวิจารณ์ วิจารณ์ไม่ได้ ละเมิดไม่ได้ แต่ว่าถ้าพูดว่าพระเจ้าอยู่หัวทำถูก พูดถูก ไม่ใช่ละเมิด เป็นการ ถ้าพูดภาษาอังกฤษก็ว่า approve พระเจ้าอยู่หัวเห็นชอบด้วย แต่ไม่เคยมีใครมาบอก เห็นชอบว่า พระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวพูดดี พูดถูก
       
       แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ  จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัว ไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์ เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว ไม่วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนอยู่ในหัวสมองว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดชอบกล พูดประหลาด ๆ ถ้า ขอเปิดเผยว่า วิจารณ์ตัวเองได้ ว่าบางทีก็อาจจะผิด แต่ให้รู้ว่าผิด ถ้าเขาบอกว่าวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวว่าผิด งั้นขอทราบว่าผิดตรงไหน ถ้าไม่ทราบ เดือดร้อน
       
       ฉะนั้นก็ ที่ บอกว่า การวิจารณ์ เรียกว่าละเมิด พระมหากษัตริย์ ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูก ถูกประชาชน บอมบ์ คือเป็นเรื่องของขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูก ก็ไม่ว่า แต่ถ้าเขาวิจารณ์ผิดไม่ดี แต่เมื่อบอก ไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิด ละเมิดไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้ายก็เลย พระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก เพราะแสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ให้วิจารณ์ ก็หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัวนี่ก็ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ซึ่งถ้าคนไทยด้วยกัน ก็หนึ่งไม่กล้า สองไม่เอ็นดูพระเจ้าอยู่หัว ไม่อยากละเมิด แต่มีฝ่ายชาวต่างประเทศ มีบ่อย ๆ ละเมิด พระเจ้าอยู่หัว ละเมิด THE KING แล้วเขาก็หัวเราะเยาะว่า THE KING ของไทยแลนด์ THE KING  ของยู พวกคนไทยทั้งหลายนี่ เป็นคนแย่ ละเมิดไม่ได้ ในที่สุดถ้าละเมิดไม่ได้ ก็เป็นคนเสีย เป็นคนที่เสีย
       
       ฉะนั้นก็ บางโอกาสก็ขอให้ละเมิด จะได้รู้กัน ว่าใครดีใครไม่ดี นี่พูดเลยเถิด พูดมากไป แต่ว่าคนที่อยู่ข้างหน้านี่ ไม่ต้องกลัว เพราะว่าไม่ได้มีความผิด คนที่นึกว่า มีความผิดพยักหน้า พยักหน้าว่ามีความผิดจริงๆ ความจริงเขาไม่มีความผิด คนที่มาก่อนน่ะมีความผิด แล้วกลัวที่ คนที่พยักหน้าเนี่ยไม่ได้แก้ไข ที่ผิดตรงนี้ ไม่ได้แก้ไข หลบความรับผิดชอบ มันเป็นอย่างนั้น
       
       คือในเมืองไทยนี่ คนไหนที่ทำอะไรไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยก็ลาออก ลาออกแล้วไม่มีอะไรผิดเลย แม้จะทำอะไรผิดอย่างมากๆ ถ้าเป็นข้าราชการก็เรียกเข้ากระทรวง เข้ากรุงเทพฯ แล้วก็หมดเรื่อง นานๆ ที มีเข้าคุก นี่พูดอย่างนี้ชักจะหนัก ใช้คำว่าเรียกเข้ากรุงเทพฯ หรือเข้าคุก แต่มีที่เกิด เกิดเรื่องเข้าคุก
       
       แต่อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้ว ถ้าเป็นการละเมิด ละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อน เดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่งต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยนี่ พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ วิจารณ์ไม่ได้ก็เข้าคุก มีที่เข้าคุก เดือดร้อนพระมหากษัตริย์ ต้องบอกว่า เข้าคุกแล้ว ต้องให้อภัย ทั้งที่เขาด่าเราอย่างหนักๆ  ฝรั่งเขาบอกว่าในเมืองไทยนี่ พระมหากษัตริย์ถูกด่า ต้องเข้าคุก ที่จริงควรจะเข้าคุก แต่ว่าเพราะฝรั่งบอกอย่างนั้นก็ไม่ให้เข้า ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยๆ ที่สุด ก็เป็นคนที่จั๊กจี้ จั๊กจี้ใครมาว่าอะไรซักนิด ก็ บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก ตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆ เป็นกบฏก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ 6 ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนกระทั่งถึง ต่อมา รัชกาลที่ 9 นี่ ใครเป็นกบฏ ซึ่งก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ ทำแบบเดียว ไม่ให้เข้าคุก ให้ปล่อย หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าคุกก็ไม่ฟ้อง เพราะว่าเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนที่เดือดร้อน อย่างที่คนที่ละเมิดพระมหากษัตริย์ นั่นแล้วก็ถูกทำโทษ ไม่ใช่คนนั้นเดือดร้อน พระมหากษัตริย์เดือดร้อน นี่ก็แปลก
       
       คราวนี้ นักกฎหมายก็ชอบ ให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอน สอนนายกฯ บอกว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็ นี่ขอสอนนายกฯ ว่าใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯ เดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน อาจจะอยากให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อนไม่รู้นะ เขาทำผิด เขาด่าพระมหากษัตริย์ เพื่อที่จะให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน แล้วเดือดร้อนจริงๆ เพราะใครมาด่าเรา ชอบไหม ไม่ชอบ แต่ว่าถ้านายกฯ เกิดให้ลงโทษ แย่เลย แล้วนักกฎหมายต่างๆ ก็จะให้ลงโทษคนที่ด่าพระมหากษัตริย์
       
       ทำไป ทำมา เลย เลยต้อง เอาวะ เขาด่านายกฯ ถ้าด่านายกฯ นายกฯ เดือดร้อนไหม ไม่ควรจะเดือดร้อน แต่ถ้าด่านายกฯ พระมหากษัตริย์ก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าเป็นเรื่องของนายกฯ ถ้าเขาด่าพระมหากษัตริย์ นายกฯ เดือดร้อน เพราะว่า ต้องเป็นคนจัดการ
       
       เรื่องมันยุ่งอย่างนี้ กฎหมาย ก็สอนนายกฯ มาอย่างนั้นนะ สอนนายกฯ ว่า ใคร ใครมาด่าเรา เราต้องด่าตอบ มันไม่ดี นี่พูดชักจะไม่ดี เพราะว่า ชักจะเป็นส่วนตัว แต่ว่าเราเองก็ไม่ ไม่ขอ บอกว่า ควรจะทำอะไร ควรรู้ นักกฎหมายก็ต้องรู้ว่า ทำอะไรถูก อะไรผิดผิด ไม่ต้องพูดทุกวัน ๆ ๆ ที่จริงเขาไม่ได้พูดทุกวัน แต่ก็ทำเทปเอาไว้ หรือทำดีวีดี แล้วก็แจกทั่ว ลงท้ายคนดูฟังก็ เขาเอือมกันนะ ที่ไปแก้ตัวแทนนายกฯ วันนี้เราขึ้นมานี่ เราแก้ตัวแทนนายกฯ เพราะว่านายกฯ ไม่ผิด นายกฯ ทำได้ทุกอย่าง ก็เลยไม่ต้อง ไม่ต้องไปออกทีวีแล้ว ไปออกทีวีทุกวัน ๆ ๆ มีคนเขาบอกว่าเขาเอือมที่ออก แต่ว่ามีหน้าที่ที่ออกก็ออก มีคนที่เขาเดือดร้อน ที่อยู่ในรายการ เพราะเขาต้องเป็นคนที่ต้องพูด แล้วก็คนที่พูดนั่นก็เลยถูกลูกหลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ตัวครั้งเดียวเอา ได้ แต่แก้ตัว นี่แก้ตัวมาเท่าไหร่ 10 ครั้งแล้วนะ ที่ออก ออกทีวี เลยชักจะเอือม คนอยากดูละคร เขาอยากดู มาดูอย่างนี้ พอแล้ว เสียไฟฟ้า ไม่ใช่เสียไฟฟ้าของคนที่ดู เสียไฟฟ้าของคนที่ส่ง เพราะว่าทีวีออกทีก็ไฟฟ้าแรง เสียน้ำมัน นี่ก็เลยนึกว่า ควรจะพูดพอแล้ว ที่พูดก็เสียไฟฟ้ามาก ก็ควรจะบอกว่า เลิกซะที ไม่ต้องพูดมาก แต่เราก็พูดต่อ เพราะว่าเป็นรายการที่อัดเสียงเอาไว้ ใส่เทปเอาไว้ ไม่ได้ออก ไม่ได้ออกโทรทัศน์ ไม่ต้องเสียไฟฟ้าสำหรับโทรทัศน์
       
       นี่มาพูดถึงไฟฟ้าและพลังงาน ไฟฟ้าและพลังงานนี่ การไฟฟ้าต้องใช้พลังงาน เพราะว่า สำหรับปั่นไฟฟ้าต้องใช้พลังงานเพื่อให้มีพลังงานไฟฟ้า อันนี้ก็ ทำมานานแล้ว เวลาขาดแคลนเชื้อเพลิง ก็บอกว่าให้ปิดโทรทัศน์ ให้ปิดโทรทัศน์ ให้ปิดไฟ แล้วบอกว่าได้ผลดี ความจริง เปิดโทรทัศน์นี่ไม่เป็นไร ถ้าน้ำมันเชื้อเพลิงหมดแล้ว ก็ยังใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นได้ มี แต่ต้องขยัน ต้องหาวิธีที่จะทำให้เชื้อเพลิงเกิดขึ้นมาใหม่
       
       เชื้อเพลิงที่เรียกว่า น้ำมันนั้น มันจะหมด ภายในไม่กี่ปี หรือไม่กี่ 10 ปี ก็หมด ถ้าว่าไป อีก 40 ปีหมด เราก็จะอายุ 118  118 นี่เรายังมีชีวิตอยู่อีก 2 ปี 2 ปีนั้น เราก็จะใช้ก๊าซโซฮอล์ หรือไม่ใช้ก๊าซโซฮอล์ ก๊าซโซฮอล์นี่ก็ไม่มี เพราะก๊าซโซฮอล์ ใส่แอลกอฮอล์เพียง 10% อย่างมาก ต้องใช้น้ำมันปาล์ม น้ำมันปาล์มเขาก็ใส่เพียง 10% ในระหว่างที่จะถึงอายุ 118 หาวิธีได้แล้วที่จะทำ ที่จริงเมื่อ 2 ปีก็ทำ ทำไบโอดีเซล โดยใช้น้ำมันปาล์ม 100% ไม่ใช่เพียงน้ำมันปาล์ม 10% นายกฯ ก็ได้เห็น รถแล่นมา น้ำมันปาล์ม 100% เรายืนอยู่ที่รถคันหนึ่งแล้วก็ เสร็จแล้วก็มีรถอีกคันหนึ่งถอยหลังมา ได้ยินเสียงบึม ๆ ๆ มา นั่นอะไร รถดีเซล รถใช้น้ำมันดีเซล 100% 100% น้ำมันปาล์ม แล้วก็นายกฯ ก็บอกว่า หอมดี เราก็ถามว่าหอมดีแล้วไม่เดือดร้อน เพราะว่านายกฯ ไม่ต้องกลัวเป็นแกนเซอร์ เป็นมะเร็ง เพราะว่าไอ้นี่นี่ไม่เป็นมะเร็ง เราทำแล้ว ก็หมายความว่าเราไม่เดือดร้อน
       
       ถึงเวลาเราอายุ 118 ถ้าอย่างไร เราก็ใช้น้ำมันปาล์มของเราเอง คนอื่นอาจจะไม่ได้ คนอื่นยังไม่ อาจจะไม่มี แต่ว่าเรามี เพราะเราขวนขวาย ขวนขวายหาวิธีที่จะทำเชื้อเพลิงทดแทนได้ ถ้าไม่ได้ทำเชื้อเพลิงทดแทน เราก็เดือดร้อน แล้วก็เป็นห่วง แต่เราไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าคนอื่นเขาไม่ทำ เขาอาจจะไม่มีน้ำมันไบโอดีเซลใช้ แต่ว่าเรามี เรา คือข้าพเจ้า ทำเอง คนอื่นอาจจะไม่มีก็ ไม่เป็นไร ก็เห็นแก่ตัว คือ แต่ละคนถ้าเห็นแก่ตัว ก็รู้ว่าไม่เป็นไร เพราะแต่ละคนก็ต้องพยายามที่จะหาพลังงานทดแทนทั้งนั้น เราเชื่อว่า เวลาเราอายุ 118 นายกฯ ก็บอกว่าแก่แล้ว แต่เราไม่แก่ เพราะว่าเราคิดทำพลังงานทดแทนอยู่เรื่อย แต่นายกฯ บอกแก่ จะถึงอายุเท่าไหร่ 90 จะอายุ 94  96 นายกฯ จะอายุ 96 อ้าว 94 ก็ไม่รู้ล่ะ 94 อาจจะแข็งแรงก็ได้ คงแข็งแรงคึกครื้น
       
       อาจจะมีความคิดที่จะสร้างโรงงานก๊าซโซฮอล์ และไบโอดีเซลสำเร็จแล้ว ก็นายกฯ ก็ไม่เดือดร้อน เอาไบโอดีเซลใส่เครื่องบินได้ คือ เครื่องบิน เขาใช้ไบโอดีเซลได้แล้ว สมัยนี้ แต่ลำไม่ใช่โตๆ แต่เวลานั้นอาจจะทำใส่ลำโตๆ สำหรับนายกฯ ได้ อาจจะสามารถที่จะมี แต่ว่าเฉพาะนายกฯ คนอื่นไม่สามารถที่จะมี ก็สองคนล่ะ พระเจ้าอยู่หัวกับนายกฯ มีเครื่องบินใช้ แบบใช้ไบโอดีเซล ท่านองคมนตรีสั่นหัว ท่านองคมนตรีสั่นหัวว่าไม่มี ว่าท่าน เวลานั้นท่านอายุเท่าไหร่  130 ก็คงไม่อยู่แล้ว เราก็อยู่สองคน สงสัยเราอยู่สองคน มีไบโอดีเซลใช้ แล้วจะไปไหน จะไปเชียงใหม่หรือ ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วไปเชียงใหม่ ไปเชียงใหม่ไปดูสวนสัตว์ ก็สวนสัตว์ ก็อยู่สบาย เพราะว่าเขาไม่ต้องใช้ไบโอดีเซล ก็เป็นอันว่าไม่ต้องกลัว เราไม่เดือดร้อน เพราะว่าอีก 40 ปี อีก 40 ปีมีไบโอดีเซลพอสำหรับเราใช้สองคน ก็อย่างไรก็ตาม
       
       นี่ชักเฟื่อง พูดว่า เราอีก 40 ปี เราจะมีสองคนที่มีพลังงานน้ำมันใช้ได้ แล้วดูทีวีได้ ดูทีวีก็อาจจะโฆษณาอะไรในทีวี ประกาศ ชี้แจง นายกฯ ก็ชี้แจงได้ เพราะว่าเปิดทีวีให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาปั่นไฟฟ้า แต่ป่านนั้น ทีวีก็อาจจะมีอะไรใหม่ แล้วก็อาจจะมีข่าวต่างๆ ฉะนั้นก็ ไม่ต้องเป็นห่วง นี้ก็ต้องดูเป็นบุคคลๆ การที่จะบอกว่า เป็นห่วง ถ้าเป็นห่วงทั้งบ้านเมือง ก็เป็นห่วง แต่ว่าถ้าเราคิดจริงๆ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะแต่ละคนเขาก็ต้องมีการขวนขวายเหมือนกัน เป็นอันว่าถ้าแต่ละคนขวนขวายของตัว อีก 40 ปี ไม่มีความเดือดร้อน โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยนี่ มีคนที่มีความคิดดีๆ ก็คนหนึ่งข้าพเจ้าคนหนึ่งมีความคิดดีๆ แล้วก็นายกฯ อีกคนหนึ่งมีความคิดดีๆ ไม่จนมุม ฉะนั้นก็สองคน เดือดร้อน ไม่เดือดร้อน คนอื่นเขาก็ต้องไม่เดือดร้อน ของเขาก็ต้อง หาทางออกได้ เพราะว่าถ้าเดือดร้อน ก็ต้องไปดูโครงการพระราชดำริ
       
       โครงการพระราชดำรินี่ เปิดเผยให้ทุกคน ได้ทั้งนั้น แล้วก็ ถ้าปฏิบัติตามโครงการพระราชดำริ หมายความว่าทำอย่างเศรษฐกิจพอเพียง นี่ก็ตอนนี้ นายกฯ ก็ เศรษฐกิจพอเพียง ไม่จ่ายเงิน ไม่จ่ายเงินแล้ว ใช้แต่เศรษฐกิจพอเพียง เพราะว่ามีการโฆษณา คู่สมรสของคณะรัฐมนตรีก็ชำนิชำนาญในเศรษฐกิจพอเพียง เก่งมาก นี่ก็อีกคน ที่ทำได้ ก็เลยไม่ต้องห่วง ไม่ทราบว่าคู่สมรสขององคมนตรีจะทำเศรษฐกิจพอเพียงหรือเปล่า สงสัยว่าไม่ ไม่ทำ แต่ยังไงก็ตาม อย่างนี้ก็เปิดให้ ความกว้างขวางของเศรษฐกิจจะดีขึ้น ท่านรองนายกฯ ทั้งหลายก็อาจจะไม่ทำ เพราะว่าเคยชินกับเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินมาก ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ไม่พอเพียง ถ้าอย่างนั้นก็ นายกฯ อาจจะไป นายกฯ และคุณหญิงอาจจะให้เพื่อนนายกฯรองนายกฯ ต่างๆ ทำเศรษฐกิจพอเพียงสักนิดหน่อย ก็จะทำให้อีก 40 ปีประเทศชาติไปได้ แต่นี่ ก็มีแต่นายกฯ รองนายกฯ จัดการ รวมทั้งคู่สมรส ทำเศรษฐกิจพอเพียง ก็เชื่อว่าประเทศจะมีความประหยัดได้เยอะเหมือนกัน คือถ้าไม่ประหยัด ประเทศไปไม่ได้ คนอื่นไม่ประหยัด สำหรับคณะรัฐมนตรีประหยัด คณะรองนายกรัฐมนตรีประหยัด จะทำให้ไปได้ดีขึ้นเยอะ นี่มามองถึงสภาฯ เป็นยังไง ก็สภาฯ ด้วยเหมือนกัน ถ้าอยากทำ ก็สภาฯ เป็นอาจารย์ของนายกฯ ก็ นายกฯ สอนครูหน่อย สอนอาจารย์หน่อยว่าเศรษฐกิจพอเพียงทำยังไง สอนครูคนเดียวก็พอแล้ว เพราะว่าครูเขาก็ไปสอนคนอื่น
       
       ต่อไปนั่นดูฝ่ายค้านล่ะ ฝ่ายค้านไม่ต้องสอน เพราะว่าเขาพอเพียงอยู่แล้ว ฝ่ายค้านเนี่ย หัวหน้าฝ่ายค้าน ก็ไม่ทราบว่าพอเพียงหรือเปล่า แต่อย่างน้อยอดีตหัวหน้าพรรคก็พอเพียง พอเพียงอย่างมากๆ เขาทำอะไรที่ ทำให้ประเทศชาติใช้เงินนิดเดียว ไม่พอ เขาถึงต้องออก เลยไม่รู้ว่าฝ่ายค้านจะพอเพียงหรือไม่ แต่อย่างน้อย อดีตหัวหน้าพรรคก็พอเพียงมาก จนกระทั่งต้องออกจากหัวหน้าพรรค
       
       นอกจากนั้นก็ ถ้าทุกคนเลื่อมใส ว่าจะต้องพอเพียงก็ปฏิบัติเถิด เพราะว่าถ้าปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียง มันใช้ได้จริงๆ ไปได้จริงๆ แต่ว่าอาจจะไม่ค่อยสบาย ทุกอย่างที่นายกฯ พูด ก็มาพูด ไม่ได้แต่งเอา นายกฯ พูด บอกว่าที่พระเจ้าอยู่หัวฯ พูดอะไรทำอะไร ถูกต้อง ชื่นชมว่าพระเจ้าอยู่หัวฯ นี่ ทำให้ประเทศชาติอยู่ได้ เช่นเดียวกับแก้มลิง แก้มลิงเนี่ย เมื่อครั้งก่อนนี้ เมื่อพูดถึงแก้มลิงคนก็หัวเราะ เดี๋ยวนี้ไม่หัวเราะแล้ว เพราะว่าลิงต้องมีแก้ม ถ้าลิงไม่มีแก้มเขาอยู่ไม่ได้ คนเราก็ต้องมีแก้ม เป็นแก้มคน แต่ว่าแก้มคนก็เป็นแก้มลิงได้ คือหมายความว่าต้องระวังรักษา อะไรที่กล้วยเข้าไปก็เก็บไว้ได้ เป็นการประหยัด จะพูดอะไรเก็บไว้ในแก้ม เก็บในแก้มก็ได้ ก็ประหยัด คือแก้มลิงก็เป็นการประหยัด แล้วก็โครงการอะไรอื่นๆ ที่พูด อย่างฝายแม้ว ฝายนายกฯ ฝายนายกฯ นายกฯ ไปดูฝายแม้ว
       
       คราวนี้ฝายเรานี่ เราทำ ก็ฝายแม้วเดี๋ยวนี้ซาบซึ้งรึเปล่าว่า มีประโยชน์อะไร คือมีประโยชน์ทำให้ ไม่มีน้ำท่วม หรือไม่มีน้ำแล้ง ตอนนี้น้ำท่วมเชียงใหม่ นายกฯ เดือดร้อนมาก โกรธมาก ทำไมมีฝายแม้วแล้วทำไมน้ำยังท่วม ก็เพราะว่าฝายแม้วทำไม่ถูกต้อง ทำไม่ดี แล้วก็ปล่อยน้ำลงมาผิดทาง ความจริงที่ไปดูที่กุยบุรี นั่นน่ะ ก็ไปขยายเขื่อนที่กุยบุรี ที่ยางชุม นั่นน่ะเคราะห์ดีไปทำ โครงการพระราชดำริอันนี้ ถ้าไม่ได้ทำ ถ้าทำตามชลประทานทำ ป่านนี้ก็ไม่เสร็จ ถ้าไม่เสร็จ น้ำท่วมแล้ว ปีนี้ที่ไม่ท่วมกุยบุรี และประจวบคีรีขันธ์ก็ท่วมบ้าง แต่ว่าไม่ขึ้นมาถึงหัวหิน เพราะว่าเขื่อนกุยบุรี แล้วเขื่อนกุยบุรีทำไมได้ขยายได้ ขยายเก็บน้ำได้ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร เพราะว่า บอกว่าเดี๋ยวนี้เรามีเขื่อนกั้น เรามีโครงการพระราชดำริ เราบอกว่าทำเลย อธิบดีชลประทาน ทำยังไง ต้องของบประมาณ งบประมาณไม่มี ก็มีโครงการพระราชดำริ ก็เลยทำทันที แทนที่จะใช้เวลา 3 ปี ก็ใช้เวลาเพียง 2 ปี ทำงานได้
       
        ที่เราไปดูนั่นน่ะ ทำงานได้จริงๆ เพราะว่าถ้าไม่มีน้ำ 9 ล้านลูกบาศก์เมตรมันเต็มแล้ว แต่ว่าน้ำมันก็ล้นมาปกติ ตามจำนวนที่ปกติ เลยทำให้น้ำไม่ท่วม ถ้า 9 ล้านลูกบาศก์เมตรฝนมันลงฟูๆ มีหวังท่วม ท่วมทั้งด้านบน ทั้งด้านล่าง และท่วมแล้ว น้ำมันก็ทำลาย ฉะนั้นถ้าเราทำโครงการที่ใช้งานได้เร็ว ๆ ประหยัดการท่วมของพื้นดิน และถ้าว่าไปประหยัดทรัพย์ ความจริงที่ใช้เงิน ตอนนั้น ใช้เงิน 100 ล้านกว่าๆ เดี๋ยวนี้ก็กลับคืนมาแล้ว ถ้าไม่ได้ทำ น้ำที่มาท่วมก็ทำลาย 100 ล้าน 100 ล้าน สำหรับคนที่พยักหน้านี่นะ เขาไม่ 100 ล้านไม่ใช่อะไร ต้อง 1,000 ล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน แต่ 100 ล้านนี่ ชาวบ้านเขารู้สึก ก็หมายความว่า 100 ล้านที่เอาจาก จากโครงการพระราชดำริ กลับคืนมาแล้ว กลับมาที่ไหน ก็ที่ประชาชน ประชาชนเขาได้ คือถ้าไม่ได้ใช้เงินนี้ ปีหน้าจะต้องใช้ 200 ล้าน เพราะว่าถ้าไม่ใช้เงินทันที เงินน่ะมีอยู่ คนก็บอก บางทีก็บอกไม่มีเงิน แต่เงินนะมีอยู่ เพราะว่าในงบประมาณ มี ถ้าไม่มีห็หมายความว่างบประมาณทำไม่ถูก แต่อันนี้ 100 ล้านใช้ไป ใช้ดีแล้ว ใช้ถูกต้องไม่เสียหาย ทำให้ประชาชนได้กำไร ถ้าไม่ได้ใช้ไป ก็ไม่รู้ใครใส่กระเป๋าไปได้ แต่ว่าประชาชนไม่ได้
       
       ฉะนั้นก็ ที่ได้ทำโครงการประหยัดไป 1 ปี ที่ไปดูเห็นประจักษ์ ว่า น้ำมันไหลออกมาจากเขื่อน คือไม่ใช่พูดหลอก น้ำจริงๆ มันลงมาเต็มเขื่อน แทนที่จะเป็น 38 ล้านลูกบาศก์เมตร มันเป็น 40 กว่าล้าน ที่ลงมาทำให้น้ำลงมาเก็บ และล้นมาได้ แล้วน้ำนี่ได้ใช้ เวลาแล่นรถไป ข้างล่างก็เห็น ก็ทำนาได้ นานี่มีประโยชน์ เพราะว่าข้าวก็ไม่เสีย ข้าวได้ใช้แล้วก็ ถ้าจะเอาข้าวนี่ไปส่งนอก เราก็ได้เงิน หรือได้ของไปแลกเปลี่ยนได้ ฉะนั้นโครงการ 100 ล้านนี้ ทำดีแล้วก็ ช่างชลประทาน เขาก็มีความรู้พอที่จะทำ ไอ้นี่ไม่ต้องอาศัยช่างจากต่างประเทศ ช่างในเมืองไทยนี้เอง แล้วก็ใช้เครื่องมือในเมืองไทยนี้ได้ ก็เลยรู้สึกว่าปีนี้ที่ได้เห็น การขยายโครงการกุยบุรีนี้ ก็ได้ผลจริงๆ ได้ไปดูก็ดีใจ พอใจ
       
       ฉะนั้นก็ นี่ต้องเล่าให้ฟังว่า ที่ได้ไปดูโครงการชลประทานที่กุยบุรี ที่หมู่บ้านยางชุม เป็นโครงการที่ใช้งานได้ แล้วไม่ใช่ที่ยางชุมเท่านั้นเอง ที่ข้างๆ ก็มีการสร้าง เขื่อนที่จะกักน้ำ ได้ผลดี ยังต้องทำอีกมาก แต่เวลามาพูดกับสมาคมนี้ก็ พูดถึงชลประทาน ก็ได้ผลดี แต่ค่อยๆ ทำ เพราะว่าไม่ใช่ว่าไม่มีเงินเท่านั้นเอง  เงินมี ไม่พอ แต่ว่าที่ที่จะทำ มันไม่มี แล้วก็ทำต้องศึกษาให้ดี ไม่ใช่ว่า โอ๊ะ พระเจ้าอยู่หัวฯ บอกให้ทำ นั้น ๆ ๆ นะ เสร็จแล้วไม่มีหลักวิชาที่ดี ก็อาจจะเสียก็ได้ แต่ว่าการที่จะทำ ต้องพยายามหาที่ที่จะทำ แล้วก็ใช้ความรู้ที่ถูกต้อง โครงการอย่างอื่นมีที่จะต้องทำ ไม่ใช่เฉพาะชลประทาน แต่ว่า โดยที่เราเป็นผู้เรียกว่า เขาเรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญชลประทาน ก็กล้า กล้าที่จะบอกว่าควรที่จะทำ
       
       นี่ก็ รู้สึก ใครๆ ก็ง่วงแล้ว เดี๋ยวนี้ชักมืดเร็ว ก็ถ้าง่วง ง่วงเดี๋ยวไปนอนได้ ก็รู้สึกว่า สมควรแก่เวลา ก็ขอขอบใจที่ท่านมาให้พร แล้วก็ให้พรนี่ดี เพราะว่าถ้าไม่ให้พร ก็ไม่รู้ว่าเราทำอะไร ไม่รู้ว่าทำอะไร แล้วก็ถ้ามาให้พร เราก็มีกำลังใจที่จะทำ ทำงานอะไรต่างๆ แล้วก็ต้องให้พรกับทุกฝ่าย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ก็ให้กำลังใจ ทำอะไรก็ทำ ทำได้ดี แต่วันนี้ไม่พูดว่าให้ทำอะไร เพราะว่า ทะเลาะกันไม่เอา ไม่ให้ทะเลาะ ให้ทำอะไรที่ดูจะดี แล้วคิดให้อย่าเกิน อย่าเลยเถิด แต่ว่า ถ้าแต่ละคนทำงานให้เหมาะสมบ้านเมืองจะไปได้ ถึงว่าจะต้องให้พรให้บ้านเมืองไปได้ ให้แต่ละคนไปได้ ไม่ใช่ให้มีการหัวชนฝา จะทำอะไร ก็ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จพอสมควร เศรษฐกิจพอเพียง คือทำให้พอเพียง ถ้าไม่พอเพียง ไปไม่ได้ แต่ถ้าทำพอเพียง สามารถที่จะนำพาประเทศให้ดี ไปได้ดี ก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ ในความสำเร็จพอเพียง และเพื่อให้บ้านเมืองบรรลุความสำเร็จที่แท้จริง ก็ไม่รู้ล่ะ คนที่รับพรก็รับไป คนที่ไม่รับพร ก็คิดในใจ ขอบใจที่ท่านทั้งหลายมาให้พร เรารับพรของท่าน.”


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: นทร์ ที่ 05-07-2006, 20:56
ขอบคุณ คุณพรรณชมพู ครับ


หัวข้อ: Re: พระองค์ท่านเคยตรัสว่า"วิกฤตที่สุดในโลก"ใครมีพระราชดำรัส ณ ตอนนั้นช่วยนำมาลงด่วน
เริ่มหัวข้อโดย: The Tiger ที่ 06-07-2006, 14:10
ขอบคุณ คุณพรรณชมพูมากๆ เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีมากๆเลย
อ่านพระราชดำรัส 6 ธ.ค 2548 แล้วก็เลยสบายใจได้ว่ากลุ่มพันธมิตร คงไม่ต้องไปนอนในคุกอย่างถาวรแน่ๆ เพราะถ้ามีการจับ ในที่สุดพระองค์คงพระราชทานอภัยโทษให้ ผมว่าถ้าตำรวจฉลาดไม่อยากให้เรื่องขยายตัวลุกลาม ก็ไม่ควรทำอะไรกับพวกพันธมิตร เพราะถ้าจับก็คงมัคนไปขอเยี่ยมในเวลาเดียวกันวันเดียวกันเป็นแสนๆคน แล้วคนที่ไปเยี่ยมอย่างเราท่านก็คงจะอยู่กินนอนที่นั่นไม่กลับบ้สนแน่ๆ ใช่ไหมคับ