ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: นทร์ ที่ 01-07-2006, 12:04



หัวข้อ: มาตรา 3 ระบุชัดว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนและพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่าน..
เริ่มหัวข้อโดย: นทร์ ที่ 01-07-2006, 12:04
นายโสภณ สุภาพงษ์ รักษาการ ส.ว.กทม. กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ค่อยรู้เรื่องรัฐธรรมนูญและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะมาตรา 3 ระบุชัดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่าน  3 สถาบัน ดังนั้น จึงไม่มีใครอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ

"มีแต่ระบอบเผด็จการเท่านั้นที่พยายามผลักดันผู้คนให้ห้ำหั่นและแตกแยกกันเช่นนี้    การพูดของคุณทักษิณวานนี้เป็นการปลุกระดมให้คนเกลียดกัน  เขามองทุกคนเป็นศัตรูเขาทั้งหมด  คุณทักษิณกำลังสำคัญตัวเองผิด  ว่าเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่ครอบงำรัฐธรรมนูญฉบับนี้  อยากให้คุณทักษิณระวังตัวให้ดี เพราะเรื่องนี้จะเป็นชนวนที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้น" นายโสภณกล่าว

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=1/Jul/2549&news_id=126608&cat_id=501


หัวข้อ: Re: มาตรา 3 ระบุชัดว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนและพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่าน..
เริ่มหัวข้อโดย: chubpong ที่ 03-07-2006, 09:57
มาตรา 2 “ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”

มาตรา 3 “ อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”


ชาวบ้านทั่วไป เพียงแค่ได้อ่าน กฎหมายสองข้อนี้ อย่างช้า ๆ และน้อมจิตระลึกถึงพระองค์ท่านด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ก็สามารถเข้าใจ ระบอบและโครงสร้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เป็นแบบของเรา เป็นรูปแบบของวิถีประชาธิปไตยไทยนั้นมีความสวยงาม ทั้งรูปแบบ และจารีตประเพณีที่ได้ช่วยรักษาความเป็นชาติและแผ่นดินมาด้วยความสงบสุข

”อำนาจ” ทำให้คนตาบอด “เงินทองและลาภยศ” ทำให้คนดีถดถอยและหันหลังให้กับจิตสำนึกใฝ่ดีที่แผ่นดินนี้ที่ได้ให้ความอบอุ่น และอยู่รอดมาจนเติบใหญ่ได้ดิบได้ดี โดยเฉพาะบรรดาข้าราชการไทยที่บางคนแทบทั้งตระกูล นำพาครอบครัวอยู่รอดเติบใหญ่ได้ดีเพราะ “ราชการ”  แต่ที่น่าหดหู่ เพราะ ข้าราชการไทยบางคน พ่ายแพ้ในอำนาจเงินตรา ,กลายเป็นคนที่แก่ประโยชน์ตนและพรรคพวก และที่สำคัญคือ ขี้ขลาดอย่างน่ารังเกียจ

ปรากฏการณ์ของ คนไทยจำนวนมาก ที่รู้สึกไม่สบายใจกับท่าทีของผู้นำ ที่เล่นแรง และเล่นแบบไม่รับผิดชอบ มันบ่งบอกให้เห็นถึงสภาวะทางอารมณ์ที่ปรวนแปร และสับสน และที่สำคัญคือการระแวงในอำนาจ,ระแวงในคนรอบข้าง และที่สำคัญคือ “กลัว!”

การปลุกระดมให้เกิดการท้าทายสถาบัน โดยเฉพาะสถาบันศาล ที่ถึงขนาดขู่ฝ่อ ว่าหากพรรคตนถูกยุบ ก็อาจจะต้องยุบศาลฯ  มันจึงต้องทำให้ต้องคิดว่า คนพวกนี้ทำไมถึงกล้าและลามปามแบบที่ไม่เคยปรากฏในสังคม

และถ้าถามลงลึก ๆ ลงไปว่า  ถ้าแม้นคนเหล่านี้มีความสำนึกในความจงรักภักดีอย่างจริงใจ และอ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญออก โดยเฉพาะตามมาตรา 3 ทำไมถึงไม่คิดถึงว่า....การท้าทายสถาบัน เช่นนี้ มันคุ้มหรือที่จะเอาตัวเองและวงศ์วานว่านเครือตัวเองไปเกลือกกลั้วรับใช้เพียงแค่เศษชิ้นเนื้อเน่า ที่มีคนโยนเรียงไว้ตามทางให้เดินแทะเล็ม....สุดท้ายพวกนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับบรรดา มดงาน หรือปลวก ที่ตายแบบไร้ค่า เมื่อนางพญา หรือรังปลวกถูกรื้อทำลาย

แต่มองในแง่ดี ตามวงเวียนแห่งการบรรจบ......บางที นี่อาจจะเป็นสัญญานที่ดีสำหรับวัฎจักรแห่งการเมืองที่มันมาถึงจุดที่กำลังต่ำสุดแล้ว และจะได้ถึงเวลาแห่งการล้าง, ชำระสิ่งโสโครกที่เกาะติดระบอบการเมืองไทยทุกภาคส่วน .ครั้งสำคัญออกไปเสียที และคงถึงเวลาที่ การเมืองไทย จะค่อย ๆ กระเถิบสูงไปสู่จุดที่ โปร่งใส และสะอาดพอที่จะทำให้เป็นที่เชื่อถือได้ในสังคมไทย และสังคมโลก


“อำนาจ มันมาแล้วก็ไป”   ยังเป็นวาทะที่ใ้ช้ได้ตลอดกาล
”แหวนแห่งอำนาจ ไม่ได้เป็นแหวนเพื่อให้เป็นสมบัติของผู้ใดโดยนิรันดร์”