ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)

ทั่วไป => สภากาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: เบื่อไอ้เหลี่ยม ที่ 02-08-2008, 13:10



หัวข้อ: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: เบื่อไอ้เหลี่ยม ที่ 02-08-2008, 13:10
นาย วีรพงษ์ รามางกูล ที่นาย สมัคร นำมาช่วยรัฐบาลขายชาติ เปิดเผยทัศนคติในการบริหารประเทศไว้อย่างน่า ฉงนว่า
ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นอนาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตย โดยถูกปลุกปั่นโดยคนกลุ่มน้อย(หมายถึงพวกพันธมิตร)
และประเทศ บริหาร โดยรัฐบาลไม่ดี ยังดีกว่าไม่มีรัฐบาลมาบริหาร
ผมสงสัยในหลายๆเรื่อง ที่นายคนนี้ได้กระทำและ สำรากออกมาดังนี้
1. รัฐบาลนี้เป็นประชาธิปไตย จริงหรือ การซื้อเสียง โดยกรรมการบริหารพรรค 4พรรค คือ พลังประชาชน  มัชฌิมาธิปไตย  พรรคเพื่อแผ่นดิน  พรรคชาติไทย
จนต้องดิ้นรนแก้ รธน ว่า กรรมการบริหารพรรค ซื้อเสียงได้โดยไม่ต้องยุบพรรค  นี่มัน ประชาธิปไตย หรือว่า ธนาธิปไตยกันแน่วะ ตอบหน่อยนะ
2. เรื่อง เขาพระวิหาร ไอ้ตาเหล่ นพดล ไปเซ็นยกปราสาทพระวิหาร และให้กำพูชาเอาแผนที่แนบท้าย ไปยื่น ลงทะเบียนมรดกโรค ฝ่ายเดียว โดยบอกว่าให้ทหารเงียบซะ และประชาชนก็เงียบๆ ไม่ต้องถามด้วย  จนในที่สุด ไอ้ตาเหล่ ขายชาติสำเร็จ  นี่หรือประชาธิปไตย ของ นาย วีรพงษ์ รามางกูร?
3. ไอ้ หมัก และพรรคพวก ต้องการล้มองค์กรอิสระ เพื่อ จะได้ไม่ต้องตรวจสอบ รมต ที่ร่วมรัฐบาล และทักสิน พ่อของมัน  นี่หรือ ประชาธิปไตย ของนายวีรพงษ์รามางกูร
4. เรื่อง ที่สำราก ออกมาว่า มีรัฐบาลเลว ยังดีกว่าไม่มีรัฐบาล เฮ้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยาวๆหน่อย  ฟังแล้วมานั่งพิจารณาดูนะครับ  ถ้าคุณมีบ้านหลังหนึ่ง ให้คุณเลือก ถ้าจะปิดบ้าน ไม่มีคนรับใช้มาดูแล  เทียบกับ ให้แก๊งค์โจร เข้ามาดูแล ปัดกวาดเช็ดถู  คุณจะเลือกแบบไหน  สำหรับผมเลือก ปิดบ้าน ไม่ต้องมีคนรับใช้ดูแลดีกว่า ที่จะให้โจรมาเข้าดูแลบ้านผม   แล้วผมจะถามหน่อยนะว่า ไอ้รัฐบาลโจรมาดูแลประเทศไทยจนขายชาติ ขายดินแดนไปแล้ว นายวีรพงษ์ ยังมาร่วมงานกับมัน และบอกว่า ร่วมงานกับโจร ดีกว่าไม่มีโจรมาทำงานหรือครับ โธ่ เวรกรรมของประเทศไทย ทำไมมีแต่คนเหรี้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างนี้นะ
อย่างนี้ นายวีรพงษ์ เห็นโจรกำลังขนของออกจากบ้านประเทศไทยไปขาย นายวีรพงษ์ก็คงจะยิ้มๆ หรือบางทีช่วยขนด้วย ใช่ไหมครับ โธ่ ไอ้สาดดดด โจรเพิ่งเผยตัวก็ตอนนี้แหละ ทีแรกนึกว่าคนดีซะอีก ที่ไหนได้ เวรกรรมจริงๆ
และจริงๆแล้ว ถ้าไอ้รัฐบาลโจรออกไปแล้ว มีหรือที่จะไม่มีคนบริหารประเทศ มรึงพูดได้อย่างไรว่า ดีกว่าไม่มีคนมาบริหารประเทศ คนบริหารประเทศมีแต่โจรอย่างมรึงแค่นี้เองหรือ กรูก็บริหารได้ ดีกว่ามรึงด้วย เพราะว่ากรูไม่ใช่โจร ไอ้สาดดดดดเอ้ยยยยยยยยยย


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: นักตอบกระทู้อิสระ ที่ 02-08-2008, 13:41
เค้าเห็นกันมานานแล้วล่ะคุณ

ดร.โกร่ง นี่เป็นประเภท รำมวยสวย แต่่ต่อยไม่เป็น
บริหารจนพังไปรอบนึงแล้ว ยังลากมายำต่อได้อีก


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 02-08-2008, 13:53
ดีนะ ผมเชียร์   ให้มันเข้ามาดีแล้ว จะได้รู้ว่ามีแต่ราคาคุย  คิดดูว่าเงินเฟ้อแล้วมันเชียร์ให้ลดดอกเบี้ยด้วยซ้ำ  ให้มันได้ชื่อว่าทำเศรษฐกิจพังคามือมัน


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: แอ่นแอ๊น ที่ 02-08-2008, 15:03
พักหลังเริ่มชัดแล้วว่า ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ของแกอาจจะหยุดนิ่งตั้งแต่ตอนได้ปริญญาอ่ะ  รอบที่แล้วก็เสนอให้กลับไปฟิกค่าเงินเหมือนตะก่อน ฟังแล้วแทบกลิ้งตกเก้าอีก งวดนี้มาอีกแล้ว

ปัญหาการเกิดเงินเฟ้อ และเงินฝืดในเวลาเดียวกัน แก้ไม่ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยหรอกอ่ะ

ว่าแต่ ถ้าเป็นที่ปรึกษา แล้วไปนั่งในที่ประชุม ครม ได้ อาจจะมีโอกาสรู้ข้อมูลภายใน แล้วถ้าเกิดทำงานเป็นที่ปรึกษาแบงค์ หรือหน่วยงานทางการเงินด้วยละก็ แบบนี้ เออ เอากฎหมายเรื่อง ความขัดกันแห่งผลประโยชน์ไปอีกซักคนดีมั้ย (ไม่รู้ปรึกษาอะไรมั่ง เห็นว่าเป็นร้อย)

แจกคุกซะให้เข็ด  :slime_smile:


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: (ลุง)ถึก สไลเดอร์ ที่ 02-08-2008, 15:12
ไม่ฉลาดเล้ยโกร่งเอ้ย มาร่วมกับ รบ.นอมินีในช่วงนี้
มีแต่เจ๊งกับเจ๊งลูกเดียว....เอิ้กกกก

 :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile: :slime_bigsmile:


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 02-08-2008, 18:11
ขอแบบเบาะก่อนนะคับ เจอมาเยอะแล้วพวกหอคอย นักวิชาเกินนักวิชาการเท้าลอย

อ้างถึง
นาย วีรพงษ์ รามางกูล ที่นาย สมัคร นำมาช่วยรัฐบาลขายชาติ เปิดเผยทัศนคติในการบริหารประเทศไว้อย่างน่า ฉงนว่า
ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นอนาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตย โดยถูกปลุกปั่นโดยคนกลุ่มน้อย(หมายถึงพวกพันธมิตร)
และประเทศ บริหาร โดยรัฐบาลไม่ดี ยังดีกว่าไม่มีรัฐบาลมาบริหาร

ประเทศไทยเป็นอนาธิปไตย ไม่ใช่ประชาธิปไตย โดยถูกปลุกปั่นโดยคนกลุ่มน้อย

นักวิชาการที่เข้าใจทฤษฎีประชาธิปไตยเขาไม่หลุดคำพูดแบบนี้ออกมาหรอกคับ อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว
คุณค่าของประโยคนายวีรพงษ์ข้างต้นตกต่ำพอๆกับบทอาขยานของณัฐวุฒิ ณ นปก. จริงๆไม่อยากเทียบกับขวัญชัยคนนั้น แต่ท่วงทำนองมันบอกว่าใช่

ประเทศ บริหาร โดยรัฐบาลไม่ดี ยังดีกว่าไม่มีรัฐบาลมาบริหาร
ประเทศไทยเนี่ย น้อยครั้งมากๆที่จะเกิดสูญญากาศทางการเมือง นั่นคือไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศ เข้าใจไว้ด้วยคับคุณวีรพงษ์
ถ้าจะบอกว่าประเทศไทยไม่เคยขาดรัฐบาลบริหารประเทศก็ไม่ผิดนัก
สิ่งที่เราขาดคือ การมีรัฐบาลที่ดี นำพาประเทศไทยไปในแนวทางที่ถุกต้อง นั่นคือการกระจายทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด เข้าถึงคนส่วนใหญ่ ช่องว่างรายได้ที่ลดลง ฯลฯ

รัฐบาลที่มีผู้นำเลวสามารถสร้างความเสียหายให้ประเทศมากมาย และเวลาแก้ไขก้ยากเสียยิ่งกว่า สู้ไม่ให้รัฐบาลเฮงซวยบริหารเสียยังจะดีกว่า
ผู้นำที่เลวให้อยู่บริหารประเทศไม่ได้แม้แต่วันเดียว

จริงๆแล้วนายวีรพงษ์คงชอบทำงานแบบมีเทียบเชิญ ราชรถมาเกย มากกว่าต้องไปอธิบายให้ประชาชนเลือกตัวเองมาบริหารงาน มันลำบาก วีรพงษ์ไม่เคยทำเช่นนั้นแน่นอน

แค่นี้ก่อน เดี๋ยวไปหารายละเอียดเนื้อหาที่วีรพงษ์กล่าวหรือบรรยายแล้วค่อยมาถกกัน



หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: indexthai ที่ 02-08-2008, 18:48

วีรพงษ์ รามางกูร ..คือตัวจริงที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยล่มเละทุกวันนี้

ผลงานในอดีต :slime_bigsmile:
หลังวิกฤติเศรษฐกิจครั้งแรก
วีรพงษ์ รามางกูร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
เป็นผู้ก่อตั้ง "กองทุนเพื่อการฟื้นฟูเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน" แบบขาดความเข้าใจ 
http://www.oknation.net/blog/indexthai/2008/07/26/entry-2
คิดแก้แต่ปลายเหตุของปัญหา ..ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา
ทำให้วิกฤติเศรษฐกิจครั้งที่ 2 รุนแรงกว่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งแรก..
ที่ส่งผลให้สถาบันการเงินล้มลงในวิกฤติเศรษฐกิจครั้งที่ 2 ช่วงแรก ..54 แห่ง ..และทุกวันนี้ล้มลงแล้ว 70 กว่าแห่ง
เป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหย่ของวีรพงษ์
.
ผลงานในรัฐบาลทักษิณ :slime_bigsmile:
วีรพงษ์ รามางกูร ได้รับประโยชน์จากรัฐบาลทักษิณ
เป็นประธานการบินไทย ..เงินเดือนประมาณล้านบาท
เป็นกรรมการบริษัท IRPC (TPI เดิม) ..ที่ไปข่มขืน ..ยึดจากเอกชน ..เงินเดือนหลายแสน
เพราะได้ประโยชน์จากทักษิณ
ระยะหลังการพูด นำเสนอบทความ ..อยู่ข้างทักษิณ ชัดเจน

วีรพงษ์ รามางกูร อยู่ในทีมดร.กระมล ทองธรรมชาติ
วีรพงษ์ รามางกูร เป็นคนกะล่อน

คนในอินเตอร์เนท ไม่เชื่อฝีมือ โกร่ง
http://www.oknation.net/blog/rivermoon/2008/07/30/entry-2


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: Hypoentropic ที่ 02-08-2008, 19:04
ศ.ดร.ปราณี ทินกร ปาฐกถาเรื่อง"เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยความทุกข์" ที่ธรรมศาสาตร์
กล่าวว่า มนุษย์(ในประเทศพัฒนาแล้ว) จะทุกข์เมื่ออัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 1% เท่ากับเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่ม 1.7 ถึง 4.0%

ที่ได้ยินได้ฟังมา บริษัทจำนวนมากกำลังประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง ล้มไปแล้วจำนวนไม่น้อย
ถ้าขึ้นดอกเบี้ยอีก คงมีล้มอีกหลายแห่งและคนสูญเสียงานจำนวนมาก


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: ปุถุชน ที่ 03-08-2008, 01:26
พักหลังเริ่มชัดแล้วว่า ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ของแกอาจจะหยุดนิ่งตั้งแต่ตอนได้ปริญญาอ่ะ  รอบที่แล้วก็เสนอให้กลับไปฟิกค่าเงินเหมือนตะก่อน ฟังแล้วแทบกลิ้งตกเก้าอีก งวดนี้มาอีกแล้ว

ปัญหาการเกิดเงินเฟ้อ และเงินฝืดในเวลาเดียวกัน แก้ไม่ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยหรอกอ่ะ

ว่าแต่ ถ้าเป็นที่ปรึกษา แล้วไปนั่งในที่ประชุม ครม ได้ อาจจะมีโอกาสรู้ข้อมูลภายใน แล้วถ้าเกิดทำงานเป็นที่ปรึกษาแบงค์ หรือหน่วยงานทางการเงินด้วยละก็ แบบนี้ เออ เอากฎหมายเรื่อง ความขัดกันแห่งผลประโยชน์ไปอีกซักคนดีมั้ย (ไม่รู้ปรึกษาอะไรมั่ง เห็นว่าเป็นร้อย)

แจกคุกซะให้เข็ด  :slime_smile:


คืนนี้ไปกินโต๊ะจีนกับก๊วนรุ่นเดอะ รุ่นใหญ่.....
เพื่อนคนหนึ่งเคยเป็น'รองกรรมการผู้จัดใหญ่'ธนาคารใหญ่หนึ่งในสามของประเทศ บอกว่า เขาสงสัยว่า 'โกร่ง จบดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์จริงเหรอ....!!!'



หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: s38593 ที่ 03-08-2008, 18:03
ไม่น่าจบจากสามเสนเลยให้ตายสิ :slime_mad:


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: 55555 ที่ 03-08-2008, 18:07
อ้างถึง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ดร.วีรพงษ์ประกาศตัวต่อสาธารณชนชัดเจนว่า มีความคิดเห็นขัดแย้งกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการใช้อัตราดอกเบี้ยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ที่บอกว่า "ผมไม่ไว้วางใจ ธปท. และเชื่อว่าแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยกำลังเป็นเงื่อนไขใหม่ที่กำลังซ้ำเติมวิกฤตให้เลวร้ายลง" นอกจากนี้ยังมีความเห็นในประเด็นต่างๆ ที่ตรงกันข้ามกับ ธปท.มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีข่าววงในว่าถ้า ดร.วีรพงษ์เข้ามาเป็นที่ปรึกษาประธานด้านเศรษฐกิจ มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการปลดนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะที่ก่อนหน้านี้มีข่าวลือปลดผู้ว่าการ ธปท.มาอย่างต่อเนื่อง


เอาอีกแล้ว.....ดร.โกร่ง จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาล...และยังมี่ข่าวว่า

จะเข้าไปเป็นบอร์ดแบ็งค์ชาติ.....

สันดานยังไม่เปลี่ยน....จะเข้าแทรกแซงแบ็งค์ชาติ แบบเต็มรูปแบบ...
คราว ปี 40  ไม่ใช่เพราะ การเข้าแทรกแซงแบ็งค์ชาติ ของฝ่ายการเมืองดอกหรือ..
จึงทำให้ เศรษฐกิจ ชิหาย จนเดี๋ยวนี้ บางคนยังโงหัวไม่ขึ้น...
ก็ฝีมือ ดร.โกร่งคนนี้แหละครับ.....นี่กำลังจะเอาอีกแล้ว...
ถ้าเป็นสมัยก่อน...ป่านนี้ชาวไทยไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจแล้วครับ...
เพราะ ดร.โกร่ง จะโดนตัดหัว 7 ชั่วโคตร ตั้งแต่หลังปี 40

รัฐบาลนี้ อับจนปัญญาแล้วจริง ๆ ...ไม่มีปัญญาหาคนมาแก้ไขเศรษฐกิจ...
ยอมรับเถอะ ลุงหมัก..ว่าไปไม่ไหวแล้ว..


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 03-08-2008, 22:37
คนๆหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่บริหารประเทศระยะหนึ่งให้โอกาสแสดงฝีมือ จากใครก็ไม่รู้ได้ดิบได้ดีจากไม่มีอะไร
วันหนึ่งกลับมาร่วมงานกับคนที่ด่าผู้มีพระคุณของตนเอง  เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร

คนๆหนึ่ง ได้รับการทาบทามจากลูกชายนายกฯในขณะนั้นให้มาร่วมงาน
เงือนไขที่เค้าเสนอกับลูกชายนายกฯคือ ขอเงินก่อน จะเอาไปเคลียร์หนี้สิน แล้วค่อยมาทำงานให้

วันเวลาผ่านไป ปฎิมากรรมงานสร้างภาพก็มีต่อเนื่องสะสมมา

เขียนบทความในประชาชาติธุรกิจกรณีดีลชินคอร์ป คงมีใครทนไม่ไหวๆจริงๆ เขียนโต้เขากลับหงายเก๋ง

พักหลังเริ่มจะออกอาการนักวิชาเกินอิงอำนาจมากขึ้นๆโดยเฉพาะปีหลังๆนี่เอง

คนๆหนึ่งยอมรับเป็นที่ปรึกษาแต่ไม่รับเงินเดือนประจำ
เพียงเพราะถ้ารับเงินเดือนประจำ เป้นข้าราชการการเมือง จะต้องยื่นบ/ชแสดงทรัพย์สิน

จากคนที่ไม่มีอะไร เป็นคนมีอะไรมากมายจากตำแหน่งที่ปรึกษาบรรษัททั้งหลาย

ขี้เกียจยื่นให้เหนื่อย ปวดหัว  ยุ่งยาก

เอาแบบรับเงินแต่ไม่ต้องยื่นแสดงทรัพย์สินดีกว่า เดี๋ยวคนเขาจะตกใจ ว่ามันรวยมาจากไหน

ทั้งหมดนี้ ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนๆนั้นคือโกร่ง

ใครช่วยยืนยันทีคับว่าไ ม่ใช่ๆ


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 03-08-2008, 23:16
ก๊วนเดิมๆสมัยวิกฤติปี 40 ยังอยู่พร้อมหน้า ตั้งแต่ โอฬาร ชัยวัฒน์ โกร่ง ฯลฯ และกำลังจะกลับมาผงาดอีกรอบ เพราะชื่อเหล่านี้เริ่มกลับมาปรากฎตามหนังสือพิมพ์อีกรอบแล้ว

ตัวใครตัวมัน งานนี้  (สงสัยคำทำนายของ "ยูเรสโตร" จะเป็นจริงก็คราวนี้)
  :slime_sentimental:


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: เบื่อไอ้เหลี่ยม ที่ 04-08-2008, 11:41
ต้องระวังทุนสำรองของประเทศครับ  เพราะว่ามันจะคิดว่า มีคนเอาไปถลุง และหาแดกจนเกลี้ยง ดีกว่าปล่อยให้อยู่เปล่าๆไม่ได้ทำอะไร
ตรรกะ ของไอ้ตัวโก่ง เป็นแบบนี้แหละ
เออ อีกเรื่องครับ มันเข้ามาสวมรอยบริหารประเทศโดยยังเป็นประธานและที่ปรึกษาหลายบริษัท  มันก็จะพูดอีกว่า เอานโยบาย และทิศทางการบริหารประเทศ เพื่อ สนองบริษัทที่มันเป็นที่ปรึกษาอยู่ เพื่อจะหาแดกได้มากๆขึ้น  ยังดีกว่าปล่อยให้ประเทศชาติอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเพื่อมันและพรรคพวกครับ
  และที่แบงค์ชาติอายัดทรัพย์ไอ้เหลี่ยม พ่อมันนี่  มันอาจใช้อิทธิพลให้แบงค์ชาติปล่อยเงินที่อายัดหลายหมื่นล้านให้พ่อเหลี่ยม  โดยได้ผลตอบแทนมหาศาล เพื่อให้ไอ้เหลี่ยม หลบไปใช้เงินใน ตปท  ไอ้ สาด ตัวโก่ง นี่จะบอกอีกว่า ดีกว่าให้เงินที่ถูกอายัด นอนเฉยๆอยู่ในธนาคารน่ะครับ  ถึงตอนนั้น จะเอาคืนคงยากสุดๆ  แล้วมันก็ลอยตัว เพราะว่าสั่งด้วยปากเปล่าไง ไม่มีหน้าที่ด้วย ไม่เอาเงินเดือนอีกด้วย


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: usa ที่ 04-08-2008, 11:59

เฮ้อ  ดอกเตอร์ เต็มบ้านเต็มเมือง  แต่พอต้องการใช้งาน ทำไม๊ ทำไม มีแต่ไอ้ ดอกฯ หน้าเดิม ๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจชิบหายมาแล้ว

กลับมาทำหน้าที่อีก  เฮ้อ ๆๆๆๆๆๆๆ


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 04-08-2008, 17:28
อ้างถึง
'วีรพงษ์ รามางกูร' ออกโรงฉะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในรายการของ 'จาตุรนต์ ฉายแสง' ระบุต่างชาติชะลอให้ไทยกู้ เหตุหวั่นทหารปฏิบัติตามคำร้องพันธมิตรฯ ชี้การชุมนุมปัจจุบันเป็นอนาธิปไตย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไปก็เปล่าประโยชน์


เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นายวีรพงษ์ รามางกูร ว่าที่ประธานที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ 'คิดร่วมกัน' ทางเคเบิลทีวีของบริษัท เน็กสเต็ป ดำเนินรายการ โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งจะออกรายการเวลา 20.00 น. วันที่ 3 สิงหาคม ถึงวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองในขณะนี้ว่า ขณะนี้ต่างประเทศที่เตรียมให้กู้เงินก้อนใหญ่ เพื่อใช้ในโครงการลงทุนของรัฐได้หยุดการเจรจาไปชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อเมริกา หรือยุโรป เพราะกำลังติดตามสถานการณ์ทางการเมืองว่า ทหารจะออกมาปฏิวัติรัฐประหารตามที่มีกระแสเรียกร้องหรือไม่ เพราะประเทศเหล่านี้รับไม่ได้ และมองว่าการชุมนุมทางการเมืองในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องปกติของการชุมนุมโดยภาคประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นอนาธิปไตยที่ไม่เคารพกติกาของบ้านเมือง ที่สำคัญมีการเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติรัฐประหาร ถ้าถึงจุดที่ความขัดแย้งพัฒนาไปถึงขั้นนองเลือด ทหารก็อาจจะออกมา ซึ่งจะสร้างปัญหามากขึ้น เท่ากับเราเผาตัวเองรอบ 2 และทางออกทางการเมืองคือ เราต้องยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

'รัฐธรรมนูญจะชั่วจะดีก็ควรต้องปฏิบัติ ถ้าเป็นอุปสรรคก็ต้องแก้ไขได้ตามกรอบวิธีที่กำหนดไว้ ต้องเคารพผลเลือกตั้ง ถ้าไม่เคารพก็จะได้รัฐบาลที่เป็นคณาธิปไตย การมีรัฐธรรมนูญไม่ดี ดีกว่ามีรัฐธรรมนูญจากการรัฐประหาร มีรัฐบาลไม่ดี ก็ดีกว่าไม่มี ถ้าคนจำนวนหนึ่งยังสามารถล้มรัฐบาลได้เรื่อยๆ จะเลวร้ายต่อประเทศในระยะยาว ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการนอกกฎหมาย นอกรัฐธรรมนูญ ถ้าเราออกนอกกรอบที่นานาประเทศไม่รับ ก็ไม่ต้องพูดถึงภาพเศรษฐกิจ จะแก้อย่างไรก็เสียเวลาเปล่าๆ' นายวีรพงษ์ กล่าว

นายวีรพงษ์ กล่าวต่อว่า การฟันฝ่าวิกฤตในปัจจุบัน เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดที่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจพังทลาย คือ ต้องมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและต่อเนื่องพอควร จะชั่วจะดีก็ว่ากันในสภา ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นที่ต้องทำให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยมาดูว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า เช่น เงินเฟ้อ (จาก มติชนออนไลน์)

                               ....................................................
http://www.oknation.net/blog/scblock/2008/08/01/entry-2


อืมม.. :slime_whistle:


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: AsianNeocon ที่ 04-08-2008, 18:24
ลืมไอ้สุชาติ ธาดาฯ อีกตัว ไอ้นี่เลียจนได้ดี สนับสนุนครัวเรือนกู้กินใช้เต็มที่เพื่อตัวเลข GDP  เลียมาตั้งแต่สมัยออกเคเบิ้ล 10 ปีก่อน เลียจนลิ้นถลอกเพิ่งจะได้รัฐมนตรีกับเขาก็คราวนี้


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 04-08-2008, 21:57
สุชาติบอก 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาล มีดีกว่าไม่มี ดีกว่าไม่ทำหรือดีกว่าไม่มีมาตรการใดๆเลย

ส่วนโกร่ง บอกมีรัฐบาลเลวดีกว่าไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศ

คนละเพลงแต่ทำนองเดียวกันเลยแฮะ  :slime_o:


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 04-08-2008, 22:07
อ้างถึง
เปลวสีเงิน
คนปลายซอย


4 สิงหาคม 2551    กองบรรณาธิการไทยโพสต์

ถึง..ดร.โกร่งด้วยรักและห่วงใย  



ปรับ  ครม.ครั้งนี้  ไม่มีอะไรมากไปกว่า "สินค้าต่างตอบแทน" ของพรรคการเมือง และยังเป็นเครื่องยืนยันว่า   ผู้มีอำนาจตัวจริงในรัฐบาลชื่อ "ทักษิณ" ที่มีแปลกใหม่ขึ้นมาบ้าง เห็นจะเป็นทีมเศรษฐกิจที่มี "นายวีรพงษ์ รามางกูร" เข้ามาเป็น "ประธานที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ"

นายวีรพงษ์นี้ถือเป็น "ยาชุดสามัญประจำบ้าน" กินกะได-ทากะได แต่ก็ใช่ว่าจะเหลวเป๋วเสียทีเดียว  เพราะนอกจากเป็น ดร.ผู้ชำนาญด้านเศรษฐกิจมหภาคแล้ว

อดีต-ที่เคยเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีที่ชื่อ "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์" เมื่อร่วม ๓๐ ปีที่แล้ว ถือเป็นประกาศนียบัตรใช้อ้างอิง และยกขึ้นเอ่ยอ้างควบคู่กับการเอ่ยถึงความสำเร็จได้เสมอ

การที่นายสมัครเอามาเป็น "หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ"  เห็นจะถูกคอตลาดมากทีเดียว เพราะขานรับกันตรึม และเท่าที่ผมติดตาม นายวีรพงษ์ หรือ ดร.โกร่ง ก็สมควรแล้วที่จะเข้ามามีบทบาทในรัฐบาลนี้

นอกจากถูกขา-ถูกคอกับ "นายพันธ์ศักดิ์  วิญญรัตน์" ผู้เป็นองค์ประทับในร่างทรง "ลูกกรอกเลี้ยบ" แล้ว  นายวีรพงษ์ถือว่ามีประสบการณ์ทั้งราชการภาคการเมือง และทั้งธุรกิจการค้าภาคเอกชนครบเครื่อง

คือเคยอยู่ในภาคการเมืองถึงระดับรองนายกฯ  ระดับรัฐมนตรีคลัง  ระดับที่ปรึกษาป๋าเปรมมาแล้ว  ทุกวันนี้ในภาคเอกชน ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทธุรกิจการค้า ระดับ "คู่ค้ารัฐ" หลายแห่ง

ที่โดดเด่น  และเห็นจะละเลยในการยกมาชื่นชมเสียมิได้ก็คือ ดร.โกร่งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย!

ตรงนี้ใครก็อย่าไปถือสา  เพราะคนเก่งๆ ใครก็อยากได้ตัว ถ้าพิจารณากันให้รอบด้าน  จะเห็นว่า ดร.โกร่ง "เป็นอันที่รัก" เข้าได้กับทุกฝ่าย-ทุกขั้ว  แม้กระทั่งวงการสื่อ

และการเป็นที่ปรึกษานั้น  ก็รับเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกฝ่าย ฝ่ายป๋าก็รับ ฝ่ายทักษิณก็รับ..ว่างั้นเถอะ!

ตอนนี้ เท่าที่เห็น มีอยู่ฝ่ายเดียวมั้งที่เข้ากับ ดร.โกร่งไม่ได้ และดูเหมือน ดร.โกร่งจะเกลียดขี้หน้าเอามากๆ ถึงขั้น "ด่าประจาน" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในทุกครั้งที่มีโอกาส

นั่นคือ "แบงก์ชาติ" หรือพูดให้เป็นรูปธรรมคือ "คุณธาริษา วัฒนเกส" คนเป็นผู้ว่าฯแบงก์ชาติปัจจุบัน

ไม่ใช่ด่าเฉยๆ ผมเห็นความจงใจในการแสดงทัศนคติเป็นปฏิปักษ์กับแบงก์ชาติอย่างน่ากลัว ถึงขั้นประณามว่า "แบงก์ชาติ เป็นตัวสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมาหลายครั้ง-หลายหน"!

เอาหละ..ตอนนี้นายวีรพงษ์ขึ้นเวทีฝ่ายรัฐบาลแล้ว  จะให้คำปรึกษารัฐบาลจากตำรา หรือจากทัศนคติลบ เพื่อ "จัดการ" อย่างหนึ่ง-อย่างใด กับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติอย่างใดหรือไม่ ก็คอยดูกัน

แต่ก็มีแง่คิดที่อยากฝากให้สังเกต  ในสมัยป๋าเปรมนั้น  รัฐมนตรีคลังไม่ได้หาคนมาเป็นด้วยแนวคิด "คอหยักๆ สักแต่ว่าคน" ถ้าเหลือบไปดูรัฐมนตรีคลังสมัยป๋า เห็นชื่อแล้วไม่ต้องจาระไนคุณภาพ

"นายสมหมาย ฮุนตระกูล" งี้ "สุธี สิงห์เสน่ห์" งี้!

ฉะนั้น  ดร.หนุ่มนักเรียนทุน "ร็อกกี้เฟลเลอร์" ชื่อวีรพงษ์ในสมัยป๋า ก็เป็นแค่กุมารทองฝาแฝดที่ป๋าเลี้ยงไว้คู่กับ "นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี" ซึ่งถือเป็นศิลปะในการบริหารงานอย่างหนึ่งของป๋า

คือเอาทั้งคน "รุ่นเก่า-รุ่นใหม่" มาใช้งาน  เวลามีปัญหาทางเศรษฐกิจ  ปรึกษาหารือกับรุ่นใหญ่แล้ว  ป๋าก็จะมาเคาะถามกับบรรดากุมารทองเป็นรายตัว  สมมุติเจอหน้า ดร.โกร่งก็จะถามว่า

"เรื่องนี้ลูกโกร่งเห็นว่าเป็นงัย?"

เจอหน้านายไตรรงค์ ป๋าก็จะถาม "เรื่องนี้ลูกสามสีว่าไง?"

บรรดากุมารทองเศรษฐกิจก็จะสาธยายให้ป๋าฟัง  ป๋าก็จะนั่งทำปากจู๋ฟังไปเงียบๆ โดยไม่พูดจาออกความเห็นใดๆ นอกจากป้อนประเด็นถามไปเรื่อยๆ

ก็เท่านั้น  พูดง่ายๆ คือ สไตล์การทำงานของพลเอกเปรม ท่านจะรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย  ต่อจากนั้น  ท่านก็จะเอาความคิดเห็นที่รับฟังนั้นไปคลุกเคล้าด้วยคอมพิวเตอร์สมองของท่าน

แล้วก็จะออกมาเป็น "คำสั่งปฏิบัติ" ของนายกฯ ผ่านครม.!

เท่าที่ผมฟังจาก "คนใกล้ตัว" หลายๆ ท่าน  เขาบอกตรงกันว่า  ป๋าไม่เคยเอาแนวคิดของใครคนเดียวไปใช้เลย  แต่ท่านเอาจากคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง แล้วไปผสมเป็น "สูตรเฉพาะ" ออกมา

ย้อนมาดูรัฐบาลสมัคร "รัฐมนตรีเศรษฐกิจ" วันนี้  นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง  นายไชยา  สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ แถมนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รมว.อุตสาหกรรมอีกคน

อื้อฮือ..แบบนี้  มันก็ต้องถือพานคลานเข่าเข้าไปขอวิชาจาก "ขุนพลเศรษฐกิจ" ที่นายสมัครไปสรรหามา อันมีนายวีรพงษ์เป็นแม่ทัพใหญ่โดยประการเดียวแล้ว และไม่เพียงเท่านั้น

ทุกประการ..รัฐบาลต้องรับฟัง-รับปฏิบัติ "ข้อราชการด้านเศรษฐกิจ" จากทีมงานพ่อค้า "ภาคเอกชน" ที่เข้ามาเป็น "ข้าราชการเทียม" สถานเดียว

พูดถึงกระทรวงคลัง ก็เพิ่งเห็นยุคนี้แหละ ตะบี้ตะบันตั้ง "รัฐมนตรีช่วย" เข้าไปตั้ง  ๓  คน  แถมรัฐมนตรีว่าการอีกคน รวมเป็น ๔ คือ เดิม-นอกจากนายสุรพงษ์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ แล้ว

ยังตั้งเข้ามาอีก ๒ คือ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช คนในทีมที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ  และนายพิชัย  นริพทะพันธุ์ ผู้มีคุณสมบัติเป็น "นายทุนพรรคเพื่อแผ่นดิน"!!

ทีนี้มาดูทีมงานเศรษฐกิจชุดนี้บ้าง นายวีรพงษ์ในฐานะประธานที่ปรึกษาบอกว่า จะคัดมือฉมังอีก  ๔-๕  คนมาร่วม  เท่าที่ฟังตามข่าว-ยังไม่สรุปชัดเจนนะครับ ทีมเศรษฐกิจนี้จะเข้าร่วมประชุม ครม.ด้วยทุกครั้ง   มติชนเขาลงข่าว  อ้างคำพูดนายวีรพงษ์ว่า

"ใช้อำนาจตามกฎหมายเดียวกับเมื่อครั้งรัฐบาลพลเอกเปรม"

อ้าว..ป๋าเปรมกลายเป็นมาตรฐานทางกฎหมายของรัฐบาลนอมินีทักษิณไปแล้วหรือนี่ เอา..ว่าไงก็ว่าตามกัน..เนอะ!

บางท่านอาจสงสัย  ทำไม..ไม่ตั้งนายวีรพงษ์ให้เป็นรัฐมนตรีคลัง  หรือรองนายกฯ ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียเลย  คำตอบเรื่องนี้คือ ไม่อยากทิ้งงานด้านเอกชน และ "กลัวติดคุก" จากจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้

พูดตรงๆ คือ  นายวีรพงษ์มีอาชีพสุจริต  รับจ้างเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างๆ มากมาย  หรืออาจจะมีหุ้นอะไรอยู่ด้วยก็ได้ ถ้าเป็นรัฐมนตรีต้องลาออกทั้งหมด ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ก็ไม่ต้องการที่จะทำอย่างนั้น

เลี่ยงมาทำหน้าที่ "ที่ปรึกษารัฐบาล" ดีกว่า  ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน  และไม่ต้องลาออกจากบริษัททั้งหลาย  แต่ก็สามารถ "ใกล้ชิดข้อมูล" มีอำนาจชี้นำรัฐบาลผ่านนโยบาย ผ่านโครงการต่างๆ ได้

โดยไม่ต้อง "รับผิดชอบ" โดยตรง  และที่สำคัญ สถานภาพทางรายได้-ทางธุรกิจภาคเอกชน ยังคงเดิม!

เห็นพูดกันว่า "จะไม่รับเงินเดือน" อาสามาช่วยชาติฟรีๆ  ว่างั้นเถอะ  แต่ตำแหน่งนี้ถือเป็น "ข้าราชการการเมือง" กรายๆ เหมือนตำแหน่ง  "นายขวัญชัย ไพรพนา" นายกฯ แต่งตั้ง มีเงินเดือนหลวงตามกฎระเบียบราชการ

นั่นคือ นายวีรพงษ์ "ไม่รับเงินเดือน-ได้ แต่จะไม่ให้หลวงตั้งเบิกจ่าย-เห็นจะไม่ได้"

นั่นคือ  จ่ายมาแล้ว นายวีรพงษ์ต้องเซ็นรับ ส่วนรับแล้วจะเอามาให้ผม หรือให้ใคร นั่นเป็นสิทธิ์ของท่าน!

ก็น่าเห็นใจ ไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้อีกกี่วัน ขืนไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี ยิ่งเป็น "รัฐมนตรีคลัง" ด้วยแล้ว  พอหลุดออกมา ต้องเว้นวรรคการไปทำมาหากินกับสถาบันการเงินตั้ง ๒-๓ ปี คนมีวิชาความรู้เก่งๆ เขาจึงไม่อยากเป็น

ดูอย่าง "นายโฆสิต  ปั้นเปี่ยมรัษฎ์" เป็นต้น  ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ช่วยชาติด้วยการมาทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีได้ทุกตำแหน่ง  ยกเว้นงานที่เกี่ยวข้องกับงานเงิน-การคลัง

เราจึงเห็นท่านเป็นทั้งรองนายกฯ ทั้งรัฐมนตรีอุตสาหกรรม แต่จะไม่ยอมข้องแวะงานด้านการเงิน-การคลัง ขนาด ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ลาออกจาก รมว.คลัง ใครๆ ดันก้นท่าน ท่านไม่รับลูกเดียว

"เดี๋ยวกลับไปทำงานแบงก์กรุงเทพไม่ได้!?"

ย้อนกลับมากรณี ดร.โกร่ง การมาเป็นที่ปรึกษารัฐบาลนอมินีทักษิณ ไม่มีใครติดใจ  เพราะท่านก็ถือว่า  "คนกันเอง"  ในแวดวงทักษิณอยู่แล้ว แต่การขออยู่ใน "สถานะเอกชน" ของนายวีรพงษ์  แล้วฝังตัวเองลึกเข้าไปกลางไข่แดง "สถานภาพรัฐบาล" ด้วยการเข้าประชุม ครม.นั้น

ผมเชื่อในความ "ซื่อสัตย์-สุจริต" นายวีรพงษ์ แต่อย่าลืมว่า ในวงประชุม ครม.คือ "ศูนย์กลางข้อมูลลับ" ของประเทศทั้งมวล!

ฉะนั้น ในความเป็น "คนทำมาหากิน" รับจ้างอยู่กับภาคเอกชนทั่วไป วัตถุดิบที่จะใช้สร้างราคาตัวเองก็คือ  "ข่าว-ข้อมูล" ที่เหนือกว่า  แม่นยำกว่า  เพื่อใช้เป็นฐานการให้คำปรึกษาที่ไม่พลาด

นั่งอยู่ใน ครม.อยู่กับข้อมูลลึกของรัฐบาล แถมตัวเองมีอำนาจชี้นำ-สั่งการ ในขณะเดียวกัน "สวมหมวก ๒ ใบ" ด้วยความเป็นสามัญมนุษย์ บนข้อมูลที่ซึมซับอยู่ในร่างเดียวกัน

ใครจะปฏิเสธได้ล่ะว่า ตอนนั่งใน ครม.จะไม่มีข้อมูลทางภาคเอกชนเข้ามาประกอบดุลยพินิจ เพื่อขบปัญหา? และตอนนั่งอยู่ในที่ปรึกษา  "บริษัทธุรกิจหมื่นล้าน-แสนล้าน"  จะไม่มีข้อมูลที่รับฟังจาก ครม.มาเป็นส่วนผสมของประเด็นที่ให้คำปรึกษาหารือกับบริษัทที่รับจ้าง?

จำการ "ลดค่าเงินบาท" เมื่อ  ๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ที่เป็นบาดแผลลึกในใจคนไทย และประเทศไทยมาจนถึงวันนี้ได้มั้ย?

ในขณะที่คนไทยล่มจมทั้งประเทศ  แต่กลับมี "คนหนึ่ง" ใช้ข้อมูลลับที่ได้ยินจาก รมว.คลังกับผู้ว่าฯ แบงก์ชาติเข้าไปแจ้งมติ "ลดค่าเงินบาท" ให้พลเอกชวลิตทราบ และคาบไปบอกกับ "คนหน้าไม่กลม"!

การใช้ข้อมูลไปฉวยโอกาส "ปล้นประเทศตัวเอง" ครั้งนั้น ยังแช่งด่ากันอยู่จนถึงวินาทีนี้ ผมจึงฝากข้อห่วงใยถึง ดร.โกร่งกับคณะมาด้วยความหวังดี คือไม่จำเป็น..ให้คำปรึกษาอยู่นอก ครม.ดีกว่า!

ก็ขอให้ "ครม.สมัคร" ของทักษิณ อยู่กินกันเป็นสุข..เป็นสุข..เถิด!

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=4/Aug/2551&news_id=161990&cat_id=200


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 10-08-2008, 17:49
อ้างถึง
ทัศนะวิจารณ์ คิดใหม่ วันอาทิตย์   10 สิงหาคม พ.ศ. 2551 00:49:00
"แร้งฝูงเดิม"คนเก่งที่ไม่น่าใช่"คนดี" "รุมทึ้ง"คลัง-ธปท.-ก.ล.ต.-ตลาดหุ้น  

ลำพังอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองของ "แก๊งออฟโฟร์" อย่างเดียวที่หลายคนออกมาเปิดโปงคงไม่น่าสะพรึงกลัวมากนัก เพราะ

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ชะตากรรมของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชใกล้จะถึงวาระสุดท้ายถูกลงโทษตามกรรมเก่าที่ก่อขึ้น เมื่อกลไกกระบวนการยุติธรรมเริ่มเดินเครื่องแล้ว นับตั้งแต่คำพิพากษาศาลอาญาคดีหลบเลี่ยงภาษีของภรรยาอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่สิ่งที่น่ากลัวและจะเป็นมหันตภัยกับประเทศมากกว่าในระยะกลางและระยะยาว หลังจากหันไฟฉายส่องเข้าไปในคณะกรรมการเชิงนโยบายของหน่วยงานสำคัญๆ ที่เป็นหัวใจการบริหารนโยบายการคลัง-นโยบายการเงิน-นโยบายตลาดทุนของประเทศ 

ผมมองเห็นรอยเท้าของ "เห้...ห่..." สารพัดสัตว์เลื้อยคลานที่เต็มไปด้วย "รอยแผลเป็น" จากการ "กินดะไม่เลือก" ในอดีต กำลังย่องกลับเข้าไปแทะกิน "ของเก่า" อย่างโอชะในกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

กระทรวงการคลังที่คุณหมอเลี้ยบ "สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" เป็นรัฐมนตรีว่าการดูแล กำลังสะสมกองกำลังทั้งคนและทุนอย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากสมทบรัฐมนตรีช่วยว่าการคนใหม่เอี่ยมอ่อง 2 คน คนหนึ่งมาจากสายวิชาการไฟแรงสังกัดพรรคแกนนำ 1 คน และอีกคนมาจากสายนายทุนพรรคร่วมรัฐบาลลำดับ 3 รวมกับคนเดิม 1 คนที่เป็นนายทุนพรรคร่วมรัฐบาลลำดับ 4

ก่อนจะเริ่มมอบหมายงานให้เป็นเรื่องเป็นราว ฝากคุณหมอเลี้ยบช่วยอบรมสั่งสอน "มารยาท" การเป็น "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง" ของอาจารย์สุชาติ ธาดาธำรงเวชให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะ "เล่น" อะไรๆ ที่ไม่เข้าท่า จนเสียหายกับประเทศไปมากกว่านี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้คำพูดทั้งก่อนและหลังเข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยอคติสุดๆ

ขอประทานโทษด้วยที่ต้องเตือนอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แม้ว่าโดยส่วนตัวจะยังเคารพนับถือ, นิยมชมชอบและรู้จักกับ "อาจารย์สุชาติ ธาดาธำรงเวช" มายาวนานในฐานะนักวิชาการที่มีนิสัยพูดตรงไปตรงมา อยากจะขอร้องว่าเมื่อบุญมาวาสนาส่งมาเป็น "รัฐมนตรีช่วย" ก็ควรจะถอดเสื้อคลุม "นักวิชาการ" ออกก่อนการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์อันใด จนทำให้สังคมโลกเห็นว่า "การเมือง" กำลังเข้าไป "แทรกแซง" ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติแล้ว

ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอาจารย์สุชาติอาจจะเหน็ดเหนื่อยจากการ "โหนรถเมล์ฟรี" มาร่วมเวทีเสวนาของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา จึง "ขาดศิลปะ" ในการพูดต่อหน้าคุณอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการแบงก์ชาติบนเวทีเดียวกัน

ในทำนองว่า "หากเห็นไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเลิก รัฐบาลต้องลาออกหรือตกลงกันไม่ได้จริงๆ ผู้ว่าการ ธปท.ก็ต้องลาออก ตั้งคนใหม่เข้ามา ไม่งั้นประเทศจะอยู่อย่างไร"

หาก "อาจารย์สุชาติ" ยังคงเป็นนักวิชาการที่ขยันขึ้นเวทีอภิปรายไม่ได้มีหัวโขนใหม่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แล้วพูดอย่างนี้คงไม่มีใครใส่ใจจะไปว่ากล่าวด้วย แต่วันนี้อาจารย์สุชาติเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ควรจะใช้ "ปาก" อย่างมีศิลปะและศึกษา "ศาสตร์" ในการวิพากษ์แบงก์ชาติอย่างไรไม่ให้สังคมรู้สึกว่า จ้องทำลายความเป็นอิสระของแบงก์ชาติแต่อย่างเดียว 

อย่าเพิ่ม "ปาก" สร้างปัญหาให้ประเทศไปมากกว่านี้เลย ลำพัง "ปาก" นายกรัฐมนตรีของเราคนเดียวก็เหลือทนแล้ว กับการพ่นน้ำลายไม่เลือกที่ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่เว้นกระทั่งหน้าห้องส้วมสาธารณะ จนทำให้ประเทศนี้เน่าเหม็นทะเลาะกันเละเทะมากพออยู่แล้ว

ถ้าหากเห็นว่าผู้ว่าการแบงก์ชาติคนปัจจุบัน "ดร.ธาริษา วัฒนเกส" ทำหน้าที่บกพร่องในการบริหารนโยบายการเงินจนเกิดความเสียหายกับประเทศ

สิ่งที่อาจารย์สุชาติควรทำคือ ขอปิดห้องคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "คุณหมอเลี้ยบ" เพื่อหว่านล้อมให้กล้าตัดสินใจใช้อำนาจ "ปลด" ผู้ว่าการแบงก์ชาติโดยทันที ไม่ควรออกมา "เล่นคำ" บนเวทีเสวนาจนขยายความขัดแย้งไปมากกว่านี้

อาจารย์สุชาติอาจจะไม่รู้ว่าระหว่างความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตของผู้บริหารแบงก์ชาติกับผู้บริหารกระทรวงการคลังที่มาจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายไหนได้รับความเชื่อถือมากกว่ากัน 

ยิ่งสังคมได้เห็น "รายชื่อ" ผู้คน "ฝูงใหญ่" ที่กำลังเข้าไปยึดกุมนโยบายและยึดกุมการสรรหาคณะกรรมการแบงก์ชาติ, คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ "วิจิตร สุพินิจ" ที่ยังมีข้อสงสัยในความประพฤติส่วนตัวและผลประโยชน์หุ้นที่ผิดวิสัย "คนแบงก์ชาติ", นิพัทธ พุกกะณะสุต อดีตข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังที่ยังไม่สามารถลบล้างคดีทุจริตจนถูกให้ออกจากราชการแล้วพลิกกลับเข้ามาได้อีกจากอำนาจทางการเมือง, พรชัย  นุชสุวรรณ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ที่มีคดีหวยบนดิน ฯลฯ

รวมทั้ง "คณะกุนซือ" ที่ทำตัวเป็น "อีแอบ" คอยชักใยใส่ความคิดแปลกๆ "นอกกรอบ" ให้ "คุณหมอเลี้ยบ" อยู่เป็นประจำ ก็ล้วนมีประวัติอันเต็มไปด้วยมลทินน่าเคลือบแคลงในความเป็น "คนดี" แม้ว่าพวกนี้จะเป็น "คนเก่ง" ในการ "คิดนอกกรอบ"

บอกได้เลยว่าผู้คนในแวดวงเศรษฐกิจและภาคเอกชน เริ่มตั้งข้อสงสัยซุบซิบนินทาว่า "คนชั่ว-คนไม่ดี" ที่เคยมีประวัติคดีโกงกินทุจริตติดตัวหลายคดี กำลังแอบ "เลื้อย" กลับเข้าไปยึดกุมอำนาจในการกำหนดทิศทางสถาบันหลักๆ ทางด้านนโยบายการคลัง, นโยบายการเงิน,นโยบายตลาดทุนอย่างน่าเป็นห่วงมากกว่า "แก๊งออฟโฟร์"

กรณีการล่มสลายของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือบีบีซี ถือเป็นตัวอย่างการโกงกินทุจริตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย ที่เป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 2540 กำลังจะกลับมาหลอกหลอนผู้คนในสังคมอีกแล้ว

เมื่อ "ฝูงแร้ง" ในสมัยนั้นกับสมัยนี้แทบจะเป็น "ฝูง" เดียวกันที่มีอำนาจการเมืองสนับสนุน  อันประกอบด้วยก๊วนนักการเมืองกลุ่ม 16 ที่ปัจจุบันเป็นแกนหลัก "แก๊งออฟโฟร์" ได้เข้าไป "ไซฟ่อน" เงินฝากของประชาชนจากธนาคารบีบีซีออกมาหลายหมื่นล้านบาท

ผู้บริหารแบงก์ชาติที่ถูกส่งเข้าไปช่วยบริหารเพื่อกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานสถาบันการเงินและช่วยฟื้นฟูให้เข้มแข็งขึ้น แต่กลับหลงระเริงเข้าไปร่วมวงคนชั่วโกงกินแบงก์นี้จนถึงกาลล่มสลายและข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง ที่มีมลทินคดีติดตัวทำตัวเป็น "หัวโจก" ชี้ช่องผ่องถ่ายเงินกู้ ฯลฯ

แม้กระทั่งบางคนใน "คณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี" ยังเคยเข้าไปข้องเกี่ยว รับรู้ความเลวยำยำของ "ฝูงแร้ง" แม้ว่าอาจจะไม่เกี่ยวข้องในการโกงกิน แต่ดูเหมือนว่า "ภาพลักษณ์" นักวิชาการน้ำดีที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยเป็น "ลูกป๋า" จนบัดนี้คนทั่วไปยังยอมรับและเข้าใจไปว่านักวิชาการรุ่นปรมาจารย์คนนี้ยังเป็น "คนเก่ง" และเป็น "คนดี"

สังคมควรจะตั้งคำถามไม่เลิกราและตั้งข้อสงสัยไม่หยุดหย่อน ในความเป็น "คนดี" ของคนเหล่านี้แม้ยอมรับว่าคนเหล่านี้เป็น "คนเก่ง" ก็ตาม

อย่ายอมรับตรรกะการเข้ามาช่วยชาติอยู่บนเงื่อนไขว่าผลประโยชน์ส่วนตัวไม่กระทบ ยังขอเป็นกรรมการบริษัทกว่า 30 บริษัทเพราะ "ผมจำเป็นต้องเลี้ยงครอบครัว"

จึงขอ "เห็นแก่ตัว" ละเว้นไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล, ความโปร่งใสในการทำงานและการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่เป็นหลักการใหญ่ของรัฐธรรมนูญปี 2550 และหัวใจสำคัญในการบริหารประเทศของรัฐบาลทุกประเทศในโลกนี้ที่รังเกียจรัฐบาลที่โกงกินและไม่เคร่งครัดในผลประโยชน์ทับซ้อน

ซึ่งหลักการสำคัญนี้ไม่น่าจะกลายเป็นหลักการดำรงชีวิตในบั้นปลาย "ขอเห็นแก่ตัว" ของนักวิชาการ "น้ำดี" ระดับปรมาจารย์อย่าง "อาจารย์โกร่ง" ดร.วีรพงษ์ รามางกูร และ "อาจารย์ณรงค์ชัย อัครเศรณี" ที่มีตรรกะแบบเดียวกันคือยังไม่พร้อมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตน เพื่อจะได้ทำงานให้ส่วนรวมอย่างไม่มีข้อสงสัยเคลือบแคลง ซึ่งน่าเสียดายที่ปรมาจารย์ทั้งสองคนได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของ "อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์" อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ

ถ้า "อาจารย์โกร่ง" และ "อาจารย์ณรงค์ชัย" ยังไม่พร้อม "เสียสละ" ผลประโยชน์ส่วนตนบางส่วนเพื่อทำงานส่วนรวมอย่างโปร่งใสไร้ข้อกังขา ก็ไม่ควรรับตำแหน่ง "ประธานคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี" ดังเช่นกรณี "อาจารย์มนู เลียวไพโรจน์" ที่สารภาพตรงไปมาว่ายังไม่พร้อมจะเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนที่เป็นประธานและกรรมหลายบริษัทในการเข้ามาเป็น "คณะที่ปรึกษา" ช่วยชาติครั้งนี้

"อาจารย์โกร่ง" จะสามารถทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้มากกว่า ในการเป็น "นักวิชาการอิสระ" เช่นเดิมที่ขยันเสนอแนะและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทุกชัด ดังเช่นปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งยังไม่ทำให้เกิด "ข้อสงสัย" ใดๆ ในผลประโยชน์ทับซ้อนและการรับรู้ข้อมูลภายในจากนโยบายรัฐบาลที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจเอกชน ซึ่งจะช่วยพยุงหลักธรรมาภิบาลและจริยธรรมทางการเมืองไม่ให้เสื่อมถอยไปกว่านี้

นับจากนี้จึงยิ่งสงสัยในความเป็น "คนดี" ของอาจารย์โกร่งและอาจารย์ณรงค์ชัย ว่าจะยังหลงเหลืออยู่ในระดับมากน้อยแค่ไหน มากพอจะยกมือไหว้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจหรือไม่

ดังเช่น "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยพูดประโยคเลวร้ายแห่งศตวรรษที่นำความยุ่งยากและเสื่อมถอยทางจริยธรรมของสังคมมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น "บกพร่องโดยสุจริต ขอโอกาส", "ผมรวยแล้ว เชื่อใจได้ว่าไม่โกง" ฯลฯ  ดังนั้น "ขอโอกาส" ทำงานเพื่อชาติ แต่ขอผลประโยชน์เพื่อตัวเองกลับบ้างเพราะได้เสียสละเวลาและความสุขส่วนตัวให้ประเทศ "อย่าว่ากันนะใครๆ ก็ทำอย่างนี้"

ประเทศชาติได้รับความเสียหายมามากพอแล้วในการยินยอมให้ "คนรวย" หรือ "คนเก่ง" มีเงื่อนไขและมีข้อสงสัยไม่ใช่ "คนดี" เมื่อบอกว่าพร้อมจะเข้ามาทำงานให้ประเทศชาติไปรอด แต่กลับยังไม่พร้อม "เสียสละ" ผลประโยชน์ส่วนตัวในการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ จะยิ่งซ้ำเติมความเสื่อมถอยทางจริยธรรมของสังคมและสร้างบรรทัดฐานระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แยกไม่ออกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม

(อ่านข้อเขียนย้อนหลังและแสดงความคิดเห็นตลอด 24 ชั่วโมงทาง www.oknation.net/blog/adisak)
http://www.bangkokbiznews.com/2008/08/10/news_284082.php


หัวข้อ: Re: ธาตุแท้ วีรพงษ์ รามางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: boyk ที่ 10-08-2008, 17:53
อ้างถึง
เฉลิมชัย ยอดมาลัย 
 
จดหมายเปิดผนึกจากพี่เล็กถึงน้องโกร่ง (เขียนให้คิด)   
 
 
 เขียนให้คิดสัปดาห์นี้ มีอนุสนธิมาจากในโอกาสที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะมีอายุครบวันสถาปนาคณะครบรอบ 60 ปี ในวันที่ 18 สิงหาคม 2551  

 กระผมจึงเข้าไปสืบค้นเพื่อตามหาคนเด่งคนดังผู้เป็นผลผลิตของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในถิ่นสิงห์สีหราช เพราะตระหนักดีว่าสถาบันแห่งนี้มีส่วนสร้างสรรค์บุคลากรสำคัญระดับแนวหน้าในแวดวงราชการงานเมืองมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน

 และสิ่งที่ผมได้มาจากการเข้าถ้ำสิงห์ดำครั้งล่าสุดคือ ความในใจที่ลึกสุดลึกจากอดีตอาจารย์แห่งคณะรัฐศาสตร์ หม่อมราชวงศ์หญิงยงยุพลักษณ์ เกษมสันต์ หรืออาจารย์หญิงเล็ก

 อาจารย์หญิงเล็กฝากจดหมายเปิดผนึกไปถึงน้องโกร่ง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช

 เนื้อหาในจดหมายทราบซึ้งกินใจผู้อ่านมากน้อยประการใด ขอเชิญท่านผู้อ่านทัศนาได้ด้วยวิจารณญาณของท่าน ณ บัดนี้

 น้องโกร่งที่รัก

 ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านผันไปสักกี่สิบปี แต่พี่เล็กมั่นใจว่าเราจะไม่มีวันลืมกันและกัน ทั้งๆ ที่เราไม่เคยมีโอกาสได้พบปะสังสรรค์กันก็ตาม ตลอดเวลาห้าสิบปีที่ผ่านพ้น น้องโกร่งเคยเป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งในชีวิตของพี่เล็ก ในฐานะที่พี่เป็นทั้งพี่(ร่วมสถาบันสิงห์ดำ)และในฐานะอาจารย์ของน้องโกร่ง

 ภาพลักษณ์ของน้องโกร่งที่เคยมีอยู่ในความทรงจำของพี่เล็กนั้น คือภาพของผู้ชายที่สุดแสนเฉลียวฉลาดและปราดเปรื่อง มีความรู้ที่ดีเยี่ยม และมีความสามารถที่สูงส่งที่จะทำให้น้องชายคนนี้สามารถเดินได้ด้วยลำแข้งของตนเอง พากเพียรพาตนเองให้สูงส่งจากผืนดินไปสู่ดวงดาว

 แต่บัดนี้พี่เล็กรู้สึกเสียดาย ขอย้ำว่าเสียดายเหลือเกินที่ภาพแห่งความทรงจำอันแสนดีที่ตราตรึงอยู่ในสำนึกกลับเลือนหายไปในพริบตา แค่เพียงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคที่หลั่งไหลออกจากปากของน้องโกร่ง

 พี่เล็กเคยชื่นชม ปลาบปลื้มและยกย่องในความเป็นตัวตนที่แสนดีของน้องโกร่ง จำได้ว่าน้องคือผู้ยึดมั่นและยืนหยัดต่อสู้กับกิเลสที่รายล้อมตัวของน้องโกร่ง ในยุคสมัยที่น้องเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในอดีต พี่เล็กเคยคิดมาตลอดเวลาว่า เพราะความเป็นคนที่เกิดมาจากดินของน้องโกร่ง จึงทำให้น้องรู้สำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน และเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้น้องโกร่งคือคนดีที่สุดคนหนึ่งในสายตาของพี่เล็ก

 พี่เล็กจำได้ดีว่าน้องที่แสนดีคนนี้ไม่ยอมก้มหัวให้กับสิ่งสามานย์ทั้งหลาย แม้สิ่งโสมมและสามานย์เหล่านั้นอาจจะทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องสยบยอมและพ่ายแพ้ต่อมัน

 แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปจนถึงบัดนี้ ความเชื่อและความศรัทธาเดิมๆ ของพี่เล็กที่มีต่อน้องโกร่งกลับมลายไปจนสิ้น พี่ได้แต่ถามตัวเองตลอดเวลาว่า อะไรหนอที่เป็นต้นเหตุทำให้น้องโกร่งเปลี่ยนไป

 เป็นเพราะวัยที่สูงขึ้นหรือว่าน้องคนนี้ถูกมนต์เงินตราสะกดจนลืมสิ้นทุกสิ่งที่เคยปฏิเสธ พี่เล็กไม่อยากคิดเลยว่า เพราะสาเหตุประการหลังที่ทำให้น้องที่แสนดีเปลี่ยนไป

 แต่เท่าที่พี่ได้รับรู้จากคนใกล้ชิดและจากข่าวสารบ้านเมือง พี่ก็พอจะทราบว่าน้องโกร่งมีตำแหน่งแห่งที่ในบริษัทห้างร้านต่างๆ นับสิบแห่ง แต่ละตำแหน่งที่น้องโกร่งได้รับ อาทิ ที่ปรึกษาระดับสูง และบอร์ดในบริษัทชั้นนำระดับชาติหลายบริษัท

 พี่เชื่อเหลือเกินว่าค่าตอบแทนจากบริษัทเหล่านั้น น่าจะทำให้น้องโกร่งมีชีวิตสุขสบายและมีเงินใช้จ่ายมากเกินกว่าคนอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ

 พี่เล็กยังเชื่อเสมอว่าสำหรับมนุษย์ที่มีภูมิหลังในวัยเยาว์ที่บริสุทธิ์อย่างน้องโกร่งนั้น ปัจจัยเรื่องเงินตราไม่น่าจะมีอำนาจเหนือสำนึกผิดชอบชั่วดี นักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับชาติที่ชื่อดร.โกร่งน่าจะรู้ดีว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น มันพินาศจนยับเยินมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว

 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหาใช่ตัวการผู้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างที่น้องโกร่งกล่าวหาไม่ พี่เล็กยอมรับว่า เราทุกคนแม้มิใช่ผู้มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ระดับกูรู แต่เราต่างก็รู้แจ้งเห็นจริงว่าเงินทองจำนวนมหาศาลของประเทศชาติมันหายไปจากระบบเศรษฐกิจของบ้านเรา แต่มันไปงอกงามอยู่ในกระเป๋าส่วนตัวของใคร

 การกระทำที่สุดแสนน่ารังเกียจ ซึ่งก็คือการฉ้อราษฎร์บังหลวง การโกงบ้านกินเมือง เป็นฝีมือของโจรชั่วจำพวกไหน ขณะเดียวกันพี่เล็กยังเห็นว่า สภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยทั่วไป ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสมัยที่น้องโกร่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่พี่เชื่อเพราะได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วประจักษ์ชัดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมืองของเรามันพังทลายลงเพราะคนชั่วเพียงไม่กี่คน ไม่กี่ตระกูล

 คนชั่วช้าเหล่านี้ต่างกอบโกย โกงกินเอาสมบัติของชาติไปเป็นสมบัติส่วนตัว มีนักเศรษฐศาสตร์จากสำนักไหนบ้างที่สั่งสอนว่าผู้บริหารที่โกงบ้านกินเมืองจะนำความเจริญมาสู่ประเทศชาติ

 พี่เล็กเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า คนเฉลียวฉลาดอย่างน้องโกร่งรู้ซึ้งเรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ แต่สิ่งที่พี่คิดไม่ถึงคือ ทำไมคนดีบริสุทธิ์อย่างน้องโกร่งจึงออกมาทำเสมือนปกป้องคนชั่วคนเลวเหล่านั้น พี่ไม่เข้าใจว่าเหตุผลอะไรทำให้น้องโกร่งมีท่าทีเช่นนั้น พี่ไม่เข้าใจจริงๆ

 พี่เล็กไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้องโกร่งจึงยอมลดตัวลงไปพัวพันและเกลือกกลั้วกับความไม่บริสุทธิ์ ความไม่สง่างาม

 ที่มากกว่านั้นก็คือ พี่เล็กคาดไม่ถึงว่าน้องโกร่งผู้ที่เคยยิ่งใหญ่ในสายตาของคนบริสุทธิ์ กลับกล้าประกาศรับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้รัฐบาลที่ถูกเปรียบว่าเป็นเสมือนกองอาจมในสายตาของประชาชนหลายล้านๆ คน

 พี่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า คนที่สุดแสนอัจฉริยะผู้ซึ่งเรียนจบโดยได้รับปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างน้องโกร่ง ทำไมทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองต้องหมองมัวได้ พี่ยังพยายามจะหาเหตุผลมาสนับสนุนการตัดสินใจของน้องโกร่งว่า น้องคงต้องรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรและได้พูดอะไรออกไป อย่างไรก็ตาม พี่คงไม่สามารถไปล่วงละเมิดการตัดสินใจส่วนตัวของน้องได้ เพราะมันเป็นดุลพินิจของน้อง

 แต่พี่รู้สึกเสียดายและเสียใจจนบรรยายไม่ถูก เสียใจกับคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสียดายที่สำนึกของ"สิงห์สีหราช"หายไปจนหมดสิ้น กลับกลายเป็น"สิงห์กลายพันธุ์ ไร้สง่า เสื่อมราศี"

 น้องโกร่งที่รัก พี่ยืนยันว่าพี่เล็กคนนี้ยังรักและหวังดีกับน้องคนนี้ตลอดเวลา เคยรักอย่างไร ก็ยังคงรักเช่นเดิม แต่พี่เล็กรู้สึกเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะเวลาที่พี่เล็กได้ยินได้ฟังคนอื่นๆ ประณามน้องโกร่ง

 พี่ยอมรับว่าพี่เจ็บร้อนแทนน้อง พี่อยากบอกให้น้องคนนี้รู้ว่า น้องรู้ไหมว่าพี่เล็กเจ็บและโกรธแค้นมาก เหตุผลที่เจ็บและแค้นมาก เพราะพี่เล็กไม่สามารถตอบโต้อะไรกับเขาได้ เพราะสิ่งที่ผู้คนกล่าวหาน้องโกร่งนั้น มันยากที่พี่จะปฏิเสธ

 หลายๆ ครั้งพี่รู้สึกคล้ายๆ กับว่าอยากจะโกรธน้องชายคนนี้ และหลายครั้งที่พี่ก็อดที่จะบอกกับตัวเองไม่ได้ว่า วันนี้เวลานี้ พี่จะไม่ยอมเจ็บปวดอีกต่อไป แต่ก็ยังตัดใจไม่ลง เพราะยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าพี่ไม่คิดว่าน้องโกร่งจะเปลี่ยนไปได้มากมายเพียงนี้

 วันนี้พี่เล็กยอมรับว่า พี่เจ็บใจตัวเอง เจ็บใจเพราะความรักและความคิดว่าน้องโกร่งคือคนดีที่สุดในยุคนี้ พี่ผิดหวังที่น้องไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร พี่ย้ำอีกครั้งว่า พี่เล็กเคยคิดว่าน้องโกร่งเป็น "คนดี คนเก่ง"

 แต่เมื่อทุกอย่างมันแปรเปลี่ยนไปจนคิดไม่ถึง พี่เล็กก็จะไม่ประณาม ตำหนิ ติเตียนน้องโกร่ง เพราะพี่เล็กคิดเสมอว่า น้องโกร่งคือความภาคภูมิใจของพี่เล็กและครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

 เมื่อพี่เขียนภาพของน้องมาด้วยมือ พี่ก็ไม่ปรารถนาที่จะเอาฝ่าเท้าไปลบได้ แต่พี่ขอเตือนน้องด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ขอให้น้องโกร่งพึงระลึกเสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองนี้มีจริงและท่านก็รับรู้การกระทำทุกอย่างของเรา

 วจีที่เราเคยเปล่งปฏิญาณตนในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรนั้นศักดิ์สิทธิ์ อย่างเหลือเชื่อ พี่ไม่ได้แช่งน้อง แต่พี่รู้สึกเป็นห่วงและกลัวแทนน้องที่พี่รักมากคนนี้ พี่เชื่อตลอดเวลาว่า ผู้ที่ไม่รักษาสัตย์ ต้องถูกฟ้าดินลงโทษอย่างแสนสาหัส

 พี่เล็กขอเตือนน้องโกร่งว่า บัดนี้ยังไม่สายเกินไป ยังไม่สายเกินกว่าที่น้องคนนี้จะปลดปล่อยตัวเองออกมาจากกองอาจม

 ยังอยากจะรักน้องคนนี้ต่อไป

 จาก คนที่น้องโกร่งเรียกว่า "อาจารย์พี่เล็ก"
 
 http://naewna.com/news.asp?ID=117484