ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 08:12



หัวข้อ: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 08:12
 สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'

บอร์ดไทยพาณิชย์ ถกเครียด ยังไม่ปล่อยอายัดเงินกว่า 3 หมื่นล้านของ"ทักษิณ" ด้านบิ๊กสรรพากรสั่งเจ้าหน้าที่เปิดสำนักงานรอรับเช็ค แต่ก็ไม่ทันเวลา

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จาก ความพยายามใช้ข้าราชการระดับสูงในกรมสรรพากร ระดับรองอธิบดี ดำเนินการให้ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ นำเงินที่ คตส.อายัดไว้ กว่า 3 หมื่นล้านบาท มาชำระภาษีให้กับ นายพานทองแท้ กับ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร กรณีหลีกเลี่ยงการซื้อขายหุ้น บ.แอมเพิลริช กว่า 1.2 หมื่นล้าน ปรากฎว่าในช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ได้เข้ายื่นหนังสือต่อธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นเหตุให้ธนาคารดังกล่าวต้องมีการเรียกประชุม บอร์ดของธนาคารเพื่อตัดสินใจอนุมัติ เพราะเป็นเงินจำนวนมาก และหวั่นผลกระทบตามมา

จนกระทั่งเวลา 17.00 น.ที่ประชุมบอร์ดยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะอนุมัติหรือไม่ และเลยระยะเวลาการทำงานของธนาคาร อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางธนาคารเคยทำหนังสือไปสอบถาม อัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแล้ว ว่าไม่สามารถถอนอายัดเงินก้อนดังกล่าวได้

“ เรื่องนี้ผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากร ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเองอย่างเร่งด่วนทั้งหมด พร้อมทั้งสั่งให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ภาค 1 เขตจตุจักร เปิดที่ทำการรอจนกว่าจะถึงเวลา 16.30 น.เพื่อต้องรอรับเช็ค จากธนาคารไทยพาณิชย์ แต่จนถึงเวลาดังกล่าว ยังไม่ได้รับเช็คจากธนาคารเลย จึงต้องปิดสำนักงานในที่สุด  ซึ่งความจริงแล้วเจ้าหน้าไม่ต้องรับเช็ค เพราะไม่มีใครอยากจะเกี่ยวข้องด้วย โดยไม่ต้องการให้บอร์ดอนุมัติเรื่องดังกล่าว เพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่ถูกต้อง และในอนาคตมีความหมิ่นเหม่ว่าข้าราชการระดับล่างจะต้องรับเคราะห์ ” แหล่งข่าวระบุ


http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/22/news_287851.php


เจ้าหน้าหน้าที่ระดับสูงกรมสรรพากรไม่กลัวคุก ไม่จดจำว่าอดีตข้าราชการกรมสรรพากรระดับสูง 5 คน ถูกไล่ออก ต้องคดีจำคุกมาแล้ว เพราะพยายาม'รับใช้'อดีตนายกฯ จำเลยหนีประกันตัว หนีหมายจับของศาลยุติธรรมไทย ใช้ตำแหน่งในทางมิชอบ.....!!!

ผู้มีอำนาจสั่งการของกรมสรรพากรเร่งรัด รีบด่วนเกินเหตุ ระวังจะถูกตั้งข้อสงสัยทุจริตต่อหน้าที่ เชื่อว่า พยายามช่วยเหลืออดีตนายกฯและครอบครัว ส่อเจตนาใช้'อำนาจเป็นธรรม'.....

เช่นเดียวกับอดีตนายกฯคนนี้ เคยใช้'อำนาจเป็นธรรม' เลื่อนวันหยุดราชการ วันหยุดตามประเพณี วันที่ 31 ธ้นวาคมข้ามปี เพื่อจะให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรัชดาฯ ให้เมียนายกฯในขณะนี้นทันเวลาเสียภาษีอัตราเก่า ไม่ต้องเสียภาษีอัตราใหม่ ปีใหม่.....!!!





หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 08:27
.................................................................................................................................................................
นายพิภพ กล่าวต่อว่า เมื่อมีพระราชดำรัสที่ทรงเป็นห่วงการบริหารการเงินว่าจะทำให้ประเทศชาติไม่มีเงินใช้ ประเทศชาติใกล้ล่มจมเพราะใช้เงินไม่ระวัง ใครที่เป็นนักบริหารการคลังย่อมเข้าใจ แต่รัฐบาลนี้ฟังหรือเปล่า ไม่ฟังเลย ยังจะทำโครงการต่างๆ ที่พันธมิตรฯ ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลนี้ต้องการถลุงเงินของชาติ จะทำประชานิยม 4.6 หมื่นล้าน สร้างสภาใหม่ 3 หมื่นล้าน เช่ารถเมล์เอ็นจี 1.1 แสนล้าน ทำยังกะพิมพ์แบงก์เองได้ และยังมีโครงการแฝงในงบประมาณปีหน้าอีก 2 แสนล้าน ทั้งยังจะให้เงิน ส.ส.อีกคนละ 60 ล้าน เอาไปใช้เตรียมการเลือกตั้ง อ้างว่าจะเอาไปพัฒนาชุมชนของตัวเอง
       
       “ถามว่า ส.ส.มีสิทธิ์อะไรที่จะเอาเงินภาษีของประชาชนไปใช้เลือกตั้ง หรือเอาไปพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง นักการเมืองแบบนี้ปล่อยไว้วันเดียวการเงินการคลังของประเทศก็จะเสียหาย และขณะที่รัฐบาลกำลังใช้เงินจำนวนมหาศาลอยู่นั้น  เมื่อมีข่าวว่าอัยการจะฟ้องยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 7.6 หมื่นล้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง กลับเตรียมที่จะเอาเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท คืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
       
       " แต่กรณีดังกล่าวจะต้องชิงดำ เพราะอัยการกำลังจะยื่นเรื่องอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นสู่ศาล แต่ นพ.สุรพงษ์ กลับรีบทำจดหมายไปถึงธนาคารต่างๆ เพื่อเอาเงินออกมาจากแบงก์ทันที อย่างนี้ต้องการช่วยทักษิณมากกว่าช่วยประเทศชาติ ไม่อยากกล่าวหาว่าคนแบบนี้ขายชาติเลย
เพราะ 90 วัน เราทำมาพอแล้ว ฉะนั้นเราจึงปล่อยไปไม่ได้ เพราะการเมืองเน่าเฟะแบบนี้ มีทางเดียวคือต้องให้รัฐบาลชุดดังกล่าวออกไป”นายพิภพ กล่าว
       
       แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า งบประมาณในโครงการต่างๆ ของรัฐบาลนั้น แฝงไปด้วยเล่ห์กล แต่เรามีตัวอย่างคือ นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ ซึ่งเป็นคนตรงฉิน เข้าไปดูแลโครงการเภสัช ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณของรัฐบาลไปได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ที่สำคัญคือวันนี้เราผ่านพ้นวิกฤตในเรื่องตุลาการ เพราะเราช่วยเรื่องการนำคดีต่างๆ ขึ้นสู่ศาล โดยรัฐบาลสมควรที่จะสนับสนุนตุลาการให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่กลับปล่อยให้ลูกน้องพยายามที่จะเข้าไปทำลายกระบวนการยุติธรรม ทำลาย ป.ป.ช. และ คตส. แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าสนับสนุนแนวทางพระราชดำรัชหรือไม่

................................................................................................................................................................................

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000099621


คนที่เคยชื่นชม'หมอเลี๊ยบ' เคย'เสพ'การสร้างภาพของคนพรรคไทยรักไทย ยังจะหลงไหล ได้ปลื้มกับพฤติกรรมช่วยเหลือ'นายใหญ่' กตัญญู'นายใหญ่' พรรค์นี้อีกไหม.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงอ่ำ ที่ 23-08-2008, 08:28
คดียังไม่ตัดสิน เงินที่อายัดไว้จะคืนให้ใครได้อย่างไร
ใครทำ ใครเกี่ยวข้อง โทษถึงติดคุกครับ

เห็นศาลเป็นอะไร....

ผมไม่เชื่อว่าข่าวนี้ จะเป็นจริงครับ

ช่วยกันเสาะหาที่มาของข่าว
แล้วบอกกับคนต้นข่าวว่า กรุณาระบุชื่อและนามสกุลคนกล้าทำคนนั้นด้วย
เชื่อว่า มีคนอยากรู้จักตัวทั้งประเทศ

ประเทศของเรา บอบช้ำเพราะคำคนชั่วที่หนีคดีด้วยความขลาดมาแล้ว
อย่าทำให้วงราชการมัวหมองไปมากกว่านี้เลย พ่อคุณเอ๋ย


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 09:15
บีบสรรพากรบี้ธนาคารคืนเงินทักษิณ17ก.ย.ชี้ชะตารัชดา
 
 
แฉบิ๊กการเมืองสั่งสรรพากรบีบแบงก์ไทยพาณิชย์ถอนอายัดเงิน 1.2 หมื่นล้านคืน "โอ๊ค-เอม" ด้าน "เลี้ยบ" ปัดไม่เกี่ยว "ประดิษฐ์" ชี้ต้องนำเงินเข้าหลวง คตส.ยันถอนอายัดไม่ได้ ต้องพิสูจน์ในชั้นศาล เบอร์มิวดาอ้าแขนรับ "ทักษิณ" ลี้ภัย "สมัคร" เมินถอนพาสปอร์ตแดง ศาลฎีกาพิพากษาคดีที่ดินรัชดาฯ 17 ก.ย. "คนรักแม้ว" นัดรวมพลอาทิตย์นี้


รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ว่า มีความพยายามจากข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากร ดำเนินการให้ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ซึ่งรับฝากเงินของตระกูลชินวัตรกว่า 3 หมื่นล้านบาท ที่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีคำสั่งอายัดไว้ ให้นำเงินจำนวนดังกล่าวส่งมอบให้กรมสรรพากร เพื่อจ่ายเงินภาษีให้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร กรณี คตส.สั่งให้กรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นแอมเพิลริชของทั้งสองคน ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ให้แก่กรมสรรพากร ตามมติของ คตส. ซึ่งตามขั้นตอนการจ่ายภาษีจะต้องมีการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในการยื่นอุทธรณ์ภาษี แต่ทั้งสองคนไม่ยอมจ่าย คตส.จึงมีมติอายัดทรัพย์วงเงินดังกล่าวในธนาคารพาณิชย์

 รายงานข่าวเปิดเผยว่า ความพยายามดังกล่าวได้ดำเนินการมาร่วมเดือนแล้ว โดยนักการเมืองระดับสูงพยายามบีบให้อธิบดีกรมสรรพากรเป็นผู้ดำเนินการ จนทำให้อธิบดีมีหนังสือสอบถามไปยังอัยการสูงสุด และ ป.ป.ช. ซึ่งทั้งสององค์กรยืนยันว่าไม่มีอำนาจและต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล

  นอกจากนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีความพยายามอีกครั้งที่จะให้อธิบดีกรมสรรพากรเร่งดำเนินการตาม แต่อธิบดีไม่ยอม เพราะเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เหมือนอดีตอธิบดีที่ถูกดำเนินการก่อนหน้านี้ ดังนั้น จึงมีความพยายามวิ่งเต้นผ่านระดับรองอธิบดี เพื่อเอาตำแหน่งผู้ตรวจการกระทรวงระดับ 10 มาต่อรอง ซึ่งมีตำแหน่งว่างลงถึง 2 ตำแหน่ง

 " ตลอดช่วงวันที่ 22 สิงหาคม มีความเคลื่อนไหวภายในกรมสรรพากรเป็นอย่างมาก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้ เพราะอธิบดีกรมสรรพากรไม่ได้รับทราบ เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น  แต่มีผู้ใหญ่ที่อาศัยปฏิบัติหน้าที่แทนเป็นผู้ดำเนินการ โดยให้เด็กถือหนังสือไปยื่นที่ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้นำเงินมาส่งที่กรมสรรพากร แต่เรื่องมาเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารโทรศัพท์กลับมาสอบถามที่กรมสรรพากรว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร เพราะเงินก้อนดังกล่าว คตส.มีมติอายัดไว้แล้ว " แหล่งข่าวระบุ

  รายงานข่าวระบุว่า มีความพยายามบีบให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือถึงธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้ส่งมอบเงินให้แก่กรมสรรพากรให้ได้ภายในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ ก่อนที่อัยการสูงสุดจะสั่งฟ้องในวันที่ 25 สิงหาคม แต่ธนาคารยังไม่ตัดสินใจว่าจะดำเนินการ จนกว่าจะมีหนังสือลงนามอย่างเป็นทางการจากอธิบดีกรมสรรพากร

 " นี่เป็นการช่วยเหลือของผู้ใหญ่ในกรมสรรพากร ที่ต้องให้นำเงินในธนาคารพาณิชย์ออกไปก่อน โดยอ้างว่านำมาชำระเงินภาษีที่ทั้งคู่ถูกประเมินเรียกเก็บภาษี แต่เงินก้อนดังกล่าวมีมากกว่าเงินที่ประเมินไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นเมื่อนำเงินก้อนดังกล่าวกว่า 3 หมื่นล้านบาท มาจ่ายแทน กรมสรรพากรจึงจำเป็นต้องปล่อยหุ้นของทั้งคู่บางส่วนที่ถูกอายัดไปด้วยตามจำนวนเงิน เพื่อจะใช้เป็นเงื่อนไขการต่อสู้ในชั้นของการอุทธรณ์ภาษี และจะทำให้เงินก้อนนี้หลุดไปในที่สุดในชั้นของคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี ไม่ต้องผ่านกระบวนการทางศาล โดยจะพยายามทำเหมือนกับคดีเลี่ยงภาษีของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำนวน 546 ล้านบาท ที่หลุดไปก่อนหน้าที่
 ....................................................................................................................................................................................


http://www.komchadluek.net/2008/08/23/x_main_a001_217442.php?news_id=217442



มีเงิน มีอำนาจ ก็ใช้ข้าราชการโง่เขลา'โม่แป้ง'ได้.......!!!
พยาน หลักฐานการประพฤติชั่ว คงจะหายากในยุคโลกาภิวัฒน์ ข่าวสารเผยแพร่รวดเร็ว และจับตามองได้....

คนมีบทเรียนมาแล้ว จะปล่อย'หลักฐาน'ทิ้งไว้ง่ายฤา......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: May The Force Be With You ที่ 23-08-2008, 09:20
รองอธิบดีเป็นคนเซ็นอนุมัติครับให้แบงก์ไทยพาณิชย์ถอนอายัดเงิน 1.2 หมื่นล้านนำเงินจำนวนดังกล่าวส่งมอบให้กรมสรรพากร


ชั่วจริงจริง :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: มารุจัง ที่ 23-08-2008, 09:27
สงสัยค่ะ
เมื่อวันศุกร์ไม่ทันการ
แล้วถ้า เค้าไปยื่นอีกทีวันจันทร์จะได้หรือไม่คะ
แล้วแบงค์จะอนุมัติให้เค้าถอนได้หรือไม่คะ..
 :slime_doubt: :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 09:30
วันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 22:01:28 น.  มติชนออนไลน์ จำนวนคนอ่านล่าสุด 1112 คน

แฉแผน"บิ๊ก"สรรพากรบีบไทยพาณิชย์ส่ง1.2หมื่นล. วิ่งล้มคดีภาษี"โอ๊ค-เอม"-เปิดช่องส่งเงินคืน"แม้ว"

เผยแผน"บิ๊ก"สรรพากร บีบธนาคารไทยพาณิชย์ส่งเงิน 12,000 ล้านบาท ก่อนอัยการสูงสุดส่งฟ้องยึดทรัพย์"แม้ว" 7.6 หมื่นล้าน อ้างเป็นการชดใช้ค่าภาษีหุ้นชินคอร์ปของ"พานทองแท้- พิณทองทา" จากนั้นวิ่งให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีมติเรียกเก็บภาษีไม่ชอบ ต้องส่งเงินคืนครอบครัวชินวัตร

แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรเปิดเผย "มติชนออนไลน์" เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมว่า  เมื่อเย็นวันที่ 22 สิงหาคม ข้าราชการระดับรองอธิบดีกรมสรรพากรรายหนึ่งได้ทำหนังสือส่งถึงธนาคารไทยพาณิชย์อ้างอำนาจตามมาตรา 12 ประมวลรัษฎากรสั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์จ่ายเช็ค 12,000 ล้านบาท ให้แก่กรมสรรพากร ทั้งนี้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินส่วนหนึ่งที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)อายัดไว้ทั้งหมด 69,000 ล้านบาทและฝากอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 30,000 ล้านบาท

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า หนังสือของกรมสรรพากรอ้างว่า การให้ธนาคารส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวเป็นการอายัดเงินของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเพื่อชดใช้ค่าภาษีที่บุคคลทั้งสองค้างชำระกรณีการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือชินคอร์ป จากบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์จำนวน 329.2 ล้านหุ้นในราคา 1 บาทและขายไปในราคา 47.25 บาทเมื่อวันที่ 20 และ 23  มกราคม 2549 ทำให้บุคคลทั้งสองมีเงินได้กว่า 15,000 ล้านบาท

 

" นอกจากให้เจ้าหน้าที่ไปยื่นหนังสือถึงสำนักงานใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งอยู่ในเขตของสรรพากรภาค 1 แล้ว ยังมีข้าราชการระดับสูงรายหนึ่งได้โรศัพท์ไปกำชับว่า ให้ทางธนาคาร ออกเช็คให้กรมสรรพากรให้ได้ภายในวันที่ 22 สิงหาคม 2551   แต่ทางผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ปฏิเสธโดยได้ให้เหตุผลว่า ขอหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ก่อน"แหล่งข่าวกล่าว

 

แหล่งข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์เปิดเผยว่า หลังจากได้รับหนังสือจากกรมสรรพากร ผู้บริหารธนาคารได้เรียกประชุมคณะผู้บริหารและแจ้งให้ประธานคณะกรรมการธนาคารทราบเพราะเป็นเงินจำนวนมากและหวั่นผลกระทบตามมา จนกระทั่งเวลา 17.00 น. ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปว่า จะอนุมัติหรือไม่ และเลยระยะเวลาการทำงานของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ธนาคารตัดสินใจที่จะแถลงข่าวในวันอาทิตย์ที่ 24หรือจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2551 เพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าว

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พยายามติดต่อไปยังนายบดินทร์ อัศวาณิชย์ กรรมการบริหารซึ่งดูแลด้านกฎหมายของ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับแจ้งจากเลขานุการนายบดินทร์ว่า นายบดินทร์ติดประชุมไม่สามารถตอบคำถามได้และไม่รู้ว่าการประชุมจะเสร็จเมื่อไหร่

 

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยว่า เมื่อเย็นวันเดียวกันได้รับหนังสือด่วนจากธนาคารไทยพาณิชย์ทางโทรสารเพื่อสอบถามเรื่องที่ทางกรมสรรพากรขอให้ธนาคารจ่ายเงินที่ถุก คตส.อายัดไว้ 12,000 ล้านบาท แต่ทางเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงนำเสนอผู้อำนวยการสำนักกฎหมายเพื่อให้นำเสนอต่อคณะกรรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวในการประชุมวันอังคารทที่ 26 สิงหาคม

 

  แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรกล่าวว่า เหตุที่ข้าราชการระดับสูงในกรมสรรพากรกลุ่มหนึ่งพยายามเร่งรัดให้ธนาคารไทยพาณิชย์ส่งมอบเช็คจำนวน 12,000 ล้านบาทให้ได้ภายในวันที่ 22 สิงหาคม เนื่องจากมีข่าวว่า อัยการสูงสุดจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาทและให้ยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินในวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่สามารถดำเนินการให้มีการถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา

 

"ขณะนี้นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาได้ยื่นอุทธรณ์กรณีที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี 12,000 ล้านบาท แล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการอุทธรณ์ซึ่งข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้วางแผนล้อบบี้ที่จะให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีมติว่า การเรียกเก็บภาษีบุคคลทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกรมสรรพากรต้องคืนเงิน12,000 ล้านบาทที่ได้รับจากธนาคารไทยพาณิชย์ให้กับบุคคลทั้งสอง เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการอุทธรณ์เห็นการว่า ประเมินภาษีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรมคุณหญิงพจมาน ชินวัตรไม่ชอบด้วยกฎหมายกรณีที่คุณหญิงพจมานโอนหุ้นชินคอร์ปให้นายบรรณพจน์มูลค่า 738 ล้านบาท  ทำให้กรมสรรพากรต้องคืนเงินที่อายัดไว้ให้แก่นายบรรณพจน์ 546ล้านบาท" แหล่งข่าวกล่าว

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า เชื่อว่า ข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้ได้รับคำสั่งจากผู้มีอำนาจทางการเมืองให้ดำเนินการเรื่องนี้เพราะที่ผ่านมา ทนายความของครอบครัวชินวัตรได้พยายามให้มีการถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ คตส.แต่ไม่ประสบสำเร็จเพราะ ป.ป.ช.อ้างว่า ไม่มีอำนาจ ให้ไปยื่นเรื่องต่อศาลฎีกา เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ต่างๆก็ปฏิเสธในทำนองเดียวกัน  จึงเห็นช่องทางว่า น่าจะให้อำนาจตามกฎหมายประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ที่ให้อำนาจอธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ที่ค้างการชำระภาษีทั่วราชอาราจักรโดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือคำสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้

 

 แหล่งข่าวกล่าวว่า ปรากฏว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวจนกระทั่งถึงเย็นวันที่ 22 สิงหาคม นายศานิต ร่างน้อยอธิบดีกรมสรรพากรเดินทางไปต่างประเทศ ข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้จึงพยายามกดดันให้เจ้าหน้าที่สรรพากรภาค 1 ครอบคลุมที่ทำการของธนาคารไทยพาณิชย์ออกหนังสือแจ้งไปยังธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อให้ส่งเงินให้กรมสรรพากร แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม  จึงมีการเสนอให้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของกรมในวันที่ 22สิงหาคม เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ปรากฏว่า มีสรรพากรภาค 3 ซึ่งเป็นผู้พิจารณาอุทธรณ์คดีภาษีของนายพานทองแท้ และพิณทองทาเข้าร่วมด้วยและเห็นว่า กรมควรเรียกให้ธนาคารส่งเงินให้ แต่เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ทำให้ข้าราชการกลุ่มนี้ไม่พอใจ สั่งให้ผุ้อำนวยการสำนักหนึ่งทำหนังสือส่งให้ข้าราชการระดับรองอธิบดีลงนามในที่สุด

 

ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามไปยังนายอัษฎางค์ ศรีศุภรพันธ์ รองอธิบดีกรมสรรพากร ผู้รับสายซึ่งเป็นชายปฏิเสธว่าไม่ใช่นายอัษฎางค์ โดยอ้างว่า นั่งอยู่นหน้าห้องของนายอัษฎางค์

 

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ชายคนดังกล่าว กล่าวว่า "จากการสอบถามไปยังหน้าห้อง ยืนยันว่าไม่มีเอกสารเรื่องนี้เข้ามา"

 

 เมื่อถามว่า หากมีเรื่องดังกล่าวเสนอเข้ามาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ชายคนดังกล่าวชี้แจงว่า "เมื่อมีการเซ็นเรื่อง จะต้องส่งเรื่องกลับไปยังปลัดกระทรวงการคลัง จากนั้นจึงจะส่งเรื่องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไป"

 

   ด้านนาย.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่มีอำนาจในการสั่งอายัดหรือถอนอายัดบัญชีของใคร ดังนั้นต้องไปพิจารณาว่าหน่วยงานไหนมีหน้าที่ในการดำเนินการดังกล่าว ก็เหมือนกับกรณีนายเกริก วาณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ธนาคารพาณิชย์ที่ทำการอายัดบัญชีไว้ก็ไม่เคยมาถามความเห็นจาก ธปท. ดังนั้นเวลาที่ต้องการจะถอนอายัดก็ไม่จำเป็นต้องมารายงานให้ ธปท.ทราบ  

 

"เท่าที่รู้ไม่มีหน่วยงานใดให้คำตอบได้ว่าตกลงเรื่องอายัดเงินจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องควรต้องไปดูเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ และประสานกับธนาคารพาณิชย์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระทรวงการคลังอยู่แล้ว ที่ผ่านมากระทรวงการคลังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เลย ปัญหาอยู่ที่ว่าใครมีอำนาจที่จะดำเนินการ ในเรื่องการจะอายัดหรือถอนอายัด"นายสุรพงษ์กล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1219417406&grpid=02&catid=01



   ด้านนาย.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่มีอำนาจในการสั่งอายัดหรือถอนอายัดบัญชีของใคร ดังนั้นต้องไปพิจารณาว่าหน่วยงานไหนมีหน้าที่ในการดำเนินการดังกล่าว ก็เหมือนกับกรณีนายเกริก วาณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ธนาคารพาณิชย์ที่ทำการอายัดบัญชีไว้ก็ไม่เคยมาถามความเห็นจาก ธปท. ดังนั้นเวลาที่ต้องการจะถอนอายัดก็ไม่จำเป็นต้องมารายงานให้ ธปท.ทราบ  


สุภาษิตโบราณว่า 'ไม่มีไฟ ย่อมไม่มีควัน....'

 


 
 

 


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 09:35
สงสัยค่ะ
เมื่อวันศุกร์ไม่ทันการ
แล้วถ้า เค้าไปยื่นอีกทีวันจันทร์จะได้หรือไม่คะ
แล้วแบงค์จะอนุมัติให้เค้าถอนได้หรือไม่คะ..
 :slime_doubt: :slime_doubt:



  แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรกล่าวว่า เหตุที่ข้าราชการระดับสูงในกรมสรรพากรกลุ่มหนึ่งพยายามเร่งรัดให้ธนาคารไทยพาณิชย์ส่งมอบเช็คจำนวน 12,000 ล้านบาทให้ได้ภายในวันที่ 22 สิงหาคม เนื่องจากมีข่าวว่า อัยการสูงสุดจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาทและให้ยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินในวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่สามารถดำเนินการให้มีการถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา




หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 09:44
 ลูก ๆ นักธุรกิจการเมือง'รู้ดี'ว่าเงิน 6-70,000ล้านบาท คงยากยิ่งจะเอากลับคืนมาได้ เมื่อคดีต่างๆ ถึงที่สิ้นสุด จึงอยากจะเสียน้อยที่สุด.....

ถ้ากรมสรรพากรสามารถถอนเงินได้ ลูก ๆจำเลยฯ ก็ไม่ต้องไปหาเงิน 12,000 ล้านบาทที่อื่นๆ มาใช้จ่ายกรมสรรพากร....
เอาเงินที่ไม่สามารถได้คืนมาแล้ว จ่ายกรมสรรพากร.....!!!



กรณีนี้ มีใครคิดว่ากรมสรรพากรหวังดี รักษาผลประโยชน์ของรัฐฯ ของประเทศไหมหนอ.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: มารุจัง ที่ 23-08-2008, 09:50

  แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรกล่าวว่า เหตุที่ข้าราชการระดับสูงในกรมสรรพากรกลุ่มหนึ่งพยายามเร่งรัดให้ธนาคารไทยพาณิชย์ส่งมอบเช็คจำนวน 12,000 ล้านบาทให้ได้ภายในวันที่ 22 สิงหาคม เนื่องจากมีข่าวว่า อัยการสูงสุดจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติ 76,000 ล้านบาทและให้ยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินในวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่สามารถดำเนินการให้มีการถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินดังกล่าวได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา


ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า ไม่สามารถถอนเงินส่วนนั้นออกมาใช้ได้แล้ว
เฮ้อ... ดีหน่อย...
 :slime_v: :slime_v:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: Tuba ✿゚✎..✿.。.:。ღ ที่ 23-08-2008, 09:52
"เลี้ยบ"ปัด-คลังไม่ได้ดำเนินการใดๆ

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า กระทรวงการคลังไม่มีอำนาจในการสั่งอายัดหรือถอนอายัดบัญชีของใคร ดังนั้นต้องไปพิจารณาว่าหน่วยงานไหนมีหน้าที่ในการดำเนินการดังกล่าว ก็เหมือนกับกรณีนายเกริก วาณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ธนาคารพาณิชย์ที่ทำการอายัดบัญชีไว้ก็ไม่เคยมาถามความเห็นจาก ธปท. ดังนั้นเวลาที่ต้องการจะถอนอายัดก็ไม่จำเป็นต้องมารายงานให้ ธปท.ทราบ

"เท่าที่รู้ไม่มีหน่วยงานใดให้คำตอบได้ว่าตกลงเรื่องอายัดเงินจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องควรต้องไปดูเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ และประสานกับธนาคารพาณิชย์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระทรวงการคลังอยู่แล้ว ที่ผ่านมากระทรวงการคลังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เลย ปัญหาอยู่ที่ว่าใครมีอำนาจที่จะดำเนินการ ในเรื่องการจะอายัดหรือถอนอายัด" นพ.สุรพงษ์กล่าว

หน้าห้องรองอธิบดีบอกไม่เห็นเรื่อง

ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามไปยังนายอัษฎางค์ ศรีศุภรพันธ์ รองอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งมีกระแสข่าวว่าเป็นผู้ลงนามในหนังสือของกรมสรรพากรถึงธนาคารไทยพาณิชย์   เพื่อขอให้โอนเงินอายัดของนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท มาที่กรมสรรพากร ผู้รับสายเป็นชายปฏิเสธว่าไม่ใช่นายอัษฎางค์ โดยอ้างว่าเป็นหน้าห้องของนายอัษฎางค์ และเมื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ชายคนดังกล่าว กล่าวว่า "จากการสอบถามไปยังหน้าห้อง ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้เข้ามา"

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0101230851&sectionid=0101&day=2008-08-23


สั่งการด้วยวาจา พอมีเรื่อง ก็บอกว่ากรูเปล่า.....

พวกข้าราชการประจำก็ซวยไป

แล้วก็ยังหน้าโง่ไปทำตามมันอยู่ได้

พวกนี้ ไม่เข็ด สมน้ำหน้ามันเหมือนกันครับ


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: CatEyE ที่ 23-08-2008, 09:57
กรณ๊นี้ มีกฎหมายเอาผิดเจ้าหน้าที่สรรพากรได้หรือไม่ครับ
จะได้ตั้งโต๊ะแถลงเลยใครเป็นคนสั่ง เพราะอยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่คงไม่กล้าทำเองแน่นอน
 :slime_mad:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: มีคณา ที่ 23-08-2008, 10:01
"เลี้ยบ ปัด-คลังไม่ได้ดำเนินการใดๆ" <<<< มีใครเชื่อบ้างคะ

 :slime_p:

ใครจะเสี่ยงคุก-ตาราง ถ้านายไม่สั่ง


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: see - u ที่ 23-08-2008, 12:20
*  เฉพาะรองอธิบดีกรมสรรพากร ..... ไม่น่าจะคิดการใหญ่ได้ขนาดนี้หรอก

    สื่อต้องร่วมด้วยช่วยกันแฉออกมาค่ะ  " ว่าใครคือคนออกคำสั่งตัวจริง  " สำหรับเรื่องนี้   ......... !!

    ( เอ ... จะใช่  หมอเลี๊ยบ  ที่ออกมาปากคอสั่น  รีบปฏิเสธ หรือเปล่าน๊า  อยากรู้  ๆ  )

    จะว่าไปแล้วพวกที่ชอบออกคำสั่งเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางนี่ก็  ทุเรศ  เนาะ
    แบบว่า... เวลาคิดเรื่องชั่ว ๆ คิดออกเชียว  แต่ถ้าให้ไปติดคุก > ไม่เอาด้วย โยนบาปให้พวกข้าราชการชั้นผู้น้อย ซวยแทน   :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: หน้าเหลี่ยมด้าน ณ ประชาไท ที่ 23-08-2008, 12:22




ยังไม่มี หนังสือแจ้งมาทาง ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อทำการปลดอายัดครับ

เมื่อเย็นวันศุกร์ สถานภาพ บัญชี นายทักษิณ และหรือ นายพิรุฬ ชินวัติ ที่โดนคำสั่ง อายัด ยังติด ระบบ Freezed account อยู่ครับ สบายใจได้ เด้ออออ


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 23-08-2008, 22:47
23 สิงหาคม พ.ศ. 2551 16:29:00

  ปชป.อัด'สรรพากร'ใช้เล่ห์คืนเงิน'ทักษิณ'


กรณ์ จาติกวณิช:"กรณ์"เผยมีคำสั่งให้"ธ.ไทยพาณิชย์"คืนเงินอายัดให้"ชินวัตร" จะชงเรื่องเข้า กมธ.การเงินฯ เรียกหน่วยงาน-เอกสารมาสอบข้อเท็จจริง ยันต้องศาลภาษีเท่านั้นตัดสิน ด้าน"ประดิษฐ์"ปัดการเมืองสั่ง

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรมว.คลัง(เงา) พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกรมสรรพากรพยายามให้ธนาคารไทยพาณิชย์ถอนอายัดเงินในบัญชีของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อ้างว่าเพื่อนำไปชำระภาษีที่ค้างชำระกรมสรรพากร 

โดยเขาระบุว่า ฟังข่าวแล้วน่าประหลาด เพราะกรมสรรพากรตระหนักว่าไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะสั่งเพิกถอนเงินในบัญชีที่ถูกอายัดไว้ได้ ทั้งนี้ กรมสรรพากรเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่อายัดเงินส่วนนี้ไว้ แต่ก็เป็นเพียงการอายัดซ้อนกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ที่ได้ใช้อำนาจอายัดไว้ก่อน และการพิจารณาในส่วนของภาระภาษี ก็อยู่ในขั้นของคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี ซึ่งยังรอฟังคำวินิจฉัยว่าจะมีผลออกมาอย่างไร ซึ่งคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีก็ทำงานมานานนับเดือน ไม่ได้มีเหตุจำเป็นว่าทำไมเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม กรมสรรพากรจะต้องมีความพยายามอย่างเร่งด่วน ในการถอนอายัดเงินส่วนนี้

รมว.คลัง(เงา) กล่าวว่าที่น่าสังเกตมีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า ผลการพิจารณาของคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษี จะออกมาในเชิงบวกกับผู้ถูกประเมินให้เสียภาษี ในลักษณะเช่นเดียวกับผลของคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีในกรณีของนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ ที่มีคะแนนเสียง 2 ต่อ 1 โดยที่กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานอัยการสูงสุด มีคะแนนเสียงเป็นคุณให้กับนายบรรณพจน์ ในขณะที่กรมสรรพากรยังมีความมั่นใจว่ามีภาระภาษีที่ต้องชำระ

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตัวแทนของกรมสรรพากร และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้มาชี้แจงเรื่องความชัดเจนในอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับเงินที่อายัดไว้กับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเงิน การคลัง และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนเป็นรองประธานอยู่ และทุกหน่วยงานก็ยืนยันว่าไม่มีอำนาจในการที่จะสั่งเพิกถอน ดังนั้น คำสั่งเร่งด่วนเมื่อวันที่ 22 ส.ค. เป็นประเด็นที่ต้องมีคำตอบจากกรมสรรพากรว่าทำอะไรอยู่


ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคจะติดตามหรือทวงถามเรื่องนี้อย่างไร   นายกรณ์กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากธนาคารไทยพาณิชย์ว่ามีเอกสารมาจริง เพื่อให้พิจารณาคืนเงินที่ปล่อยเงินอายัดในบัญชีนี้จำนวน 12,000 ล้านบาท แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้เรียกประชุมคณะกรรมการฯ และไม่เห็นความชัดเจนในอำนาจของข้อกฎหมายของผู้ที่ทำหนังสือมา คือกรมสรรพากร ซึ่งก็ประเมินถูกต้องว่ากรมสรรพากรไม่น่าจะมีอำนาจในการขอให้ถอนอายัดเงินส่วนนี้ ซึ่งธปท.เคยให้คำยืนยันกับกมธ.ไว้ว่าแม้แต่ธปท.ก็ไม่มีอำนาจ เพราะการอายัดครั้งนี้ ไม่ได้อายัดโดยอาศัยกฎหมายธปท. แต่อาศัยกฎหมายอื่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ อาจจะมีกรมบังคับคดีหรืออาจจะมีกรมสรรพากรที่ขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ให้อายัดทรัพย์ของผู้ต้องหา ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ

“มีคำถามว่ากระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวันวาน มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสข่าวว่าสำนักงานอัยการสูงสุดจะฟ้องร้องเรื่องนี้ต่อศาล ในวันจันทร์ที่ 25 ส.ค.นี้หรือไม่ ซึ่งเมื่อเรื่องนี้ถึงศาล ก็แน่นอนที่สุดการพิจารณาว่าเงินส่วนนี้ยังสมควรที่จะถูกอายัดต่อไปหรือไม่ ก็เป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งคำแนะนำของผมที่มีให้กับทุกฝ่ายในเรื่องนี้ คือขออย่าได้เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะกำลังจะถึงมือศาล ก็ควรที่จะให้ศาลมีคำพิพากษาว่าอะไรควรหรือไม่ควร และผมเชื่อว่าทุกฝ่ายจะได้รับความยุติธรรม” นายกรณ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคจะติดตามทวงถามไปยังอธิบดีกรมสรรพากรหรือไม่เกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น นายกรณ์ กล่าวว่า น่าสนใจที่อธิบดีกรมสรรพากรเลือกที่จะไม่อยู่ในประเทศในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่วันนี้ตนได้โทรศัพท์ไปหานายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ที่ดูแลกรมสรรพากร แต่นายประดิษฐ์ยังไม่เปิดโทรศัพท์มือถือ จึงได้ฝากข้อความไว้ว่า 

รมว.คลัง(เงา) กล่าวอีกว่า ฝ่ายกฎหมายที่พรรคได้ปรึกษาบอกว่า ถึงอย่างไรกรมสรรพากรก็ยังมีช่องผ่านศาลภาษี คือในกรณีคดีของนายบรรณพจน์ กรมสรรพากรอ้างว่าตามประเพณี เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด และในกรณีนั้นจะปล่อยจนหมดอายุความ ซึ่งเกิดเมื่อปี 2549 คือยังไม่หมดอายุความ อยากถามว่าเป็นประเพณีหรือไม่อย่างไร แต่เงินจำนวนนี้ถือว่ามหาศาล ถ้ากรมสรรพากร ไม่เก็บจากผู้ที่ละเมิดหน้าที่ของตนในการจ่ายภาษี ก็ต้องไปเก็บจากประชาชนทั่วไป ดังนั้น กรมสรรพากรต้องดำเนินการถึงศาลภาษี ไม่ใช่กรรมการอุทธรณ์

  "ประดิษฐ์"อ้าง"สุรพงษ์"ไม่เคยสั่งถอนอายัด

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง กล่าวถึงกระแสข่าวระบุ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง มีคำสั่งให้กรมสรรพากรเพิกถอนเงินอายัดของนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีอยู่ในธนาคารพาณิชย์ มูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ว่า

"ไม่มีมูลความจริง ทางกระทรวงไม่เคยออกคำสั่งดังกล่าว แต่หากกรมสรรพากรจะดำเนินการในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและยึดถือผลประโยชน์ของกรมสรรพากรเป็นหลัก" 

นายประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า ต้องรอให้นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะเดินทางกลับจากต่างประเทศในวันพรุ่งนี้



http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/23/news_288025.php



สุภาษิตโบราณว่า 'ไม่มีไฟ ย่อมไม่มีควัน....'

ต้นทุนทางสังคมของรัฐมนตรีรัฐบาลลูกกรอก มี'มูลค่า' ไหม....






หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงอ่ำ ที่ 23-08-2008, 23:17
"ไม่มีมูลความจริง ทางกระทรวงไม่เคยออกคำสั่งดังกล่าว แต่หากกรมสรรพากรจะดำเนินการในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและยึดถือผลประโยชน์ของกรมสรรพากรเป็นหลัก" 

นายประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า ต้องรอให้นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะเดินทางกลับจากต่างประเทศในวันพรุ่งนี้

อ้อ......น่าจะจับตัวผู้ต้องสงสัยกันได้แล้ว ว่าใครเป็นต้นเรื่อง....."นายประดิษฐ์" นี่เอง
ว่าแต่ จะมีความเป็นลูกผู้ชาย กล้าสั่ง กล้ารับ หรือไม่


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: Solidus ที่ 23-08-2008, 23:33
"ไม่มีมูลความจริง ทางกระทรวงไม่เคยออกคำสั่งดังกล่าว แต่หากกรมสรรพากรจะดำเนินการในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและยึดถือผลประโยชน์ของกรมสรรพากรเป็นหลัก" 

นายประดิษฐ์ กล่าวอีกว่า ต้องรอให้นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะเดินทางกลับจากต่างประเทศในวันพรุ่งนี้

อ้อ......น่าจะจับตัวผู้ต้องสงสัยกันได้แล้ว ว่าใครเป็นต้นเรื่อง....."นายประดิษฐ์" นี่เอง
ว่าแต่ จะมีความเป็นลูกผู้ชาย กล้าสั่ง กล้ารับ หรือไม่
สรรพากรมีอำนาจตามกฎหมาย ปปง กับ ปปช ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยถึงสามารถถอนอายัดเงินที่อาศัยกฎหมาย ปปง กับ ปปช อายัดไว้ได้  :slime_doubt:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: RiDKuN ที่ 23-08-2008, 23:47
หวังว่าวันจันทร์ อัยการจะไปยื่นเรื่องแต่เช้าตรู่ ก่อนที่ธนาคารจะเปิด  :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: Solidus ที่ 24-08-2008, 00:45
เจ้าหน้าที่สรรพากรทำแบบนี้เข้าข่ายความผิดมาตราเหล่านี้รึเปล่าหว่า  :slime_v:

มาตรา ๑๔๕ ผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน
โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ
ปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๔๘ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ
หรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่
หมื่นบาท หรือประหารชีวิต

มาตรา ๑๕๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิ
ชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ



หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 24-08-2008, 08:03
รมว.คลัง(เงา) กล่าวอีกว่า ฝ่ายกฎหมายที่พรรคได้ปรึกษาบอกว่า ถึงอย่างไรกรมสรรพากรก็ยังมีช่องผ่านศาลภาษี คือในกรณีคดีของนายบรรณพจน์ กรมสรรพากรอ้างว่าตามประเพณี เมื่อคณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด และในกรณีนั้นจะปล่อยจนหมดอายุความ ซึ่งเกิดเมื่อปี 2549 คือยังไม่หมดอายุความ อยากถามว่าเป็นประเพณีหรือไม่อย่างไร แต่เงินจำนวนนี้ถือว่ามหาศาล ถ้ากรมสรรพากร ไม่เก็บจากผู้ที่ละเมิดหน้าที่ของตนในการจ่ายภาษี ก็ต้องไปเก็บจากประชาชนทั่วไป ดังนั้น กรมสรรพากรต้องดำเนินการถึงศาลภาษี ไม่ใช่กรรมการอุทธรณ์ ...(นายกรณ์กล่าวว่า)



สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากร ข้าราชการเมืองในกระทรวงการคลัง ไม่พูดถึงคือ...

ถ้าเงินจำนวนนั้นถูกถอนอายัด กลับไปอยู่ในความดูแลของกรมสรรพากร และ กระทรวงการคลังแล้ว.....

แผนชั่วทีซ่อนเร้น ไม่กล่าวถึงในเวลานี้คือ การให้คณะกรรมการอุทธรณ์ฯวินิจฉัยเป็น'คุณ'กับลูกชาย-ลูกสาวแล้ว กรมสรรพากร/กระทรวงการคลังจะกระ***นกระหือคืนเงินจำนวน 12000 ล้านให้สองลูกชาย-ลูกสาวอย่างที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วกรณี'บรรณพจน์'.....!!!




หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 24-08-2008, 08:14
24 สิงหาคม พ.ศ. 2551 01:31:00

  สรรพากรยกกม.ขีดเส้นไทยพาณิชย์15วัน

ขู่ฟ้องอาญาแบงก์หากไม่ดำเนินการตามระยะเวลากำหนด ฐานละเว้น ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "สรรพากร" ยกกฎหมาย มาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ระบุธนาคารไทย ต้องคืนเงินอายัด 1.2 หมื่นล้านบาท ภายใน 15 วัน ชี้หากไม่ทำตามเข้าข่ายผิดกฎหมาย “ปชป.” ข้องใจ หวั่นเป็นช่องทางคืนเงินอายัดให้ครอบครัวชินวัตร "จี้" ให้ชี้แจง เตรียมชงเรื่องเข้า กมธ.เรียกหน่วยงานและเอกสารคำสั่งสอบข้อเท็จจริง "ย้ำ" ควรรอให้ศาลตัดสินว่าจะให้ถอนเงินอายัดหรือไม่

จากกรณีข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรรายหนึ่งได้ทำหนังสือส่งถึงธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยอ้างอำนาจตามมาตรา 12 ประมวลรัษฎากรสั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์จ่ายเช็ค 12,000 ล้านบาท ให้แก่กรมสรรพากร ซึ่งเป็นเงินส่วนหนึ่งที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้สั่งอายัดไว้รวม 69,000 ล้านบาทและฝากอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 30,000 ล้านบาท โดยเป็นการอายัดเงินของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเพื่อชดใช้ค่าภาษีที่บุคคลทั้งสองค้างชำระกรณีการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป จากบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์จำนวน 329.2 ล้านหุ้นในราคา 1 บาทและขายไปในราคา 47.25 บาทเมื่อวันที่ 20 และ 23 ม.ค.2549 ทำให้บุคคลทั้งสองมีเงินได้กว่า 15,000 ล้านบาทนั้น

นางรวิฐา พงษ์นุชิต รองอธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวของกรมสรรพากรไม่ใช่การถอนอายัดทรัพย์สินแต่เป็นการยึดเงินนำส่ง ซึ่งมีความหมายแตกต่างกัน เพราะหากยังคงอายัดเงินดังกล่าวจะยังถือเป็นของเจ้าของเดิม แต่หากยึดเงินนำส่งดังที่กรมสรรพากรดำเนินการเงินส่วนนั้นจะกลายเป็นเงินของรัฐทันทีและภายหลังหากศาลพิพากษาตัดสินว่าคดีนี้นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาต้องชำระภาษีให้แก่รัฐ เงินที่ยึดมาก็จะตกแก่กรมสรรพากรทันทีเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาสรรพากรยึดถือปฏิบัติเช่นเดียวกันทุกกรณีไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นกรณีแรก โดยตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรที่ระบุว่ากรมสรรพากรจะต้องถอนอายัดภายใน 15 วัน เพราะหากไม่ดำเนินการจะทำให้เบี้ยปรับเงินเพิ่มเกิดขึ้นกับผู้เสียภาษีตามอัตราที่กรมสรรพากรกำหนด

ไทยพาณิชย์ประชุมอีกครั้งจันทร์นี้

รายงานข่าวแจ้งว่าในการประชุมคณะกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมายังไม่มีข้อยุติ ว่าจะคืนเงินให้สรรพากรหรือไม่ ทั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 25 ส.ค.นี้ คณะกรรมการธนาคารจะมีการประชุมร่วมกันอีกครั้ง

นางรวิฐา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาในการจะขอถอนอายัด กรมสรรพากรได้หารือกับ คตส.มาก่อน แต่ คตส.ก็ไม่อนุมัติให้ทำ โดยระบุว่าให้รอศาลตัดสินก่อน ภายหลังเมื่อ คตส.สิ้นสภาพ กรมสรรพากรก็ได้ส่งหนังสือถามไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในประเด็นเดิม ซึ่งปปช.ระบุว่าไม่มีอำนาจสั่งการ กรมจึงเริ่มกระบวนการด้วยตนเองในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา โดยการส่งหนังสือถึงธนาคารไทยพาณิชย์ให้ส่งเงินคืนมายังกรมภายใน 15 วันนับจากหนังสือไปถึง แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ก็ไม่ตอบกลับมา กรมจึงส่งหนังสือทวงถามไปเป็นครั้งที่ 2 โดยทั้งสองครั้งมีนายอัษฎางค์ ศรีศุภรพันธ์ รองอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งรักษาการแทนอธิบดีกรมสรรพากรทำหนังสือส่งไป และทั้งสองครั้งนายอัษฎางค์ได้มาปรึกษาตนว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งตนได้แนะนำไปว่าสามารถทำได้และ อย่าเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเป็นคดีของตระกูลชินวัตร

  ส่วนกรณีของเงิน 1.2 หมื่นล้านบาทนั้น หากยึดคืนกลับมาแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตกไปถึงมือใคร หรือจะผ่านมือใคร เพราะตามกฎหมายกำหนดชัดว่าเมื่อถอนอายัดจะต้องส่งเงินคืนเป็นแคชเชียร์เช็ค โดยเขียนกำกับลงไปว่ามอบให้กรมสรรพากรเพื่อนำส่งคลัง เงินดังกล่าวจึงไม่มีหลุดรอดไปยังส่วนอื่นๆ หรือบุคคลอื่นได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นกฎหมายที่อธิบดีกรมสรรพากรและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับทราบดี เพราะฉะนั้นหากจะมีความกังวลเรื่องดังกล่าวตนสามารถชี้แจงได้



http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/24/news_288090.php



สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากร ข้าราชการเมืองในกระทรวงการคลัง ไม่พูดถึงคือ...

ถ้าเงินจำนวนนั้นถูกถอนอายัด กลับไปอยู่ในความดูแลของกรมสรรพากร และ กระทรวงการคลังแล้ว.....

แผนชั่วทีซ่อนเร้น ไม่กล่าวถึงในเวลานี้คือ การให้คณะกรรมการอุทธรณ์ฯวินิจฉัยเป็น'คุณ'กับลูกชาย-ลูกสาวแล้ว กรมสรรพากร/กระทรวงการคลังจะกระ***นกระหือคืนเงินจำนวน 12000 ล้านให้สองลูกชาย-ลูกสาวอย่างที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วกรณี'บรรณพจน์'.....!!!




หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: Can ไทเมือง ที่ 24-08-2008, 08:18
ถ้าอายัดโดยคำสั่ง คตส. คงยกเลิกยากครับ

เว้นแต่ศาลเท่านั้น ขนาด ปปช. รับเรื่องมาทำต่อยังบอกว่าไม่มีอำนาจยกเลิกอายัด

ไม่ก็ต้องไปยกเลิกมาตรา 309

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 24-08-2008, 08:30
ทัศนะวิจารณ์ คิดใหม่ วันอาทิตย์

24 สิงหาคม พ.ศ. 2551 01:00:00

"ทักษิณ"เป่านกหวีดก่อน"สนธิ"เกมจัดแถวเร่งสู่"วันของผม"

บอกตามตรงแทบจะไม่มีความรู้สึกใดๆ หรือตื่นตระหนกหรือยินดียินร้ายกับคำประกาศ "เป่านกหวีด" ของ 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : เพื่อ ระดมพลชุมนุมใหญ่ "ครั้งสุดท้าย" ในตอนเช้าตรู่วันที่ 26 สิงหาคม เป้าหมายเพื่อเผด็จศึกรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ให้พ้นจากทำเนียบรัฐบาล

แต่กลับเป็นห่วงมากกว่าเดิมว่าจะจบจริงหรือ เมื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังจากตัดสินใจเขียนจดหมายด้วยลายมือส่งมาจากลอนดอน เพื่อใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมไทย และประกาศว่า "วันนี้ไม่ใช่วันของผม" และจะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทย

"อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" ได้ "เป่านกหวีด" จัดแถวเพื่อเร่งเกมการเมืองให้พลิกกลับมาสู่ "วันของผม" ให้มาถึงในเร็ววันค่อนข้างชัดเจน

สถานะของ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" ที่มีสภาพไม่ต่างจาก "ผู้ลี้ภัย" ยังเหลืออาวุธเพียง 2 ชิ้นที่จะต่อสู้ เพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐกลับคืนมาอย่างเบ็ดเสร็จได้ไม่ยาก

อาวุธชิ้นแรก คือ เงินทองจำนวนมหาศาลที่เชื่อได้ว่า ยังเหลือเก็บอยู่ในต่างประเทศ แม้ถูกคำสั่งศาลให้อายัดไว้ในประเทศไทยกว่า 6.7 หมื่นล้านบาท

ดังจะเห็นได้จากความพยายามร้องขอถอนอายัดเงินฝากในสิบกว่าธนาคารด้วยวิธีการต่างๆ ล่าสุดกรมสรรพากรร้องขอค่อนข้างพิลึกพิลั่นไปยังธนาคารไทยพาณิชย์ถอนอายัดเงินฝากตระกูลชินวัตรประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อไปชดใช้การเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

ทั้งๆ ที่มติคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษียังไม่สิ้นสุด ว่า ตระกูลชินวัตรจะต้องจ่ายภาษีย้อนหลังหรือไม่ แต่น่าจะมีแนวโน้มตัดสินคืนเงินค่าปรับให้กับตระกูลชินวัตร เพราะภารกิจนี้เป็นภารกิจสำคัญที่สุดในการนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคลังของคุณหมอเลี้ยบ และรัฐมนตรีช่วยคลังที่ชื่อ "ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" มักออกอาการ "ตาใสบ้องแบ้ว" บอกไม่รู้ไม่เห็นไม่เคยสั่งการ (เป็นลายลักษณ์อักษร) อ้อมแอ้มถ้าเป็นจริงก็เป็นเรื่องของกรมสรรพากรไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรีคลัง


เช่นเดียวกับการปรากฏตัวของ "บุคคลล้มละลายในความเชื่อถือและประวัติการทำงานสกปรกมอมแมม" หลายต่อหลายคน ไปนั่งหัวโต๊ะหรือร่วมโต๊ะกรรมการคัดเลือกคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ฯลฯ

"คุณหมอเลี้ยบ" บอกหน้าตาเฉย ไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องและไม่เคยเข้าไปสั่งการ ตอบอย่างนี้ทำเอานักข่าวกระทรวงการคลังไปต่อไม่ได้จริงๆ

ผมเชื่อคำพูดคุณหมอเลี้ยบมากกว่า 50% ด้วยท่าทางออกจะเดียงสาน่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ได้โกหกใคร เพราะ "คนสั่งการ" ตัวจริงเป็นสมาชิกคนสำคัญของ "แก๊งออฟโฟร์" ที่มีศูนย์กลางอยู่ทำเนียบรัฐบาลกับโรงแรมพูลแมน ที่ได้รับคำสั่ง "สายตรง" จากลอนดอน

การส่ง "แก๊งออฟซอมบี้" เข้ายึดเบ็ดเสร็จ "อำนาจเลือกกรรมการ" ของสถาบันอิสระ 3 องค์กรที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย ในการกำหนดนโยบายการเงิน การกำกับดูแลสถาบันการเงิน การกำกับดูแลตลาดทุน ถือเป็นการ "เป่านกหวีดจัดแถวหน่วยงานอิสระ" ที่กุมหัวใจการเงิน การคลัง และตลาดทุนของประเทศ

มองเห็นหายนะของประเทศอยู่ไม่ไกล ที่น่าห่วงยิ่งกว่าเรื่องใดๆ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯน่าจะเลือกแฉ "ยุทธการจัดแถว" ยึดแบงก์ชาติ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์มาขึ้นเวที แล้วใช้ "ความถ่***-ดิบ-เถื่อน" ดับเครื่องชน "แก๊งออฟซอมบี้" ที่หลายคน "คุ้นเคย" กับแกนนำพันธมิตรประชาชนฯ ที่รู้ไส้รู้พุง ว่า ไส้เน่าๆ ของแก๊งซอมบี้ขดกันแบบไหนอยู่แล้ว น่าจะจุดระเบิดได้ดีกว่า

อาวุธชิ้นสอง คือ ศรัทธาของประชาชนในระดับรากหญ้าเป็นส่วนใหญ่ และคนในเมืองบางส่วนที่ยังหลงใหลได้ปลื้มไม่เสื่อมคลายไปง่ายๆ ทำให้ดวงตามองไม่เห็นความผิดใดๆ ของคุณทักษิณ ทั้งที่มีหลักฐานมากมาย และกระบวนการยุติธรรมก็ได้พิสูจน์แล้ว

การเป่านกหวีดจัดแถวจากลอนดอนเกิดขึ้นถี่มากจนผิดปกติ ทั้งการเร่งตั้งพรรคใหม่ "เพื่อไทย" โทรศัพท์ทางไกลด้วยตัวเองถึงหัวหน้ามุ้งทุกมุ้งขอให้สามัคคีกัน ส่ง "น้องสาวคนสุดท้อง" คุณปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินสายสร้างความมั่นใจ และสลายความระแวงสงสัยว่ามีคนเนรคุณหรือไม่ การสร้างภาพขาดเงินเพื่อบริหารสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ การอ้าแขนของนายกรัฐมนตรีประเทศเมอร์บิวดาเชิญลี้ภัย ฯลฯ

น่าจะเป็นผลจาก "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" ได้ว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ระดับโลก "สร้างภาพ" ถูกรังแก จนเกือบจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว เงินทองที่ทำมาหากินอย่างสุจริตถูกยึดจนร่อยหรอ ฯลฯ

ภาพเหล่านี้ที่ออกไปจะยิ่งทำให้ "รากหญ้า" และ "แฟนพันธุ์แท้" เกิดอารมณ์ร่วมพร้อมจะเทคะแนนให้ทันที เมื่อ "เป่านกหวีด" ยุบสภาเลือกตั้งใหม่

ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนฯ ยังใช้วิธีตรึงพื้นที่ชุมนุม และผลัดเปลี่ยนยุทธการดาวกระจายมายาวนานเกือบครบ 100 วันแล้ว แม้จะเกิดแรงกดดันทางการเมืองหลายอย่าง จนทำให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ต้องปรับขบวนถอยร่นไปอย่างไม่เป็นกระบวนท่าหลายต่อหลายครั้ง รัฐมนตรีลาออกและสิ้นสภาพไปหลายคน สามารถสกัดกั้นความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 อย่างรวบรัด

แต่อาการอ่อนล้าของ "มวลชน" ได้แสดงออกหลายต่อหลายครั้ง ที่แม้จะดูเหมือนว่า "พ่อยกแม่ยก" ยังหนาแน่นทุกคืนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แต่น่าจะเป็นเพียงอาการห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน ต้องไปช่วยกันชุมนุม และ "ไปไหนไปกัน" จะได้จบๆ ภารกิจเสียที หาได้มีลักษณะ สะสมปริมาณ "มวลชน" มากขึ้น เพื่อไปสู่ "คุณภาพ" ใหม่ จนต้องอาศัย ศิลปิน "กู้ชาติ" มากหน้าหลายตาขึ้นเวทีร้องเพลงรักชาติ เพื่อรักษาปริมาณมวลชนไว้ไม่ให้ถดถอยลง

แกนนำพันธมิตรประชาชนฯ ที่เป็นนักเคลื่อนไหวมืออาชีพ น่าจะมองออกว่าหากปล่อยสถานการณ์ออกไปเช่นนี้ ย่อมยากจะขยายปริมาณ "มวลชน" โดยเร็วเพื่อพัฒนาไปสู่ "คุณภาพ" ใหม่ ในการขับไล่รัฐบาลนายสมัครที่มีจุดแข็งมาจากการเลือกตั้งให้สิ้นสภาพขาดความชอบธรรมจากพฤติกรรมต่ำช้าโดยเร็ววัน

แม้กระทั่งแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ บางคน ได้พยายามใช้ "น้ำลาย" เปลืองมากในการ "เลี้ยงกระแส" บอกบนเวทีขอให้พี่น้องชาวพันธมิตรฯ อดทนไว้ และออกมาชุมนุมเยอะกว่านี้ อีกไม่นานเกินรอ อีกไม่เกิน 3 วัน 7 วันจะแตกหักรัฐบาลสมัครจะอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน

คำประกาศที่ใช้สัญลักษณ์ "เป่านกหวีด" คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯเป่านกหวีดให้ฟังจริงๆ หวังเรียกระดมพลครั้งใหญ่ในเช้าวันที่ 26 สิงหาคม เพื่อเผด็จศึกรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช

จึงน่าห่วงจริงๆ ว่า คราวนี้ถ้าเพียงแค่ระดมพลย้ายเวทีจากสะพานมัฆวานฯ ไปถือป้ายไล่ "รัฐบาลหุ่นเชิด" และโห่ฮิ้วร้องตะโกนด่า "นายกฯ หอกหัก" รอบทำเนียบรัฐบาลข้ามวันข้ามคืนเช่นเดิม คงจะไม่เกิดผลสั่นสะเทือนอันใดกับ "รัฐบาลหอกหัก" ที่นาทีนี้เน่าเฟะ จนไม่มีอะไรจะเน่าไปมากกว่านี้แล้ว เพราะชะตาของ "นายกรัฐมนตรีของเรา" ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปอีกกี่วัน

"นายกรัฐมนตรีของเรา" จึงดันทุรังยิ่งกว่าเดิม เลือกทำแต่โครงการยักษ์ๆ ใช้เงินเยอะๆ ที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์มรรคผลอันใดกับประชาชนเลย มิหนำซ้ำยังสวนทางกับกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงให้ไว้กับคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ที่นำโดยคุณธาริษา วัฒนเกส ให้กำลังใจในการทำหน้าที่บริหารเงินของประเทศอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ประเทศชาติล่มจม

ฝากไปถึง "แก๊งออฟไฟว์" 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนฯ อย่าเป่านกหวีดแบบกั๊กๆ ไม่ยอมบอก "มวลชน" ว่า จะต้องให้ทำอะไรต่อไป อาทิเช่น การปรับกลยุทธ์ใหม่หยุดชุมชนเวทีใหญ่ชั่วคราว แล้วกระจายตัวออกสู่รากหญ้า เพื่อเตรียมปรับฐานคิดของ "มวลชน" ที่ยังไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของกลุ่มพันธมิตรฯ

อย่าเพียงแค่บอกว่า "รักชาติ" ต้องมาร่วมชุมนุมเยอะๆ ในเช้าวันที่ 26 สิงหาคม เพื่อเป็นวันเผด็จศึก" รัฐบาลหอกหัก" ถามไถ่กันทั่วว่าแล้วยังไง

ในขณะที่ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับ "เป่านกหวีดจัดแถว" วี๊ดบึ้มๆ พรึ่บพรับ หลายวันแล้ว หลังจากส่งแฟกซ์ "จดหมายจากลอนดอน" ลงท้ายว่า "พี่น้องใจเย็นๆ วันนี้ไม่ใช่วันของผม" ไปเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม

การขยายข่าวความแตกแยกภายในพรรคพลังประชาชน เป็น "กลลวง" แต่น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อเร่งการกลับมาอีกครั้ง เพื่อ "วันของผม"

การเกิดขึ้นของ "พรรคเพื่อไทย" ในขณะที่พรรคพลังประชาชนยังไม่ถูกยุบ น่าจะเป็น กลยุทธ์การบริหารงานแบบทักษิณ ที่คิดไม่ต่างจาก "ยุทธการดาวกระจาย" ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯ แต่ต่างกันที่ "ดาวกระจาย" ของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นเพียงแย่งชิงพื้นที่ข่าววูบวาบเพียงแค่วันเดียวจริงๆ แต่การแตกตัวออกมาของ "พรรคเพื่อไทย" เป็น "ดาวกระจาย" เพื่อรวบรวมสายพันธุ์ภาคเหนือให้เป็นกลุ่มก้อน มองการชิงพื้นที่เลือกตั้ง และการเมืองในระยะยาว

คอยดูว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเกิดพรรคใหม่อีกหลายพรรค เพื่อรองรับอีกหลายสายพันธุ์ที่จะ "ดาวกระจาย" ออกจากพรรคพลังประชาชนที่หนีไม่พ้นถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคในอีกไม่กี่วันข้างหน้า รวมทั้งสายพันธุ์ "อีสานพัฒนา" ที่ออกมาร้องโวยวายแฉโน่นแฉนี่พอเป็นพิธี เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงรอยกับ "แก๊งออฟโฟร์" ที่กระจายตัวยึดพื้นที่ฐานเสียงอีสานใต้และอีสานกลางได้อย่างหนาแน่นกว่า แต่เมื่อผลประโยชน์ "ลงตัว" เรื่องก็เงียบหายไปตามความคาดหมายของวิถีการเมืองเน่าๆ

แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบอก "เป่านกหวีด" ครั้งสุดท้าย ที่ยังไม่รู้ว่าจะไล่ "รัฐบาลหอกหัก" ให้ออกไปสำเร็จหรือไม่ แต่ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" เป่านกหวีด "จัดแถว" มาหลายวันจนใกล้จะลงตัวแล้ว เหลือแต่ "กระบวนการยุติธรรม" เท่านั้น ที่เดินไปข้างหน้าแล้วจะสถาปนาความยุติธรรมหยุดยั้งการจัดแถว เพื่อ "วันของผม" ได้หรือไม่

(อ่านข้อเขียนย้อนหลัง และแสดงความคิดเห็นตลอด 24 ชั่วโมง ทาง www.oknation.net/blog/adisak)

http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/24/news_288057.php



พวกบัตรเติมเงิน อาจจะเข้ามาบอกว่าคิดฟุ้งซ่านเกินเหตุ ไม่มีเหตุอันใดจะส่อว่าเป็นอย่างนั้นได้เลย....

ก็ขอให้คนอ่านใช้สติปัญญา พิจารณาเอาเองครับ....!!!



หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 24-08-2008, 08:37
ถ้าอายัดโดยคำสั่ง คตส. คงยกเลิกยากครับ

เว้นแต่ศาลเท่านั้น ขนาด ปปช. รับเรื่องมาทำต่อยังบอกว่าไม่มีอำนาจยกเลิกอายัด

ไม่ก็ต้องไปยกเลิกมาตรา 309

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:



คุณแคนคงจำหน้าตา'นิติกรบริการ' และ 'อลัชชีกฏหมาย'ในรัฐบาลทักษิณไม่ได้แล้ว เพราะพวกนั้นไปบวชบ้าง ไปตัดทรงผมใหม่บ้าง........

แต่ไม่น่าจะลืมพฤติกรรม ดันทุรังเอาแต่ได้ พูดเองเออเอง ปฏิบัติเองของรัฐบาลทักษิณ  ซึ่งรัฐบาลนอมินีของ'หมัก เมถุน' พร้อมจะ'ถอดแบบ' พฤติกรรมดังกล่าวมา'ฉายซ้ำ'อีก โดยไม่เกรงกลัวกฏหมาย ไม่กลัว'คณะกรรมการ คตส.'ที่ยุติหน้าที่ สิ้นอำนาจตามวันเวลาไปแล้ว....

คอยดูฝีมือ'รัฐมนตรีว่าการคลัง' ในเรื่องนี้ดีกว่า......!!!

เรื่องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติไม่เก่ง แต่รับใช้'นายใหญ่' เก่งกาจไม่แพ้'ยี้ห้อย'หรอก จะบอกให้.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า





หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 24-08-2008, 08:54
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 21:32:25 น.  มติชนออนไลน์ จำนวนคนอ่านล่าสุด 455 คน




ไขปริศนาแผนยืมมือ"บิ๊ก"สรรพากรดึงเงิน12,000 ล้านบาทจากคำสั่งอายัด คตส.คืนครอบครัว"ชินวัตร" 

อาจมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมข้าราชการระดับสูงกลุ่มหนึ่งในกรมสรรพากรพยายามที่จะใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12  สั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์จ่ายเช็ค 12,000 ล้านบาท ให้แก่ กรมสรรพากร โดยอ้างว่า เพื่อชดใช้ค่าภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือชินคอร์ปจำนวน 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท(ขณะที่ราคาตลาด 47.25 บาท)จากบริษัท แอมเพิลริช  อินเวสต์เมนต์ ที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีค้างจ่ายไว้



ทั้งที่ๆเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินส่วนหนึ่งของครอบครัวชินวัตรที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) สั่งอายัดไว้ทั้งหมด 69,000 ล้านบาทและฝากอยู่ที่ธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 39,000 ล้านบาท

การจะตอบคำถามดังกล่าวต้องดูข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายประกอบดังนี้



หนึ่ง ในช่วงที่ คตส.มีมติสั่งให้กรมสรรพากรประเมินภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปจากนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาที่ซื้อจากบริษัท แอมเพิลริชฯและกรมสรรพากรได้เรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้งสองเมื่อรวมเบี้ยปรับเงินเพิ่มแล้วเป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาท(ตัวภาษีเท่ากับ 5,691.216 ล้านบาท) แต่บุคคลทั้งสองอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในสรรพากรภาค 3 (ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30)ซึ่งคณะกรรมการอุทธรณ์ประกอบด้วย สรรพากรภาค 3  ตัวแทน สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมการปกครอง



อย่างไรก็ตามบุคคลทั้งสองต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันการค้างภาษีดังกล่าว เพราะการอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษี(มาตรา 31)ซึ่งขณะนั้น บุคคลทั้งสองได้นำเงินฝากที่ฝากอยู่ในธนาคารไทยพาณิขย์มาวางเป็นหลักประกัน แต่เมื่อกรมสรรพากรได้สอบถามไปยัง คตส.แล้ว คตส.ยืนยันว่า ทรัพย์สินดังกล่าว คตส.อายัดไว้ในคดีที่กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบและร่ำรวยผิดปกติ  กรมสรรพากรจึงไม่มีสิทธินำทรัพย์สินที่อายัดไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน



มีแต่เพียงทรัพย์สิน เช่น ที่ดินและหุ้นส่วนหนึ่งมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาทเท่านั้นที่สามารถเป็นหลักประกันระหว่างการอุทธรณ์ได้



สอง หลังจากที่ คตส.ต้องหมดวาระลงเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ทนายความของครอบครัวชินวัตร พยายามที่จะดำเนินการให้มีการเพิกถอนคำสั่งอายัดของ คตส. จึงยื่นเรื่องไปยังธนาคารพาณิชย์และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ซึ่งรับโอนเงานมาจาก คตส. ปรากฏว่า ธนาคารพาณิชย์ซึ่งรับฝากเงินของครอบครัวชินวัตรอยู่ได้สอบถามเรื่องนี้มาทาง ป.ป.ช.เช่นกัน



แต่ทาง ป.ป.ช.ตอบว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจในการเพิกถอนคำสั่งอายัดของ คตส.ให้ไปดำเนินการในทางศาลเอาเองซึ่งหมายถึงต้องยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอษยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่นเดียวกับทางธนาคารพาณิชย์ก็ยืนยันว่า จะรับฟังคำสั่งจากศาลเท่านั้น



สาม มีข่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุดจะยื่นฟ้องคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน 76,000 ล้านบาท ภายในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2551 ซึ่งหมายความว่า  อำนาจในการพิจารณาว่า จะเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์หรือไม่อยู่ในอำนาจของศาล ซึ่งจะทำให้การเพิกถอนคำสั่งอายัดเป็นไปได้ยากจนกว่า  ศาลจะมีคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดซึ่งอาจกินเวลาหลายเดือน


 

ที่สำคัญคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังหลบหนีคดีอยู่ที่อังกฤษ แต่การพิจารณาคดีดังกล่าวไม่ใช่คดีอาญาจึงสามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ ทำให้การต่อสู้คดีทำได้ไม่เต็มที่


 

จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาช่องทางเอาทรัพย์สินที่ถูกอายัดคืนบางส่วนเพื่อนำมาใช้เป็นกระสุนในการต่อสู้คดีและในทางการเมือง?


 

  สี่ เมื่อพิจารณาช่องทางทั้งหมดแล้ว การจะเพิกถอนคำสั่งอายัดของ คตส.ได้ต้องอาศัยอำนาจของศาลหรืออำนาจตามกฎหมายที่เทียบเท่าคำสั่งศาลและต้องรีบดำเนินการก่อนที่อำนาจการเพิกถอนหรือไม่ตกอยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


 

จากแนวคิดดังกล่าวจึงเห็นกฎหมายประมวลรัษฎากร มาตรา 12 น่าจะเป็นช่องทางที่จะเพิกถอนคำสั่ง คตส.ที่หมดวาระไปแล้วได้ เพราะมาตรา 12 ที่ให้อำนาจอธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ที่ค้างการชำระภาษีทั่วราชอาณาจักรได้โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือคำสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้


 

ทั้งนี้ การที่นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาไม่ยอมชำระภาษีและอุทธรณ์ตามมาตรา 30 ก็ถือว่า เป็นการค้างภาษีตามมาตรา 12


 

ห้า ข้าราชการระดับสูงในกรมสรรพากรรายหนึ่งบอกว่า มีผู้มีอำนาจทางการเมืองในรัฐบาลสั่งให้ข้าราชการระดับสูงในกรมสรรพากรกลุ่มหนึ่งที่เคยช่วยเหลือครอบครัวชินวัตรในเรื่องภาษีหุ้นช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณดำเนินการเรื่องนี้   และในจำนวนนี้มีข้าราชการรายหนึ่งที่เคยช่วยเหลือนักการเมือง(ที่ถูกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.)ยึดอำนาจ)ให้ไม่ต้องเสียภาษีจำนวนหลายร้อยล้านบาท (โดยแกล้งประเมินภาษีโดยไม่ขออนุมัติจากอธิบดีตามมาตรา 49 ทั้งๆที่เป็นเรื่องขั้นตอนปกติ ทำให้ศาลภาษีพิพากษายกฟ้อง และกรมสรรพากรไม่ยอมอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา)รวมอยู่ด้วยให้ดำเนินการเรื่องนี้


 

ข้าราชการกลุ่มนี้จึงเริ่มดำเนินการโดยอาศัยจังหวะที่นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากรเดินทางไปต่างประเทศ(กลับเย็นวันที่ 24 สิงหาคม 2551-เกษียณอายุ 30 กันายน 2551 ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ระมัดระวังอาจมีชะตากรรมเช่นเดียวกับนายศิโรฒน์ สวัสดิ์พาณิชย์  อดีตอธิบดีกรมสรรพากรที่ถูกไล่ออก)ซึ่งตามมาตรา 12 แล้ว อำนาจจึงตกเป็นของรองอธิบดีหรือสรรพากรภาค หรือเขตที่ได้รับมอบหมาย


 

หก ข้าราชการกลุ่มนี้จึงเริ่มกดดันให้เจ้าหน้าที่สรรพากรภาค 1 ครอบคลุมที่ทำการของธนาคารไทยพาณิชย์ออกหนังสือแจ้งไปยังธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อสั่งให้ส่งเงินให้กรมสรรพากร แต่เจ้าหน้าที่สรรพากรภาค 1 ไม่ยอมปฏิบัติตามเพราะเกรงว่า จะมีความผิดตามกฎหมาย   จึงมีการเสนอให้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของกรมในวันที่ 22 สิงหาคม เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ปรากฏว่า มีสรรพากรภาค 3 ซึ่งเป็นผู้พิจารณาอุทธรณ์คดีภาษีของนายพานทองแท้ และพิณทองทาเข้าร่วมด้วยและเห็นว่า กรมควรเรียกให้ธนาคารส่งเงินให้


 

อย่างไรก็ตามเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ทำให้ข้าราชการกลุ่มนี้ไม่พอใจ สั่งให้ผู้อำนวยการสำนักหนึ่งทำหนังสือส่งให้ข้าราชการระดับรองอธิบดีลงนามเมื่อเย็นวันที่ 22 สิงหาคม  พร้อมกับโทรศัพท์ไปกำชับว่า ให้ทางธนาคาร ออกเช็คให้กรมสรรพากรให้ได้ภายในวันที่ 22 สิงหาคม 2551 และสั่งให้สรรพากรเขตจัตุจักร รอรับเช็คจากธนาคารไทยพาณิชย์จนถึงเวลา 16.30 น.


 

แต่ทางผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ปฏิเสธโดยได้ให้เหตุผลว่า ขอหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดและคณะกรรมการป.ป.ช.ก่อน พร้อมกับแจ้งเรื่องให้ประธานคณะกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ทราบ ทำให้แผนการดึงเงิน 12,000 ล้านบาทจากคำสั่งอายัดของ คตส.ให้ไปอยู่ในการครอบครองของกรมสรรพากรล้มเหลวในขั้นแรก


 

เจ็ด อย่างไรก็ตามโอกาสของข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้ยังไม่หมด เพราะอาจมีความพยายามในการวิ่งเต้นมิให้อัยการสูงสุดส่งฟ้องคดีพ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยผิดปกติในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2551 แต่ให้ยืดเวลาออกไปอีก เพื่อจะได้มีเวลากดดันให้ธนาคารไทยพาณิชย์ส่งเงินให้กรมสรรพากร


 

  แปด ถ้าธนาคารไทยพาณิชย์ยอมส่งเงินให้กรมสรรพากร จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป


 

คดีที่กรมสรรพากรเรียกนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาเสียภาษี 12,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งข้าราชการระดับสูงกลุ่มนี้วางแผนล็อบบี้ที่จะให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีมติว่า การเรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกรมสรรพากรต้องคืนเงิน12,000 ล้านบาทที่ได้รับจากธนาคารไทยพาณิชย์ให้กับบุคคลทั้งสอง


 

เช่นเดียวกับที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นการว่า ประเมินภาษีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรมคุณหญิงพจมาน ชินวัตรกรณีนายบรรณพจน์ได้รับโอนหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 738 ล้านบาทจากคุณหญิงพจมาน ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้กรมสรรพากรต้องคืนเงินที่อายัดไว้ให้แก่นายบรรณพจน์ 546 ล้านบาท


 

จากนี้ต้องจับตาดูต่อไปว่า อัยการสูงสุดจะยื่นฟ้องคดีพ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยผิดปกติในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2551 หรือไม่ ถ้าไม่ ต้องดูว่า นายศานิต ร่างน้อยจะกลับมาดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร ชะตากรรมของข้าราชการระดับสูงในกรมสรรพากรจะเป็นเช่นไร


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1219502884&grpid=05&catid=00
 

มีเงิน มีอำนาจ ก็สามารถใช้ข้าราชการประจำ ข้าราชการเมือง ทนายความ นักกฏหมาย 'โม่' ทรัพย์สินเงินทองกลับคืนได้เช่นกัน....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: คุณแม่ดุ๊กดิ๊ก ที่ 24-08-2008, 09:32
อาจจะถึงเวลาที่เราจะต้องอริยะขัดขืน ไม่เสียภาษีบ้าง


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: 1133 ที่ 24-08-2008, 10:55
ข้อพิรุจกรณีนี้ที่เห็นมีอย่างน้อย 2 ประการ

-การหาหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่ใช่หน้าที่ของกรมสรรพากร

เมื่อผู้กระทำผิดเอาหลักทรัพย์ที่ติดอายัด มาค้ำ กรมทำไมไม่ปฏิเสธ

-มาตรา 12 ที่ให้อำนาจอธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ที่ค้างการชำระภาษีทั่วราชอาณาจักร

โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือคำสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้

เจตนารมณ์กฏหมายข้อนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิด ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน

แต่เมื่อโดนอายัดอยู่แล้ว จะต้องเอาออกมาทำไม


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: sensei ที่ 24-08-2008, 11:28
สงสัย สรรพากร อยากเดือดร้อนมาก

ไม่คิดถึงตอนอำนาจเปลี่ยนมือบ้างเลยหรือไง


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 24-08-2008, 11:49
ข้อพิรุจกรณีนี้ที่เห็นมีอย่างน้อย 2 ประการ

-การหาหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่ใช่หน้าที่ของกรมสรรพากร

เมื่อผู้กระทำผิดเอาหลักทรัพย์ที่ติดอายัด มาค้ำ กรมทำไมไม่ปฏิเสธ

-มาตรา 12 ที่ให้อำนาจอธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ที่ค้างการชำระภาษีทั่วราชอาณาจักร

โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือคำสั่ง อำนาจดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้

เจตนารมณ์กฏหมายข้อนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิด ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน

แต่เมื่อโดนอายัดอยู่แล้ว จะต้องเอาออกมาทำไม



คิดได้อย่างนี้ รู้ทันอย่างนี้.....
ถ้าข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรชุดใหม่ จะถูกไล่ออก/จำคุก อีกจำนวนหนึ่ง ก็คงไม่เวทนานะครับ.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ปล. นึกไม่ถึงว่า จำเลยหนีหมายจับ หนีคุกของศาลยุติธรรม จะมีอิทธิพลเหนือข้าราชการที่ใจคอไม่มั่นคง ไม่ซือสัตย์สุจริตได้มากขนาดนี้.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า





หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: อนัตตา (ไร้สี ไร้กลิ่น ไร้ฝ่าย) ที่ 24-08-2008, 11:52
อาจจะถึงเวลาที่เราจะต้องอริยะขัดขืน ไม่เสียภาษีบ้าง

พวกมันไม่เดือดร้อนหรอก ประเทศไทยสิจะเดือดร้อน

ลิ่วล้อมันเคยคิดถึงอนาคตประเทศซะที่ไหน

สิ่งที่พธม และ เอเอสทีวี ทำอยู่น่ะถูกแล้ว


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 24-08-2008, 12:32
ถ้าพวกมัน รัฐมนตรีลูกกรอก ข้าราชการกรมสรรพากร นักกฏหมาย ทำตามแผน ตามขั้นสำเร็จ.....
'นายใหญ่'และ ลูกๆ จะได้เงินคืนมา 12,000 ล้านบาท ไว้เป็น'เงินลงทุน' กู้อำนาจ กู้ทรัพย์สินอื่นๆ กลับคืนมา......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: Solidus ที่ 24-08-2008, 18:30
ขนาด ปปช ยังบอกเอาว่าไม่มีอำนาจอายัดต่อแต่ก็ไม่มีอำนาจที่จะถอนอายัดเช่นกัน ถ้าอยากได้คือก็ร้องต่อศาลเอาเอง แล้วสรรพากรเอาอำนาจในการถอดอายัดมาจากไหนเนี่ย :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 25-08-2008, 09:50
 'สัก'ชี้แผนเจาะช่องคืนทรัพย์'ทักษิณ'

เขา(สัก กอแสงเรือง)ระบุว่า ไม่ทราบว่าเหตุใดกรมสรรพากรจึงต้องมาเร่งดำเนินการในช่วงนี้ ทั้ง ๆ ที่คตส.ได้มีคำสั่งให้ กรมสรรพากร ประเมินเรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้ง 2 ตั้งแต่ก่อนเดือนพฤษภาคม 2550 และก่อนนี้กรมสรรพกรก็ได้ดำเนินการยึดทรัพย์ของบุคคลทั้งสองไว้เป็นหุ้นจำนวนหนึ่ง พร้อมกับที่ดิน ซึ่งมีมูลค่าใกล้เคียงกับยอดที่ต้องถูกประเมินเรียกเก็บภาษี แต่อยู่ๆ ทำไม กรมสรรพากรกลับต้องมาสนใจเงินที่อยู่ในธนาคารพาณิชย์กว่า 3 หมื่นล้านบาท ทั้ง ๆ ที่เป็นเงินก้อนเดียวกันกับที่ คตส.มีมติอายัดไว้ โดยเงินก้อนดังกล่าวก็ไม่ได้หนีไปไหน จนกว่าศาลจะพิพากษาจนถึงที่สุด



เมื่อถามว่า กรมสรรพากรต้องเร่งรัดเนื่องจากกรมสรรพากรจะต้องถอนอายัดภายใน 15 วัน เพราะหากไม่ดำเนินการจะทำให้เบี้ยปรับเงินเพิ่มเกิดผลเสียกับผู้เสียภาษีหรือไม่ เขาระบุว่า กรมสรรพากรมีหน้าที่รักษาเงินของแผ่นดินไม่ใช่หรือ ทำไมต้องมาเดือดร้อนแทนผู้ถูกอายัดทรัพย์ แทนที่กรมสรรพากรจะออกมาปกป้องรักษาสมบัติชาติ มากกว่า หน้าที่อะไรของกรมสรรพากรต้องออกมาดำเนินการแทนผู้ถูกกล่าวหา เพราะที่ผ่านมา คตส.ได้เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้วางหลักทรัพย์ค้ำประกันและต่อสู้เพื่อพิสูจน์ทรัพย์สินมาโดยตลอด แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับไม่ยอมปฏิบัติตาม 




 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2550 นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรดำเนินการอายัดทรัพย์จำนวนหนึ่งของทั้งคู่ ซึ่งเป็นที่ดิน และหุ้น จนครบตามจำนวนภาษีที่ต้องจ่าย
หลังจากที่ทั้งสองคนไม่ยอมวางหลักทรัพย์ค้ำประกันในชั้นอุทรณ์ภาษี เนื่องจากทั้งคู่ได้นำหลักทรัพย์ที่ คตส.อายัดไว้มาวางมัดจำ ซึ่ง คตส.และกรมสรรพากร พิจารณาว่าเงินที่ถูกอายัดไม่มีคุณสมบัติจะใช้ค้ำประกันได้  จากนั้นกรมสรรพการ ทยอยอายัดไปเรื่อยๆ จนครบจำนวนหนี้ค้างภาษี 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินของทั้งคู่ถูกกรมสรรพากรอายัดไว้ที่สำนักงานภาษีเขต 1 เป็นที่ดิน และสำนักงานเขตภาษีที่ 2 กับ 3 ซึ่งเป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

"ไทยพาณิชย์"หารือศาล-ปปช.กรณีคืนเงิน"โอ๊ค-เอม"

ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ออกหนังสือชี้แจงถึงคำสั่งที่กรมสรรพากรให้ธนาคารไทยพาณิชย์นำส่งเงินอายัด นางสาวพิณทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร ว่าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้รับหนังสือคำสั่งจากกรมสรรพากร เมื่อตอนบ่ายวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ซึ่งยินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ตอนนี้เงินในบัญชีเงินฝากทั้ง 2 คน อยู่ภายใต้คำสั่งอายัดทรัพย์ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เช่นกัน ซึ่งคำสั่งทั้งสองมีความขัดแย้งในทางปฏิบัติ และหากธนาคารปฏิบัติตามคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งจะเป็นการฝ่าฝืนอีกคำสั่งหนึ่งซึ่งเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้

ดังนั้น นายกกรรมการธนาคารจึงได้มีคำสั่งให้นำเรื่องหนังสือของกรมสรรพากรหารือในการประชุมคณะกรรมการธนาคารโดยเร็ว  รวมทั้งธนาคารได้ทำคำร้องไปยังศาลปกครองและทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอความกระจ่างในการปฏิบัติ ในระหว่างนี้ธนาคารจะยังคงเก็บรักษาเงินในบัญชีดังกล่าวอยู่


http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/24/news_288151.php



เมื่อถามว่า กรมสรรพากรต้องเร่งรัดเนื่องจากกรมสรรพากรจะต้องถอนอายัดภายใน 15 วัน เพราะหากไม่ดำเนินการจะทำให้เบี้ยปรับเงินเพิ่มเกิดผลเสียกับผู้เสียภาษีหรือไม่ เขาระบุว่า กรมสรรพากรมีหน้าที่รักษาเงินของแผ่นดินไม่ใช่หรือ ทำไมต้องมาเดือดร้อนแทนผู้ถูกอายัดทรัพย์ แทนที่กรมสรรพากรจะออกมาปกป้องรักษาสมบัติชาติ มากกว่า....

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2550 นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรดำเนินการอายัดทรัพย์จำนวนหนึ่งของทั้งคู่ ซึ่งเป็นที่ดิน และหุ้น จนครบตามจำนวนภาษีที่ต้องจ่าย.....


1. ถ้าอายัดทรัพย์จนครบจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายแล้ว จะต้องนำเงินอายัดของคณะกรรมการ คตส.จากธนาคารไทยพาณิชย์ไปอีกเพื่อเหตุใด :?:

2. ผู้บริหารระดับสูงฯต้องการอาศัยคำสั่งของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯ พิจารณาคืนเงินอายัดจำนวน 12,000 ล้านบาทให้ลูกชาย-ลูกสาว ด้วยเหตุผลว่ากรมสรรพากรได้อายัดไว้เพียงพอแล้วใช่ไหม  :?:

3. ผู้บริหารระดับสูงฯ ไม่รู้ว่าอัยการสูงสุดจะดำเนินให้เงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2551 หรือ :?:

4.  ผู้บริหารระดับสูงฯ อยากจะเดินตาม ซ้ำรอย 5 ผู้บริหารระดับสูงฯ อีก ถูกไล่ออก ถูกจำคุก ใช่ไหม... :?:




หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: แอ่นแอ๊น ที่ 25-08-2008, 13:14
จะให้ถูก สรรพากรต้องไปอายัดบ้าน สโมสรแมนซิตี้ และอื่นๆ ให้ครบตามมูลค่าที่จะต้องจ่ายถึงจะถูก ไม่ใช่มาเอาเงินที่อายัติในคดีีร่ำรวยผิดปกติไปเป็นเงินภาษี คาดว่า คงได้เห็นยัยตัวแสบติดคุกก็คราวนี้แหละ  :slime_smile2: :slime_smile2:


หัวข้อ: Re: สรรพากรไล่บี้ไทยพาณิชย์คืนเงิน'ทักษิณ'.....
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 25-08-2008, 18:30
  “โอ๊ค-เอม” จ๋อยอีกรอบ! ใบโพธิ์ยังไม่คืน 1.2 หมื่นล.รอศาลปกครองชี้ขาด
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 สิงหาคม 2551 17:43 น.
 
       ธ.ไทยพาณิชย์ ยันไม่สามารถคืนเงินอายัด 1.2 หมื่นล.ให้ โอ๊ค-เอม ตามคำสั่งบิ๊กสรรพากรได้ หวั่นโดนผิดอาญา เพราะยังติดคำสั่ง คตส.ยอมรับ ธนาคารได้เตรียมเงินไว้พร้อมแล้ว แต่ให้รอศาลปกครองวินิจฉัยชี้ขาด เตรียมประชุมผู้บริหารอีกครั้ง 28 ส.ค.นี้
       
       วันนี้ (25 ส.ค.) รายงานข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB แจ้งว่า ตามที่กรมสรรพากรได้มีหนังสือคำสั่งวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ นำส่งเงินอายัดราย นางสาวพินทองทา ชินวัตร และ นายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อการชำระหนี้ภาษีอากรแก่กรมสรรพากร ซึ่งธนาคารได้มีการส่งหนังสือชี้แจงไปยังสื่อมวลชนต่างๆ ในวันที่ 25 สิงหาคม 2551 สรุปความว่า ธนาคารรับทราบถึงหนังสือคำสั่งของกรมสรรพากร และพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่ง หากแต่บัญชีเงินฝากของบุคคลดังกล่าวทั้งสองราย อยู่ภายใต้คำสั่งอายัดทรัพย์ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เช่นกัน
       
       เอกสารของธนาคาร ยังระบุว่า คำสั่งทั้งสองมีความขัดแย้ง ก่อให้เกิดความสับสนและความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติสำหรับธนาคาร หากธนาคารปฏิบัติตามคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งก็จะเป็นการฝ่าฝืนอีกคำสั่งหนึ่งซึ่งเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้ ดังนั้น ธนาคารจึงได้ทำคำร้องไปยังศาลปกครองและทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอความกระจ่างในการปฏิบัติ ในขณะนี้ธนาคารยังรอคำวินิจฉัยของศาลปกครอง และคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่
       
       ทั้งนี้ ธนาคารขอเรียนว่า ธนาคารจะจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการธนาคารเพื่อพิจารณาการดำเนินการในเรื่องนี้ ในวันที่ 28 สิงหาคม 2551 ซึ่งเมื่อมีความคืบหน้าธนาคารจะแจ้งให้ทราบต่อไป ในระหว่างนี้ธนาคารยังคงเก็บรักษาเงินในบัญชีดังกล่าวอยู่
       
        “เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นอยู่นี้ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ประกอบกับ สนง.อัยการสูงสุด ได้ดำเนินการยื่นฟ้องกลุ่มผู้เกี่ยวข้องแล้ว ดังนั้น ธนาคารจึงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างระมัดระวังและรอบคอบ และระหว่างนี้ ธนาคารยังคงเก็บรักษาเงินในบัญชีดังกล่าวอยู่”
       
       นายอานันท์ ปันยารชุน ในฐานะนายกกรรมการ SCB กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับกรรมการธนาคารวันนี้ ว่า ธนาคารมีมติรอฟังคำสั่งศาลปกครอง กรณีกรมสรรพาการมีคำสั่งนำส่งเงินอายัดเพื่อชำระภาษีอากร เนื่องจากมีความขัดแย้งกับคำสั่งของ คตส.เนื่องจากธนาคารไม่อยู่ในวิสัยที่จะส่งเงินให้ฝ่ายใด เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อธนาคาร
       
       “ฝ่ายกฎหมายของแบงก์ เห็นว่า เราทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีความชัดเจน ไม่รู้ว่าจะนำเงินส่งให้ใคร ซึ่งตอนนี้เตรียมเงินเอาไว้แล้ว เพียงแต่เรากลัวผลกระทบแบงก์จึงต้องรอคำสั่งศาลปกครอง อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 ส.ค.จะมีกาปรระชุมกรรมการธนาคารในวาระปกติ แต่จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือกันด้วย อย่างไรก็ตาม ทางกรมสรรพากรไม่ได้มีกำหนดให้ธนาคารนำส่งเงิน” นายอานันท์ กล่าว

       
       สำหรับเงินจำนวนดังกล่าว ตอนนี้ยังอายัดอยู่ในธนาคารต่อไป ซึ่งก็จ่ายดอกเบี้ยปกติ และพร้อมจะคืนให้ พร้อมยืนยันว่า ไม่กระทบต่อฐานะของทางธนาคาร

 
 http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9510000100422
 
 
 
ธนาคารฯยังไม่ส่งมอบเงินของลูกชาย-ลูกสาวของทักษิณที่คณะกรรมการ คตส.อายัดไว้ และอัยการสูงสุดได้นำคดีดังกล่าวส่งฟ้องร้องกับศาลยุติธรรมแล้ว พร้อมขอให้ศาลสั่งยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน.....!!!

ถ้ากรมสรรพากรได้เงินจากธนาคารไทยพาณิชย์แล้ว คณะกรรมการอุทธรณ์ฯของกรมสรรพากร'เห็นว่า' กรมฯได้อายัดทรัพย์ส่วนอื่นๆ ไว้ครบจำนวน 12,000 ล้านบาทแล้ว จึง'เห็นควร'คืนเงินที่ได้มาใหม่จากธนาคารไทยพาณิชย์แก่ลูกชาย-ลูกสาวฯ.....!!!

สองลูกชาย-ลูกสาวทักษิณ จะได้เงินคืนไป 12,000 ล้านบาท....

ผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากร กำลังเสี่ยงกระทำผิดกฏหมาย ผิดหน้าที่ แม้จะพูดเองเออเองว่ากรมฯ มีอำนาจ.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า