ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: wincha ที่ 26-09-2008, 11:57



หัวข้อ: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: wincha ที่ 26-09-2008, 11:57
พอดีช่วงนี้ผมเรียนการเมืองการปกครองของเกาหลีอยู่ครับ ผมเองไม่ชอบการปกครองแบบเผด็จการ
หรอกครับ แต่อยากให้ลองอ่านประวัติการเมืองของเกาหลีใต้ดูนะครับ

ในช่วงของประธานาธิบดี ซิง มัน รี มีการปกครองแบบประชาธิปไตยเพียงแต่ชื่อ เพราะ ซิง มัน รี รวบอำนาจไว้คนเดียว เรียกได้ว่า เป็นเผด็จการทางรัฐสภา (เหมือนใครบางคนหว่า) ทำให้นักศึกษาออกมาชุมนุมประท้วงเดินขบวนทั่วประเทศ  เรียกกันว่า  “เหตุการณ์ปฏิวัติของนักศึกษา 19 เมษา” จน ซิง มัน รี ต้องหนีออกไปนอกประเทศ   ลี้ภัยและลาออกจากตำแหน่ง  แต่ยังแอบสืบทอดอำนาจ  ตั้งหุ่นเชิด คือชาง เมิ่น มาต่อท่ออำนาจ ทำให้ความวุ่นวายไม่จบ ยังเกิดการประท้วงอยู่   จนนายพล ปัก จุง ฮี ต้องออกมาทำรัฐประหารยึดอำนาจ ในเดือน พฤษภาคม ปี1961

แต่ปรากฏว่า  แม้นายพล ปัก จุง ฮี จะตั้งตัวเป็นผู้นำประเทศที่มาจากการยึดอำนาจ  ปกครองแบบเผด็จการ   แต่มีเรื่องของการคอรัปชั่นน้อยกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาก  และยังวางแผนพัฒนาประเทศและแผนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน มีผลผลิตทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ใช้ธุรกิจในรูปแบบไซบัตซึ (ภาษาเกาหลีเรียกแชโบล) ส่งเสริมธุรกิจอย่าง ฮุนได ฮันชิน และแดร์วู สู่ตลาดโลก ตั้งโรงงาน และรับเหมาก่อสร้าง ต่อเรือ ส่งแรงงานเกาหลีสู่ตะวันออกกลาง ได้กำไรจากการซื้อขายน้ำมันกับตะวันออกกลาง อย่างมาก

ในปี1970 นายพล ปัก จุง ฮี ยังคงครองอำนาจเผด็จการอยู่  แต่เกาหลีกลับมี GNP เฉลี่ยปีละ 9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าสูงมาก การส่งออกอยู่ที่ 28 เปอร์เซ็นต์ อุตสาหกรรมหนักขยายตัวอย่างรวดเร็ว   ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะมีการทำรัฐประหาร รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซิง มัน รี เคยทำ per capita income(รายได้ประชาชนต่อหัว) อยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อคนต่อปี  แต่ นาย พล ปัก จุง ฮี  กลับทำให้เกาหลีได้  รายได้ประชาชนต่อหัว พุ่งเป็น 10,000 เหรียญสหรัฐฯต่อคนต่อปี  และได้เป็นสมาชิกของ OECD องการณ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา  (Organization of Economic Coperation and Development) เกาหลีใต้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

ในปี 1980 นายพล ปัก จุง ฮี ลงจากตำแหน่ง  แต่ก็ยังให้ทหารคนสนิทของเขา  ชุน ดู วาน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีต่อ  เกาหลีใต้เริ่มเปลี่ยนสภาพเศรษฐกิจเป็นแบบเสรีมากขึ้น  ค่าแรงในเกาหลีใต้พุ่งทะยานอย่างมาก  จนเมื่อประเทศเริ่มเจริญก้าวหน้าในระดับโลก กลุ่มทหารจึงเลิกยึดอำนาจ   โดยในปี 1987 ชุน ดู วาน ลงจากตำแหน่ง และเปิดให้มีการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย  มีประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกมาจากการเลือกตั้ง โร แต วู ซึ่งก็ยังถือเป็นเงาพวกทหารที่มายึดอำนาจอยู่   

ปี 1992 มานี่เอง ที่เกาหลีใต้มีการเลือกตั้ง และได้ประธานาธิบดี คิม ยอง ซัม อันเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นพลเรือนจริงๆ หลังจากขาดหายไปหลายสิบปี 



หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 26-09-2008, 12:07
นี่หละครับที่ผมเคยตั้งคำถาม ให้สังเกตดุว่า พวกชาติกลุ่มขงจื๊อ ผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วทั้งนั้น


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: นักปฏิวัติ ที่ 26-09-2008, 12:49
ขออนุญาตคุณ wincha นำข้อมูลไปเรียบเรียง ใหม่ และเผยแพร่ต่อ

หากมีรายละเอียด โดยเฉพาะตรงเหตุการณ์ที่ประชาชนออกมาประท้วง ซิงมันรี มากกว่านี้ ก็ยิ่งดีครับ

ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: Şiłąncē Mőbiuş ที่ 26-09-2008, 13:27
ขอด้วยครับ ผมอยากได้ข้อมูลนี้ไปเผยแพร่เช่นกัน


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: wincha ที่ 26-09-2008, 14:18
ได้ครับ
คุณ Şiłąncē Mőbiuş และคุณ นักปฏิวัติ

 เหตุการณ์ประท้วงผมไม่มีข้อมูลครับ 
พอดีที่ผมเรียนนี่เน้นเรื่องเกาหลีเหนือและการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ซะมากกว่า


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: พลังเงียบ ที่ 26-09-2008, 15:42
 :slime_agreed: :slime_agreed:  น่าสนใจ  ขอด้วยคร๊าบบบ


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: An.mkII ที่ 26-09-2008, 16:03
5 ตุลาคม 2549

ทำไมเกาหลีใต้จึงพัฒนาประเทศได้เร็ว(กว่าเรา)

เชื่อว่าหลายท่านที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศของไทยเราและของเกาหลีใต้ คงจะมีคำถามนี้อยู่ในใจเหมือนกับผู้เขียน เราทราบว่าประเทศไทยได้เริ่มมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม และจัดระบบการคมนาคมและสาธารณูปโภค เช่น สร้างทางรถไฟ ทำถนน ทำระบบประปามาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ก็คือประมาณ 100 ปีมาแล้ว และหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ประเทศไทยก็มีรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นนายทหารอยู่หลายสมัยติดต่อกันมา โดยในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติ...

ช่วงเวลาที่เกิดสงครามเย็น (แบบปวดแสบปวดร้อน) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตนั้นกินเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ คือ ในราวปี ค.ศ. 1950 ถึงประมาณปี 1978 ที่เกิดการล่มสลายของประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ในช่วงเวลาที่เกิดสงครามเย็นนั้น

พี่เบิ้มของทั้งสองค่ายต่างก็มีความหวาดระแวงคอยสืบหาข่าวทำจารกรรมและหาสมัครพรรคพวกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สำหรับไทยนั้นอยู่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยข้างสหรัฐ ดังนั้น ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอม เราจึงมีค่ายทหารของสหรัฐประจำอยู่ในจังหวัดต่างๆ เช่น อู่ตะเภาในนครสวรรค์ และหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถนนมิตรภาพที่เป็นถนนสายหลักในภาคอีสาน ก็เป็นอนุสรณ์ถึงมิตรภาพระหว่างสหรัฐกับไทย เพราะสหรัฐได้สร้างถนนนี้ให้เรา (ก็เพื่อความสะดวกของสหรัฐในการขนส่งลำเลียงทหาร อาวุธ และเสบียงด้วยนั่นแหละ!)

ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าคอลัมน์ HR Variety ในวันนี้ ทำไมจึงเหมือนคอลัมน์วิชาประวัติศาสตร์จังเลย แหม! ต้องขอย้อนประวัติศาสตร์สักหน่อยนะคะ จะได้ทราบถึงเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำไมในยุคนั้นจึงมีเงินสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยมากมายเหลือเกินเป็นหลายร้อยล้านบาทจากองค์การต่างชาติ เช่น UN UNDP UNESCO และอีกหลายองค์การที่สหรัฐหนุนหลังอยู่ ในยุคนั้นประเทศในเอเชีย เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามใต้ ที่ยอมให้สหรัฐไปตั้งค่ายทหาร ต่างก็ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนในรูปแบบของงบประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค การศึกษา และการสาธารณสุขด้วย ซึ่งถ้ารัฐบาลมีความสามารถและมีความซื่อสัตย์สุจริต ก็คงจะสามารถนำเงินจำนวนมหาศาลนั้นไปพัฒนาให้ประเทศและประชาชนมีความเจริญก้าวหน้าได้มากพอสมควร


แต่ก็เป็นอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ รัฐบาลของประธานาธิบดีมาร์กอส ผู้มีศรีภริยาคือ นางอีเมลดา มาร์กอส ก็ถูกขับไล่ออกนอกประเทศ ด้วยข้อหาฉ้อฉลคอร์รัปชันและเผด็จการบ้าอำนาจ ส่วนของไทยนั้น รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ก็ถูกวิจารณ์ในเรื่องปัญหาคอร์รัปชันเช่นกัน โดยตัวของท่านจอมพลสฤษดิ์นั้นมีอนุภรรยานับเป็นร้อย ซึ่งใครๆ ก็สงสัยว่าท่านนายพลเอาเงินจากไหนไปเลี้ยงดูเหล่าอนุฯ จำนวนมากนี้ได้ มาถึงรัฐบาลของจอมพลถนอมและจอมพลประภาส จารุเสถียร ก็ถูกประชาชนที่นำโดยนิสิต นักศึกษา เดินขบวนขับไล่ ฐานคอร์รัปชันและเป็นทรราชจอมเผด็จการเช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีมาร์กอสโดน มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านที่อายุอยู่ในวัยเอ๊าะไม่เกิน 30 ปี ที่เกิดไม่ทันสมัยจอมพลถนอมก็คงพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมประเทศไทย (และฟิลิปปินส์ด้วย) จึงไม่สามารถพัฒนาประเทศได้รวดเร็วเท่าที่ควร


ในส่วนของประเทศเกาหลีใต้นั้น ช่วงทศวรรษ 1950-1960 เป็นเวลาที่ถูกครอบงำโดยประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งมีปัญหาขัดแย้งรบพุ่งภายในประเทศเองจนแตกแยกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในช่วงต้นทศวรรษของปี 1960 นั้น บอบช้ำทรุดโทรมมาก โดยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่จนที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง


ในขณะที่ประเทศไทยในเวลานั้นยังไม่ทรุดโทรมเพราะสงครามแบบเกาหลีใต้เลย แล้วมาดูประเทศเกาหลีใต้ในวันนี้สิ

จัดเป็นประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีในระดับสูง มีสินค้าส่งออกติดแบรนด์ดังของโลก เช่น Samsung LG แล้วประเทศไทยล่ะ มีสินค้าอะไรที่ติดอันดับโลกบ้าง -- ทำไมเกาหลีใต้จึงเจริญเร็วกว่าเรา -- คำถามนี้อยู่ในใจของผู้เขียนตลอดมา จนได้มีโอกาสไปเยือนเกาหลีใต้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา


ในเดือนสิงหาคมนั้น กรุงโซลร้อนอบอ้าวและครึ้มด้วยเมฆฝนเหมือนกับกรุงเทพฯ เช่นกัน แต่ภูมิประเทศของกรุงโซลนั้นตั้งอยู่บนที่ราบสูง มีภูเขาอยู่ด้วย ทำให้มีวิวสวยงาม ตื่นเช้ามองออกมาหน้าต่างโรงแรม ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงโซลก็มองเห็นภูเขาอยู่ไกลๆ ตามถนนหนทางปลูกต้นเมเบิล ต้นแปะก๊วย (รับรองเป็นต้นแปะก๊วยจริงๆ ค่ะ กำลังออกผลเป็นสีนวลอร่ามไปทั้งต้น) และไม้ยืนต้นประเภทอื่นๆ อาคารบ้านเมืองก็เป็นอาคารสูงแบบบ้านเรานี่แหละ แต่ความที่กรุงโซลมีพื้นที่มากกว่ากรุงเทพฯ จึงทำให้ดูไม่แออัดยัดเยียดเหมือนกรุงเทพฯ บางย่านของเขาก็ยังคงให้เห็นสภาพบ้านเรือนเก่าๆ เป็นตึกแถวเล็กๆ เพียง 2 ชั้นก็มี ตามบาทวิถีก็มีคนเข็นรถมาขายของ เช่น ลูกชิ้นปลาปิ้ง ไส้กรอกทอด ข้าวโพดต้ม แปะก๊วยคั่ว และอาหารต่างๆ รวมทั้งขายเสื้อผ้าตามถนนเหมือนย่านโบ๊เบ๊เช่นกัน เพียงแต่ราคาอาหารของเขาจะแพงกว่าบ้านเรา


ยกตัวอย่างเช่น ข้าวโพดปิ้ง ข้างถนนของเขา ราคาฝักละ 80 บาท แต่เสื้อผ้าไม่ค่อยแพง ราคาพอๆ กัน เสื้อยืดข้างถนนตัวละประมาณ 200-300 บาท เนื้อผ้าหนาพอสมควร อาหารการกินของเขานั้นเน้นผักดองเป็นส่วนใหญ่ ไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนที่เห็นโชว์ในสำรับที่ปรุงโดยแดจังกึมหรอกนะคะ ได้ลองถามชาวเกาหลีดูแล้วว่าอะไรคืออาหารประจำวันของเขา เขาบอกว่า "กิมจิ" ค่ะ เขาทานกิมจิคลุกข้าว และใส่ซอสเผ็ดๆ ตั้งแต่มื้อเช้าเลย กิมจินี้ก็คือผักดองนั่นเอง เนื่องจากเกาหลีนั้นอยู่ในละติจูดที่สูงกว่าประเทศไทย จึงมีอากาศหนาวกว่าแบบมีหิมะตก คนที่เคยไปเกาหลีหน้าหนาวนั้นบอกว่าหนาวทารุณทีเดียว


ดังนั้น เขาจึงต้องรู้จักวิธีถนอมอาหารด้วยการหมักดองผักทุกชนิด ผักกาดขาว หัวไช้เท้า ผักกวางตุ้ง แตงกวา ถั่วงอก ฯลฯ พี่แกจับมาดองเปรี้ยว ดองเผ็ด ดองเค็ม หรือคลุกน้ำมันงาแล้วหมักไว้หมด เท่าที่ผู้เขียนไปกรุงโซลมา 6 คืน ได้เจอกิมจิทุกมื้อเลยค่ะ เนื้อสัตว์ที่เกาหลีใต้จะราคาแพงมาก โดยเฉพาะอาหารประเภทซีฟู้ด เช่น ปลา หรือกุ้ง นั้นจะแพงมากๆ อย่างสเต็กปลานั้นจานหนึ่งตกประมาณ 800-1,500 บาท (ราคาตามร้านอาหารทั่วไป ไม่ใช่ราคาโรงแรมนะคะ) ดังนั้น ชาวเกาหลีจะกินอยู่อย่างประหยัด รับประทานข้าวกับผักกิมจิเป็นส่วนใหญ่ ดูแล้วประหยัดกว่าคนไทยเสียอีก แต่ถ้าพวกเขามาเที่ยวเมืองไทยเขาก็เล่าว่าชอบไปเที่ยวภูเก็ต และชอบอาหารไทยมาก เพราะราคาถูกและรสจัด เพราะชาวเกาหลีทานอาหารรสเผ็ดเหมือนเรา


ตามถนนหนทางนั้น รถราที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นรถขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่เป็นรถทำในประเทศทั้งสิ้น เช่น แดวูและฮุนได ตลอด เว้นที่อยู่กรุงโซลนั้น ผู้เขียนและเพื่อนอาจารย์ที่เดินทางไปด้วยไม่เคยเห็นรถเบนซ์เลยสักคัน เห็น BMW เพียง 1 คัน และรถคาดิลแล็ก 1 คัน ทั้งๆ ที่เราพำนักอยู่ที่โรงแรมเวสทิน โชซุน ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว อยู่ในย่านธุรกิจใจกลางเมือง รถแท็กซี่ที่วิ่งกันขวักไขว่ก็เป็นรถเกาหลี ประชาชนส่วนใหญ่ใช้รถไฟใต้ดินและรถประจำทาง เพื่อนอาจารย์ชาวเกาหลีเล่าให้ฟังว่าคนเกาหลีเป็นคนชาตินิยม


ข้อนี้เห็นทีจะจริงอยู่ เพราะในสนามบินนั้นก็เห็นจอภาพของ Samsung ติดตั้งอยู่หลายที่ ชาวบ้านร้านช่องก็ใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Samsung กันเป็นส่วนใหญ่ นิสัยประหยัดและความเป็นชาตินิยมของคนเกาหลีที่นิยมใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น คล้ายกับชาวญี่ปุ่นและชาวจีนที่มีความเป็นชาตินิยมและประหยัดเช่นกัน


และปัจจัยสุดท้ายที่เป็นปัจจัยสำคัญขับเคลื่อนผลักดัน (หรือกดดัน) ให้กระบวนการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็วได้ผลก็คือ ปัจจัยเรื่องผู้นำนี่เอง ทั้งนี้ ผู้เขียนโชคดีมีโอกาสได้พบกับ

ดร.ซุน ฮุน เบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของรัฐบาลเกาหลีใต้ สมัยที่ท่านคิม แด จุง เป็นประธานาธิบดี โดยปัจจุบัน ดร.เบดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานด้านการสื่อสารของสถาบัน Korean Advance Institute of Science and Technology (KAIST) ผู้เป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการเขียนและการสอนกรณีศึกษาทางธุรกิจ ที่ผู้เขียนได้ไปเข้าสัมมนาด้วย


ผู้เขียนได้พูดคุยกับ ดร.เบในหลายเรื่องด้วยกัน และหนึ่งในหัวข้อของการพูดคุยก็คือ ปัจจัยที่ทำให้เกาหลีใต้พัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้รวดเร็ว ดร.เบได้แสดงทัศนคติของท่านว่า


ประธานาธิบดี ปัก จุง ฮี ซึ่งเป็นผู้นำของประเทศในช่วงทศวรรษปี 1963-1979 นั้น แม้จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการ แต่ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความเด็ดขาด และได้สั่งการให้มีการจัดสร้างสาธารณูปโภค พัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยีของประชาชนอย่างจริงจังและเร่งด่วน


โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาบุคลากรนั้น ประธานาธิบดีปัก จุง ฮี ให้ความสำคัญมาก โดยจัดให้มีการฝึกอบรมข้าราชการ ประชาชนให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ และโดยส่วนตัวแล้ว ปัก จุง ฮี เป็นคนที่ดำเนินชีวิตค่อนข้างสมถะ ไม่หรูหรา ซึ่งผิดกับผู้นำในหลายประเทศที่ยากจน

ซึ่งมักเหลิงอำนาจ คอร์รัปชัน และใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ความเด็ดขาดแบบทหารของปัก จุง ฮี ทำให้การดำเนินการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว และนี่ก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกาหลีใต้พัฒนาได้เร็วกว่าเรา


สัปดาห์นี้คุยกันเรื่องหนักหน่อยนะคะ แต่คิดว่าน่าจะให้ข้อคิดที่ดีเกี่ยวกับบทบาทของผู้นำในการพัฒนาคน พัฒนาองค์กร และพัฒนาชาติ ซึ่งโดยเนื้อแท้ก็เป็นเรื่องการบริหาร HR ในระดับชาตินี่เอง เรื่องของเราชาว HR แท้ๆ เลย !


http://www.jobjob.co.th/


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: An.mkII ที่ 26-09-2008, 16:09
: เปลวสีเงิน : แง่คิดจาก'จอมพลสฤษดิ์-อาจารย์ป๋วย'
 


ผมนึกๆ แล้วก็อิจฉาพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยบางกลุ่ม-บางพวก เพราะวิถีตำราบริหารชาติของเขา เหมือนนกนางแอ่นที่ "สร้างรังด้วยน้ำลาย" และน้ำลายของมนุษย์-สัตว์ในโลกนี้ จะมีใครแพงเท่า


"น้ำลายนกนางแอ่น" ได้ล่ะ?

ผมถึงอิจฉาไง อย่างตอนนี้ อาจารย์มหาวิทยาลัยบางสำนักก็ออกมาชักธงประกาศ "ล้มร่างรัฐธรรมนูญ" เหตุผลที่หยิบฉวยมาสนับสนุนการกระทำของเขาคือ ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีรากเหง้ามาจากเผด็จการทหาร

ความคิดใคร-ความคิดมัน ต้องเคารพกันครับ เห็นด้วย-ก็เคารพด้วยร่วมแนวทาง ไม่เห็นด้วย-ก็เคารพด้วยวิถีต่างทัศนะ และต่างฝ่าย ต่างก็เดินไปในแนวทางของตน

อย่าเหยียบตีนกันล่ะ!

ทุกอย่างจะยุติด้วย "เสียงประชาชน" ที่เรียกว่าประชามติในวันที่ ๑๙ สิงหา.นั่นแหละ การพอใจ หรือไม่พอใจ ในเมื่อมีผลประชามติออกมาแล้ว ผมอยากย้ำให้เข้าใจกันตรงนี้ว่า

ต้องแยกกันให้ชัดเจนนะครับ จะพอใจ หรือไม่พอใจ เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อ "ผลประชามติ" ออกมาอย่างไรแล้ว

ต้องยอมรับกัน ในเมื่อ..เราเลือกแนวทางนี้แล้วนี่!

บ้านเมืองเราเดินทางมา "ครึ่งศตวรรษ" แล้วครับ ผมหมายถึงการเมืองว่าด้วยเรื่องการ "สร้างบ้าน-สร้างเมือง" เราอาจลืมกันไป แต่ผมขอบอกให้ท่านทราบตรงนี้ว่า

ประเทศไทยเราเดินทางจากปี ๒๕๐๐ จนถึงปี ๒๕๕๐ นี้ด้วย "พิมพ์เขียว-ทิศทางนำประเทศ" ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้ให้กำเนิด!

พูดกันชัดๆ เส้นทางไทยที่ผ่านมา "ผู้นำเผด็จการ" ถากถางเป็นเส้นทางมาให้ครับ!

พิมพ์เขียวนั้นคือ "แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" ที่นับแต่มีประเทศไทยมา ก็เป็นครั้งแรกที่มีแผนนำเป็นทิศทางบริหารประเทศ จากปี ๒๕๐๔ จนถึงขณะนี้ เข้าสู่แผนฉบับที่ ๙ แล้วมั้ง?

นั่นคือ ผมอยากให้เปิดเปลือกใจกันกว้างๆ ในการมอง และการรู้สังคมรอบตัวแต่ละยุค แต่ละสมัย การติดยึดสิ่งใด-สิ่งหนึ่งบนความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่เป็นประโยชน์กับทั้งตัวเองและสังคมรวม

"เผด็จการ" ใช่ว่าจะเลวเสมอไป "ประชาธิปไตย" ใช่ว่าจะ ใช้เสกกระทั่งหมาขี้เรื้อนให้เป็นเทวดาได้ตลอด!?

๕๐ ปีแห่งการปฏิวัติสังคมไทย จากยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม มาเป็นยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถ้าเราศึกษากันให้ดี จะพูดได้ทันทีว่า จอมพลสฤษดิ์คือ "บิดาแห่งการปฏิวัติสังคมไทย"

ปฏิวัติแล้ว "ทางที่นำมา" นั้น เป็นทางที่ถูก หรือทางที่ผิด เป็นอีกเรื่องที่ต้องพูดกันยาว แต่ที่ต้องยอมรับคือ จอมพลสฤษดิ์ เป็นนายทหารที่ใช้อำนาจเผด็จการ "นำประเทศ"

จากมิติหนึ่ง ไปสู่อีกอีกมิติหนึ่ง..ได้สำเร็จ!

สฤษดิ์-รัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตยจอมพล ป. แล้วใช้อำนาจ "เผด็จการทหาร" ปฏิวัติโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจและการเมืองไทย "เปิดประตูไทยสู่ประตูโลก"

ด้วยการวางผังสร้างสังคมชาติใหม่ จัดระเบียบบริหาร มาตรฐาน การเงิน การคลัง การลงทุน ที่เรียกว่าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก จนมาถึงอย่างที่เห็นในวันนี้

มีรากฐานมาจาก "จอมพลสฤษดิ์" ทั้งสิ้น!


"ไทย" สู่มิติใหม่พร้อมกับ "เกาหลีใต้" ในยุคที่ประธานาธิบดี "ปักจุงฮี" ยึดอำนาจหลังสงคราม "๒ เกาหลี" นั่นแหละครับ

๕๐ ปี เกาหลีใต้ จากประเทศที่ "ธนาคารโลก" เคยบอกว่ามันตายไปแล้ว ปักจุงฮี ใช้เวลาแค่ ๑๗-๑๘ ปี ปลุกวิญญาณศพฟื้นขึ้นมา ถึงขั้นเข้าเป็นสมาชิกประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกได้ กลายเป็น "กรณีศึกษา" ของโลกจนถึงทุกวันนี้!

แต่ ๕๐ ปีพัฒนาประเทศของไทย ก็ดูเอาเถอะครับ พูดไปก็อายทั้งเขา อายทั้งตัวเอง ตอนนั้น เราเป็นประเทศที่ "ส่งเงิน-ส่งคน" ไปช่วยเขา แต่ตอนนี้ เศรษฐีไทยกำลังเป็น "ผู้ดีตกยาก"


จอมพลสฤษดิ์จะไม่มีความหมายอะไรเลย จะเป็นแค่ "เผด็จการทหาร" ถูกบันทึกไว้ให้คนแต่ละรุ่นหยาม-ประณาม เหมือนเผด็จการทหารทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่ที่ผมบอกว่าจอมพลสฤษดิ์เป็น "บิดาแห่งเผด็จการทหารสร้างชาติ" นั่นเพราะ

สฤษดิ์ "ไม่ดี" แต่สฤษดิ์หา "คนดี" มาร่วมสร้างชาติ!

อาจารย์ "ป๋วย อึ๊งภากรณ์"

นั่นละครับ คือ คนสังคมประชาธิปไตย-สังคมเสรีไทยที่จอมพลสฤษดิ์ใช้ "อำนาจเผด็จการ" เรียกตัวมาทำหน้าที่ "ผู้ปฏิวัติเศรษฐกิจและสังคมชาติ" จากเก่ามาเป็นใหม่ จากแนวทางท่านถึงวันนี้ คือเส้นทางที่

จอมพลสฤษดิ์-อาจารย์ป๋วย "ดำกับขาว" ที่มาอยู่ร่วมกันสร้างขึ้น

ด้วยมิติ "แตกต่าง-แต่สร้างสรรค์" ในความเป็น "ชาติร่วมกัน" ที่ไม่แตกแยกในทางปฏิบัติ!?

สิ่งต้องคิดคือ ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ นักปฏิบัติ นักต่อสู้ ที่รวมอยู่ในตัวคนคนเดียวคือ "อาจารย์ป๋วย" ผู้เป็นวีรชนในหัวใจของชาติตลอดกาล ทำไมท่านจึงไม่ต่อต้าน-คัดค้าน ทำไมท่านจึงยอมทำงานให้กับนักการเมืองจอมเผด็จการเช่นนั้น?

อยากเก็บคำถามนี้ไว้ให้ครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัยตอบกันเองเหมือนกัน แต่เอาเถอะ..อาจารย์ป๋วยท่านเคยตอบไว้แล้วในหนังสือ "เหลียวหลังแลหน้า" ของท่าน

"ผมเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ร่วมอยู่เป็นอันมาก เช่น มล.เดช สนิทวงศ์ คุณเล้ง ศรีสมวงศ์ คุณทวี บุญยเกตุ คุณพระเวชยันต์รังสฤษดิ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นผู้ที่ผมเคารพนับถือทั้งนั้น จึงได้ตัดสินใจเข้ามาทำงานให้"

และหลังจากอาจารย์ป๋วยทำงานร่วมกับเผด็จการสฤษดิ์ผ่านไปซัก ๓ ปี ท่านก็ถอดความรู้สึกและทัศนะในการทำงานร่วมไว้อีกครั้งว่า

"ตอนนั้น จอมพลสฤษดิ์ตั้งใจทำนุบำรุงบ้านเมืองจริงๆ และเป็นงานที่ผมเองรู้สึกสนุกมือ และสนใจมากๆ และเข้าใจว่าเป็นราชการที่มี่ประโยชน์แก่ส่วนรวมจริงๆ"

ครับ..ก็มีมุมน่าใคร่ครวญ ผู้ใหญ่ที่มีความคิด "ตกผลึก" แล้ว เห็นชัดเจนว่า แต่ละท่าน "แยกแยะ" ส่วนตัว ส่วนรวม-คือชาติ ได้เด็ดขาด-ชัดเจน และสามารถใช้ความแตกต่างของแต่ละคนมา "ร่วมสร้างเส้นทางชาติ" ได้เป็นเส้นทางเดียวกัน

ใครจะคิดว่าจอมพลสฤษดิ์ขณะเป็นมือซ้ายจอมพล ป.ไปขอร้อง "ข้าราชการกระทรวงการคลัง" คนหนึ่งที่ชื่อ "ป๋วย" ว่าอย่าไปเอาโทษกับธนาคารที่ทำผิด เพราะสอพลออำนาจการเมืองขณะนั้น

แต่ข้าราชการคนนั้น..กลับไม่ยอม!

สฤษดิ์โกรธมาก จนอาจารย์ป๋วยต้อง "หลบภัยอำนาจ" ไปทำงานอยู่ต่างประเทศ แต่แล้ว จู่ๆ เมื่อจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ คนแรกที่จอมพลสฤษดิ์เจาะจงตัวเอามาเป็น "วิศวกรสร้างชาติ" ก็คือ

หนุ่มวัย ๓๐ ปลายๆ ๔๐ ต้นๆ คู่อริหมายเลข ๑..ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์!

ท่านตั้งสำนักงบประมาณ ตั้งสภาพัฒน์ แผนพัฒนาประเทศฉบับแรกเริ่มจากท่านตรงนี้ ท่านทำให้แบงก์พาณิชย์รู้จักการค้าต่างประเทศ ทำให้ระบบ-สถาบันการเงินไทยมีมาตรฐานได้รับการยอมรับเป็นสากล

ถ้าพูดกันตอนนี้ ก็ต้องบอกว่า ท่านเดินตามแผนพัฒนาที่โลกตะวันตกโดย "แบงก์โลก" กำหนดให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเดินตาม พัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมด้วยทุนนอกชาติ มุ่งให้ประเทศเจริญเติบโตด้วยทุนวัตถุ โดยระยะแรกๆ ไม่ต้องคำนึงถึงคำว่า "เศรฐกิจที่สร้างความรวยกระจุกตัว"

มันถูก-มันใช่ ตามยุค-ตามสมัย แต่มันจะไม่ถูก-ไม่ใช่ ถ้ารัฐบาลต่อๆ ไปไม่ปรับเปลี่ยนไปจากฐานตั้งต้น ด้วยวิวัฒนาการในแต่ละขั้นตอน อย่างเวลานี้ อุตสาหกรรมที่ "กินบุญเก่า" รับจ้างผลิตด้วยค่าแรงงานถูกๆ ไม่พัฒนาตัวเองตามกาลเวลา

เจ๊งซีครับท่าน แล้วก็โทษว่า..ดอลลาร์อ่อน-บาทแข็ง!

ดร.ป๋วยท่านเคยเป็นคนคนเดียวที่คุมทั้งฝ่ายการเงินและการคลัง คือเป็นทั้งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เป็นทั้ง ผอ.สำนักงบประมาณ และเป็นทั้ง ผอ.สำนักเศรษฐกิจการคลัง แต่ที่ต้องสังเกตคือ

จอมพลสฤษดิ์ จะไม่ยุ่ง ไม่ก้าวก่ายงานอาจารย์ป๋วย ในขณะที่อาจารย์ "ทำทุกอย่าง" โดยมีชาติเป็นที่ตั้ง คนที่สังคมสามารถรับประกัน "ด้วยจิตวิญญาณ" ได้ทันทีว่า ท่านผู้นี้ไม่มีคำว่า "คอรัปชั่น"

ซึ่งก็มีท่านอาจารย์ป๋วยเพียงคนเดียวเท่านั้น ในประวัติศาสตร์ข้าราชการไทย ในรอบกึ่งศตวรรษนี้ ที่สังคมชาติยอมรับท่านด้วย "จิตสะอาด" จริงๆ!?

ที่ผมหยิบ ๑ ในล้านของงานอาจารย์ป๋วยมาคุยวันนี้ ก็เพียงหวังชี้ให้คิดกับสถานการณ์ปัจจุบันว่า อย่าไป "จับจุด" คร่ำเคร่งแค่พิธีกรรมบนคำว่า "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" ในการแก้ไขปัญหาสังคมชาติเลยครับ

และอีกอย่าง ผู้นำเผด็จการทหาร หรือ ผู้นำประชาธิปไตย มันไม่มีความหมาย ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์เป็นเป้าหมายในการนำชาติ และข้อสำคัญคือ

ต้องรู้จักเลือกคนมาใช้ และรู้จักวิธีใช้..คนที่เลือก!

๕๐ ปีมาแล้ว ผมว่ามันถึงเวลาที่ต้อง "ปฏิวัติเศรษฐกิจและสังคมชาติ" ด้วยวิสัยทัศน์สู่สังคมโลกที่เป็นจริงอีกครั้งแล้วครับ

ผู้นำคนไหนก็ตาม ถ้ามองผิด-นำผิด หรือ ไม่มอง..ปล่อยให้วันนี้ชักลากไปเองสู่วันพรุ่งนี้

หายนะชาติครับ!

พลเอกสนธิจะเล่นการเมืองหรือไม่ ถ้าเล่นถือว่าเป็นการสืบต่ออำนาจ "เผด็จการทหาร" หรือไม่ ฟังแล้วหดหู่ ไม่ใช่หดหู่พลเอกสนธิ


แต่หดหู่ว่า "๕๐ ปีผ่านไป" สังคมไทยยังจมอยู่ในหล่มความคิดเดิมๆ กันแค่นี้น่ะหรือ ถ้าเรายังเถียงกันแค่ "เผด็จการ-ประชาธิปไตย" ก็หวังได้ว่าไทยใน ๕๐ ปีต่อไป..ไทยอนาถา.


(ไทยโพสต์ 16 ก.พ.50)

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&;post_date=16/Jul/2550&news_id=145212&cat_id=200




หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: Şiłąncē Mőbiuş ที่ 26-09-2008, 16:15
รู้สึกดี กับกระทู้นี้จริงๆ  :slime_smile:


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 26-09-2008, 19:30
อ่านแล้วเจ็บใจ ทำไมเมืองไทยไม่โชคดีเหมือนเกาหลีบ้าง  ขนาดในหลวงทรงย้ำมาตลอดเรื่องเอาคนดีมาปกครองบ้านเมือง  พันธมิตรฯก็เคลื่อนไหวขนาดนี้   แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นแบบที่เราเห็น มีแต่โจรขึ้นมามีอำนาจ :slime_hmm:


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: จูล่ง_j ที่ 26-09-2008, 19:56
เพิ่งรู้ว่าเผด็จการทหาร ทำให้เกาหลีใต้เจริญขนาดนี้ :slime_agreed:


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: หมักเมถุน ที่ 27-09-2008, 03:04
คุณพ่อผมติดต่อกับพวกนักธุรกิจเกาหลีอยู่บ้างพอสมควร ส่วนใหญ่บอกว่าเกาหลีใต้มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะปักจุงฮี

ส่วนเมืองไทย ก็คงคล้ายๆฟิลิปปินส์ ถึงตอนนี้แล้วยังมีรูปปั้นมากอส โดยชาวรากหญ้ายังคิดว่าเขาเป็นนักบุญมาโปรดคนจน
นอกจากหน้าตาประชากรจะคล้ายๆกันแล้ว ความเชื่อ สติปัญญา และการศึกษา ของคนส่วนใหญ่ดูจะไปในแนวทางเดียวกันเสียด้วย 
:slime_surrender:


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: เทวา ที่ 27-09-2008, 06:59
หลัง ww2 ประเทศกำลัง - ด้อยพัฒนาก็อย่างนี้เกือบทุกประเทศ
ซาร์ของอิหร่าน  ฮุสเซนของอิรัก มาร์คอสของฟิลิปปินส์  ซูฮาโตของอินโดนิเซีย  อามินของอูกันดา  ลอนนอลของกัมพูชา 9ล9

มันเป็นเรื่องความต้องการการพัฒนา ปท.แบบไม่มีเงื่อนไข + ความหวาดกลัวทฤษฏีโดมิโนของอเมริกัน
เกาหลีต่อยอดมาได้นับว่าโชคดี แทบจะเป็น ปท.เดียวด้วยซ้ำ 

ส่วนใหญ่ก็ลูกกระจ๊อกตาม model อเมริกัน วุ่นวายไม่จบถึงบัดนี้


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: เล่าปี๋ ที่ 27-09-2008, 21:28
เพิ่งรู้ว่าเผด็จการทหาร ทำให้เกาหลีใต้เจริญขนาดนี้ :slime_agreed:



อิอิ ไม่สนใจหรือว่าเกิดไม่ทันครับ..... :slime_doubt:   :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ทําไมทหารไทยไม่ทําแบบนายพล ปัก จุง ฮี
เริ่มหัวข้อโดย: ชัย คุรุ เทวา โอม ที่ 27-09-2008, 22:36
โอ้ยังไม่เข็ด กับสุรยุทธ์ อีกเหรอ 555555 :slime_doubt:

อยากกลับไปแบบพม่าละสิ อิอิ :slime_inlove: